เติ้งเสี่ยวผิง เคยกล่าวไว้ว่า “แมวนั้นไม่สำคัญว่าสีขาวหรือสีดำ ขอให้จับหนูได้ ก็ต้องถือว่าเป็นแมวดี” งานแต่งบ้านก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะใช้วิธีใดแล้วแต่งบ้านให้ได้ ถูกใจเจ้าของบ้าน ก็ถือว่าถูกต้องซะทุกวิธี ละครับ

Group Blog
 
All Blogs
 

ท่องเที่ยวตามดาว : นมัสเต เนปาล ดินแดนหลังคาโลก ภาคเดินทาง โพครา - บัคตาปูร์

กลับมาแล้ว กับ การเดินทางแบกเป้ท่องเที่ยวสู่ เนปาล

จากภาคต้น : ออกเดินทางจาก เมืองไทย สู่ กาฐมๅณฑุ
สู่ภาคต่อ : จากเมืองกาฐมาณฑุ สู่เมือง โพครา

ภาคนี้จะเป็นการเดินทาง ท่องเที่ยวในเมืองโพครา ด้วยพาหนะพิเศษ 

ปล. จะมีใครเห็นรหัสลับที่ซ่อนอยู่ในภาพ รึเปล่าน๊อ จุ๊บจุ๊บ


ที่ปากซอยโรงแรม มีร้านให้เช่าจักรยาน-มอเตอร์ไซต์ เช่ากันทั้งวัน ราคาขึ้นอยู่กับสภาพ สมาชิกก็เลือกจักรยานคู่ใจได้คนละคัน 
ต่อรองกัน 4 คัน ได้คันละ 300 รูปี ขี่กันทั้งวัน เอามาคืนให้ทันก่อนร้านปิด


จักรยานพร้อม คนก็พร้อม เสบียง-น้ำ พร้อม ก็เริ่มออกเดินทางกันได้



เส้นทางที่เลือก ก็เป็นถนนเลียบทะเลสาปเฟวา บรรยากาศยามเช้า เย็นสบาย



จุดพักจุดแรก เป็นร้านอาหารพื้นเมือง แวะจอดรถพักเครื่องจักรยาน
แต่อาหารเช้า กว่าจะเสร็จ นานมาก 



ระหว่างรอ ก็ไปเดินถ่ายรูปบรรยากาศทะเลสาป 
มีเรือให้เช่าพายเล่นด้วย ถ้าพายเรือเองได้ ก็ชั่วโมงละ 300 รูปี แต่ถ้าต้องการฝีพาย ก็ชั่วโมงละ 350 รูปี



พออิ่มหมีพลีมันกันแล้ว จะไปน้ำตกดี หรือ ไปถ้ำดี 
... ว่าแล้ว ก็ไปซะทั้งสองแห่งซะเลย ...
ว่าแล้วก็ตั้งเนวิเกเตอร์ ไป เป้าหมายแรก DEVI'S FALLS และ GUPTESHWOR MAHADEV CAVE

น้ำตกธรรมชาติแห่งนี้ พอตกลงไปแล้วก็จะกลายเป็น ทางน้ำใต้ดินธรรมชาติ ด้วยเหตุที่ชื่อ DEVI'S FALLS ก็เพราะ น้ำตกแห่งนี้ เคยมีคนตกลงไปเสียชีวิต เลยตั้งชื่อให้เป็นอนุสรณ์


ถึงแล้ว! เราแวะส่วนที่เป็นถ้ำ GUPTESHWOR MAHADEV ก่อน ปากทางเข้าก็มีร้านค้าขายของเยอะแยะให้เลือกช๊อป


เราสามารถจูงจักรยาน ไปล๊อคด้านในได้เลย 
ถ้ำแห่งนี้ จะมีค่าเข้า 100 รูปี ต่อคน จ่ายไป



ในถ้ำ ส่วนแรกจะเป็นพื้นที่ควบคุม ห้ามถ่ายภาพ เพราะเป็นพื้นที่เกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดู
จุดแรก จะมีวัวจำลองตั้งอยู่ จะมีเจ้าหน้าที่ควบคุม ถ้ามีผู้บริจาคเงิน ก็จะหยอดที่กล่อง แล้วก็จะมีน้ำนมสีขาว ไหลจากเต้า ไปรดศิวลึงค์ เหมือนๆ เป็นการสักการะ
จุดที่สอง จะเป็นศิวลึงค์ธรรมชาติ องค์ใหญ่สูงน่าจะสักสองเมตร ถูกปกป้องด้วยงูจำลอง 3 เศียร ถ้าเราไม่ได้นับถือศาสนาฮินดู เราก็จะขึ้นไปบนแท่นทางเดินไม่ได้ เดินได้แต่บนพื้น


พอพ้นเขตพื้นที่ทางศาสนา เราก็ถ่ายรูปได้แล้ว เดินตามเส้นทางที่มีหลอดไฟให้แสงสว่างเป็นระยะ บนพื้นค่อนข้างจะเปียกชื้น 
ดังนั้น ถ้ามีไฟฉากสักอัน ก็จะเหมาะ เห็นทางเดินได้ชัดหน่อย บางช่วงก็ต้องเดินลงบันไดเหล็ก


เมื่อเดินจนสุดทาง เราก็พบกับภาพช่องแสงเล็กๆ กับน้ำที่ตกลงมาจากเบื้องบน
น้ำตกแห่งนี้ จะถูกน้ำท่วมทั้งถ้ำในหน้าน้ำหลาก จึงเปิดให้เข้าได้บางช่วง บางเดือน


ขึ้นจากถ้ำแล้ว เราก็ข้ามถนนมาส่วนที่เป็นน้ำตก ทั้งสองแห่งถูกถนนตัดผ่านซะงั้น 
ค่าเข้าส่วนที่เป็นน้ำตก ถูกหน่อย 20 รูปี ต่อคน
น้ำที่ไหลมาตามร่องหิน ตกลงไปด้วยแรงกระแทก วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า น้ำก็เซาะจนหินเป็นรูใหญ่ ลงไปเป็นทางน้ำใต้ดิน จุดที่เราเพิ่งไปชมมา ก็เป็นน้ำตกที่อยากดูต้องเกาะรั้วเหล็ก ชะโงกหน้าลงไปดู 



แต่ฝั่งน้ำตกนี้ อยู่ติดถนน ไม่มีจุดที่จะล๊อครถจักรยานกันได้ แต่มีเก็บตังค์ 5 รูปี ต่อคัน
จะล๊อคอยู่คันเดียวก็ใช่ที่ เราก็ใช้กลยุทธสามัคคี คือ พลัง ก็ล๊อคพ่วงกันเอง จะโดนยกก็โดนทั้งคณะ ละกัน



จุดต่อไป ที่เราจะไปเยี่ยมชม เป็น ค่ายอพยพของ ชาวธิเบตพลัดถิ่น คนเหล่านี้ มีที่พัก มีอาชีพในชุมชน แต่จะไม่ได้สัญชาติ
จะมีตัวแพะภูเขา หรือ ตัว "ยัก" เป็นพระเอก ขนอันยาวสลวย จะถูกนำมาปั่นเป็นเส้นใย แล้วก็ย้อม-ทอ จนกลายเป็น พรมหลากสีสรร 
ค่ายอพยพแห่งนี้ เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมาแวะตลอดเวลา ระหว่างที่โต๋เต๋อยู่ในค่าย จะมีรถบัสนักท่องเที่ยว ทั้งทางฝั่งยุโรป ทางเอเชีย เข้าออกตลอดเวลา


สาวๆ ก็จะทอพรมอยู่ด้านใน ส่วนสาวสูงอายุหน่อย ก็จะนั่งอยู่ด้านหน้า ขูดขนปั่นเส้นให้เป็นเส้นใย เป็นด่านแรกที่นักท่องเที่ยวเห็น ตอนลงจากรถบัส


โฉมหน้า เจ้าแพะภูเขา หรือ เจ้า "ยัก" กันแบบใกล้ๆ ขนสลวยเชียว



เที่ยงนี้ ก็เลยฝากท้องกับ ร้านอาหาร ในชุมชนชาวทิเบต ซะเลย 
อาหารกว่าจะมา รอนานกว่า มื้อเช้าอีก ฮ่าฮ่าฮ่า



ลูกสาวเจ้าของร้าน ออกมาช่วยบริการ
ทำเป็นเล่นไป เธอเป็นนักเรียนนอกนะคะ เธอเรียนอยู่ประเทศอินเดีย 
วันไปวันกลับ แต่ละเที่ยวจะใช้เวลาต่อรถบัส-ต่อรถไฟ 3 วัน กว่าจะถึง บ้าน-โรงเรียน 


ส่วนนี่ โฉมหน้าพ่อครัว 
ณ บัดนาว นักท่องเที่ยวชาวไทย ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะครับ ด้วยเหตุว่า ขณะนี้ สาว G ของคณะเราได้ทำการถ่ายทอดวิธีเจียวไข่ แบบไทยๆ แบบครบเครื่อง จบหลักสูตรไปแล้ว

ในรูป เค้ากำลังชิม่่ข้าวไข่เจียวอยู่ บอกทำเป็นละ อร่อยม๊าก



ออกจากค่ายผู้อพยพ เป้าหมายต่อไป เป็น แม่น้ำสีน้ำนม แต่มันอยู่ไกล ไกล ไกลมาก เราต้องใช้เส้นทางถนนหลัก ถนนรอง ถนนร่องๆ เข้าไปในชุมชนท้องถิ่น
แถมว่า คนท้องถิ่นเค้าว่า มีเวลาปิดด้วย ไปตอนนี้เวลาบ่ายแก่ๆ อย่างนี้ ก็ไม่ทันล่ะ 
คณะเราก็เลยแอบดีใจที่ทริปปั่นจักรยานทั้งวัน จบลงซะที หันหัวจักรยานกลับโรงแรมกัน อิอิ




เย็นนี้ ต้องเติมพลังมากหน่อย ก็เลยจัดไป อาหารจีน ชุดใหญ่ ร้าน CHINA TOWN ร้านนี้สมาชิกชอบมาก เพราะว่า มี WIFI FREE อย่างแร๊ง
ใช้ได้หมดทุก Social Media ใครชอบ FACETIME ก็จัดไป ใครชอบ LINE ก็จัดไป เพราะทุกคนใช้ Smart Phone อยู่แล้ว ต่างคนต่างจิ้มเลย



เช้าวันรุ่งขึ้น เรามีเวลาอีกครึ่งค่อนวัน ที่จะออกเดินทางย้ายออกจากเมืองโภครา เป็นเวลาที่ดีที่จะเดินเล่น ช๊อปปิ้ง เก็บบรรยากาศ
ร้านอาหารท้องถิ่น เจ้านี้เลย ที่ร้านขายพรมแนะนำมา ตั้งอยู่ในซอยแคบๆ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาทานกันไม่ขาดสาย คณะเราก็สั่งเลย อาหารเช้า 4 คน 4 ชุด ก็เหมือนเคย คอยน๊านมาก ออกไปช๊อปปิ้งกลับมา อาหารก็ยังมาไม่ครบ



อาหารชุดร้านนี้มาเต็ม นอกจากอาหารชุดในจานที่ทานหมดก็อิ่มแน่ ก็จะมีเครื่องดื่มมาในกาใครกามัน เนปาลีชานม หอมมาก ใครมีโอกาสได้มา ต้องอย่าลืมแวะชิมนะครับ



นอกจากเดินช๊อปปิ้งในเมือง ร้านค้าริมถนนตลอดสองฝั่งแล้ว ถ้าเดินลงในริมทะเลสาปเฟวา ก็จะได้บรรยากาศธรรมชาติ

ชาวบ้านเอาผ้าออกมาซัก คนชอบตกปลาก็มาโยนเบ็ด นักท่องเที่ยวก็ออกมาถ่ายรูป นอกจากนีั้ ก็จะมีแม่ค้ามาวางขายของ Hand Made อย่างกลุ่มนี้ ก็ลงมาจากภูเขาปู๊น เอาของทำมือมาวางขาย 

นอกจากจะรับเป็นเงินทุกสกุลแล้ว เราก็สามารถแลกโดยใช้ของได้ด้วย อย่างเครื่องสำอางค์ ลิปสติก ลิปมัน แป้ง แม่ค้าเหล่านั้นจะชอบมาก เพราะถ้าเป็นของแท้ ที่เมืองนี้อาจจะหายาก หรือ มีราคาสูง


สาวๆ ในคณะเราก็ซื้อด้วยเงินบ้าง แลกด้วยเครื่องสำอางค์ติดกระเป๋าบ้าง 
เลือกได้มาเป็นจี้ ต่างหู
ปอลอ. ตั้งแต่ได้กลับมาถึงเมืองไทย ได้ใช้กันมั่งยังก็ไม่รู้ อิอิ



พอถึงเวลาบ่าย คณะเราก็ได้เวลาออกจากเมืองโพครา 
เมื่อขาเข้าเมืองโพครา โดยรถบัส เราใช้เวลาร่วม 7 ชั่วโมง จากเมือง กาฐมาณฑุ ขากลับก็เลยต้องใช้คาถาย่นระยะทาง-ย่นเวลา เปลี่ยนเป็นเดินทางกลับทางเครื่องบิน แทน 
เครื่องบินก็เป็นเครื่องบินขนาดเล็ก แถวนึงนั่งได้ 3 ที่นั่ง ไม่ต้องจองที่ ถึงก่อนเลือกที่นั่งได้ก่อน พอขึ้นเครื่อง ก็จะได้ซองของขบเคี้ยว ลูกอม และที่สำคัญ สำลี เอาไว้อุดหู จากเสียงเครื่องยนต์



นั่งประจำที่รัดเข็มขัดให้พร้อม พอเครื่องบินทะยานขึ้นฟ้า ก็จะมีนางฟ้ามาเสริฟ์เป๊ปซี่ให้ ยังไม่ทันจะกินขนมกินน้ำเสร็จ ก็ต้องปลดเข็มขัดประจำที่นั่ง เพราะ เครื่องบินมาถึงที่หมายเมือง กาฐมาณฑุ แล้ว
ก้นยังไม่ทันจะร้อนเลย 555


พอเครื่องจอดสนิท ก็ไม่ต้องไปรับกระเป๋าให้ไกล เพราะ จุดรับกระเป๋า ก็อยู่ตรงประตูข้างๆ ทางออกสนามบิน เป็นเพิงเล็กๆ 
ถ้าเป็นหน้าฝน คงมีเฮ แน่เลย

หลังจากนั้น พอพ้นประตูทางออก ก็จะเจอกับเหล่าคนคุ้นเคย แท๊กซี่-นายหน้า มาล้อมหน้าล้อมหลัง เราก็เรียกแท๊กซี่ไป เมืองบัคตาปูร์ เมืองมรดกโลก ห่างจากเมือง กาฐมาณฑุ ประมาณ 20 กิโลเมตร ราคาจบที่ 500 รูปี



จบภาคแล้วล่ะครับ
เดี๋ยวภาคต่อไป จะพาทัวร์เมืองเก่า ของ บัคตาปูร์ เมืองมรดกโลกที่ยังคงความงดงาม จากสถาปัตยกรรมเมื่อหลายร้อยปี

ถ้าอยากเห็นส่วนไหนเพิ่ม ก็เม้นท์มาบอกได้นะครับ เพราะรูปมันเยอะมาก เอามาใส่ได้ไม่หมด




 

Create Date : 11 เมษายน 2555    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2556 0:30:03 น.
Counter : 2005 Pageviews.  

ท่องเที่ยวตามดาว : นมัสเต เนปาล ดินแดนหลังคาโลก ภาคต่อ กาฐมาณฑุ - โพครา

กลับมาแล้ว กับภาคต่อของการตะลอนแบกเป้เที่ยวเนปาล จากภาคแรกของการผจญภัย เริ่มจาก กรุงเทพฯ สู่เมืองกาฐมาณฑุ ตามย้อนไปอ่านได้นะครับ

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=nongpladao&month=27-02-2012&group=5&gblog=100

ภาคต่อนี้ จะเป็นการย้ายเมือง จาก กาฐมาณฑุ สู่เมือง โภครา เมืองแห่งทะเลสาป และ หุบเขาแห่งหิมาลัย



จากคืนก่อนหน้าการเดินทาง เราก็ไปคุยกับเจ้าของโรงแรมขอข้อมูลการเดินทางสู่เมืองโภครา ง่ายที่สุด ก็ไปรถบัสท่องเที่ยว จะซื้อตั๋วที่ไหนรึ ก็ไม่ยาก ก็ซื้อได้ที่โรงแรมได้เลยละครับ เจ้าของโรงแรมแทบทุกโรงแรมก็จะเป็นเอเยนต์ตั๋วรถ ตั๋วเครื่องบินอยู่แล้ว ราคาก็ตกลงที่ 400 รูปี/คน

เรื่องตั๋วเดินทางเรียบร้อย ก็จัดแจงเตรียมเสบียงกันดีกว่า น้ำดื่มเป็นขวด แทบทุกยี่ห้อจะเป็นน้ำแร่จากหิมาลัย รสชาติดี ราคาจะประมาณ 15-20 รูปี/ลิตร ก็ราวๆ ไม่ถึง 10 บาทไทยต่อขวด

ส่วนร้านเบเกอร์รี่ในทามาล ก็มีหลายร้าน แต่มีร้านนึง ของในร้าน ดูดี มีชาติตะกูล ยิ่งราคาตอนหลัง สามทุ่ม จะลดครึ่งราคา ว่าแล้ว เราก็ไปฝังตัวที่ร้านซะตั้งแต่สองทุ่มแก่ๆ เลือกให้จนถึงสามทุ่ม ค่อยเช็คบิล รวมเงินแล้วไม่ถึง 90 บาทไทย ได้มาสองถุงตุงๆ แล้วหลังจากนั้น ฝรั่งต่างชาติ ก็เริ่มทยอยเข้ามา จนแน่นร้าน เลือกของเหลือจากคณะเรา HaHaHa



ถึงเวลาเช้ากำหนดเวลารถออก ก็ 7 โมงเช้า คณะก็เดินงัวเงียไม่ไกลจากโรงแรมนัก อากาศเย็นสบาย ก็ไปถึงจุดนัด จัดแจงไปเลือกที่นั่งก่อน
ถ้าไม่ได้จองตั๋วมา ก็ไปขึ้นเลยก็ได้ ถ้ารถยังไม่เต็ม เห็นแว๊บๆ ราคาที่เก็บ ก็ราว 350 รูปี
รถบัสที่ใช้ ก็เป็นรถบัสแอร์ธรรมชาติ เบาะปรับเอนได้นิดหน่อย



รถบัสจะจอดพักรถ 3 หน หนแรกให้เหล่าสุภาพบุรุษ แวะเข้าไปเบาในคอกพลาสติกสีดำ ระบายทุกข์พร้อมชมวิวท่ามกลางขุนเขา ส่วนสุภาพสตรี ต้องไปเข้าคิวยาวววกันในห้องน้ำปิดที่มีแค่ 2 ห้อง

แล้วก็จะมีจอดให้พักทานอาหาร กับจุดจอดรถที่เป็นร้านอาหารอีก 2 หน มี Menu ให้เลือกทาน แบบ Fast Food และแล้วคณะเรา สาว J ของเราจัดเลย Hot Lemon ดูท่าจะน่าดื่มในท่ามกลางอากาศเย็นๆ พอได้รับถ้วยเครื่องดืม ก็ต้องงงเล็กน้อย เพราะที่ได้รับมา คือ น้ำร้อน 1 ถ้วยพลาสติก กับ มะนาวฝาน 1 กลีบ ให้มาใส่ เสียรู้แขกไป HaHaHa



ใช้เวลาหลับๆ ตื่นๆ ร่วม 6 ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงเมือง โพครา ซะที พอลงจากรถบัสเท่านั้น ก็เจอเหล่าคนที่คุ้นเคย เหล่านายหน้าโรงแรม และ แท๊กซี่ เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง ตรึม

และแล้วเราก็ได้ นายหน้าโรงแรมคนนึง มีคนพื้นที่ที่นั่งคุยด้วยกันมาบนรถบัส เป็นคนรับประกันคุณภาพ แท็กซี่ก็พาไปเลยโรงแรมเปิดใหม่ บรรยากาศดี ราคาเป็นกันเอง แต่ตกลงราคากันไม่ได้ซะงั้น ก็เลยไม่พัก

แต่จุดนี้ คณะเราพลาดเรื่องค่าโดยสารกับแท๊กซี่ไป เพราะเงื่อนไขแทีกซี่ถ้าเราพักโรงแรมที่จอดก็จะฟรีค่าแท๊กซี่ แต่พอเราตัดสินใจไม่พักแท๊กซี่ก็เลยเรียกค่าโดยสารซะ 200 รูปี แต่หัวหน้าคณะเรา สาว G ก็ต่อรองจนไปจบที่ 150 รูปี ถึงจะยกกระเป่าลงจากรถกันได้

ทีนี้คณะเราก็แปลงร่างเป็นเต่ากันต่อ สวมเป้หลังออกเดินทางหาโรงแรม เริ่มจากโรงแรมอยู่ข้างๆ กันถูกใจกับบรรยากาศเลย อีกทั้ง ราคาก็ถูกใจ 500 รูปี/ห้อง ไม่มี Tax ก็เลยได้ที่พักในเวลาอันรวดเร็ว



หลังจากจัดแจงเรื่องห้องพักเรียบร้อย คณะเราก็ออกทัวร์เมืองกัน เมืองโพครา ก็เป็นเมืองเล็กๆ เดินสบายๆ กับร้านค้าเยอะแยะ แต่อัตราแลกเปลี่ยนเงินจะน้อยกว่าที่ กาฐมาณฑุ นิดหน่อย ว่าแต่ ที่ โพครา ก็มี Chev Captiva วิ่งด้วยน่ะเนี่ยะ ไม่ธรรมดาจริงๆ

MoMo จะเป็นอาหารที่มาจากทิเบต ที่มีขายกันทั่วไปที่เนปาล รวมทั้งที่ โพครา ด้วย ก็จะเหมือนเกี๊ยวซ่าเอาไปปรุงรสหลากหลาย อย่าลืมมาชิมกันนะครับ

แต่ร้านที่ไม่แวะไม่ได้ ก็จะเป็นร้านขายผ้าทอ พรม กระเป๋า จะอยู่นานที่สุด จับอะไรชิ้นไหน ราคาก็ถูกไปซะหมด ก็อยู่นานจน เจ้าของร้าน ต้องไปสั่ง ชานมเนปาลี มาให้ชิม รสชาติหอมมันกลมกล่อมอร่อย จนคณะเราต้องไปซื้อกลับบ้านกันทุกคน



แผนสำหรับเช้าวันต่อมา คณะเราไปให้เจ้าของร้านผ้าวางแผนมาให้เรียบร้อยแล้ว เจ้าของร้านว่า U ต้องตื่นแต่เช้ามืด สักตี 4 พอเดินออกมาที่ถนนจะเห็น รถแท๊กซี่ จอดเป็นแถวยาววว เพื่อรอเรียกพาไปจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น U ต้องบอกว่าให้ไปส่งที่จุดชมวิวจุดที่ 2 นะ จุดชมวิวจุดที่ 1 ที่แท๊กซี่ชอบไปจอด ต้องเดินขึ้นเขาไปอีก 1 ชั่วโมง แล้ว U ก็ไม่ต้องจ้างแท๊กซี่ไป-กลับ ก็ได้ เพราะขากลับ ก็เดินลงเขากันมาเอง จะมาลงแถวริมทะเลสาป เฟวา แล้ว U ก็จ้างเรือพายมาส่งที่เมือง ได้บรรยากาศ ทั้ง ภูเขา-ทะเลสาป สวยม๊าก

คณะเราก็ตกลงเดินตามแผนนั้น นัดกันเลยตี 4 ตื่น ตี 4 ครึ่ง เจอกัน เดินส่องไฟฉายออกไปริมถนน ทำไมมันมืดจังฟร่ะ มองซ้ายมองขวา มีแท๊กซี่จอดปิดไฟแค่คันเดียว ก็เลยได้แต่คิดอำนาจการต่อรองของเราจะเหลือแค่ไหนเนี่ยะ ก็เลยตกลงไปคุยกับแท๊กซี่พาไปจุดชมวิวบนยอดเขา

แท๊กซี่เปิดราคามา 800 รูปี คณะเราต่อเหลือ 500 รูปี ไม่ตกลงก็สบัดก้นเดินดุ่มๆ มืดๆ ไปหาแท๊กซี่คันอื่น ดีนะ ที่เจ้าแท๊กซี่คันเดิม สตาร์ทเครื่องขับตามมา ปิดราคาที่ 700 รูปี คณะเราเลยรีบตะครุบในทันใด ตลอดทางที่ขับผ่านตัวเมืองยันขึ้นเขา ไม่เห็นรถแท๊กซี่อีกเลย เกือบอดดูพระอาทิตย์ขึ้นซะละ HaHaHa



พอขึ้นไปถึงจุดชมวิว แท๊กซี่ที่เราเรียกพามาส่งที่จุดชมวิวจุดที่ 1 เอง ที่รู้เพราะที่ทางขึ้นมีแผนที่บอก ต้องเดินขึ้นเขาไปอีก 1 ชั่วโมง แต่ถ้าให้แท๊กซี่ขับไปต่อก็วิ่งอีกไปแค่ 10 นาที ก็เลยเสียท่าแท๊กซี่รอบเช้ามืดอีกรอบ ฮือ

เมื่อไปแท๊กซี่ต่อไม่ได้ ก็เลยต้องเริ่มลงขาเดิน ระหว่างนั้น ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียก "หนีห่าว" "คนนิชิวะ" และอีกหลายภาษา แล้วมาจบที่ "สวัสดีก๊า" เราถึงตอบรับ แล้ว เธอคนนั้น ก็เลยคะยั้นคะยอเชิญชวนขึ้นไปบนบ้านเค้า บ้านเค้าเป็นจุดชมวิวที่ไม่ต้องเดินขึ้นเขา มีเก้าอี้นั่งชมได้เลย ก็เลยลงล๊อคคณะเรา หลังจากที่เราตัดสินใจอยู่ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ ก็ได้ยินเสียงคนจีน โช้งเช้ง จำนวนมาก เดินมา คณะเราก็ไวประดุจสายฟ้า รีบวิ่งปรู๊ดไปจองที่นั่งแถวหน้าของชั้น เร็วกว่ากันแค่เสี้ยววินาที

ก็นั่งมืดๆ คุยกันไป จนกระทั่วท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่าง และแล้วเราก็ได้เห็นยอดเขาหิมาลัยที่ค่อยๆ ชัดขึ้นๆ และแล้ว สาว D ของเราก็จัดภาพวิวยอดเขาหิมาลัยช่วงพระอาทิตย์ขึ้นแบบ Panorama จาก Iphone มาให้ชมกัน



พอแสงสว่างมาเต็ม เหล่าสมาชิกทัวร์จีนกลับไปหมดแล้ว เราก็ค่อยมาสำรวจสถานที่ที่คณะเรามาใช้สถานที่กันซะตั้งแต่มืด ที่แห่งนี้เป็นเหมือน ร้าน OTOP ของเหล่าชาวบ้านละแวกนั้น ชาวบ้านเค้าจะใช้เวลาว่างถักทองานออกมาวางขายให้เหล่านักท่องเที่ยวกัน โดยเฉพาะผ้ายัก (YAK) เป็นผ้าทอจากขนจามรีภูเขา บางแต่ให้ความอบอุ่นได้ ราคารึก็ถูกกว่าร้านค้าข้างล่างครึ่งต่อครึ่ง

มีป้า สุศิรา เป็นผู้ดูแล แกใจดีมากโดยเฉพาะกับคนไทย-มั้ง ลดราคาชิ้นงานให้ถูกใจคณะเราสุดๆ แถมแกยังว่า จะพาไปดูบ้านเหล่าสมาชิกแม่บ้านที่ทองาน แต่ต้องรอร้านปิดก่อนนะ 5 โมงเย็น --ใครจะอยู่รอป้าได้ละน๋อ--

พอได้เวลาหลังจากฝากท้องอาหารเช้าบรรยากาศวิวภูเขาหิมาลัยแล้ว ก็ได้เวลาเดินลงเขา อาวุธไม้เท้ามีโช๊คที่ติดตัวมาจากคลองถม อันละ 200 บาท ก็ถูกนำมาใช้ ยังไม่ทันที่จะก้าวขาลงเขา สาว G ก็เล่นไม้เท้าประจำตัวพังซะละ 555



เส้นทางที่คณะเราใช้เดินลง ก็เป็นเส้นทางปรกติที่ชาวบ้านแถวนั้นเค้าใช้ บ้านชนบทแต่ละบ้าน จะมีทุ่งมัสตาด ปลูกเป็นแนวขั้นบันได เวลาออกดอก จะเหลืองสะพรั่งทั้งเขา



ส่วน สาว J ของเรา ก็เป็นปลื้มกับบ้านชนบท โดยมากก็จะเป็นบ้านปลูกด้วยหิน อิฐ สลับกับไม้ทาสีสดๆ



วิถีชีวิตของชาวบ้าน ก็อยู่กันอย่างเรียบง่าย พ่อค้าที่จะขายของก็ต้องลงทุนแบกสินค้าไปเคาะประตู เพื่อขายของ ตาชั่งไม่ต้องใช้เทคโนโลยีอะไรมาก แค่ใช้ตาชั่งถ่วงน้ำหนัก ที่ใช้กันมานับร้อยๆ ปี ก็พอแล้ว

แม่บ้านที่ต้องซักผ้า ถูบ้าน ก็มีน้ำใช้ตลอดเวลา ก็เป็นน้ำจากภูเขาไหลผ่านช่องระบาย ตักใช้ได้เลย ใสแจ๋ว

เด็กนักเรียน ก็จะไปโรงเรียนกันสายหน่อย เพราะตอนเช้าจะหนาวม๊าก ก็จะมีรถโรงเรียนขับมารับ พอดีว่าไม่ได้เตรียมลูกอมหลากรสที่ขนมาจากเมืองไทยใส่กระเป๋าไป มีแต่ลูกหยียักษ์คลุกน้ำตาลจากชุมพรในกระเป๋า ก็เลยจัดให้ไป ทั้งเด็ก ทั้งแม่เด็ก ชอบกันใหญ่ ตามข้อมูล ถ้ามีปากกา หรือ ดินสอ เด็กๆ ก็จะชอบมากเหมือนกัน



คณะเราใช้เวลาเดินขึ้นเขา ลงเขา สลับถ่ายรูป แวะชมวิถีชีวิตชาวบ้าน ตั้งแต่ยอดเขายันตีนเขา ไปเรื่อยๆ
เหนื่อยเราไม่เหนื่อย เมื่อยเราไม่เมื่อย แต่หิ๊วหิว



ผ่านไป สามชั่วโมงกว่าๆ เราก็บรรลุเป้าหมาย ลงมายืนบนพื้นราบได้แล้ว เย้
แรกสุด ก็เป็นเรื่องห้องน้ำ กับ เรื่องกิน เราก็ได้ร้านอาหารริมน้ำ บรรยากาศดี ให้นั่งพัก

ถ้าทำตามแผนต่อไป เราต้องหาทางกลับไปที่ตัวเมือง โพครา ที่อยู่ไกลลิบๆ ของทะเลสาบ ปู๊น



เมื่อเติมพลังกันเสร็จ ก็ถึงเวลาจะกลับเมืองกันละ จะกลับยังงัยดีน้อ
ทางเลือกแรก -- เรือรับจ้าง ถ้าเลือกได้ ก็จะมีคนพายเรือเลาะทะเลสาบไปส่งถึง ท่าเรือในเมือง
--- แต่ หาเรือรับจ้างไม่เจอ ไม่รู้ว่าท่าเรืออยู่ที่ไหน ทางเลือกแรก ตกไป

ทางเลือกสอง -- นั่งรถบัสโดยสาร ชาวบ้าน ก็จะขึ้นรถบัสวิ่งระหว่างเมืองอยู่แล้ว ระหว่างที่นั่ง ก็เห็นรถโดยสารวิ่งผ่านไปบ้าง ก็ต้องยืนโดยสารไป
--- แต่ รถโดยสาร มาเมื่อไหร่ ตอบไม่ได้ จะให้รอรึก็ใช่ที่

ทางเลือกสาม -- จ้างแท๊กซี่ไปส่ง จะเร็ว และ ตรงที่สุด
--- แต่ ตั้งแต่เดินๆ นั่งๆ มา ไม่เห็นแท๊กซี่เปล่า วิ่งผ่านมาสักคัน ดูท่าจะคอยแบบไม่มีอนาคต

ทางเลือกสี่ -- ชาวบ้าน เค้าจะใช้การเดินเป็นกิจวัตร สาวที่ร้านอาหารบอก เธอก็ใช้การเดิน ใช้เวลาอาจจะแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ถึง
+++ ตกลง เราเลือกการเดินก็แล้วกัน ค่อยๆ เดินไป เดี๋ยวก็ถึง

แต่แค่เดินออกจากร้านอาหารไปไม่กี่ก้าว ด้วยสายตาอันไวประดุจเหยี่ยว ก็เห็นนักท่องเที่ยวฝรั่งแบกเป้สองคน กำลังโบกรถบรรทุกขอติดรถเข้าเมือง คณะเราก็เลย เฮ ขอตามน้ำไปด้วยซะงั้น

ใช้เวลาไม่นาน เราก็กลับเข้าเมืองได้ แต่แล้วเหตุการณ์นึงก็เกิดขึ้น มีฝนตก ใน โภครา แต่ด้วยคณะเราศึกษาพยากรณ์อากาศในอินเตอร์เนทมาตั้งแต่ก่อนเดินทาง ในพยากรณ์อากาศก็ว่า จะมีฝนบ้างในบางวัน คณะเราก็เลยได้ใช้ ร่ม-เสื้อกันฝนที่เตรียมมาด้วยซะ

สำหรับ นักท่องเที่ยวต่างถิ่น ต้องการโทรศัพท์กลับบ้าน ก็ไม่มีปัญหา มีร้านโทรศัพท์-อินเตอร์เนท อยู่ทั่วไปหมด ค่าโทรก็ไม่แพง นาทีละ 10 รูปี (4 บาท)



จบแล้วนะครับ Ep2 เมือง โภครา ยังมีการผจญภัยใน โภครา อีก เอาไว้มาเล่าให้ฟังกันต่อใน Ep3 นะครับ (ถ้าว่าง)
ขอบคุณที่แวะมาชมกัน จุ๊บจุ๊บ




 

Create Date : 13 มีนาคม 2555    
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2555 15:06:59 น.
Counter : 1051 Pageviews.  

ท่องเที่ยวตามดาว : นมัสเต เนปาล ดินแดนหลังคาโลก ภาคต้น

เนปาล ประเทศที่เราเหล่าสมาชิกตกผลึกเลือกที่จะแวะไปเยือน หลังจากที่คัดเลือกมาหลายต่อหลายประเทศ อีกทั้งเวลาว่างที่มาลงเป๊ะในช่วงนี้ ทำให้เหลือเวลาในการเตรียมตัวก่อนบินไม่ถึงสองอาทิตย์

แต่เหล่าสมาชิกทั้ง 4 -- สาว G, สาว D, สาว J, และ ชาย P -- ก็ไม่หวั่น ทั้ง เป้หลัง เสื้อหนาว ถุงนอน และ ตั๋วเครื่องบิน ก็ถูกจัดการจัดเตรียมได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งแผนการเดินทาง ข้อมูลต่างๆ ถูกรวบรวม อย่างพร้อมมูล

การผจญภัยในต่างแดน ก็พร้อมที่จะเเริ่มต้นล่ะ



แต่ยังก่อน ก่อนที่จะได้ไป ก็ต้องมีอุปสรรคมาขัดขวางกันซะหน่อย จะได้ตื่นเต้น

หลังจากที่จองตั๋ว เรียบร้อย ดีใจกันใหญ่ เพราะ การบินไทย มีโปรโมชั่น ตั่วไป-กลับ เนปาล พอดี จากราคา 2 หมื่นกว่า ลดเหลือง แค่ 12,xxx ถูกเหลือเชื่อ แต่พอได้ตั่วมา ปรากฎว่า ชื่อผมเอง ไม่ตรงกับพาสปอร์ตซะ สะกดจาก C เป็น S ซะงั้น

ทีนี้เหล่าสมาชิกก็ต้องออกแรงแก้ปัญหากัน ทางการบินไทย แจ้งว่าต้องจ่ายค่าดำเนินการ 1,000.- ออกตั๋วใหม่ แต่ทางเราไม่ยอมจ่าย ก็เลยได้ทางแก้ตรงกลางว่า ออกใบแจ้งการสะกดชื่อผิดให้ แล้วไปวัดดวงเอาเอง ก็โอเคกันตามนั้น



กำหนดบินของพวกเรา เป็นเช้าวันศุกร์ แต่ สาว J ของเราเอาพาสปอร์ตออกมาเปิด ปรากฎว่า อายุพาสปอร์ตมีอายุเหลือไม่ถึง 6 เดือน ซะงั้น ตามแผนพวกเราจะไปขอ Visa on Arrival ที่เนปาล แต่ถ้ามีปัญหาเรื่องพาสปอร์ตแล้ว ความเสี่ยงคงจะสูงเรื่องวีซ่าไม่ผ่านอาจจะอดเข้าประเทศซะ
ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นอีกครั้ง มีเวลาเหลือแค่วันพฤหัส วันเดียวที่จะดำเนินการแก้ปัญหา

จะไปขอพาสปอร์ตเล่มใหม่ เช็คแล้วก็ไม่ทัน ระบบราชการไทยต้องมีเวลาให้ ก็เลยต้องไปแก้ปัญหากับทางเนปาล ว่าแล้วเช้าวันพฤหัส สาว J เราก็บึ่งไปสถานฑูตเนปาล ถ้าเค้าออกวีซ่าให้ ก็น่าจะหมดปัญหา จริงๆ แล้วทางสถานฑูตก็ต้องใช้เวลารับวีซ่าในวันรุ่งขึ้นเหมือนกัน แต่ เจ้าหน้าที่ก็ไปเร่งทำให้จนออกได้ในวันเดียว

สาวเจ้าเราเลยเปลี่ยนโหมดร้องไห้ เป็นโหมดดีใจได้



คิดว่าคงไม่มีปัญหาแล้วมั้ง หลังจากนี้ แต่ไม่หรอก ปัญหาก็ยังจะมีซะได้ ก็วันขึ้นเครื่อง หลังจากโหลดสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เหล่าสมาชิกก็มัวแต่ ช๊อป ชิม ชิว จนกระทั่ง สนามบินประกาศเรียกขึ้นเครื่องด่วน

พอวิ่งไปถึงเกท ไม่เหลือผู้โดยสารสักคน เพราะขึ้นเครื่องไปรอกันหมดแล้ว ก็คงเหลือแต่คณะเรา แถมพอขึ้นเครื่องไป เจอแขกมาแย่งที่นั่งริมหน้าต่างซะอีก บอก เห็นว่าที่นั่งว่างก็เลยย้ายมานั่ง ชิชิ



ใช้เวลาบิน 3 ชั่วโมงกว่า ก็มาถึงแล้ว สนามบินกาฐมาณฑุ สนามบินในหุบเขาหิมาลัย เวลาท้องถิ่นต่างจากบ้านเรา ชั่วโมงกว่าๆ

แรกสุดเลย ก็ต้องมีเงิน เนปาลรูปี ติดกระเป๋าไว้บ้าง ก็ต้องพึ่งพา Exchange ในสนามบินละครับ ถึงแม้เรทจะต่ำกว่าข้างนอก แถมจะมีหักค่าคอมอีก เพราะเราต้องใช้จ่ายเบื้องต้น อย่างน้อยก็เรื่องค่าแท๊กซี่

ไหนๆ ก็ไหนๆ สาว G ของเราคล่องมาก แถมมีฝีไม้ลายมือ กระบวนยุทธ์ พอประมือกับเหล่าแขกเนปาลได้เป็นอย่างดี ก็เลยได้เป็นตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการเงิน จัดการเรื่องเงินทั้งหมด คนอื่นๆ ก็เป็นบอดี้การ์ด กับ ช่างภาพไป อิอิ



พอพ้นประตูสนามบินออกมา เหล่าสมาชิก ก็จะเป็นเหมือนดาราซุปตาร์ จะโดนห้อมล้อมจากคนสองอาชีพ อาชีพแรกก็จะเป็นแท๊กซี่ อาชีพที่สองจะเป็นเหล่านายหน้าโรงแรม-เกสเฮาส์

เราก็อาศัยที่มีอำนาจการต่อรองสูง ยิ่งเหล่าแท๊กซี่-นายหน้ายิ่งมาก ก็จะเริ่มมีการเสนอราคา เปิดมาน่าจะมาตราฐานที่ 500 รูปี ยิ่งปฏิเสธไป ราคาที่เสนอมาก็จะยิ่งลดลง 500-400-300-250-200 จนในที่สุด สาว G เราก็เปิดไปจนถึง 150 รูปี จากสนามบินเข้าไป ทามาล-แหล่งที่พักแบกเป้ของเหล่านักท่องเที่ยว

และแล้ว ก็มีนายหน้าคนนึงยอมรับค่าโดยสารที่ 150 รูปี -เย้ ราคานี้ต่ำกว่าราคาวิ่งเปิดมิเตอร์ของแท๊กซี่ซะอีก เพียงแต่มีข้อแม้ว่าจะพาเราไปโรงแรมที่เค้าอยากจะแนะนำเราไป เราก็ โอเค



พอเราเข้าสู่ ทาเมล ได้ การเช็คโรงแรม ราคา Vs คุณภาพ ก็ถูกเอามาเปรียบเทียบกัน

เดินเช็คราคาหลายต่อหลายโรงแรม ผ่านไป 3 ชั่วโมง เป้หลังพร้อมสัมภาระ ก็ได้ที่วางซะที กับ โรงแรมที่อยู่ในรายชื่อจดโน๊ตมาจากเมืองไทย คนไทยเคยมาพักแล้วโพสบอกกันไว้ เป็นโรงแรมที่ Lonely Planet แนะนำไว้ด้วย

ทุกอย่างโอเค ยกเว้นราคา เจ้าของโรงแรมบอกว่า ราคาที่ไปลงโพสกันเป็นราคาเก่ามาก ให้ราคานั้นไม่ได้ คืนแรกในเนปาลของเราก็เลยจบลงที่ราคา US$8 ต่อห้อง นอนได้ห้องละ 2 คน



พอได้ที่พักแล้ว ก็ถึงคราวออกท่องเมืองแล้ว ย่านทาเมลเป็นแหล่งรวมของนักท่องเที่ยว เลยมีร้านรวงตลอดถนนยาว มีให้เลือกหาทุกอย่าง

Iphone ที่ สาว J กับ สาว D ใช้ ใส่ Cover ที่เป็นรูปกล้องถ่ายรูปห้อยคอ ทำเอาเป็นเป้าสายตาของทุกสายตา บางคนก็ต้องเดินเข้ามาถาม คงจะสงสัยว่าเป็นกล้อง หรือ เป็น Iphone กันแน่ เท่ค่อตเลย



กลางคืน ที่เนปาล จะหนาวมาก อุณหภูมิน่าจะเป็นเลขตัวเดียว แถมไฟฟ้าของประเทศนี้ จะมีการจ่ายไฟฟ้า และ ตัดไฟฟ้า เป็นเวลา ทุกวัน ถ้ามาตัดช่วงที่ต้องอาบน้ำ อาจต้องมีอาบน้ำเย็นเจี๊ยบ

ส่วนที่นอน อาจจะไม่ได้มาตราฐาน ความสะอาดสำหรับบางคนนัก เราก็อาจงัดเอาถุงนอนเรามาสวมนอนอีกชั้นก็ได้ จะอุ่นขึ้น กับ สะอาดขึ้น



ตื่ง ตื่ง ตื่นนนน เช้าแล้ว วันนี้เป็นวันเที่ยวจริงวันแรก
เปิดทริปด้วย วัดลิง หรือ สถูปสวะยัมภูนาถ วัดที่อยู่บนเขาสูง มีลิงพักอาศัยอยู่มากมาย ทั้งเขา วัดนี้เป็ไนสถูปที่ผสมผสานกันระหว่าง ศาสนาพุทธและฮินดู อายุน่าจะราว 2,000 ปี เชียวนิ และได้ถูกขึ้นเป็นมรดกโลก ในปี 2522 ด้วยเชียวหนา

ลิงที่วัดนี้ ค่อนข้างจะดุ ก็สมาชิกเราให้ขนมแก่เด็กชาวบ้าน เจ้าลิงจ้องตาเขม็ง พร้อมที่จะจู่โจมแย่งของกิน



ด้วยกำลังขา กับบันได 365 ขั้น จะไปเจอด่านเก็บเงินนักท่องเที่ยวด้านบน จะไม่จ่ายก็ต้องเดินลง อดชมสถูป ฮาฮา

ที่ฐานของสถูป จะเห็น ดวงตาเห็นธรรม ของพระพุทธเจ้า Wisdom Eyes ที่ฐานทั้ง 4 ทิศ ซึ่งถ้าเราเป็นชาวพุทธก็ต้องไปอธิฐานจิต อย่าพลาดละครับ ที่รอบฐานก็ยังมีกงล้ออธิฐานให้หมุนด้วย



เสร็จแล้ว ก็จับแท๊กซี่ บึ่งไปต่อ จุดหมายคือ สถูปโพธินาถ ซึ่งจะเป็นสถูปที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล ก็เป็นอีกหนึ่งมรดกโลก ล้อมรอบไปด้วย ชุมชนชาวทิเบต บริเวณนี้ จึงถูกเรียกว่าเป็น Little Tibet

สามสาว ไม่ได้ยลตามช่องประตูแต่อย่างใด แต่เป็นวิธีสักการะปฏิบัติของคนแถวนั้น เค้าสักการะกันอย่างไร เราก็ต้องปฏิบัติตาม ชิมิ



ต่อไปก็ไปดูพิธีที่สำคัญที่สุดพิธีนึงของชาวเนปาล ที่วัดปศุปฏินาถ ตามความเชื่อ เมื่อมีผู้เสียชีวิต จะต้องดำเนินพิธีศพภายใน 3 ชั่วโมง วัดแห่งนี้ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำพัคมาตี ซึ่งก็จะถือว่าศักดิสิทธิ์เหมือน แม่น้ำคงคา ในอินเดีย เพราะในที่สุดก็จะไหลไปรวมกับแม่น้ำคงคาทางใต้ลงไป

ด้วยเหตุนี้พิธีศพ จะมีตลอดทั้งวันทั้งคืน ศพจะถูกนำมาทำพิธีที่ริมแม่น้ำ หลังจากเผาแล้วขี้เถ้าต่างๆ ก็จะถูกเทลงแม่น้ำให้ไหลไป



วัดแห่งนี้ จะมีโยคี อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และแล้วเราก็ได้เจอตัวแบบใกล้ชิด ตอนเดินชมวัด เหล่าโยคี จะมาพร้อมแป้งสีแดง สำหรับแต้มหน้าผาก พร้อมกับด้ายสี อวยพรให้ อายุยืน สุขภาพแข็งแรง ฯลฯ ...

ปิดท้ายด้วยคำว่า "US$10" โดนแต้มหน้าผากผูกผ้า กันทั้ง 4 คน ซะด้วย

เจอมุกนี้เข้า สาว G เจ้าของกระเป๋าเงินรวม ก็เลยจำใจเปิดกระเป๋าตังค์ ควักไปให้ 100 รูปี --ตีเป็นเงินไทย 40 บาท-- บอก "For All" เหล่าโยคี เจอมุกนี้เข้าไป ถึงกับจุก 555



หลังจากนั้น ก็นั่งแท๊กซี่กลับเมือง เตรียมตัวย้ายเมืองไป เมืองโพคลา ในวันรุ่งขึ้น
จบภาคต้นเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ แล้วจะมาเล่าให้ฟังต่อ ขอบคุณครับที่แวะมาชมกัน




 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2555 15:06:37 น.
Counter : 1147 Pageviews.  

สงกรานต์ 50 : ท่องแดนภารตะ : ภาค 3 เหินฟ้าสู่ ศรีนาคา ดินแดนแคชเมียร์

หลังจากใช้ชีวิต อยู่ที่ เดลี-อัครา มา 2 วัน วันนี้ก็เป็นวันที่เราจะบินลัดฟ้าสู่ เมืองศรีนาคา เมืองหลวงฤดูร้อนของ แคว้นจามู-แคชเมียร์ กันซะที
เมืองศรีนาคา เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขาแคชเมียร์ ที่ระดับความสูง 1,730 เมตร
เราบินออกจาก สนามบินภายในประเทศเมืองเดลี ตอนเที่ยง ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึงเมือง จามู เครื่องก็จอดถ่ายผู้โดยสารประมาณ ครึ่งชั่วโมง แล้วก็ออกบินต่ออีกประมาณ ครึ่งชั่วโมง ก็ถึงสนามบินศรีนาคา เมืองถูกโอบล้อมไปด้วยหุบเขาหิมะ

เราก็ได้พบกับไกด์ท้องถิ่นประจำ แคชเมียร์ นั่นก็คือ Mr.ยาซิม มารับคณะเราพร้อมด้วยรถ 4 คัน ไปยัง เรือบ้าน สุดหรู ริมทะเลสาบ DAL
ระหว่างทางจากสนามบิน พอผ่านส่วนที่เป็นแม่น้ำ-ทะเลสาบ ก็จะเริ่มเห็น เรือบ้าน เรียงรายอยู่ตลอดทาง

ความเป็นมาของ เรือบ้านทะเลสาบดาล ก็มาจาก ในสมัยที่อังกฤษยึดอินเดียได้แล้ว ก็พยายามแผ่อิธิพลขึ้นมาทางเหนือ ซึ่งขณะนั้น แคว้นแคชเมียร์ ยังเป็นรัฐอิสระอยู่ และทางแคชเมียร์ มีกฏหมายที่เข้มแข็งมาก ที่จะไม่อนุญาติให้คนต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ซึ่งกฎหมายนี้ก็ยังคงมีและใช้อยู่ จนถึงปัจจุบัน
ทำให้ คนอังกฤษ ต้องต่อบ้านเรือขึ้นมา โดยที่มีห้องต่างๆ เหมือนกับบ้านบนพื้นดิน ไม่ว่าจะเป็น ห้องนอน, ห้องน้ำ, ห้องครัว, ห้องทานข้าว, ห้องนั่งเล่น, และ ดาดฟ้า-ระเบียงชมวิว

แต่ว่า เรือบ้านที่เราจะพัก ถ้าอยู่ริมถนน อย่างนี้ คงนอนกันไม่หลับแน่ เพราะการขับรถโดยบีบแตรนำของที่นี่ หนวกหูกว่าที่เดลี อีกไม่รู้กี่เท่า

รถขับเข้าซอยเล็ก ซอยน้อย แล้วก็มาโผล่ที่ บ้านเรือทะเลสาบ DAL ที่เงียบสงบ ห่างไกลจากถนน อย่างที่ต้องกาาร เราจะพักกันที่นี่ 4 คืนรวด ไม่ต้องเปลี่ยนที่พัก-ไม่ต้องจัดกระเป๋า

ทางเรือบ้านที่เราพัก ต้อนรับพวกเราด้วย การเลี้ยงน้ำชา-ของว่าง ที่กระโจมสนามหญ้า ริมทะเลสาบ

เริ่มจากการชง ชาพื้นเมือง ในกาน้ำร้อนโบร้าน-โบราณ ชงแล้วเทแจก ร้อนมั๊กมาก

ว่าแต่ สงสัยรึเปล่า ทำไมคนชงชา แต่ตัวยังกะป้อบอาย???

เฉลย - ก็เพราะว่า ที่บ้านเรือที่พักนี้ เรือแต่ละลำจะมีกับตันประจำเรือ ต้องใส่ชุดทหารเรือด้วยจะได้ขลัง เค้าจะคอยอำนวยความสะดวกทั้งหมดทุกอย่าง แขกที่มาพักต้องการอะไร ยกเว้นดาวกับเดือน ขอให้บอก แล้วจะได้เหมือนเนรมิต

บ้านเรือลำนึงจะมี 3 ห้องบ้าน 4 ห้องบ้าง จะต่อน้ำประปา กับ ไฟฟ้าจากฝั่งไปยังบ้านเรือ แต่ไฟฟ้าของที่แคชเมียร์นี้ ไม่ได้เปิดตลอดเวลา บางทีก็ตัดไฟเอาดื้อๆ ดังนั้น ทุกห้องจะมีไฟฟ้า 2 ชุด ชุดแรกจะเป็นไฟฟ้าของรัฐ ส่วนอีกชุดจะเป็นไฟปั่น จะเปิดตอนรัฐตัดไฟ ดังนั้น พวกเครื่องไฟฟ้าที่ต้องเสียบปลั๊ก เช่น กล้องถ่ายรูป กล้อง CAMCORDER ต้องวางแผนเวลาช๊าตแบตกันดีๆ

มีอยู่คืนนึง น้ำในห้องพัก ห้องนึงไม่ไหล เหล่ากับตัน ต้องเกณฑ์กันมาหาบน้ำให้แขก โอย! เหนื่อยแทน

ในรูป พ่อบ้านประจำเรือของเราคือ Mr.พาโร่ กำลังปิ้งขนมปังจากเตาถ่านให้อยู่ ยิ้มให้ที กล้องสั่นเลย อะอะ

กลับมาต่อกับการต้อนรับของเหล่ากับตัน
สิ่งที่เสริฟมาพร้อมกับ ชาพื้นเมืองที่ใส่อัลมอลล์ ก็จะเป็น แป้งอะไรไม่รู้ทอดเป็นก้อนๆ แต่เคี้ยวแล้วเหนียวๆ กรุบๆ เหมือนปาท่องโก๋แต่เนื้อแน่นกว่า กินพร้อมกับชาแล้วเข้ากันได้ดี

เรือบ้านส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรือเก่า อายุเป็นร้อยปี ตอนคนอังกฤษ ย้ายกลับประเทศ ก็จะขายให้คนพื้นเมือง เอามาเป็นที่อยู่อาศัย ริมน้ำ จนกระทั่งปัจจุบันได้ถูกจุดประกายให้เป็นจุดขาย สำหรับการท่องเที่ยวของ แคชเมียร์ไปเลย

โดยทั่วไป ห้องพักก็จะมี 2 เตียง อย่างที่ห้องจะเป็น 1 เตียงใหญ่ กับ 1 เตียงเล็ก มาพร้อมกับผ้าห่มหนามั๊ก เพราะอากาศที่นี่ตอนกลางคืนจะหนาว

ส่วนห้องอื่นๆ ด้านท้ายเรือ ก็จะเป็นห้องทานข้าว ห้องนั่งเล่น เรือบ้านแต่ละลำจะถูกตกแต่งไว้ ไม่เหมือนกัน แต่ก็จะเน้นการใช้ไม้แกะสลักลายของแคชเมียร์ หรูหราสมกับเป็นเรือผู้ดีอังกฤษ เหมาะแก่การนั่งจิบน้ำชา-อ่านหนังสือ

ปกติแล้ว บริเวณท้ายเรือจะเป็นที่นั่งเล่น รับลม และจะมีบันไดทอดลงไป เพื่อรอรับเหล่า ชิการ่า-พ่อค้าพื้นเมือง ที่พายเรือมาขายสินค้ามากมายหลายอย่าง

ทันทีที่พวกเราแยกย้ายกันเข้าเรือบ้าน พวก ชิการ่า ที่น่าจะมีญาณวิเศษสำหรับมองหานักท่องเที่ยว ก็เริ่มพายเรือกันมา

ชิการ่า ที่พายเรือมาขายสินค้าก็มีหลายต่อหลายอย่าง มีเรือขายดอกไม้-เมล็ดต้นไม้, เรือขายงาน เปเปอร์มาเช่, เรือขายเสื้อ-ถุงมือ, ฯลฯ

อย่างในรูป จะเป็น ชิการ่า เรือแท๊กซี่ สำหรับ บริการพานักท่องเที่ยวล่องไปใน ทะเลสาบ DAL ยิ่งไปกัน สองต่อสอง จะยิ่งโรแมนกะติก

ปล. แต่ถ้าไม่มีคนจ้าง พวกเค้าก็จะดำเนินชีวิตปกติของพวกเค้า จับปลากัน ซะงั้น

และก็จะมีเรืออีกประเภทนึง ที่นักท่องเที่ยวจะพลาดไม่ได้ เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม จะเป็นเรือถ่ายรูปพร้อมกับชุดท้องถิ่นประชำชาติแคชเมียร์

ใครสนใจก็เรียกเค้าขึ้นเรือมา เค้าก็จะนำชุดประจำชาติ กับเครื่องประดับพื้นเมืองต่างๆ เพื่อถ่ายรูปใส่ชุดประจำชาติ รูปขนาด 8"X10" ก็ 70 รูปี/รูป ถ่ายวันนี้ วันรุ่งขึ้นเค้าก็จะพายเรือเอารูปมาเก็บตังค์ เราก็ใช้บริการแปลงตัวเป็น มหาราชา-มหาราณี แห้งแคว้นแคชเมียร์ ถ่ายไป 2 รูป 140 รูปี แต่พอได้รูป
ป๊ะ ! ถ่ายเราซะหลุดโฟกัส ทั้งสองรูป อะอะ

หลังจากนั้นก็มาต่อตารางเที่ยวตามรายการ พอพวกเราได้พักล้างหน้า-ล้างตาสักพัก ใน เรือบ้านของแต่ละกลุ่ม เมื่อได้เวลา ไกด์ท้องถิ่นเราก็พาออกไปเที่ยวเลย

ที่แรกคือ สวนนิชาน เป็นสวนที่อยู่ริมฝั่งทะเลสาบ DAL มีภูเขาซาร์บาวาล อยู่เป็นฉากหลัง เป็นสวนที่จัดตามสไตย์โมกุล มีทางเดินขึ้นไป ชั้นบน รวม 4 ชั้น และมีการผันน้ำจากภูเขาให้กลายเป็นน้ำพุในสวน

สวนนี้ จะมีคนท้องถิ่นเข้ามาพรอดรักกันเยอะ เพราะสุดแสนจะโรแมนติก มองดูพระอาทิตย์ตกดิน

คนพื้นเมืองที่แคชเมียร์ จะตาคม หน้าขาวสวย ต่างจาก คนพื้นเมืองที่เดลี มาก
อย่างเด็กน่ารัก 3 คนนี้ กลายเป็น 3 ดาราให้คณะทัวร์ไทย รุมถ่ายรูปกันได้ไม่ยาก พวกเธอก็เขินซะ

ก็สงสารแต่คนอยู่ท้ายน้ำ ไม่รู้กำลังล้างหน้ากันอยู่รึเปล่า อะอะ

สิ่งที่ สวนนิชาน โดดเด่นอีกเรื่องก็คือ จะมีการลงดอกไม้นานาชนิดตามฤดูกาล มีดอกไม้แปลกๆ เยอะแยะ ส่วนใหญ่จะไม่รู้จัก ก็ถ่ายมาประดับ Blog ซะ

--แต่ตาไกด์ท้องถิ่น ยาซิม ดันพยายามชี้ให้ดู ทุ่งดอกหญ้า ซะตื่นเต้น ดอกหญ้าที่ประเทศเราก็มีเฟ้ย--

ออกจาก สวนนิชาน เราก็เดินทางต่อไปยัง มัสยิทขาว หรือ คนท้องถิ่นเรียกว่า ไวท์มอส ระหว่างทางไกด์เราก็จอดรถที่ตลาดท้องถิ่น ปล่อยให้พวกเราเดินจากตลาด ดูวิถีชีวิตของคนพื้นเมืองที่นี่ แล้วเดินลัดเลาะ ไปยังมัสยิทขาว ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบ DAL อีกด้าน

ตลาดท้องถิ่น มีของขายเยอะแยะ อัธยาศัยของคนพื้นเมืองที่นี่ ค่อนข้างดี เห็นเราเป็นนักท่องเที่ยว ก็แจกของให้ชิม-ให้กิน กันอร่อยไป โดยเฉพาะ แผ่นโรตียักษ์ห่อไส้ฟักทองต้ม รสชาติเค็มๆ มันๆ อร่อยดี

เราก็เดินชมตลาด จนกระทั่งถึง มัสยิทขาว หรือ ไวท์มอส มัสยิทแห่งนี้ ค่อนข้างสำคัญสำหรับ แคว้นแคชเมียร์มาก เพราะ มัสยิทแห่งนี้จะใหญ่ที่สุดในศรีนาคา นอกจากนั้นมัสยิทแห่งนี้ก็ยังเก็บเส้นผมของคนสำคัญของชาวมุสลิมท่านนึง ที่ชื่อ โมฮัมมัส
ทุกๆ ปี จะมีการนำเส้นผมของท่าน ออกมาสวดมนต์ พื้นที่ของมัสยิทแห่งนี้ในวันนั้น จะสามารถรองรับชาวมุสลิม ที่มาสวดได้ถึง แสนคน

พวกเราก็ได้มีโอกาสเข้าไปภายในมัสยิท แต่ภายในห้ามนำกล้องทุกชนิด เข้าไป และถ้าเป็นผู้หญิง ถ้าจะให้เหมาะสม ก็ควรใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด และถ้ามีผ้าคลุมผมด้วย จะดีมาก เมื่อเข้าสู่ภายในมัสยิท จะมีประตูชั้นในอีกบาน ซึ่งจะห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้า เหล่าผู้ชายก็เข้าไปได้ ภายในโดมกลางห้องก็จะเป็น ห้องที่ถูกเขียนด้วยตัวหนังสือใน คัมภีร์อัลกอลุอ่านรอบห้อง คงต้องให้คนมุสลิมอธิบายคงเห็นภาพได้เข้าใจชัดเจนขึ้น

กลับจาก มัสยิทขาว เราก็มาทานอาหารเย็นกันที่เต้นท์สนามหญ้าของ เรือบ้าน
แต่เนื่องจาก แคว้นแคชเมียร์ จะมีการตัดไฟของหลวงได้ตลอดเวลา จึงทำให้ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากนัก เช่น ทีวี
แต่ไกด์ไทยเราก็ดี ที่ออกความคิดให้ ทุกคืนจะมีเรือบ้านของกลุ่มเราเป็นเจ้าภาพ เลี้ยงอาหารว่างตอนค่ำ หมุนเวียนกันไปยังเรือแต่ละลำ

ซึ่งก็ดี ทำให้คนในคณะเราได้ออกมานั่งคุย-แลกภาพถ่ายกันดู สร้างความสนิทสนมกัน ดีกว่าปล่อยให้ต่างคนต่าง เข้านอน ห้องใครห้องมัน

**
จบการเดินทางสู่ แคว้นแคชเมียร์
ภาคต่อไป ได้ไปเที่ยวแบบเต็มๆ วัน ซักที
**




 

Create Date : 23 เมษายน 2550    
Last Update : 20 พฤษภาคม 2550 14:04:22 น.
Counter : 1589 Pageviews.  

สงกรานต์ 50 : ท่องแดนภารตะ : ภาค 2 ป้อมอัครา-ปราการสีแดง (มรดกโลก)

จาก Blog :- สงกรานต์ 50 : ท่องแดนภารตะ : ภาค 1 ทัชมาฮาล-อนุสรณ์รักนี้ชั่วนิรันดร
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=nongpladao&group=5&date=21-04-2007&gblog=1

เราได้ทิ้งท้ายถึงเหตุการณ์ที่ กษัตริย์ซาจาร์ฮาล ทรงดำริที่จะสร้าง แบล๊คมาฮาล เคียงคู่กับ ทัชมาฮาล จนถูกพระราชโอรสเข้ายึดอำนาจ และจับกษัตริย์ซาร์ฮาล ไปคุมขังยัง ป้อมอัครา (AGRA FORT)

จาก ทัชมาฮาล เราก็ออกเดินทางต่อ เราก็ขึ้นรถบัสมุ่งหน้าไปสู่ ป้อมอัครา ระยะทางห่างกันประมาณ 3 กม. เป็นพระราชวังหินทรายแดงที่ยิ่งใหญ่ เริ่มสร้างในสมัยกษัตริย์อัคบาร์มหาราช ในศตวรรตที่ 16 โดยใช้เวลาสร้างเกือบ หนึ่งร้อยปี กินเวลาถึง 4 ชั่วอายุกษัตริย์ เป็นพระราชวังที่มีกำแพงสูงจำนวน 2 ชั้น โดยใช้กำแพงพระราชวังเป็นกำแพงป้อมไปในตัว มีทางเข้า 4 ทิศ

ปัจจุบัน ป้อมอัครา แห่งนี้ก็ถูกขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลก เคียงคู่กับ ทัชมาฮาล

เมื่อลงจากรถบัส หน้าที่ของเราก็คือ ฝ่าฝูงชนคนพื้นเมืองให้ผ่านรั้วไม้หน้าป้อมข้างหน้านี้ให้ได้ เพราะทันทีที่ประตูรถเปิด คนขายของก็จะกรูกันเข้ามายังกะฝูงผึ้ง ไม่ว่าจะตอบว่า "NO NO NO" อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงตามตื้ออยู่
ตอนหลังก็เลยวางเฉยซะ เดินหน้าอย่างเดียว

หลังจากผ่านประตูพระราชวังด้านนอก ก็จะเป็นทางลาดมุ่งหน้าสู่เขตพระราชวังชั้นใน ทั้งคนพื้นเมือง-นักท่องเที่ยว เดินกันขวักไขว่ ที่แห่งนี้ ก็เลยได้เจอกับ คณะทัวร์จากเมืองไทยอีกกลุ่ม

เมื่อขึ้นถึงด้านบน ก็จะพบ กับ พระราชวัง, มัสยิท, สวนดอกไม้, สนาม, อาคารทางเดินโดยรอบ โดยหลักแล้วก็จะเป็นหินทรายแดง
อาคารด้านขวามือ ก็จะเป็นพระราชวัง และเป็นที่ออกว่าราชการของกษัตริย์ด้วย

เมื่อกษัตริย์ออกว่าราชการ จะทรงอยู่ในช่องกลาง เพื่อพิจารณาเหตุการณ์บ้านเมือง ส่วนพระราชินี ถ้าจะทรงรับฟังด้วย ก็จะทรงประทับอยู่ในช่องหน้าต่าง ซ้าย-ขวา และจะมีม่านปิด เนื่องด้วยข้อปฏิบัติทางศาสนาของผู้หญิงมุสลิม

เนื่องจากในสมัยก่อน ยังไม่มีเครื่องขยายเสียง การออกแบบห้องโถงจึงออกแบบให้สูง-โล่ง เวลาพูดเสียงจะสะท้อนทำให้เสียงก้องดังขึ้น

เมื่อเดินผ่านเข้าประตูสู่พระราชวังชั้นใน ก็จะพบสนามหญ้าใหญ่ สนามแห่งนี้ก็จะถูกใช้ทำกิจกรรมต่างๆ ในพระราชวัง รวมทั้ง เปิดเป็นตลาดนัดขายสินค้าของพ่อค้านอกวัง สำหรับเหล่านางสนม-นางกำนัล ในวังอีกด้วย

จากในพระราชวัง ก็จะมองเห็น ทัชมาฮาล ตั้งเด่นเป็นสง่าริมแม่น้ำยุมนา

เนื่องจาก พระราชวังแห่งนี้ ออกแบบมาให้ใช้ กำแพงวังเป็นกำแพงป้อมด้วย จึงสร้างให้อยู่สูงขึ้นมาจากพื้นดินมาก และคูน้ำที่ล้อมรอบพระราชวัง ก็จะปล่อยสัตว์น้ำดุร้ายต่างๆ เช่น จรเข้ ส่วนพื้นที่รอบตัวพระราชวัง ก็ปล่อยสัตว์บกดุร้ายไว้เช่นกัน เช่น เสือ-สิงโต เป็นยามรักษาวังธรรมชาติ

ขณะที่กษัตริย์ซาจาร์ฮาล ถูกคุมขังอยู่ ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างค่อนข้างอิสระใน ป้อมอัครา โดยมี พระธิดา 2 พระองค์ คอยสับเปลี่ยนกันมาดูแล

แต่ทุกครั้งที่มองออกไปนอกหน้าต่าง พระองค์ก็ทรงเห็น ทัชมาฮาล ที่ซึ่งเก็บร่างของพระมเหสีมุมตัส มาฮาล ที่พระองค์ทรงมั่นคงในรักเพียงพระองค์เดียว อยู่ทุกครั้งไป
ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ปวดใจ มิใช่น้อย

หลังจากทรงถูกคุมขังอยู่ในป้อมอัครานาน 8 ปี พระองค์ก็ทรงสิ้นพระชมน์ โดยที่ในมือพระองค์ทรงถือกระจกเงา สะท้อนภาพของ ทัชมาฮาล ที่ซึ่งร่างของมเหสีสุดที่รักทรงประทับอยู่ คงเรียกได้ว่า พระองค์ทรงสวรรคตพร้อมกับภาพของ ทัชมาฮาล

ภายหลัง พระศพของ กษัตร์ติซาจาร์ฮาล ก็ถูกนำไปไว้ร่วมกับพระศพ มเหสีมุมตัส มาฮาล แล้วก็อยู่เคียงข้างกันตลอดไป ที่ ทัชมาฮาล

ด้วยเหตุนี้ ก็ไม่แปลกที่ชื่อของผู้หญิงชาวอินเดีย จะชื่อ มุมตัส กันเยอะมาก

**
หลังจากเที่ยวป้อมอัคราเสร็จแล้ว ก็มุ่งหน้ากลับสู่เมืองเดลี

ภาคต่อไป เป็นการมุ่งหน้าจาก เดลี สู่เมือง ศรีนาคา ดินแดนแคชเมียร์
**




 

Create Date : 21 เมษายน 2550    
Last Update : 20 พฤษภาคม 2550 14:04:52 น.
Counter : 1236 Pageviews.  

1  2  

น้องปลาดาว
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 76 คน [?]




อย่าลืมตามไปเจอกันใน Web Pladaodesign.com

สินค้า ของสะสม แมคโดนัลด์ McDonald คลิ๊กเลยจร้า

mcdonald

กระดาษ แน๊พกิ้นสำหรับงานเดคูพาจ Decoupage

แน๊พกิ้น

ชิ้นงานดิบ ไม้-วัสดุสาน สำหรับงานเดคูพาจ Decoupage

แน๊พกิ้น



สำหรับ Fan FB อย่าลืมแอดเป็นเพื่อนกัน จะได้ไม่พลาดข่าวสารกันละค่ะ

Follow pladaodesign on Twitter

Friends' blogs
[Add น้องปลาดาว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.