เทคนิคการทำสีกำแพงภายใน ให้เลิศหรู เกินหน้าเพื่อนบ้านด้วยตัวเอง
ปกติแล้ว สีกำแพงภายในบ้าน มักจะมีสีพื้นๆ เรียบๆ ดังนั้น ถ้าเพื่อนๆ ท่านใด อยากทำสีกำแพงให้ดูเด่น ดูดี จากสีกำแพงปกติ เราก็มีวิธีหลากหลาย ที่จะช่วยให้ความคิดในการตกแต่งกำแพงของเพื่อนๆ ทุกท่าน เป็นจริงขึ้นมาจากหนังสือ Decorating 1-2-3 มีเทคนิคต่างๆ ในการทำสีกำแพง โดยขั้นตอนนี้ จะเป็นกระบวนการหลังจาก ที่เราทำการซ่อมแซมรูร้าว รอยแตกของกำแพง และ ทาสีด้วย แปรงทาสี หรือ ลูกกลิ้ง เรียบร้อยแล้ว วิธีการ จะมี เทคนิคต่างๆ สิบกว่า เทคนิค แต่ละเทคนิคก็จะมีวิธีทำเบื้องต้นข้างล่างเทคนิคที่ 1 : Sponging Onเทคนิคนี้ จะเป็นการใช้ฟองน้ำสร้างมิติของกำแพง โดยทั่วไปจะใช้ ฟองน้ำจากทะเล เพราะจะมีลายในตัวสวยกว่า ฟองน้ำบ้านปกติ หลังจากที่ทำการทาสีกำแพงเรียบร้อยแล้ว ก็ทำการผสมสีขึ้นมาอีกชุด อาจจะกลมกลืน หรือ แตกต่าง กันก็แล้วแต่ความชอบ แล้วใช้ฟองน้ำจุ่มสี เริ่มละเลงได้ วิธีนี้ จะทำให้สีที่กดไปใหม่ มีสีแตกต่างกับพื้นสีเดิม--- ผลงาน : เมื่อทำสีเสร็จ ตัวกำแพงจะมีสี 2 มิติ โดยมี สีจากฟองน้ำ ลอยขึ้นมาจากสีกำแพงเดิมเทคนิคที่ 2 : Sponging Offเทคนิคนี้ จะเป็นการทำตรงข้ามกับวิธีที่ 1 โดยหลังจากทาสีกำแพงแล้ว ก็ใช้ฟองน้ำกดสีในขณะที่ตัวสียังไม่แห้ง ตัวฟองน้ำ จะดูดสี บางส่วนตามรอยของฟองน้ำขึ้นมา ซึ่งวิธีนี้ จะต้องทำการซับสีตัวฟองน้ำ เป็นระยะๆ วิธีนี้ จะทำให้ตัวสีเดิม จางลง--- ผลงาน : เมื่อทำสีด้วยวิธีนี้เสร็จ ตัวกำแพงจะมีมิติที่ลึกเข้าไปในกำแพงเทคนิคที่ 3 : Ragging Offเทคนิคนี้ จะใช้อุปกรณ์ ทั้งแปรง, ลูกกลิ้ง, และ ม้วนผ้า โดยที่จะสร้างพื้นกำแพงเราให้เป็นเหมือน รอยยับของเสื้อเชิ๊ต แรกสุดก็ทาสีกำแพงด้วยวิธีปกติจนเสร็จไป 1 รอบ รอจนแห้ง หลังจากนั้น ก็ผสมสีชุดที่ 2 จะเป็นสีกลมกลืน หรือ แตกต่างกันก็ได้ แล้วใช้แปรงทาสีเริ่มทาสีจากมุมด้านหนึ่ง แล้วใช้ลูกกลิ้ง กลิ้งสีจากรอยสีของแปรง ออกไปด้านข้าง หลังจากนั้น ก็ใช้ม้วนผ้าขดเป็นเกลียว กลิ้งตามสีที่เพิ่งใช้ลูกกลิ้งโดยวิธีนี้ จะทำได้เป็นช่วงๆ กว้างช่วงละไม่เกิน 2 ฟุต-- ผลงาน : เมื่อสีแห้ง จะทำให้ตัวกำแพง เหมือนกับตัวเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้รีด สวยไปอีกแบบเทคนิคที่ 4 : Ragging Onเทคนิคนี้ ก็จะตรงข้ามกับ เทคนิคที่ 3 โดยหลังจากทาสีกำแพงเรียบร้อย และรอจนแห้งแล้ว เราก็ทำการผสมสีขึ้นมาอีกชุด แล้วใช้วัสดุต่างๆ อย่างเช่น ผ้าขนหนู, เสื้อเก่าๆ ไปพันไว้ กับตัวลูกกลิ้ง รัดให้แน่น แล้วทำการกลิ้งทับ--ผลงาน : เมื่อสีแห้งแล้ว ตัวลายสีชั้นที่ 2 จะเป็นลวดลายแปลกๆ ขึ้นอยู่กับวัสดุที่เราใช้พันลูกกลิ้งเทคนิคที่ 5 : Color washเทคนิคนี้ จะเป็นการทำสีกำแพงให้มีความนุ่มนวล เหมือนกำแพงเป็นผืนผ้าชิ้นใหญ่ วิธีนี้จะเริ่มจากทาสีรอบแรกรอจนแห้งเรียบร้อยแล้ว ก็ทำการผสมสีโทนเดิมกับสีเคลือบเงาในอัตราส่วน สีหนึ่งส่วน สีเคลือบเงา 4 ส่วน แล้วใช้ฟองน้ำป้ายให้ทั่ว จะเป็นลวดลายวงกลม หรือ ลวดลายไม่เจาะจง ก็ได้ หลังจากนั้นก็ใช้แปรงเปล่า ปาดรอยต่างๆ ให้กลืนกัน และคอยทำความสะอาดแปรงด้วย-- ผลงาน : เมื่อแห้ง สีบนกำแพงก็จะมีรอยเข้ม-จาง ตามปริมาณสีที่ติด เหมือนกับ ผืนผ้าผืนใหญ่บนกำแพง ถ้ายังไม่พอใจ เราก็สามารถทำสีเป็นรอบที่ 3 ได้เทคนิคที่ 6 : Draggingเทคนิคนี้ แนะนำให้ใช้ 2 คนในการทำงาน โดยคนแรกจะทำการกลิ้งลูกกลิ้งสี ตามกำแพง ในขณะเดียวกัน คนที่สอง จะทำการใช้แปรงปาดรอยลูกกลิ้งสีให้เป็นเส้นในขณะที่ตัวสียังเปียกอยู่ ตามแนวตั้ง หรือแนวขวาง แล้วแต่ชอบ โดยที่จะซับตัวแปรงเป็นระยะ-- ผลงาน : เมื่อสีแห้ง รอยแปรงที่เราปาดไว้ มันจะแห้งและลากยาวเป็นเส้น ซึ่งเรายังสามารถใส่เทคนิคลากแปรงทั้งแนวตั้ง และต่อด้วนแนวนอน ทันที ลายกำแพงที่ออกมาจะเป็นตารางเหมือนลายผ้าลินินเทคนิคที่ 7 : Combingเทคนิคนี้ จะทำสีกำแพงให้เป็นเหมือนเส้นลายเหมือนใช้หวีขนาดใหญ่ กวาดไว้ เทคนิคนี้จะต้องใช้ แปรงหวี ซึ่งอาจจะหาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์สีทั่วไป หรือจะทำเองก็ได้ โดยตัดกระดาษแข็งให้เป็นร่อง คล้ายลายกำแพงเมืองจีน หลังจากนั้น ก็เริ่มทาสีหรือกลิ้งสีบนกำแพง แล้วใช้ตัวแปรงหวีกวาดลวดลาย ตามใจชอบ ซึ่งก็ต้องทำความสะอาดตัวแปรงหวีเป็นระยะๆเทคนิคที่ 8 : Stipplingเทคนิคนี้ จำเป็นต้องใช้แปรงพิเศษโดยเฉพาะ ซึ่งอาจไม่มีขายตามร้านในเมืองไทยมากนัก โดยแปรงพิเศษนี้ จะมีลักษณะนุ่ม และมีคุณสมบัติในการดูดสี โดยจะเริ่มจากการกลิ้งสีพื้นกำแพงรอบแรก รอจนแห้ง แล้วจึงเริ่มกลิ้งสีรอบที่สอง หลังจากนั้นก็ใช้แปรงพิเศษนี้ กดลงที่ตำแหน่งต่างๆ บนกำแพงตัวสีจะถูกดูดขึ้นแปรง ทำให้เกิดเป็นลวดลายเฉพาะ เหมือนลายขนแมวบนรถเทคนิคที่ 9 : Faux Marblingเทคนิคนี้ จะเป็นการสร้างลายหินอ่อน บนกำแพง อุปกรณ์ที่ต้องหาเพิ่ม ก็คือแผ่นพลาสติกขนาดเหมาะกับกำแพงของเรา โดยทั่วไป จะทำสีเป็นกรอบขนาดพอเหมาะ มากกว่าที่จะทำบนกำแพงทั้งหมด เริ่มจากการทำสีพื้น ในตัวอย่างคือสีเขียว รอจนแห้ง หลังจากนั้น กลิ้งสีที่จะเป็นสีพื้นของลายหินอ่อน ในกรณีนี้จะเป็นสีดำ หลังจากนั้น เราก็จะทำการผสมสีพื้นสีเขียวผสมสีเคลือบเงา กลิ้งทับสีพื้นดำให้ทั่วหลังจากนั้น เราก็ใช้แผ่นพลาสติกสะอาดปิดทับพื้นที่ที่เราทาสีไว้ กดให้ทั่ว แล้วลอกแผ่นพลาสติกออก เราก็ใช้สีขาววาดเป็นเส้น แล้วเคลือบด้วยสีเคลือบเงาอีกครั้ง เราก็จะได้ลายพื้นหินอ่อน บนกำแพงเทคนิคที่ 10 : Faux Leatherเทคนิคนี้ จะเป็นการสร้างลายกำแพงให้เหมือน ลายหนังแท้ เหมาะแก่ พื้นที่ที่ต้องการสร้างความอบอุ่น เช่น ห้องส่วนกลางในบ้าน หรือ Home officeเริ่มจากการทำสีพื้นเรียบร้อยแล้ว เราก็ผสมสีที่ต้องการ กับสีเคลือบเงา ในตัวอย่างคือสีน้ำตาลเข้ม ทำการกลิ้งสีแล้วใช้แผ่นพลาสติกสะอาดปิดทับ แล้วลอกออกเทคนิคที่ 11 : Southwestern Texturingเทคนิคนี้ จะเปลี่ยนผนังห้องของเราให้ เป็นเหมือนห้องแถบตะวันตกเฉียงใต้ ของ USA จะเป็นผนังสีกึ่งๆ หยาบๆ แบบทะเลทรายเริ่มจากทำสีพื้นเรียบร้อยแล้ว ก็ทำการผสมปูนกับสี แต่ในหนังสือบอกว่า เป็น Professional plasters ซึ่งไม่รู้ว่าจะเหมือนกับปูนชนิดใดในเมืองไทย แล้วฉาบทับไปบนกำแพง งานที่ออกมาก็คงเป็นเหมือนกำแพงปูนดิบ แต่ในหนังสือ เค้า recommend ให้ทำงาน 5 คน 1 คนผสมปูน อีก 4 คนฉาบเทคนิคที่ 12 : Stenciling a Wallเทคนิคนี้ จะเป็นการ พ่นสีตามช่องที่เราสร้างไว้ โดยเริ่มจากนำ แผ่นพลาสติก มาแกะเป็นช่อง ลวดลายที่ต้องการ หลังจากนั้น ก็เริ่มวางแนว แล้วพ่นด้วยสีสเปรย์ หรือ แปรง-พู่กันทาสี ผ่านตัวแบบพลาสติก ตัวสีสเปรย์ก็จะติดเป็นรูปของ ลวดลาย ที่เราออกแบบไว้ผลงาน ที่ออกมาก็จะเป็นลวดลาย ตามชนิดของสีที่ใช้ เช่นถ้าใช้สีพ่น งานก็จะออกมาเรียบ แต่ถ้าใช้แปรง หรือพู่กัน งานที่ออกมาจะมีน้ำหนัก หนัก-เบาเทคนิคที่ 13 : Stampingเทคนิคนี้ จะเหมาะแก่ห้องที่ต้องการความสนุกสนาน เช่นห้องนอนเด็ก จะเป็นการแกะลายแม่พิมพ์บนแผ่นยาง หรือฟองน้ำ แล้วใช้ลูกกลิ้งๆ สี ไปบนแผ่นยางแม่พิมพ์ แล้วปั้มลงบนกำแพง อาจจะปั้มกันหลายๆ ชั้นได้ เพื่อให้เกิดมิติจบแล้ว สำหรับ 13 เทคนิคง่ายๆ ที่เราสามารถนำมาปรับใช้กับห้องต่างๆ ที่บ้านเราได้แต่ละเทคนิค จะมีรายละเอียดปลีกย่อยพอควร เราอาจลองทำกับพื้นที่เล็กๆ ก่อน จะได้เห็นผลงานว่า ถูกใจเราหรือไม่ ถ้าถูกใจก็ลงงานจริง จะได้สีกำแพงที่ถูกใจเราที่สุด
คู่มือเฉลยเตรียมสอบ D.I.Y. สำหรับมือใหม่ โดย ติวเตอร์ปลาดาวติดหนวด
D.I.Y. หรือจะเรียกว่า "รายการทำเองก็ได้ ไม่ต้องเสียตังค์" หรือ "ทำอะไรก็ได้ ถูกใจจัง" โดยทั่วไป จะหมายถึง การทำอะไรสักอย่างขึ้นมา ให้เป็นรูปเป็นร่าง จับต้อง-ใช้งานได้ โดยที่ผู้ทำไม่ใช่ช่างมืออาชีพ (ใครมี คำนิยาม D.I.Y. เด็ดๆ เพิ่มเติมก็มาเพิ่มกันได้)ดังนั้น คำแนะนำเบื้องต้น สำหรับ ผู้ที่จะเตรียมสอบเป็น D.I.Y. มือใหม่ สำหรับเราคิดออกตอนนี้ ควรมีอุปกรณ์พื้นฐาน ดังนี้บทที่ 1 --- ถุงมือข้อแรกสุด การทำงานของ D.I.Y. มือใหม่ คือ การที่เราต้องไป จับ-ใช้ เครื่องมือต่างๆ ที่เราคุ้นเคยแล้ว หรือยังไม่คุ้นเคยก็ตาม ดังนั้น มือทั้งคู่ ของเรา ควรได้รับการปกป้องเบื้องต้น ด้วย "ถุงมือ"1.1 ถุงมือหนัง -- มักจะใช้ เมื่อทำงาน กับพวกของมีคม ต่างๆ รวมทั้ง การหยิบการยกของ เพื่อปกป้องมือของเราจากการบาดเจ็บ แต่ถุงมือหนังก็ไม่ใช่จะป้องกันเครื่องมือรอบจัดบางอย่างได้ อย่างเช่น ลูกหมู ต้องระวังมากขึ้นเป็นพิเศษดังนั้น ถ้าจะให้ดี ควรเลือกถุงมือหนังกลับประจำตัวไว้สักคู่ เพราะเวลาสวมใส่ มือที่สวมไว้ด้านในของเราจะได้ไม่ระคายเคืองมาก ราคาก็เริ่มจากไม่ถึง สามสิบ จนเป็นหลักร้อย แนะนำให้ซื้อแค่ถูกๆ ก็พอ พอเริ่มใส่แล้วไม่สบายมือ ก็โยนทิ้งเปลี่ยนใหม่1.2 ถุงมือยาง -- เนื่องจาก ถุงมือหนังมักจะไม่กันน้ำ ดังนั้น เวลาทำงานกับพวกของเหลวที่เป็นอันตราย กัดมือ และมีกลิ่นฉุน เช่น ทินเนอร์ น้ำมันสน หรือพวกน้ำยาต่างๆ จึงควรมีถุงมือยาง พร้อมด้วย หน้ากากกรองอีกสักชุด1.3 ถุงมือผ้า -- ถุงมือผ้า เหมาะมากสำหรับงานเปื้อนๆ เช่น เช็ดถู หรือ งานต้นไม้ ถุงมือผ้าจะค่อนข้างถูก โหลละ 50 - 60 บาท ใช้จนเยินแล้วโยนทิ้งได้เลย ทำให้มือไม่ด้านก่อนกำหนด รับรองได้ บทที่ 2 --- ที่ครอบตาเมื่อเวลาใช้งานอุปกรณ์ ต่างๆ อาจมีเหตุไมคาดฝัน ระหว่างการใช้งาน ถ้ามีที่ครอบตาป้องกันไว้ซักนิด น่าจะดี ที่ครอบทตาโดยทั่วไป ก็จะมี ที่ครอบเหมือนแว่น กับ ที่ครอบแบบปิดหมด เวลาใช้งานมักจะเกิดฝ้าในแว่น เพราะเรื่องอุณหภูมิในร่างกาย อาจจะรำคาญบ้างบทที่ 3 -- เสื้อช่วยพยุงหลังเวลาที่ทำงาน ที่ต้องมีการยก-แบกสิ่งของมีน้ำหนัก เช่น แผ่นหินปูพื้น หรือ ถุงปูน-ถุงทราย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องยกให้ถูกต้องตามหลักกายวิภาค ให้หลังตรง เพราะถ้ามีการออกแรงยกผิดท่า อาจทำให้เราบาดเจ็บได้ เสื้อพยุงหลังนี้ จะเป็นเสื้อคาดเอว อาจออกแบบการใช้งานด้วยเทคนิคต่างๆ กัน แต่ตัวที่เราใช้อยู่ จะเป็นแบบมีเส้นพลาสติกแข็ง ดันทรงตัวเสื้อ อยู่รอบตัว ทำให้หลังตรงตลอดเวลา เดี๋ยวนี้ เมืองไทยก็มีขายทั่วไป ราคาถูกลงมากจากเมื่อก่อนพอควรบทที่ 4 -- เครื่องมือ และ จินตนาการคราวนี้ ก็ถึงสิ่งสำคัญที่สุด ก็คือการใช้เครื่องมือ ที่มีอยู่ หรือ พอหาเพิ่มได้ มา สร้างสิ่งที่เราคิด ให้ออกมามีตัวตน เวลาเลือกใช้เครื่องมือ ก็ต้องเลือกใช้ให้ถูกกับงาน จะได้ไม่เกิดอันตรายส่วนจินตนาการ เนี่ยะสำคัญพอควร เพราะ การสร้างสิ่งๆ หนึ่งจาก ความคิด ออกมาเป็นงานจับต้องได้ บางทีต้องอาศัย ปัจจับหลายๆ อย่าง หลักๆ อย่างหนึ่งก็คือ วิชาคณิตศาสตร์ เพราะต้องมีการวัดความกว้าง-ยาว-หนา การหักลบ ตัวแปรต่างๆโดยสรุป ความปลอดภัย ของร่างกายทุกส่วน เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ซึ่งก็รวมไปถึงความปลอดภัยในอนาคตด้วย เช่น หลัง ดังนั้น ถ้าหาอะไรมาป้องกันร่างกายจากการบาดเจ็บได้ ก็หามาเพิ่มได้เลยคร่าวๆ ก็คงนึกออกแค่นี้ ส่วนที่ต้องมีเพิ่ม ก็คงต้องให้เพื่อนติวเตอร์-สมาชิกท่านอื่น ช่วยนึกเพิ่มให้ด้วย ต่อข้างล่างได้เล๊ย จะได้เป็นข้อมูล สำหรับ เหล่า D.I.Y.มือใหม่ทุกท่าน จ้า
เครื่องมือช่าง : ปั้มลม กับอุปกรณ์ คู่มือสำคัญ สำหรับ ชาว DIY
ถ้าพูดถึง การทาสี เครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ของชาว DIY ก็คือ ปั้มลม กับชุดอุปกรณ์ เดี๋ยวนี้ ราคาอุปกรณ์ ต่างๆ ราคาถูกลงมาก โดยเฉพาะปั้มลม ก็มีแบบสายพาน กับแบบโรตารีอย่างปัจจุบัน ปั้มลมโรตารี ราคาเริ่มต้นแค่ 2 พันกว่าบาท สำหรับขนาดเล็กสุด แล้วราคาก็สูงขึ้นตามขนาดถัง และขนาดของเครื่อง อุปกรณ์เสริม หลักๆ ก็จะมี สายลมทนแรงดัน กับ หัวพ่นลม ซึ่งจะแยกไปตาม การใช้งาน -ถ้าเป็นการพ่นสี ก็จะใช้ กาพ่นสี ราคาก็จะประมาณ 3 ร้อยขึ้น-ถ้าเป็นการพ่นน้ำมัน ก็จะใช้ กาพ่นน้ำมัน ราคาก็ ร้อยกว่าบาท-ถ้าเป็นการเป่าลม หรือสูบลม ก็จะมีหัวเป่าลม ราคาจะเริ่มไม่ถึงร้อยสายลมทนแรงดัน ปกติแล้ว จะมีหลายอย่าง ถูกหน่อยก็จะเป็นแบบตัดตามความยาวที่ต้องการ แล้วจะเอามาใส่หัวเองปกติแล้ว เมื่อซื้อปั้มลมมาแล้ว อุปกรณ์มาตราฐานที่จะให้มาพร้อมกับตัวปั้ม จะเป็นหัวที่จะใช้สายลมสอดเข้า เหมือนท่อปล่อยลมด้านข้างในรูป แต่เพื่อความสะดวกในการใช้งาน แนะนำให้ซื้อหัว croper ใส่เพิ่มเหมือนท่อปล่อยลมด้านล่างในรูป จะใช้เพื่อความสะดวก ในการใส่-ถอดสายลม croper มีหลายแบบ ตามลักษณะการใช้งาน ราคาถูกๆ ก็เริ่มชุดละ 40 บาท ไปจนถึงหลักร้อยสำหรับการใช้งานในการพ่นสี หลังจากสวมอุปกรณ์ ปั้มลม-สายลม-กาพ่นสีแล้ว เราก็สามารถใช้พ่นสีได้ทั้ง สีสูตรน้ำ หรือ สีสูตรน้ำมัน เมื่อกดก้านพ่นสี ลมจะดันเนื้อสี ให้แตกเป็นละออง โดยจะมีปุ่มปรับปริมาณสีที่ต้วปืนพ่น ให้ไปติดที่ผิววัสดุที่ต้องการ จะสะดวกมากสำหรับผิววัสดุที่ไม่เรียบ ที่รูปเป็นการพ่นรอบแรกโดยทั่วไป เราต้องพ่นอย่างน้อย สองรอบ ถ้ารอบแรกเป็นแนวตั้ง รอบที่สองก็จะเป็นแนวขวาง สีก็จะพ่นออกมาคลุมพื้นที่ทุกจุดหลังการใช้ทุกครั้ง เราก็ต้องทำความสะอาด กาพ่นสี เพื่อไม่ให้มีคราบสีติดอยู่ ยิ่งภายในตัวปืนพ่นด้วยแล้ว เพราะมันอาจจะตันภายใน การล้างก็ใช้วัสดุทำละลายของสีที่เราใช้ในการล้าง อย่างถ้าเป็นสีสูตรน้ำ ก็ใช้น้ำล้าง เป็นต้นโดยทั่วไป เราจะถอดแค่หัวพ่น กับตัวเข็มดัน ก็พอ แต่ถ้าขยันก็ถอดส่วนที่สีเข้าไปติด ด้วยก็ได้ส่วนตัวปั้มลม หลังการใช้ ก็พยายามถ่ายน้ำในถังออกด้วย จะมีที่ปล่อยอยู่ด้านล่างของถัง เพราะลมที่อัดเข้าไป จะกลายเป็นน้ำส่วนหนึ่ง ถ้าไม่ถ่ายน้ำออก ถังก็จะเป็นสนิมหวังว่าคงเป็นประโยชน์ สำหรับ มือใหม่ DIY และเป็นข้อมูลในการพิจารณาหาเอามาติดบ้านไว้สักชุด
อย่าลืมตามไปเจอกันใน Web Pladaodesign.com
สินค้า ของสะสม แมคโดนัลด์ McDonald คลิ๊กเลยจร้า
กระดาษ แน๊พกิ้นสำหรับงานเดคูพาจ Decoupage
ชิ้นงานดิบ ไม้-วัสดุสาน สำหรับงานเดคูพาจ Decoupage
สำหรับ Fan FB อย่าลืมแอดเป็นเพื่อนกัน จะได้ไม่พลาดข่าวสารกันละค่ะ