|
คืนสงบวันเพ็ญ ฉันแลเห็นแสง
คืนนี้เป็นคืนธรรมดาคืนหนึ่ง หากมีอันใดพิเศษก็เห็นจะเป็นพระจันทร์ซึ่งกำลังลอยดวงกลมทอแสงสีเงินยวง ชาวบ้านร้านช่องต่างหอบหิ้วกระทงเล็กกระทงน้อยดุ่มเดินตามเงาดวงจันทร์ เพื่อลอยทุกข์โศกเคราะห์ร้ายไปตามสายนที และเด็กน้อยต่างพากันวิ่งเล่นกับพลุไฟในมือโดยมิได้เกรงกลัว หนุ่มสาวนั้นเล่าก็ยืนแอบเกี้ยวพาราสีกันตามมุมลับอับสายตา แต่ชายผู้หนึ่งกลับต้องเห่ไกวลูกน้อยวัยยี่สิบวันซึ่งกำลังร้องไห้จ้าเรียกหานมมารดา เขาเฝ้าขับกล่อมทารกจนหลับไหลไปในอ้อมกอด ชายผู้นั้นแนบทารกน้อยกับอกด้วยมือซ้าย และใช้มือข้างที่เหลือไล่พรมนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ด รวบรวมกำลังสมาธิเพื่อสานต่องานที่ยังค้างมือให้เสร็จสมบูรณ์ บางครั้งหากเคาะสเปซบาร์หนักหน่วงไป ทารกในอ้อมแขนจะบิดกายเล็กน้อยคล้ายจะเตือนว่า อย่าส่งเสียงรบกวน ฉันจะนอน นานวันแล้วสิที่สหายผู้นิยมการเขียนส่งเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งมาให้เขา ครั้งนั้นเขาเพียงชำเลืองมองผ่านในแวบแรกและมิบังเกิดความรู้สึกต้องการอ่านในทันที แต่คืนเพ็ญนี้แสงเดือนคงส่งผลต่อน้ำขึ้นน้ำลงในร่าง และสร้างแรงดึงดูดให้เขาพลิกแฟ้มในเครื่องคอมพิวเตอร์เปิดขึ้นอ่านอย่างละเอียดลออ สัปดาห์ก่อน สหายอีกผู้ได้ส่งเสียงสนทนามาตามคลื่นดาวเทียมไร้สายถึงเรื่องชีวิตแลการเปลี่ยนแปลงนานร่วมชั่วโมง หลังจากนั้นเพียงสองวัน สหายผู้นั้นมีภารกิจการงานต้องเดินทางมาทำถึงจังหวัดที่ชายผู้นั้นพำนักอยู่ สหายผู้เดินทางมาทำการงานจึงถือเอาโอกาสนั้นหยิบยืมพาหนะสองล้อติดเครื่องจากคนรู้จักที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองเลาะเลียบเส้นทางภูเขามาเพื่อเยี่ยมเยือนถามไถ่ เขาบึ่งมาถึงเคหะสถานในยามเย็น ทำนองว่าอยากมาดูใบหน้าทารกน้อย แต่ก็ดูเหมือนมีเรื่องราวเบื้องหลังซุกซ่อนอยู่ ซึ่งก็หาใช่อื่นใด เขาบอกกล่าวว่าช่วงนี้มีเรื่องให้คิดมาก ภาวะไม่ค่อยมีงานทำทำให้ฟุ้งซ่าน ชีวิตพบความผันแปร การงานคลับคล้ายอยู่ในขาลง ทั้งที่ไม่นานมามันดูจะไปได้สวย แล้วไหนยังแผลปวดแปลบกับการถูกทรยศหักหลัง ท่าทางเขาเซื่องซึม ทุกอย่างคงต้องเปลี่ยนแปลง มีขาขึ้นมีขาลงด้วยกันทั้งนั้น ตัวเราหรือใครก็ไม่มีเว้น คงได้แต่บอกกันไปเช่นนั้น ถึงวันนี้จะมีอะไรที่ไม่สวยงามบ้าง แต่นายก็รู้ใช่ไหมเราก็ได้แผ้วถางทางบุกเดินมากันบ้างแล้ว จำได้ไหมกับความฝันในวัยหนุ่ม บัดนี้เราได้เดินทางตามฝันนั้นมาได้ชั่วเวลาแล้ว จะดีหรือร้ายเราก็ควรจะภูมิใจ ยิ้มให้ตัวเองได้บ้างกระมัง เมื่อสหายผู้เซื่องซึมบ่นถึงเรื่องที่ตัวเขาคิดอยากเขียนบทภาพยนตร์หรืออื่นใดที่คลับคล้ายกันนั้น แต่กลับไม่ได้จดจารลงมือเลย อยากแต่เขียนไม่ได้หรือ นายคงไม่ได้อยากจริงกระมัง ถ้าอยากก็คงเขียนไปแล้ว บางทีอาจติดตรงว่านายไม่ได้เริ่มมันสักที ก่อนลาจาก ขายผุ้นั้นจึงได้แนะนำสหายผู้มาจากเมืองหลวงไปว่า ให้ลองเอาแนวความคิดที่มีเกี่ยวกับบทที่จะเขียนนั้นไปให้สหายผู้เขียนเรื่องสั้นสิ อาจจะมีบางสิ่งขยับเขยื้อนกระเตื้องขึ้นมาก็เป็นได้ ส่งผลให้ชายผู้กำลังอุ้มบุตรอยู่ต้องรีบอ่านเรื่องสั้นนั้นและเพิ่มเติมบางความคิดเห็นส่งกลับไปให้สหายผู้นิยมการเขียน ทำงานคลับคล้ายตำแหน่งบรรณาธิการ โดยที่เจ้าของเรื่องอาจไม่ต้องการก็เป็นได้ แต่ด้วยความหวังบางอย่างชายผู้อุ้มบุตรจึงตัดสินใจทำไปเช่นนั้น พร้อมทั้งยังแนบจดหมายปะหน้าไปว่า อยากให้ถ้าสหายผู้เขียนเรื่องสั้นมองหาทางจับมือสหายผู้ประสบกับขาลงสร้างบางสิ่งขึ้นมาได้ ถ้าเป็นดังนั้นได้จริงก็น่าจะก็น่าจะประเสริฐอยู่อักโข เพราะเมื่อชายคนนั้นได้อ่านเรื่องสั้นที่ส่งมาแล้ว เขาจึงคาดเดาไปเองว่า เจ้าของเรื่องคงอยากให้เขาทำอะไรอื่นนอกเหนือจากอ่านเล่นๆไปอย่างเดียว เขาจึงนั่งลงทำหน้าที่ของปิยมิตรด้วยความตั้งใจและปรารถนาดีเป็นอย่างยิ่ง ชายผู้นั้นมิได้เยินยอยกย่องสหายผู้เขียนเรื่องสั้นอย่างที่เขาคงได้รับอยู่เสมอ เขาคิดว่าการที่ทำอย่างนั้นไม่ได้มีประโยชน์อันใดเลยต่อมิตรผู้นี้ ดังนั้นสิ่งที่เขาทำคือการจ้วงแทงหากเห็นว่าข้ออ่อนที่พึงเสริมสร้างแก้ไขปรับปรุง เขาคิดว่าคมมีดของปิยมิตรมิอาจทำร้ายถึงชีพม้วยดอก กลับจะยิ่งเป็นการชี้แนะจุดบอดจุดใบ้เหมือนเป็นกระจกส่องให้แลเห็นมุมอับสายตา และยิ่งสหายผู้นั้นเรียกขานงานชิ้นนี้ว่า วรรณกรรม ชายผู้นั้นก็จักใช้มาตรฐานทางวรรณกรรมเอาเคี่ยวเข็ญเฉกเช่นกัน จุดไหนบ้างเล่าที่เขาเห็น ภาษาในนั้นถือได้ว่ามีดีอยู่ แต่มักพลาดการสะกดการันต์ สัณธานคำเชื่อม คำซ้ำ การบอกเล่าหลายครั้งไม่ชัดเจน บางครั้งเยิ่นเย้อยืดเยื้อ แต่บางหนกลับรวบรัดเกินไป หลายๆช่วงตอนความเป็นเหตุเป็นผลหลุดหาย ดำเนินเรื่องไม่ต่อเนื่อง เพราะมักพะวักพะวันอยู่กับมุกตลกและพยายามมากเกินไปกับสำบัดสำนวนซึ่งชุกชุมไปด้วยการผิดที่ทาง ชายผู้นั้นบอกเล่าไปว่า ปัจจุบันนี้ตัวเขาเองมักนิยมการให้ภาพชัดเจนแก่งานเขียน เรื่องภาษาพริ้งเพรานั้น พยายามลดทอนลง แต่นั่นก็แล้วแต่คุณ มันเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล สหายผู้เขียนเรื่องสั้นสร้างงานขึ้นจากข้อเท็จจริงในอดีตซึ่งมีชายผู้นั้นอยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่เขามิได้เสนอแนะข้อคิดเห็นในฐานะผู้ร่วมเหตุการณ์ หากในฐานะเป็นผู้อ่านคนหนึ่งซึ่งค่อนข้างจู้จี้ เขาเสนอให้เพิ่มน้ำหนักของตัวละครหนึ่งในตอนจบ ตัวละครนี้ค่อนข้างมีบทบาทต่อเรื่อง แต่กลับหายไปเสียเฉยๆอย่างนั้นเมื่อตั้งแต่กลางเรื่อง ชายผู้นั้นยังคงอุ้มทารกน้อยซึ่งหลับอยู่ในอ้อมแขนและเขียนต่อไปว่า เขาดีใจมากที่เห็นงานชิ้นนี้ออกมา และยังบอกอีกว่าหากสหายผู้เขียนเรื่องสั้นคิดจะเขียนบันทึกนี้เพียงเล่น ๆ อ่านกันในแวดวงคนรู้จักรู้ใจ ความเห็นที่เขาได้ส่งไปนั้นก็คงหามีประโยชน์อันใดไม่ เขาขอให้สหายผู้นั้นจงทิ้งมันไปและลืมเสีย แต่ถ้าไม่ใช่เล่า ถ้าสหายผู้เขียนเรื่องสั้นหวังจะสร้างงานให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ซึ่งชายผู้นั้นก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เขาขอให้สหายผู้นั้นลองอ่านทบทวนข้อคิดเห็นที่เราได้แทรกไว้ตามจุดต่างๆ ในร่างที่ชายผู้นั้นได้ส่งกลับไปให้ เขาได้คาดตัวสีแดงไว้ในจุดที่เห็นว่าควรปรับปรุงหรือตัดออก ทำตัวอักษรสีน้ำเงินไว้สำหรับความคิดเห็นของเขาเอง ฉบับที่ชายผู้นั้นได้อ่าน เขาพบว่าขาดวรรคตอนหรือย่อหน้าอันถูกต้อง เขาได้ทำวรรคตอนและขีดเส้นใต้สีแดงไว้ให้เห็นเด่นชัด ชายผู้นั้นบอกสหายของเขาต่อไปอีก สหายยังไม่ต้องเชื่อเราก็ได้ สหายอาจลองปรับแก้ดูหนึ่งฉบับ แล้วเอาฉบับดั้งเดิมไปเทียบเคียง หานักอ่านที่สหายเชื่อถือได้สักคน ไม่เอาคนที่เอาแต่เล่นเกมส์แช็ตกันกดเน็ทเป็นนิจนะ เอาคนที่อ่านวรรณกรรมจริงจัง เอาคนที่จริงใจต่อสหาย ให้คำที่เป็นจริง ไม่ป้อยอพกลม เราเห็นว่า แม่ของสหายนั้นเหมาะสมยิ่ง ท่านเป็นคนเก่งคนหนึ่ง ท่านอ่านเยอะ และท่านคงไม่ทำร้ายสหายด้วยคำเยินยอแน่นอน ชายผู้นั้นแนะนำให้สหายผู้เขียนเรื่องสั้นเอาทั้งสองฉบับไปให้คนกลางผู้นั้นอ่าน ทั้งฉบับดั้งเดิมที่ไม่แก้ไขสิ่งใด กับฉบับเรียบเรีงใหม่ตามที่เขาแนะนำ ขอให้ลองอ่านต่อเนื่องกันไปในคราวเดียว เสร็จแล้วจึงถามความเห็นของท่านผู้นั้นดู ชายผู้นั้นคิดว่าน่าสนใจ เขาบอกสหายไปว่า เราอาจได้ยินอะไรดีๆ ที่นึกไม่ถึงก็ได้ ชายผู้นั้นจบข้อความด้วยการบอกความตั้งใจของเขาที่ทีแรกอยากจะเขียนเป็นจดหมายถึง แต่เมื่อมีกิจธุระมากมายก็ขอผัดผ่อนการนั้นไปก่อน แล้วเตือนให้สหายผู้เขียนเรื่องสั้นอย่าลืมเรื่องบทภาพยนตร์หรืออะไรที่คลับคล้ายกันนั้นกับสหายผู้พบกับขาลง ชายผู้นั้นรู้มาก่อนว่าสหายผู้เขียนเรื่องสั้นจะเดินทางสัญจรยังประเทศลาว จึงบอกไปว่าให้ดำเนินการหลังจากกลับมาแล้วก็ไม่น่าจะล่าช้าเกินไป ชายผู้นั้นยิ้มกับทารกน้อยที่เพิ่งปรือตาลืมขึ้น ใบหน้าของทารกน้อยได้ช่วยแต้มเติมหัวใจเขาให้แช่มชื่น เขาหวังในใจว่า สหายทั้งสองนั้นคงแต้มเติมรอยยิ้มให้กันและกันซึ่งเขาถือเป็นการเยียวยาบาดแผลด้วยทางหนึ่ง
อื่นใดเล่าจะงดงามยิ่งกว่านี้
Create Date : 15 พฤศจิกายน 2551 | | |
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2551 9:56:10 น. |
Counter : 415 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ห้องเกสร
Das Blutenstaubzimmer โดย โซเอ เยนนี่ แปลเป็นไทยโดย กรกช อัตตวิรยะนุภาพ สำนักพิมพ์วงกลมจัดิมพ์เมื่อเดือนมีนาคม 2550 ราคาปก 160 บาท ไม่แน่ใจว่าต้นฉบับภาษาเยอรมันใช้ชื่อว่าอะไร แต่ชื่อภาษาไทยตั้งได้กระแทกประสาทตามาก ทำให้ต้องเอื้อมมือไปหยิบ และต้องจ่ายเงินให้กับร้านหนังสือซีเอ็ด สาขาแอร์พอร์ทพลาซ่าแต่โดยดี เป็นที่โปรดปรานมากเล่มหนึ่งในรอบปีครับ หน่วง นิ่ง แต่ดูเหมือนลึก ๆ ลงไปจะมีคลื่นใต้น้ำซ่อนตัว นักเขียนเก่งมาก (ทำไมนักเขียนต่างชาติมันเก่งกันตั้งแต่อายุน้อย ๆ - วะ) ช่วงแรกอ่านแล้วหยุดไปพักใหญ่ เพราะเผลอแวะอ่านของญี่ปุ่นอยู่น่ะครับ (ไว้ค่อยมาเล่าทีหลัง) กลับมาอ่านอีกรอบจนจบ มีบางอย่างในอากาศหนึบ ๆ คล้าย ๆ กับมินิมอลของญี่ปุ่น แต่หม่น หนัก อับกว่า รู้สึกคล้ายกับได้อ่าน แคชเชอร์ อิน เดอะ ราย อีกรอบเลยครับ แต่ครั้งนี้รู้สึกเพลิดเพลิน ซึมซับรสฝาดขมได้ปร่าลิ้นกว่า เล่มโน้นอ่านเมื่อแตกเนื้อหนุ่ม ก็บรรพกาลกาเลมาแล้ว ใครชอบงานนิ่งเนิบ พล็อตไม่เคลื่อนมาก (ลูกสาวของนักเขียนตกอับเดินทางมาหาแม่ยังอีกเมือง แฟนใหม่แม่ตาย เจ็บมาก แม่เตลิดไป เหลือลูกสาวผจญความเดียวดายตามลำพัง - ประมาณนั้น) อารมณ์ความรู้สึกอัดอั้นอึงอลล้นปรี่ เล่าเรื่องแบบคล้ายจะกระแสสำนึก แต่ก็ไม่ทั้งหมด สรุปว่า ดีมากครับ สมควรอ่านอย่างยิ่งยวดเชียว
Create Date : 16 กันยายน 2551 | | |
Last Update : 18 กันยายน 2551 17:40:21 น. |
Counter : 548 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Remains of the Day
ที่จริงตั้งใจจะเล่าถึงหนังสือที่ได้อ่านไปในแต่ละเดือน แต่จนแล้วจนรอดก็ได้แต่อ่านๆๆ ไปโดยไม่ได้เขียนเลยสักแอะ ประเดิมที่เล่มนี้ก่อนเลย Remains of the Day ในชื่อภาษาไทยว่า เถ้าถ่านแห่งวารวัน ของ คาสุโอะ อิชิงุโระ แปลโดย นาลันทา คุปต์ พิมพ์โดยแพรวสำนักพิมพ์ตั้งแต่ปี '49 ซื้อมานานแล้ว แต่เพิ่งอ่านคำสัมภาษณ์ของมูราคามิ ที่พูดชมหนังสือเล่มนี้ เลยไปรื้อจากชั้นมาอ่าน เราเคยดูหนังที่ทำจากหนังสือเล่มนี้เมื่อสิบสองปีก่อน (แอนโธนี่ ฮ็อปกินส์ และเอ็มม่า ธ็อมป์สัน-นำแสดง)จำได้ว่าชอบมาก และอ่านหนังสือก็ยิ่งชอบ สำนวนภาษาเจ๋ง ตัวละครลึกมาก ถ่ายทอด นำเสนอเรื่องราวได้หมดจดงดงาม เล่าเรื่องมองเห็นภาพชัดเจน และสะเทือนอารมณ์ เรื่องราวชีวิตของพ่อบ้านแห่งคฤหาสน์ดาร์ลิงตันฮอลล์ในชนบทของอังกฤษ ซึ่งมีท่านลอร์ดเจ้าของบ้านเป็นคนที่มีตำแหน่งทางสังคมการเมืองอันทรงอิทธิพลในยุคนั้น (สงครามโลกครั้งที่สอง) แต่นิยายนั้นเล่าด้วยกระแสสำนึกของตัวละครที่ได้ผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว มาเข้าสู่ยุคปัจจุบันที่มีเจ้าของบ้านเป็นเศรษฐีอเมริกัน (มีการเสียดเย้ยรสนิยมของคนอเมริกันในบางครั้ง) แม้ว่าตัวเอกของเรื่อง คุณสตีเวนส์ จะน่านับถือในเชิงการงาน ความสมบูรณ์แบบในหน้าที่และการวางตัว แต่เรา (ผู้อ่าน) ก็จะอดรำพึงถึงความเจ็บปวดข้างในที่คนผู้อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าพึงแบกรับไว้ไม่ได้ เขาจะมีความสุขหรือ ถ้าหากว่าสิ่งที่เขาเชื่อมั่น สิ่งที่เป็นชีวิต ตัวตนของเขากลับไม่เป็นดั่งที่เขาเชื่อ (หรือที่จริงเขาประจักษ์แจ้งแก่ใจอยู่นานแล้ว แต่กลับกล่าวถึงมันแบบสุภาพบุรุษชาวอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตำแหน่งพ่อบ้าน) ใครที่ไม่ชอบเรื่องราวย้อนยุค ภาษาแบบค่อนข้างเป็นทางการ เงียบขรึม อาจไม่ค่อยพึงใจ แต่ถ้าใครที่ชอบอ่านเรื่องราวความรักของคนที่ไม่ชอบแสดงออก ไม่พูด คนผู้ภาคภูมิในภาระหน้าที่แห่งตน อันจะนำมาซึ่งความจากพรากอันรวดร้าวเหลือแสน แต่เขาก็ยังสามารถนับถือตนเองได้ แม้ในภาวะที่ทุกอย่างสูญสลายไป หนังสือเล่มนี้น่าจะยังพอหาได้นะครับ ตอนนั้นผมได้มาจากร้านนายอินทร์ (จริงๆ ฝ่ายหญิงเขาเป็นคนซื้อแหละ) อ่านแล้วก็อยากไปหาหนังเรื่องนี้มาดูอีกสักรอบ เห็นแฟนเล่าว่าเคยมาฉายทาง UBC อยู่บ้าง แต่ผมยังไม่เคยเห็นเลยแฮะ
Create Date : 02 กันยายน 2551 | | |
Last Update : 2 กันยายน 2551 13:52:07 น. |
Counter : 1688 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
หมายิ้มอยู่เชียงใหม่ ชอบดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ดื่มและกิน เรามีสตูดิโอชื่อ หมายิ้มสตูดิโอซึง่มีสโลแกนว่า วิดีโอเพื่อสังคมใหม่ เราชอบทำงานสื่อสร้างสรรค์อย่างวิดีโอ หนัง สารคดี แล ดนตรีร่วมสมัย ชอบเห่าดังๆให้โลกฟังถึงเรื่องราวอันผิดรูปผิดรอย เพราะอยากให้คนทุกคนมีรอยยิ้มแบบเดียวกับหมา
|
|
|
|
|
|
|