PAPA YOU'RE CRAZY
Group Blog
 
All blogs
 

คืนสู่อิระวดี

คืนสู่อิระวดี
บทความพิเศษ


1. ปลายปี 2547 สามปีกว่าที่แล้ว
รถแท็กซี่อายุกลางคน เก่าแก่กว่าทั้งคนขับและเราทุกคนที่นั่งอยู่ พาพวกเราผ่านออกจากย่างกุ้งมุ่งตรงสู่ดินแดนอิระวดี แม้เสียงเครื่องยนต์สูงอายุจะกระหึ่มดังจนคนนั่งต้องสนทนากันด้วยเสียงตะโกน และประตูหลังทั้งสองบานจะยินยอมเปิดปิดก็ด้วยฝีมือของคนขับผู้รู้ใจเพียงคนเดียว มันก็ทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ สมกับที่มันเป็นสมบัติมีค่าชิ้นเดียวของเจ้าของ
คนขับชาวพม่าไม่ไถ่ถามว่าผู้มาเยือนจากเมืองไทยมาด้วยภารกิจอะไร เพื่อนชาวกะเหรี่ยงจากย่างกุ้งของเราเพียงแต่อธิบายว่า เราอยากเห็น “พม่า” และนั่นก็เพียงพอแล้ว
“อีกประมาณ 1 ไมล์ คุณอย่าชะโงกออกไป แล้วอย่ายื่นกล้องถ่ายรูปออกไปจากรถนะ ผมจะขับช้า ๆให้ดู” เขาหันมาบอกเป็นภาษาพม่า ยิ้มเห็นฟันซี่ขาวบนผิวคล้ำเนียนแดด เพื่อนชาวกะเหรี่ยงจากย่างกุ้งผู้อาสาเป็นล่ามแปลให้ฟังว่า คนขับจะชะลอให้เราเห็น “พม่า” จุดแรก นั่นคือ จุดที่นางออง ซาน ซู จีถูกกั้นไว้ไม่ให้ออกไปพบสมาชิกพรรคเอ็น แอล ดี เมื่อ กรกฎาคม 2541
แม้โลกอาจลืมไปแล้วว่าเคยมีอะไรเกิดขึ้น นั่นก็คือสถานที่ในประวัติศาสตร์ในหัวใจของคนขับแท็กซี่วัยสามสิบต้นคนนั้น เขายิ้มให้เราอย่างบริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องอธิบายความรู้สึกอื่นในใจ
“เดี๋ยวเราจะถึงพื้นที่ที่รัฐบาลสั่งให้คนในเมืองย่างกุ้งอพยพจากสลัมมาอยู่นอกเมืองนะ” เขาบอกอีก โดยไม่มีใครร้องขอ “ถ่ายรูปได้นะ แต่อย่าเอากล้องออกไปนอกรถ” พื้นที่จัดสรรใหม่เป็นกระต๊อบแออัด ไม่มีน้ำ ไม่มีที่ทำกิน และอยู่ห่างจากแหล่งรับจ้าง เมื่อวันก่อนนี้เองในเมืองย่างกุ้ง เราได้ไปพบกับคนที่หนีย้อนจากเขตจัดสรรใหม่มาเร่ร่อนรับจ้างในเมืองเพื่อความอยู่รอด
รถวิ่งฝ่าเปลวแดดร้อนระอุ เราอยู่ในเสื้อผ้าที่ดูเหมือนคนพม่ามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อนบอกว่า เขตอิระวดีที่เราจะเข้าไป เป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับคนต่างชาติ
“เขาคงจะกลัวคนไปรู้เห็น และไปทำให้ชาวบ้านรู้เห็น” เพื่อนเราบอก อิระวดีเป็นดินแดนของชาวกะเหรี่ยง กองกำลังปฏิวัติกะเหรี่ยงเคยมีฐานกำลังที่เข้มแข็งอยู่ที่นี่ ก่อนจะถูกตีแตกและถอยร่นมาอยู่ทางตะวันออกของประเทศติดชายแดนไทย กระนั้น ชาวกะเหรี่ยงก็อาศัยอยู่ในพื้นราบลุ่มน้ำอิระวดีหนาแน่น และเข้มแข็ง เหตุผลที่กันไม่ให้ชาวต่างชาติเข้าไป เป็นเหตุผลเดียวกันกับที่คณะทหารพม่ากั้นเส้นทางไม่ให้อองซานซูจีเดินทางเข้าไปนั่นเอง ประชาชนแถบนี้ถูกหมายหัวไว้ว่าหัวแข็งและกระด้างกระเดื่องได้ง่ายมาก
คนขับชาวพม่าของเราก็ยังยิ้มเย็น ขับรถเรื่อยเฉื่อยตามสบาย ประเดี๋ยวก็จะหันมาเตือนว่า “เดี๋ยวอย่าพูดนะ” ก่อนที่จะยื่นมือที่คีบธนบัตรพม่าปลิวไสวรอค้างนอกหน้าต่างรถ ผิวปากหวีดหวิวสบายใจจนกว่ารถจะผ่านด่านรายทาง ซึ่งเจ้าหน้าที่หน้าตามอมแมมจะยื่นมือมาคีบธนบัตรนั้นเก็บไปพร้อมคำขอบคุณ
เราผ่านมาได้เรื่อย ๆ ด้วยการจ่ายค่าด่านที่ไม่ใช่ “ค่าธรรมเนียม” เป็นทางการแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงค่าน้ำร้อนน้ำชาที่รับรู้กันว่า เพื่อให้เจ้าหน้าที่อิ่มสบายจนไม่ต้องถามถึงคนที่นั่งรถมาด้วยให้มากความ
ที่เพิงพักริมทางติดกับท่าเรือของคลองเล็ก ๆ หญิงร่างท้วมนั่งขายหมากอยู่กับลูกชายวัย 3-4 ขวบขยับตัวเมื่อมีเรือมาแวะจอด ชาวบ้าน 3-4 คนเดินขึ้นมานั่งโบกพัดด้วยหมวกสานให้คลายไอร้อน หมอดูหญิงวัยกลางคนนั่งเรือตระเวนไปตามท้องไร่ท้องนาหันมาทักทายกับคนแปลกหน้าอย่างเรา และเมื่อรู้ว่าเรามาจากเมืองไทย แกก็เรียกคนรอบ ๆเข้ามารุมล้อม ยิ้มแย้ม
“เราไม่เคยเจอคนไทยเลย” ใครต่อใครต่างบอก สีหน้าตื่นเต้นดีใจ “แต่บ้านเรามีคนไปทำงานเมืองไทยเยอะมากแหละ ไม่มีใครอยากกลับมาหรอก แต่เขาจะส่งเงินมาให้ บางคนก็หายไปเลยก็มี”
นี่เป็นบทสนทนาเดียวกันที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านชาวพม่า-กะเหรี่ยงแห่งหนึ่งที่เราแวะเข้าไป ชาวบ้านที่นั่น ทั้งเชื้อสายพม่าและกะเหรี่ยง ไม่ระแคะระคายเลยแม้แต่น้อยว่า ตนอยู่ในเขตที่รัฐบาลสั่ง “ห้ามเยี่ยม” พวกเขาเข้าใจกันเองว่า เพราะว่าบ้านเรือนไร่นาของตัวอยู่ไกลเมืองหลวง จึงไม่เคยมีคนต่างชาติเข้ามาหา
เด็กหนุ่มวัยรุ่นปะแป้งทานาคา หวีผมใส่น้ำมันเยิ้ม เดินโหย่ง ๆเหมือนจิ๊กโก๋ในหนังรุ่นเก่ามาเสนอจะพาเดินเที่ยวหมู่บ้านอย่างกระตือรือร้น เราเดินตามต้อย ๆ อย่างสงสัยใคร่รู้ และเมื่อมาถึงที่หมาย ก็อดหันขวับมาไปมองหน้าเขาอีกทีไม่ได้ เพราะเด็กหนุ่มท่าทางยียวนคนนี้พาเรามาไหว้พระ
“พระพุทธรูปนี้เก่าแก่มากเลยนะ” เขาพูดอย่างภูมิใจ “กลับมาอีกวันสงกรานต์สิ เขาจะมีสรงน้ำพระ ชาวบ้านหมู่บ้านรอบ ๆนี้จะมากันหมด สนุกมากเลยนะ บางปีคนที่ไปเมืองไทยก็กลับมาด้วย แต่ไม่ค่อยมีหรอก เขาคงจะกลับมายาก มันคงจะแพงมาก”
“แล้ว... กลับไปน่ะ ก็เอาปลาร้ากลับไปด้วยดิ” เขาว่า “ปลาร้าอิระวดีอร่อยที่สุด เราส่งปลาร้าจากที่นี่ ขึ้นเรือลำใหญ่ ๆไปขายทั่วประเทศพม่าเลย”
“ไปเยี่ยมหลวงปู่มาหรือยัง” เราตอบรับ หลวงปู่เป็นชาวกะเหรี่ยงจากพะอัน รูปหน้าสง่างาม ผิวขาวราวกับงาช้าง สำหรับเด็กหนุ่มวัยรุ่นผิวคล้ำเมี่ยมคนนี้ พระพุทธรูปโบราณ ปลาร้าอิระวดีและหลวงปู่ คือตัวตนของเขาที่อยากจะเปิดเผยให้เพื่อนต่างชาติได้รู้จัก

ต้นปี 2551
การกลับไปอิระวดีไม่ใช่เรื่องง่าย และเราก็ไม่เคยฉกฉวยโอกาสใดได้อีกเลย
เชียงใหม่ฝนตกหนักแต่เช้า จนสาย บ่าย และค่ำ ทันทีที่ได้แว่วข่าวโทรทัศน์ถึงพิบัตินาร์กีสในวันหยุดวันนั้น เรานั่งลงค้นหาข้อมูลว่าเป็นพื้นที่ใดกันที่ไซโคลนถล่มคร่าชีวิตผู้คนไปหลายหมื่น
อิระวดี พระพุทธรูปโบราณ ปลาร้า หลวงปู่ รอยยิ้มใสซื่อ
เรานิ่งดูภาพถ่ายดาวเทียมเห็นแผ่นดินอิระวดีจมอยู่ใต้น้ำ นิ่งฟังข่าวจำนวนผู้ที่คาดว่าจะเสียชีวิตโดยทันที ฟังรายละเอียดว่าอินเดียได้ส่งสัญญาณเตือนไซโคลนดังกล่าวมาแล้วล่วงหน้าถึงสองวัน เงียบงันฟังว่ารัฐบาลพม่าปฏิเสธหน่วยกู้ภัยต่างชาติทุกรูปแบบ ยืนยันจะรับแต่ความช่วยเหลือเป็นเงินและสิ่งของ และยังเดินหน้าบีบให้ประชาชนลงประชามติต่อร่างรัฐธรรมนูญอย่างเลือดเย็น เพียงเพื่อให้เป็นไปตามฤกษ์งามยามดีที่หมอดูว่าไว้ และอาจจะ..เพื่อให้การพลิกผันผลประชามติเป็นไปได้ตามอำเภอใจ
เราฟังด้วยความโกรธเกรี้ยว งุ่นง่าน ยิ่งผ่านไปหลายวัน เราก็รู้ว่าผู้ที่รอคอยความหวังอยู่ตามซากปรักหักพัง ต้นไม้ โขดขอนใด ๆที่เกาะเกี่ยวเอาไว้ได้ในยามที่น้ำทะลักกระหน่ำ ก็ค่อย ๆหมดลมหายใจด้วยความสิ้นหวัง
มันโหดร้ายยิ่งกว่าสึนามิ ที่ความช่วยเหลือต่าง ๆรุดไปถึงสถานที่ได้แม้กระทั่งในอาเจะห์ ดินแดนที่มีการสู้รบระหว่างกองทัพอินโดนีเซียกับคนพื้นเมือง
“คิดดูเถอะ ของคนไทย ของในหลวง ทหารพม่าเอาไปให้คน แล้วก็บอกว่าเป็นของเขาเอามาให้ประชาชน” เพื่อนเก่าชาวมอญของเราโทรศัพท์ระเบิดความทุกข์ เราสองคนเห็นพ้องต้องกันว่า จากประสบการณ์ที่รู้จักคณะทหารของพม่ามาแสนนาน จะไม่น่าประหลาดใจเลยว่า ข้าวของบริจาคจะต้องถูกลักลอบนำเอาไปขายในพื้นที่อื่นที่ได้รับผลกระทบจนข้าวยากหมากแพง อย่างรัฐมอญ
“ยิ่งถ้าเป็นเงินไม่ต้องพูดถึง” ตัวหนังสือวิ่งข้างล่างจอโทรทัศน์เชื้อเชิญให้คนไทยบริจาคเงินช่วยเหลือประชาชนพม่าผู้ประสบภัยพิบัติอย่างไร้เดียงสาปรากฏอยู่ตรงหน้า “รัฐบาลที่อ้างว่าต่างชาติจะเข้าไปปลุกปั่นประชาชน ในขณะที่ก็รู้อยู่ว่าการปฏิเสธความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยหมายความว่าชีวิตของ “ผู้สูญหาย” อีกหลายหมื่นจะต้องกลายเป็น “ผู้เสียชีวิตในที่สุด” เป็นรัฐบาลประเภทไหน มองประชาชนของตัวเองอย่างไร เราก็รู้อยู่แล้ว”
“คนงานเขาส่งข่าวกันให้แซ่ดทั่วมหาชัย ว่ารัฐบาลพม่าไม่สนใจชีวิตคนที่ตาย โดยเฉพาะที่เป็นคนกะเหรี่ยง เขากลัวอยู่แล้วว่าจะแข็งข้อดื้อด้าน ปล่อยให้ตาย ๆไปก็ดี ง่ายกว่าปราบปรามด้วยซ้ำ” เพื่อนคนมอญพูดเสียงเครือ ที่บ้านของเขาก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน ชาวบ้านสิ้นเนื้อประดาตัว ไร่สวนในรัฐมอญ รัฐกะเหรี่ยงหลายแห่งถูกทำลายราบ หลังคาบ้านถูกพายุพัดเปิด ลูกหลานที่เป็นแรงงานอพยพอยู่เมืองไทยหวาดกลัวว่า เมื่อถึงเวลาต้องจ่ายภาษี (รายสะดวก) ให้เจ้าหน้าที่รัฐ หรือจ่ายโควตาผลผลิต พ่อแม่จะทำอย่างไร คนงานพากันส่งเงินกลับบ้าน แต่เงินก็ไม่ค่อยจะมี เพราะต่างก็ประสบปัญหาวิกฤตอาหารแพงเหมือน ๆกับแรงงานไทย
เราคุยกันว่า อีกไม่นานเท่าไหร่ คนจะทะลักกันเข้ามาในประเทศไทย ทั้งจากเขตที่ได้รับผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีพ และเขตอิระวดี หากรอดชีวิต
“แล้วเขาจะมีเงินกันเหรอ... ถ้าไม่มีเงินให้นายหน้าล่วงหน้า ก็หมายความว่าจะถูกขายอีก ค่ารถมา 10,000 ถูกขายก็ 30,000 แล้ว ...จะลำบากลำบนกันอีกเท่าไหร่ ต้องมาทุกข์ยากกันที่นี่อีกเท่าไหร่”
น้ำเสียงเพื่อนของเราคับแค้นเต็มที รัฐบาลพม่าเลือดเย็นเหลือเกิน ปล่อยให้คนเป็นแสนตายโดยไร้ความช่วยเหลือ ทั้ง ๆที่ทำได้ แค่เอื้อมมือ ปล่อยให้ชีวิตคนล่มสลายได้อีกหลายหมื่น
“ผมไม่รู้จะช่วยยังไง ถ้าช่วยได้ผมจะช่วย แต่เราไปช่วยถึงอิระวดีไม่ได้ ไม่รู้จะทำยังไง ทำไมเหรอครับ เราทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ถึงได้ต้องเจอเรื่องแบบนี้ คนจะช่วยเราก็ยังไม่ได้ช่วย คนส่งเงินส่งของไปช่วยเราก็ไม่ถึง ผมอยากจะบอกคนงานทุก ๆคนให้กลับไปพม่า กลับไปสู้กับรัฐบาล”
เรารู้สึกได้ถึงน้ำตาที่คงเอ่อล้นมาในดวงตาของผู้พูด แม้จะมองไม่เห็น
“ถ้าทุกคนกลับ ผมจะกลับด้วยกัน เราจะกลับไปสู้ ถ้าเราไม่สู้ เราจะต้องตายกันไปอย่างนี้อีกเท่าไหร่ เราจะต้องอยู่กันอย่างไม่รู้อนาคตแบบนี้อีกนานเท่าไหร่”

3. หยิบธนบัตร 10 จั๊ตเก่าคร่ำคร่านั้นขึ้นมาดู คล้อยหลังออกจากหมู่บ้านนั้นมาไม่เท่าไหร่ คนขับรถแท็กซี่บ่นว่าหมดเงินย่อย แล้วต้องยื่นธนบัตรใหญ่ให้กับเจ้าหน้าที่ด่านอิระวดี ซึ่งปรากฏว่า เจ้าหน้าที่คนนั้นยัดเงินทอนย่อยคืนมาให้ 2-3 ใบ รวมใบละ 10 จั๊ตใบหนึ่ง
“อุตส่าห์ทอนด้วยแน่” คนขับมองเงินแล้วอุทาน “ โชคดีจริง..คุณเก็บไว้นะ นี่แหละ ออง ซาน” เขายื่นให้ดูรูปวีรบุรุษของพม่า พ่อของนางออง ซาน ซู จีผู้นำประเทศเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษได้สำเร็จ
“หายากมากนะ ผมให้คุณเป็นที่ระลึกจากที่นี่” เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นเราลังเล “ฟรีดอม (Freedom) เสรีภาพไง”

---------------------------------------

แด่เพื่อนจากประเทศพม่า และชาวอิระวดีทุกคน
ชนา ดำเนิน พฤษภาคม 2551

หมายเหตุ สนใจเรื่องอื่น ๆ ของเพื่อนร่วมโลกลองเข้าไปเยี่ยมชม //www.friends-without-borders.org ครับ




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2551 15:33:50 น.
Counter : 413 Pageviews.  

มโนราห์ ตาทวด เสียงสวด และคนทรง

ขณะที่นั่งอยู่บนเครื่องลำมหึมาซึ่งเคลื่อนไปบนเวหาสุดสูง สายตาผมมองออกไปยังช่องเปิดเบื้องนอก แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดมาทางฝั่งซ้ายของลำ สะท้อนผืนน้ำเบื้องล่างระยิบระยับ แลคล้ายกับว่าแสงนั้นแทงทะลุออกมาจากเอกภพด้านใน ซึ่งผืนแผ่นดินเป็นเพียงเปลือกห่อหุ้มโลกไว้เท่านั้น เหมือนโคมไฟทรงกลมซึ่งห่มแสงเอาไว้และปลดปล่อยให้สาดฉายอกมาเพียงริ้ว ภายในอีกโลกนั้นซุกซ่อนสิ่งใดไว้กันหรือ
สองปีแล้วที่ตาจากไป ผมกำลังยืนมองน้าผู้กำลังกราบไหว้ซากเถ้าของบรรพบุรุษ ซากเถ้านี้ตั้งไว้เคียงคู่กับเครื่องทรงมโนราห์ ข้างหิ้งพระบนชั้นสองของบ้าน ความทรงจำได้ย้ำเตือนว่า ตลอดชีวิตที่เติบโตมาในบ้านใหญ่หลังนี้ เรื่องราวมากมายได้เกิดขึ้น และหลายครั้งเราต้องพึ่งพิงคำแนะนำทางจิตวิญญาณผ่านทางร่างทรง เมื่อน้ากราบเสร็จ เธอหันมาบอกผมว่า 'ทวด ลูก มีอะไรก็ให้นึกถึงชื่อไว้นะ'
ทวดของผมเป็นคนจีนที่มาจากแผ่นดินใหญ่ ขึ้นฝั่งที่สงขลา วัฒนธรรมประเพณีแบบจีนดั้งเดิมได้หลอมรวมเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น อันอวลไปด้วยกลิ่นอายของไสยศาสตร์-วิชาของความหลับ
ในวัยเด็ก ผมมักจะไปดูมโนราห์ซึ่งแสดงกันตอนกลางคืน แต่ก็มีบรรยากาศทึบทึมเติมแต้มเค้าหน้าเข้ม และเครื่องทรงสีจัด ซ่อนเร้นอยู่กับท่วงท่าเคลื่อนไหวอ่อนช้อย แต่บางคราวก็ทุ่มโหมฉับไว หยอกเอินไปกับเครื่องปี่พาทย์สี่ชิ้น บางคราวในยามดึกอาจมีการเล่นไฟ กลืนไฟ คล้ายเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ให้เด็กน้อยอกสั่นขวัญแขวน หากตื่นตาละลานใจใช่น้อย คล้ายตาได้กลายเป็นคนอื่น คล้ายมีบางสิ่งจากฟากโน้นแอบอยู่นอกรัศมีตะเกียงเจ้าพายุ
ตาฝึกรำมโนราห์แต่ครั้งยังหนุ่ม มโนราฆ์ก็เป็นเช่นเดียวกับนาฏศิลป์แขนงอื่นๆ ทุกศิษย์ต้องมีครู แต่กับมโนราห์เขาเรียกขานว่า ตายายโนราห์ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนในคณะต้องกราบไหว้ก่อนขึ้นแสดง เท่าที่จำได้ ตาไม่ได้เล่นมโนราห์เป็นอาชีพ นานๆจะลงโรงสักครั้ง ตามแต่บ้านไหนจะมีคราวเคราะห์ที่ต้องแก้ด้วยการรำมโนราห์ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือทวดดูเพื่อเป็นการแก้บน พรรคพวกของตาก็จะเป็นชาวบ้านคนเฒ่าคนแก่ที่เล่นมาด้วยกันหลายสิบปี วันไหนมีงานก็แบกเครื่องยกของออกมาปัดฝุ่น ซักซ้อมกันที น่าจะเกือบสิบปีแล้วที่ผมเห็นตารำมโนราห์ครั้งสุดท้าย ก่อนจะลาโรงด้วยการส่งต่อให้กับศิษย์รุ่นหลาน ซึ่งก็ต้องมีการเกี่ยวข้องด้านจิตวิญญาณ เช่น มีปู่ทวดเข้าฝันว่าต้องมาสืบทอด แต่ก็จะเป็นในวงเครือญาติอันมหึมาโยงใยสลับซับซ้อน
ผมยังจำวันเผาศพตาได้ 'ก๋งมา ก๋งมา' น้องสาวคนหนึ่งวิ่งมาบอกพวกเราซึ่งกำลังกลับจากวัด เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน น้าสาวคนหนึ่งในบรรดาลูกสิบห้าคนนั่งอยู่บนที่นั่งประจำของตาหน้าทีวี โดยมีลูกหลานนับสิบห้อมล้อม ผมเห็นแววตาและรอยยิ้มของเธอแปลกไป น้าคนนี้เป็นคนที่มักจะโดนทวด หรือเจ้าที่มาเข้าอยู่เสมอๆ วันนั้นเธอสูบยาเส้นกับใบจาก อันเป็นที่รู้กันว่าเป็นสิ่งประจำนิ้วของตา ผมไม่อาจบอกได้ว่าเชื่อหรือไม่ แต่ภาพที่ปรากฏต่อหน้าคลุมเคลือในม่านควันคล้ายโลกเหนือจริง
เช้าวันงานครบรอบสองปี ขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมงานวุ่นวาย ผมอยู่ด้วยในตอนนั้น เห็นน้าสาวคนที่ถูกตามาสิงบ่อยหน ท่าทางแปลกๆ เธอโอบกอดหลานชายหญิงไว้ ตอนแรกผมนึกว่าตามา แต่ปรากฎว่าเป็นน้าเขยซึ่งตายไปเกือบยี่สิบปีแล้ว เขาเป็นพ่อของน้องชายคนที่น้ากำลังกอดอยู่ น้าเขยบอกผ่านน้าสาวว่าให้ส่งของไปให้ด้วย อยู่ทางโน้นนั้นอดอยาก เสื้อผ้าขาดหมดแล้ว เราก็ต้องเผาเสื้อผ้าเงินทองข้าวของไปให้
ขณะที่เสียงสวดมาติกาคาถาภาษาบาลีจากพระสงฆ์ห้ารูปดังระงมอยู่ทั่วบริเวณซึ่งใช้จัดพิธี ด้านขวาเป็นโรงมโนราห์สำเร็จรูปไว้รอรับการแสดงในค่ำคืนนี้ ด้านซ้ายเป็นจอมปลวกใหญ่อันมีผ้าหลากสีห่ม มีหลังคาโรงเรือนเล็กกันแดดฝน น่าแปลกดีที่ดินผืนนี้เคยเป็นบ้านที่ผมวิ่งเล่นมาแต่น้อย กลับกลายเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงนี้ไปเสียแล้ว คนที่ลงมือปลูกสร้างคือน้องชายคนที่พ่อเขาตายไปแล้วเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน แม่ของเขาซึ่งเป็นน้าของผมมากระซิบว่า น้องโดนผู้หญิงทำเสน่ห์ใส่ คนทรงนั้นสามารถบอกรายชื่อคนตายที่ทางโน้นนำวิญญาณมาทำพิธีได้เลยทั้งสิบเอ็ดศพ
น้าคนที่ผมคุยด้วยตอนกราบทวด เป็นคนดูแลร้านอาหารของยาย เธอโดนร้านข้างๆทำ ของ ใส่ น้าบอกว่าน้าปวดท้องทำอย่างไรก็ไม่หาย จนกระทั่งตาเข้าร่างน้ามาบอก แต่การแก้ก็ไม่ได้ทำง่ายๆ ต้องไปให้คนทรงอีกคนมาจัดการให้ แต่ต้องมีค่าครูห้าร้อยบาท
ทั้งสองเป็นหัวเรือใหญ่ดูแลจัดการสำรับคาวหวาน ซึ่งมีทั้งอาหารท้องถิ่น เช่น แกงส้ม (ตาของผมไปเข้าฝันเพื่อนของแม่ ซึ่งมาในพิธีศพของตา บอกให้ทำอาหารมาร่วมพิธี แม่ต้องไปเอาแกงส้มปลากระพงมาหม้อยักษ์ถึงตัวเมืองหาดใหญ่) น้ำพริก แกงกะทิ พะแนง ต้มส้มหมู ขนมหน้ากะทิ ขนมค่อง ไปจนถึง อาหารสากล เช่น ปลาซาบะย่าง ลาบ หมูย่าง เป็ด ไก่ (ตามความเชื่อจีน ตาสั่งต้องมีหัวหมูเป็นประธานในสำรับ) อาหารทั้งหมดถูกแบ่งเป็นสี่ส่วน หนึ่งสำหรับถวายพระสงฆ์ สองตั้งไว้หน้าโต๊ะบูชาที่มีกระดูกและรูปถ่ายของตา สามตั้งไว้บนขนำน้อยสำหรับน้าเขย สี่สำหรับแขกและเจ้าภาพ
คณะมโนราห์อาชีพมาถึงงานตอนประมาณห้าโมง ใช้เวลา กินข้าว แต่งหน้า แต่งตัว เตรียมการอยู่จนเกือบสองทุ่ม จึงได้ฤกษ์
เวทีเริ่มต้นที่ผู้หญิงวัยกลางคนแต่งองค์ยังไม่ครบเครื่องออกมานั่งร้องมโนราห์กับเครื่องปี่พาทย์ คล้ายเป็นการบอกกล่าวเทวดาฟ้าดินผีบ้านผีเรือนครูอาจารย์ ทักทายเจ้าภาพคนดูเป็นการอารัมภบท เสร็จแล้วก็จะมียายคนหนึ่ง (แกฝันว่าตาถือหน้าพรานเดินตามแก แม่บอกว่าเมื่อก่อนตาเคยเล่นเป็นตัวพรานในมโนราห์) แกจึงนุ่งขาวห่มขาวถือธูปเทียนดอกไม้มาทำพิธี ขณะมโนราห์ผู้หญิงกับหญิงชรากำลังทำพิธีรับพานบนเวทีนั้น ก็เกิดเสียงโหวกเหวกขึ้นทางคนดู ผมหันไปดู เห็นชายวัยใกล้ห้าสิบนุ่งห่มขาว นั่งอยู่ด้านหน้าใกล้กันกับผม แกบอกว่าทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง แกเรียกหาเทริด (คล้ายๆเป็นชฎาสวมหัวของมโราห์) บอกว่า ต้องเชิญเทริดมาตั้งด้วย บ้านผมก็แตกตื่นกัน ดูเหมือนทางนี้ก็เป็นร่างทรงซึ่งมีชาวบ้านนับถืออยู่ไม่น้อย (น้องสาวเล่าให้ฟังว่า บ้านแกนั้นอยู่ไกล ถ้าเป็นปกติจะต้องมีมอร์เตอร์ไซค์มาส่ง แต่วันนี้แกเดินท่าทางเหมือนขาไม่ค่อยดี แล้วยืนพูดคนเดียวที่ใต้ต้นไม้ข้างบ้านมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ซึ่งปกติ แกขาดี และแกไม่ค่อยพูด) ข้างนี้ก็ล้งเล้งโวยวายใหญ่ บอกว่า ไม่เห็นรึ นี่มานั่งอยู่นานแล้ว ลูกหลานไม่รู้เรื่องอะไรบ้างเลยหรือ
มโนราห์ที่อยู่บนเวทีก็ถามลงมาว่า ใครกันที่มา เพราะเขาก็ถามปู่ทวดของเขาแล้วเหมือนกัน เอาล่ะสิ ศึกคนทรงเริ่มแล้ว ที่บ้านก็เลยต้องให้คนวิ่งไปเอาเทริดมา ผมเดินเลี่ยงคนทรงทั้งสองออกไปด้านข้างๆซึ่งเป็นที่นั่งของกลุ่มญาติๆ กะว่าจะไปคุยกับน้องคนหนึ่งซึ่งทำงานที่ร้านอาหาร แต่เขาไม่มองผมเลย ยังไม่ทันจะเปิดปากพูด ก็ได้ยินเขาพูดกับน้า ทำนองว่า ไม่เห็นหัวกันเลย มานั่งตั้งนานแล้ว น้ำก็ไม่ให้ หมากพลูก็ไม่มี น้าคนที่โดนทำของก็มาถามว่า ก็ถวายไปแล้วไม่ใช่รึ ไอ้น้องคนนี้ก็ตอบว่า ไม่ใช่ ใช้ไม่ได้ น้าก็เลยต้องวิ่งไปจัดหมากพลูมาให้ใหม่ ก็เห็นไอ้น้องคนนี้ (อายุสักยี่สิบต้นๆ) นั่งเคี้ยวหมากตุ้ยๆ
"เหมือนมีเสียงในหัวบอกให้เราทำอย่างโน้นอย่างนี้ รู้ตัวแต่บังคับไม่ได้ เราเคยฝืนไม่ทำตาม แต่ก็เจ็บไปทั้งตัวเลย หลังๆก็ไม่ฝืนแล้ว...เขามาเข้าที่ร้านเป็นประจำ ข้างร้านเห็นนึกว่าเราทำของ เขาก็ไปทำของมาใส่เราอีก ตอนนั้นร้อนแทบจะอยู่ไม่ได้ ทวดก็มาบอกให้ตั้งสติ พอเราตั้งสติได้แกก็ลงเลย ไม่งั้นตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว ...โดนกับตัวเอง ไม่เชื่อไม่ได้แล้ว บางทีก็เหมือนเราจะรู้ว่าตรงไหนมีไม่มี ดีไม่ดี" น้องคนนั้นเล่าให้ฟังท่าทางเขินๆ หลังจากกลับมาเป็นปกติ ปรากฏว่าเธอเองก็มีทวด (วิญญาณ) มาลงเป็นประจำ
ทั้งสองคนนี้ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรจากครอบครัวเลย เงินทองก็ไม่ได้เพิ่ม พอทวดออกจากร่าง ก็กลับมาเป็นคนเดิมที่ถูกแซว ถูกใช้งาน ถูกว่ากล่าว แถมน้าสาวของผมก็ยังรอตัดสินคดีจากศาลฎีกาอยู่เลย ผมมองไม่เห็นว่าจะทำให้ชีวิตดีขึ้นอย่างไร
พอได้เทริดมาก็เริ่มพิธีต่อ โดยตั้งโต๊ะเตี้ยวางเทริดไว้บนเวที พร้อมธูปเทียน แต่ก็ยังไม่จบเรื่อง น้าร่างทรงของผมมาแล้ว คราวนี้เต็มยศ สวมเสื้อของตา เอาผ้าขาวม้าพาดไหล่ บอกให้คนที่ได้รับสืบทอดมโนราห์จากแกขึ้นรำ ไอ้คนนี้มันก็ไม่ได้เตรียมตัวมา ชุดก็ไม่มี แต่ก็ไม่สามารถขัดร่างทรงได้ น้า (ตา) ก็ขึ้นไปไหว้เทริด เสร็จแล้วก็ให้หลานคนนั้นขึ้นรำทั้งที่ไม่ได้แต่งตัวมโนราห์ แล้วน้าก็ไปนั่งดูพร้อมทั้งสูบยาเส้นควันฉุยสบายใจ
หลังจากนั้น มโนราห์ก็เริ่มเล่นไปตามปกติ ไล่ไปตั้งแต่รุ่นเด็ก ก็ร้องและรำได้อย่างคล่องแคล่ว ผลัดกันขึ้นมาแสดงทีละคน อายุตั้งแต่ยี่สิบจนถึงวัยสี่สิบทั้งหญิงและชาย ร้องรำสลับพูด สำบัดสำนวนเข้มข้นขึ้นตามลำดับ สุดท้ายเล่นพร้อมกันสามคน เรื่องที่พูดส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องตลกทะลึ่งบ้าง สองแง่สองง่ามบ้าง แซวเจ้าภาพบ้าง ไปจนถึงเรื่องบ้านเรื่องเมือง (มีแซวอดีตนายกฯเล็กน้อย) กว่าจะจบรายการก็เล่นเอาเที่ยงคืนกว่า
ระหว่างที่มโนราห์กำลังเล่นอยู่นั้น ครั้งหนึ่งผมเดินเข้าบ้าน พบว่า ตาในร่างของน้า กำลังนั่งอยู่กับน้องๆ สี่ห้าคน ตา (น้า) หันมาถามว่าผมจะกลับเมื่อไหร่ พรุ่งนี้ครับ ผมบอก แกเปรยถึงพ่อซึ่งไม่ได้มา (พ่อผมอยู่กรุงเทพฯ) แกบอกว่าให้กลับมาอยู่ด้วยกันก็ไม่ยอม ดูสิ ขาเจ็บ ยาก็ไม่ค่อยกิน ถ้ากินก็หายไปแล้ว ผมนั่งฟังตาพูดผ่านน้าด้วยความรู้สึกยากจะบอก บางทีเราก็รู้สึกว่าตาไม่ได้จากไปไหน ชีพจรยังเต้นอยู่ในชีวิตของลูกหลาน และบ้านหลังนี้เสมอ
"...น้าเห็นตายืนอยู่กับเด็กอ้วนๆตรงสี่แยกที่ตรัง จอดไม่ทัน นึกว่าตามาเที่ยวตรังกับน้องเอิน (เหลนคนหนึ่ง) เลี้ยวรถกลับมา ก็เห็นแต่เด็กคนนั้นคนเดียวซึ่งก็ไม่ใช่หลานเรา แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า เตี่ยตายแล้วนี่หว่า ขนลุกเลย.." น้าของผมคนที่ไปอยู่ตรัง เล่าให้ฟังตอนกำลังขับรถมาส่งผมที่สนามบิน ผมก็พูดขึ้นมา เวลาได้ยินแม่หรือน้าซื้อขนมไปให้ตา ผมมักจะนึกไปว่าตายังอยู่
นี่ถ้าปีหน้า เขาจะจัดงานใหญ่ส่งตา เรายังจะได้เห็นภาพเหล่านี้อีกไหม ผมรำพึงกับตัวเอง




 

Create Date : 05 มกราคม 2551    
Last Update : 7 มกราคม 2551 10:18:33 น.
Counter : 1738 Pageviews.  

ในเงามีไร่ ในไร่มีเงา

“แคร้ง!” เกิดการวัดใจระหว่างเหล็กกับหินถึงขั้นแตกหัก แล้วอะไรบางอย่างที่แวววาวก็กระเด็นหวือวับหายไป เรือสองในสี่ลำสูญเสียใบพัดไปตรงท้องน้ำที่ตื้นเขิน และบางช่วงเรือวิ่งไม่ได้ เราต้องขึ้นจากเรือเดินตัดสันเขา
กลางลำน้ำ อากาศกลางหุบเย็นลงอย่างรวดเร็วเมื่อความมืดเริ่มโรยตัวมาตักเตือน ฉันนั่งมองเด็กหนุ่มผู้ทำหน้าที่อย่างแข็งขันตรงหัวเรือ บางทีถ่อบางคราวค้ำบางหนโถมน้ำหนักใส่ข้างใดข้างหนึ่งเพื่อเบนหัวไปตามทิศทางที่ต้องการตามคำสั่งของนายท้าย ภาษาชาวเขาแปร่งหู เด็กหนุ่มนั้นเงียบเฉยอย่างยิ่ง เขาแลดูแกร่งกร้านกว่าวัย ฉันมองไม่เห็นรอยยิ้มของเขา

บ่ายสี่โมง บนถนนจรัญสนิทวงศ์ กรุงเทพฯ
เมืองหลวงเหมือนมีใครสุมไฟกองใหญ่ส่งควันมาคลุมครอบ ความขะมุกขะมัวสะท้อนเข้าไปในดวงตาขุ่นข้นของผู้คนที่เรียงแถวเรียงรายรอความหวังอยู่ที่ป้ายรถเมล์ คนหน้าคล้ำ ตาดำๆ คิ้วขมวด หน้าย่น เพราะต้องกรำชีวิตไปเกินวัยกับการเบียดบีบกระย่องกระแย่งยักแย่ยักยันยื้อแย่งดิ้นรน อยู่ กิน ดื่ม อาบ
ฉันสงสัยว่าพวกเราอยู่กันได้อย่างไร

หลายวันก่อน บ่ายสาม เมืองทองธานี
แผ่นพับ ‘ฉันไม่ได้รักป่า’ แผ่หราอยู่กับมือ หากหนึ่งปากสนทนาเจื้อยแจ้วกับคนที่อยู่ฟากตรงข้ามของโต๊ะ โต๊ะนั้นมีสารพันสินค้าจาก ‘ชุมชนคนรักป่า’ วางอวดโฉม แต่ที่กระตุ้นให้ใจเต้นแรงขึ้นคือคำเชิญชวนไปล่องสายน้ำแห่งจินตนาการ แม่น้ำเงา ที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน คนกรุงอย่างฉันจินตนาการไปถึงที่แบบนั้นไม่ออกจริงๆ ดูเหมือนเป็นดินแดนในเทพนิยายมากกว่าจะไปสัมผัสได้จริง ฉันพยายามซักถามรายละเอียด เวลาสถานที่ นัดหมาย หอบเอกสารและซื้อสินค้าเพื่อยืนยันกับตัวเอง ทั้งยังสมัครสมาชิกเพื่อสร้างพันธะสัญญาบางอย่าง
ฉันหลบออกมาตัดสินใจ พนักงานกินเงินเดือนนั้นยากนักจะได้ออกไปไหนๆ ถ้าไม่ใช่วันหยุดช่วงเทศกาล แต่ทุกสิ่งที่ฉันหอบหิ้วมาจากเมืองทองธานีวันนั้นมันร้องเรียกอยู่ทุกคืน
และแล้ว ฉันก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นกดเลขหมาย รอจนได้ยินอีกปลายสายโชยเสียงมา ฉันจึงแนะนำตัวและนำความตั้งใจที่จะร่วมเดินทางบอกออกไป
ฟังจากน้ำเสียงเหมือนเธอจะดีใจ เธอจดชื่อฉันและแจงรายละเอียดที่ฉันต้องทำ
“จะไปรับที่อาเขตตอนหกโมงเช้าของวันที่เจ็ดนะคะ”
“ไปคนเดียวได้นะคะ”
“มาเลยค่ะ มาหาเพื่อนใหม่ที่นี่”
เราคุยกันถึงคนที่จะมาร่วมขบวน ฉันตื่นเต้นที่จะได้เป็นหนึ่งในนั้น

ทุ่มสิบห้า สถานีขนส่งสายเหนือ หมอชิตใหม่
หนึ่งมือกำตั๋วรถแน่น หนึ่งใจร้องไชโย แม้ยังหวิวหวั่นกับการเดินทางและจุดหมายที่รออยู่ แต่ฉันจะได้ออกไปจากชีวิตเดิมๆ ในมหานครแห่งนี้แล้ว

เช้ามืด สถานีขนส่งอาเขต เชียงใหม่
เหมือนฉันจะเป็นคนแรกที่มาถึง รถโดยสารประจำทางปรับอากาศคันนั้นคงทำเวลาได้ดี แต่มันทำให้ฉันหวั่นใจไม่ใช่น้อย แม้จะนัดแนะกับชาวชุมชนชัดเจน แต่ฉันรู้สึกเคว้งคว้างชอบกล อาจจะเป็นเพราะความมึนงงที่ได้รับจากการเดินทางไกล และฉันไม่รู้จักผู้ร่วมขบวนแม้แต่คนเดียว
บนรถทัวร์ฉันแทบไม่ได้หลับเลย คิดโน่นกังวลนี่สารพัด แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำแบบนี้ได้อย่างไร ทำไมมาไกลถึงขนาดนี้ หรือบางทีคนต้องทำอะไรที่ตัวเองไม่เข้าใจบ้าง
รถตู้พาพวกเราเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ฟ้าค่อยสว่างขึ้นทุกขณะ เมื่อสางความมืดออกเราก็พบว่าดอยสุเทพ
ตระหง่านเป็นประจักษ์สถานอยู่เบื้องหน้า รถพาฉันเลียบเลาะขุนเขาไป นี่เป็นถนนสายที่งดงามยิ่งเท่าที่ฉันเคยพบมา มันอาจเกินเลยไปบ้าง แต่ฉันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
เรือนไม้ผสมก่ออิฐถือปูนสองชั้นแวดล้อมด้วยร่มครึ้มเปิดรอเราอยู่ ดูท่าทางทุกคนจะชมชอบดื่มด่ำกับใบไม้สายลมเสียงนกที่รายรอบ
แล้วฉันก็ได้พบกับเจ้าของเสียงนั้น พี่อ้อย รจเรข ผู้หญิงร่างเล็กที่จะเป็นคนพาพวกเราไปฟังนิทานจากสายน้ำ
ฉันเห็นรอยยิ้มในตาคู่นั้นฉายแววไมตรี

บ้านชุมชนคนรักป่า เชียงใหม่
กว่าคนจำนวนสามสิบจะมาพร้อมหน้า แดดสายก็ฉายให้เราได้เห็นหน้าค่าตากัน ส่วนใหญ่แล้วมาจากแดนไกลผ่านหลักกิโลเมตรมาหลายร้อยหลักกว่าจะถึงเชียงใหม่ ไม่มีใครยอมให้ใครหยุดพัก เรามุ่งหน้าสู่แม่สะเรียงทันทีที่ทุกคนอิ่มข้าวเช้า ผ่านการแช่อิริยาบถในอากาศที่ปรับแล้วของรถตู้นานเกินสี่ชั่วโมงจึงมาสบกับเรือที่รอเราอยู่ที่ท่าสบเมย
“เอ้า ทุกคนรีบขนสัมภาระไปลงเรือเลยค่ะ เอาข้าวไปด้วย เราจะไปกินกันในเรือ”
เราต้องแช่ไปในน้ำต่อโดยมีไม้กระดานเรือกั้นกลาง เบื้องแรกที่เห็นสายน้ำขุ่นจนแอบขุ่นใจ แต่ยิ่งเรือแล่นทวนน้ำเข้าไปลึกเท่าไร รูปรอยเงาก็ยิ่งปรากฏแจ่มชัดขึ้นท่ามทิวเขียวสองฟากที่โบกมือทักทายผู้มาเยือน
สายลมหยอกเอินทุกคนให้ครึ้มใจ

เกือบหกโมงเย็น
เด็กหนุ่มไร้รอยยิ้มจากไป
“ไร่ในเงา” ของวีระศักดิ์ ยอดระบำ รอโอบอุ้มเราอย่างสงบนิ่งอยู่ตรงตีนของภูเขา ณ หนึ่งโค้งของสายน้ำ ผู้มาถึงก่อนลงมารอรับเพื่อลำเลียงข้าวของนานาที่จะต้องใช้กินอยู่ตลอดสามคืน
เรือลำสุดท้ายเกยตลิ่ง เท้าข้างสุดท้ายก้าวขึ้นฝั่ง เต็นท์หลังสุดท้ายก็กางเสร็จเรียบร้อยทั้งหมดสิบห้าหลัง นั่นคือห้องนอนกลางไร่ของเรา
แม้อาหารเพื่อสุขภาพไร้เนื้อสัตว์ที่พี่ยอดและเก๋ผู้เป็นเจ้าเรือนเตรียมไว้ให้จะแปลกลิ้นฉันไปบ้าง แต่การเคลื่อนที่มาตลอดวันทำให้ฉันกินได้มากกว่าที่เคย
เป็นครั้งแรกของฉันกับ ผักสด ถั่วเน่า ข้าวซ้อมมือ ยินดีต้อนรับสู่อวัยวะภายใน

มืดแล้ว ข้างกองไฟ
ระหว่างที่หลายคนไปพักผ่อนกันรอบกองไฟ ฉันอยู่ในระหว่างรออาบน้ำ เบื้องแรกที่เห็นห้องน้ำทำฉันผงะ รางไม้ไผ่นำสายน้ำมาปล่อยเนืองนองอยู่ในแอ่ง โดยมีกอไม้สูงไม่เกินอกเป็นผนัง หามีประตู เพดาน ฝากั้นอื่นใดไม่ ดูหน้าหลายคนคงทำใจลำบาก ฉันเองก็เช่นกัน แต่ผ้าถุงที่เขาบอกให้เตรียมมาใช้การได้เหมาะเจาะทีเดียว พอลองลงไปยืนให้น้ำท่วมตาตุ่ม เริ่มอาบความฉ่ำเย็นจากสายธารพร้อมอาบแสงดาว ฉันเบิกบานนัก อาบไปฮัมเพลงไป คนที่อยู่ในครัวคงได้ยินชัด เพราะห้องน้ำอยู่ด้านหลังครัว เก๋ยิ้มๆ เมื่อเห็นฉันเดินออกมา
ฉันหยิบสมุดบันทึก หมายใจจะนั่งเขียนข้างกองไฟ เคียงกับเสียงกรุ๋งกริ๋งจากกีตาร์ของพี่เอี้ยว ไชยพร นามประทีป นักดนตรีอิสระ ฉันไม่เคยรู้จักเขามาก่อน แต่บางบทเพลงที่เขาบรรเลง ฉันคงเคยได้ยินมาสักครั้งในแห่งหนหนึ่งที่ผ่านมา ข้างกองไฟมืดจนฉันเขียนไม่ถนัด จึงวางทั้งหมดลง นั่งเงียบๆ สลับบทสนทนากับคนข้างๆ ที่เพิ่งเริ่มทำความรู้จักกัน และนั่งดูคนอื่นๆเท่าที่พอเห็นได้จากกองไฟ
บางคนเป็นนักศึกษา ตลอดจนเจ้าของกิจการ บ้างเป็นหมอ พยาบาล พนักงานบริษัทเอกชน เอ็นจีโอ คนอิสระหลายคน พวกเขาทำฉันอิจฉาในเสียงหัวเราะ
ฉันกลับมาเขียนในเต็นท์ บางทีฉันชอบเขียนในความมืด ไม่ต้องกังวลอยู่กับลายมือ ช่องไฟ วรรคตอน
สะกด การันต์ วรรณยุกต์ ฉันว่าถ้าเราลืมๆมันไปเสียบ้างก็สนุกดีเหมือนกัน
ฉันดึงเอาส่วนลึกเร้นในใจออกมาท่ามกลางสภาวะไร้แสงอย่างไม่อายใคร

หาดทรายริมเงา นกสยายปีกแรกออกหากิน
ฉันแหวกซิบเต็นท์ออกมาไล่คว้าสายหมอกที่ไล่เรี่ยอยู่ทั่วไปในกลางหุบ เช้านี้ฉันไม่ต้องออกไปยืนรออัดในรถเมล์
เขาเริ่มเข้าครัวกันแล้ว ทำอาหารเลี้ยงคนจำนวนมากไม่ใช่เรื่องง่าย แม้เราจะช่วยตัวเองกันบ้างแล้วก็ตาม
ฉันนั่งลงแตะโน่นบ้างนี่บ้างเท่าที่พอจะทำได้ พี่ยอดมีหม้อต้มน้ำก๋วยเตี๋ยวใบใหญ่ (ยืนยันว่าหม้อต้มก๋วยเตี๋ยวจริงๆ) ที่เป็นของตกทอดจากผู้ที่นึกสนุกจะทดลองใช้ชีวิตกลางดง แต่แล้วก็พ่ายแพ้ต่อความต้องการเบื้องลึก ฝากทรัพย์สินที่คร้านหอบหิ้วไว้กับเงา
สายนี้เราจะออกเดินเลาะเลียบล่องริมน้ำย้อนสายขึ้นไป
“อยากให้เดินกันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ คอยสังเกต พูดคุย ซักถาม แม่น้ำจะเป็นตัวเล่าเรื่อง เรามาดูซิว่าสายน้ำที่อยู่มาหลายพันปีกับหลายร้อยชุมชน เขาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร” พี่อ้อยอารัมภบทก่อนก้าวเท้า
พี่ยอด บอกให้เราภาวนาพร้อมไปกับการเดิน เป็นการเดินสู่ภายใน ฉันไม่เคยทำมาก่อน ฉันเคยแต่เดินช็อปปิ้ง แต่เอาเถิด ฉันจะลองดู
ระหว่างทาง ฉันพยายามเดินให้ทันพี่ยอด แต่มันเป็นภาระหนักหนาเกินสองแรงน่อง จึงปล่อยให้คนอื่นทำหน้าที่นี้ไป พี่ยอดหยุดพักบ้างเป็นระยะ พร้อมชี้ให้ดูสิ่งต่างๆรอบตัว ฉันเหม่อมองมวลหยดน้ำ ฟังเสียงพี่ยอดผสานไปกับท่วงทำนองของเงา
“…ผมมาแม่เงาหลายปีก่อน เพราะจะมาทำข่าวเรื่องสร้างเขื่อน… เขาว่าแม่น้ำมันไหลไปเปล่าๆปลี้ๆ ไม่มีประโยชน์ พูดอย่างนั้นได้อย่างไร พืชสัตว์สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เท่าไหร่ หน้าที่สายน้ำก็คือไหลไปลงทะเล ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว… คนนี่แหละที่อยู่เปล่าๆ เที่ยวเอาระเบิดไปทิ้งที่โน่นที่นี่ นกหนูแมลงตายไปเยอะแยะ เดือดร้อนกันไปหมดเพราะคนคนเดียว…”
“คนไม่ได้อยู่เปล่าๆนะ เบียดเบียนด้วย” เสียงแทรกเสริมเรียกรอยยิ้ม
“ผมว่าแม่น้ำเงาเป็นสายน้ำที่สมบูรณ์สายหนึ่งของโลก ดูจากเรือที่ยังวิ่งได้หลายสิบกิโลเมตร แสดงว่าท้องน้ำยังไม่ตื้นเขิน เพราะตลิ่งมีรากไม้ยึดเกาะเกือบตลอดแนว ดินทรายไม่ไหลลงสู่แม่น้ำจึงไม่เสียหายมาก…เขาจะเอาแม่น้ำสายนี้ไปผันแม่น้ำสายโน้น ต่อท่อใต้น้ำกันให้วุ่นวายไปหมด ทำผิดผีหลวง พอแม่น้ำสายนี้เน่าก็จะเอาน้ำจากสายอื่นมา มันก็เน่าอีกแหละ ถ้าใจคนยังเน่ายังไงมันก็ต้องเน่า จะแก้ปัญหานี้มันต้องแก้ที่ใจคน…”
¬หลังข้าวคลุกกะปิ(ถั่วเน่า) ในห่อใบไม้ริมหาดทรายบรรจุลงกระเพาะ หลายคนสมัครฟังเล็คเชอร์กลางป่า หลายคนหาที่ทางวางหลังลงแนบเม็ดทราย พริ้มตาหลบแดดบ่าย บางคนหาของสวยๆ ที่สวยๆ ผลาญฟิล์ม และไม่กี่คนหานกดู
ตอนนั่งกินข้าว เรือหลายลำผ่านเราออกไปสู่ปลายน้ำ บนนั้นมีคนบรรทุกเต็มลำ คนเหล่านั้นดูเหมือนกับเรา เป็นคนภายนอก บางคนโบกมือทักทาย
“ชาวบ้านยังรับมือไม่ถูกกับพวกที่เข้ามา เขาไม่เข้าใจ” ฉันได้ยินพี่ยอดรำพึง
คล้ายบ่ายจะคล้อยลงไม่มากตอนเรากลับถึงที่พัก หลายคนจะไปเที่ยวหมู่บ้าน ฉันขอตามพวกเขาไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หมู่บ้านที่เราไปเยือนมีโทรศัพท์สาธารณะที่บ้านผู้ใหญ่บ้านแต่ใช้ไม่ได้
หากใครจำเป็นก็ต้องใช้โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมบนบ้านที่คิดเวลาโทรเป็นนาที เมื่อไหร่หนอที่การบริการของรัฐจะกระจายไปถึงทุกที่อย่างเท่าเทียมเสียที
บางคนได้ตะกร้าติดมือออกมา พวกชอบเฮฮาก็หาเหล้าต้มเองพื้นบ้านไปเพิ่มความครึกครื้น ฉันลองชิม รสแรงซ่านลิ้นจนขมคอ วูบวาบไปตามขดลำไส้
ทั้งขาไปและขากลับเราต้องเดินข้ามแม่น้ำ ฉันชอบน้ำ เห็นน้ำเยอะๆไม่ค่อยได้ จะเอาตัวลงไปสัมผัสกับความฉ่ำเย็นให้จมหัว นาทีนั้น แม่เงาต้อนรับฉันด้วยกระแสเชี่ยวกรากที่พัดพาทุกสิ่งไปพร้อมกัน หากฉันไม่ฝืนยืนตัวยึดเท้าไว้กับหินก้อนโต สายน้ำคงพาทั้งฉันและเงาออกสู่ห้วงทะเลไกลโพ้น
หากมือที่เรากุมกระชับกันแน่นสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นในใจได้ประหลาดนัก

ค่ำคืน รอบกองไฟคล้ายรอบบ่อนไก่
พี่ยอดเป็นคนจังหวัดนครศรีธรรมราช พื้นเพเป็นชาวสวน พี่ยอดผ่านความรุนแรงทางการเมืองครั้งตุลาคมจนต้องหลบเข้าป่า ผ่านการเดินทางทำข่าวทำสารคดี จนถึงวันที่หาสาระจริงของชีวิต จึงหันหลังให้กับสังคมเมือง เข้ามาหักร้างถางพง ทีแรกเข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน แต่ก็ปรับเปลี่ยนหาที่เหมาะสมจนมาเป็นที่ปัจจุบันซึ่งห่างออกมาพยายามอยู่ด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุด ถึงแม้วันนี้ยังปลูกข้าวได้ไม่พอ แต่พี่ยอดบอกว่าวันหนึ่งจะพอ
พ่อ แม่ ลูกสามคนเหมือนอยู่ในอีกดินแดนที่เกือบตัดขาดจากโลกภายนอก หลายคนเป็นห่วงอนาคตของน้องต้นข้าวลูกสาวพี่ยอด แต่ฉันว่าในเมื่อต้นแบบชัดเจนขนาดนี้ ไม่มีอะไรน่าห่วง ที่น่าห่วงคือพวกเราๆ ต่างหาก
คืนนี้กองไฟดูสว่างไสวและอบอุ่น เพื่อนอีกกลุ่มเข้ามาสมทบ กลุ่มนี้เข้ามาก่อน ดูเขาคุ้นเคยกับพี่ยอดได้ยินว่าเขามาช่วยจัดที่ทางให้เรา
“กวีขุดส้วมให้ขี้แล้วยังจะเอาอะไรอีก” พี่ยอดถามปนหัวเราะแบบไม่ต้องการคำตอบ
พี่ยอดบอกว่าแกใช้จอบใช้เสียมใช้พร้าเขียนบทกวี

ฉันนึกชอบนักที่มีคนถามเคล็ดลับการปลูกต้นไม้ พี่ยอดกลับตอบว่าแกปลูกไม่เก่ง เมล็ดที่งอกมีน้อยกว่าที่กลายเป็นดิน พอเห็นอย่างนั้นแกก็ยิ่งปลูกเยอะขึ้นไปอีก
“ที่ไม่งอกก็ถือว่าเป็นการงอกอย่างหนึ่ง ผมทำหน้าที่ของผมเสร็จแล้ว ที่เหลือเป็นหน้าที่ของเมล็ดเองที่ต้องเติบโต”
เสียงไม้ไผ่ประทุไฟดังเป็นระยะ เพิ่มสีให้กังวานเสียงพี่ยอดที่สะท้อนเรื่องจาก ’ข้างใน’
ข้างในที่พยายามหลุดล่อนจากเปลือกทุนนิยม ข้างในที่พยายามอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน ฉันมึนงงกับคำให้การเชิงลึกของวีระศักดิ์ ยอดระบำ และหลังจากที่แกสีไวโอลินทำนองพื้นบ้านเห่กล่อมเราด้วยสำเนียงเฉพาะตัว ฉันก็เข้าไปนั่งข้างๆ ผู้อาวุโส และขอคำอธิบายถึงหลายสิ่งที่ค้างคา
“ใครรับได้แค่ไหนก็เอาไปแค่นั้น ใครถอดรหัสได้ก็เอาไป”
พี่ยอดพูดถึงรหัส รหัสที่มีอยู่ในธรรมชาติ รหัสในเมล็ด ในต้นไม้ที่ให้เมล็ด ในผีเสื้อในแมลง
จักรวาลมีคลื่น ป่าส่งสัญญาณบางอย่างออกมา พี่ยอดบอกว่าทุกคนรับได้ถ้าศรัทธาและตั้งใจ
กวีในเงาส่งคลื่นออกไปกับความถี่เสียงและคันชักไวโอลิน ใครมีเสาสัญญาณดีก็อาจรับได้ คลื่นนั้นถูกส่งออกไปถึงเอกภพ
ฉันสงวนความง่วง*ต่อไปไม่ไหว และไม่อยากทุจริตทางอารมณ์ *จึงทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ*ไปค้นหาความหมายในถุงนอน
*สามวลีนี้ฉันแอบได้ยินกวีเขาคุยกัน เลยยืมมาใช้บ้าง

บ่ายนี้มีความเศร้า
วันนี้เราเดินขึ้นเขาเพื่อดูไร่จากมุมสูง พี่ยอดพยายามปลูกพืชให้ได้หลากหลายโดยไม่เน้นพื้นที่มากมาย ทั้งยังมีการนำพันธุ์พืชท้องถิ่นภาคใต้มาทดลองปลูก พี่ยอดเน้นอาหารหลักที่ธัญพืช ส่วนผักผลไม้ก็จะรองลงไป เมื่อก่อนพี่ยอดยังตกปลากินปลา แต่แกเล่าให้ฟังว่า ปลาในแม่น้ำเงาสวยเหลือเกิน แกเห็นแล้วเสียดายเลยเลิกกินมานับแต่นั้น
ฉันได้ยินพี่ยอดพูดถึงธรรมชาติ ผืนดิน โลก จิตวิญญาณ วิถีชีวิต ภาษา การเคลื่อนตัวทางความคิด อยู่บ่อยครั้ง ฉันเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ตัวเองรู้สึกว่าได้รับคำตอบบางคำตอบ แม้พี่ยอดคงไม่ได้ตั้งใจตอบ แต่การ ทำ ของพี่ยอดเป็นครูที่ดีโดยไม่ต้องสอนอะไรมาก
ขากลับลงจากเนินเราแบกฟืนลงมาคนละท่อน เพราะสองวันมานี่เราผลาญไม้ฟืนของพี่ยอดไปไม่น้อยไม้ไผ่ลำใหญ่ๆ หนาๆ ติดไฟง่ายแต่ก็มอดเร็ว
เราลงมาต่อด้วยหลักไดนามิก แรงดึง แรงผลัก แรงเฉื่อย เดธพ้อยท์ กับ ครกสี อุปกรณ์แยกเปลือกออกจากข้าว ดูเหมือนว่าจะง่าย แต่ต้องใช้หลักสมดุลย์ หลายคนเข้าไปบริหารเอวแขนกันสนุกสนาน
ขั้นตอนที่ยากคือการฝัดข้าวเพื่อร่อนเอาเปลือกออก เห็นพี่ๆ พยาบาลสองสามคนฝัดด้วยท่าทางทะมัด ทะแมง เราช่วยกันคนละไม้ละมือ ฉันว่าอาหารมื้อนี้คงมีคุณค่าและประทับรอยบางอย่างไว้มากกว่ามื้อปกติ สิ่งใดที่เราเอามือเอาแรงลงไปคลุกเอง คงน่าจดจำมากกว่ารอมันมาถึงปาก
…
ความตายมักตักเตือนเราเสมอ หากเราไม่ค่อยได้ยินมันจะตะโกน
และครั้งนี้เราสะดุ้งเฮือกกับการจู่โจมของมัน
เรื่องเศร้าเกิดขึ้นกับพอวาเด็กหญิงตัวน้อย ลูกสาวของคุณสุวิชานนท์ ที่ตั้งใจจะมากับเราด้วย แต่ลูกสาวเกิดป่วยจึงต้องอยู่ดูแล
และข่าวร้ายเดินทางมาถึงไร่ในเงาเมื่อแดดบ่ายเริ่มแรง
เจ้าหน้าที่บางส่วนคงต้องออกไปก่อนในตอนเช้ามืด เพื่อให้ทันส่งเด็กน้อยกลับคืนสู่ฟ้า

คืนส่งท้าย แต่ไม่ท้ายสุด
หลังอาหารมื้อค่ำ กองไฟยังคงทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง ฉันนั่งฟังทุกคนพูดถึงความรู้สึก บางถ้อยเรียกเสียงหัวเราะ บางคำฉุกให้ชะงักฉงน ทีมงานรับฟังทุกข้อคิดเห็น แว่วความปรารถนาดีอยู่ในทุกน้ำเสียง
ฉันนั่งพิงขอบหลุมปูฟางอย่างบันเทิงอารมณ์ ตามองกองไฟ แต่ใจกลับคิดถึงสายน้ำ
‘เวลาลงไปในแม่น้ำ ลองเปิดให้สายน้ำเข้าไปชำระภายในสิ แล้วคุณจะโล่ง เย็น เบา สบาย น้ำจะเข้าไปล้างสิ่งสกปรกภายใน’ คำแนะนำของกวีชาวไร่แว่วมาตอนเราจะลงไปอาบเงา
‘ใครอาบแม่น้ำเงาแล้วจะต้องกลับมาอีก เป็นสัญญาระหว่างกัน’
ฉันไม่คิดว่า การเดินทางครั้งนี้จะเปลี่ยนใครได้แบบพลิกหน้า แต่บางคนอาจพบทางเลือก ได้ทบทวนตัวเอง บางคนอาจรับคลื่นได้ บางคนอาจถอดรหัสได้ แต่ทุกคนคงได้รับการปลูกบางสิ่งไว้บนผืนดินภายใน
ฉันเหลือบมองดาว
แม้ยังไม่รู้ว่า กลับไปแล้วจะเป็นอย่างไร แม้ยังพร่าเลือน แต่ยามนี้ฉันมีความสุขกับแสงดาว พร้อมเพื่อนใหม่ในอีกดินแดน
‘แม่น้ำเงาตอนผมอยู่กับครอบครัวก็เป็นอย่างหนึ่ง ตรงนี้ผมก็มานั่งดูดาวอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อคนสามสิบคนเข้ามา ดินแดนนี้ก็เปลี่ยนไปอีกอย่าง ผมก็ต้องเข้ามาในอีกดินแดน’
พี่ยอดชักชวนมาชมเงาที่เป็นเงาจริงๆ ยามที่ร้างเงาผู้คน
‘ไร่ในเงาเหมือนเป็นประตูเปิดสู่อีกโลก ผมเข้าไปก่อนแล้ว ผมอยากบอกให้คนเข้ามาลองดู แต่ก็เห็นว่าเกินกำลัง แล้วแต่บุญกรรม’
ทุกคนต่างเต้นรำด้วยท่วงท่าเฉพาะตัว เราอาจต้องค้นหาวิถีของตัวเอง ท่ามกลางความจำเป็นที่ถูกอ้างนานา เมื่อใช้ชีวิตจนช่ำ คุณอาจต้องการหาสิ่งที่จะช่วยพาหลุดพ้นไปจากมัน
และวันนั้น ไร่ในเงา อาจเป็นคำตอบ

เช้า คนคืนเมือง
เราช่วยกันเก็บห้องนอน ใครเก็บไม่เป็นก็ไปช่วยเก็บของเก็บขยะ หลังอาหารเช้า ทั้งหมดทยอยขนของกันลงมา ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงจึงติดขัดบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทุลักทุเล
พี่ยอด เก๋ และน้องต้นข้าว มาส่งเราลงเรือตรงที่เราขึ้นจากเรือ เราอำลาและขอสมาลาโทษสถานที่ที่เราเข้ามาเหยียบย่างล่วงเกินตลอดเวลาที่อาศัย เรามายืนเคียงกันเพื่อบันทึกภาพ นาทีนี้มีแต่รอยยิ้ม
พี่ยอดยังยืนยันว่าไม่ใช่เจ้าของสถานที่ เป็นแค่ผู้พักพิงก่อนจากลา
และเรากำลังลาจาก เรือกำลังออกจากตลิ่งเบนหัวไปทิศเดียวกับสายน้ำ
ฉันมองครอบครัวในเงาทั้งสาม ยกกล้องขึ้น
ภาพในวิวไฟน์เดอร์ไม่แจ่มชัด แต่ฉันก็กดชัตเตอร์

ภาคผนวก
ระหว่างร่องน้ำ
หลายเสียงเงียบลง ฉันนึกถึงผู้ที่ล่วงหน้าไป และอยากเขียนบางคำถึง

ลูกสาวกวี
เธอตั้งคำถามถึงชีวิตและความตาย
เธอเปิดประตู และก้าวล่วงไปในอีกดินแดน

ลูกสาวกวี
เธอทิ้งความเศร้าไว้ในหยาดน้ำตาของผู้คน
เสียงที่เราร่ำร้องคงต่างไปจากเสียงที่เธอยิน

ลูกสาวกวี
เธอทิ้งความหมายของชีวิตไว้ให้เราใคร่ครวญ
ให้เราตระหนักถึงความดับสูญทุกลมหายใจ
เธอคงไม่ปรารถนาเห็นใจที่แตกสลายซึมเศร้า

เพื่อนเอ๋ย
เราจะได้ยินเธอพูด หากเราตั้งใจฟัง
มือน้อยนั้นเฝ้าปาดรอยน้ำตา หากเรารู้สึก
ผู้คนต่างขานนามเธอ-นางฟ้า
และเพียรเฝ้าจับจ้องนภาเปล่า รอนางฟ้าปรากฏกาย
ฉันไม่เคยเห็นนางฟ้า หรือเคยเห็นแต่จำไม่ได้
ฉันขอเรียกเธอตามต้นไม้น้อย
ต้นไม้ที่จะเติบโต และเฝ้ามองผองเราเดินสู่ปลายทาง
ปลายทางที่เธอรออยู่ก่อนแล้ว




 

Create Date : 24 กันยายน 2550    
Last Update : 24 กันยายน 2550 11:01:30 น.
Counter : 2570 Pageviews.  


ลิตเติลวอเตอร์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หมายิ้มอยู่เชียงใหม่ ชอบดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ดื่มและกิน เรามีสตูดิโอชื่อ หมายิ้มสตูดิโอซึง่มีสโลแกนว่า วิดีโอเพื่อสังคมใหม่ เราชอบทำงานสื่อสร้างสรรค์อย่างวิดีโอ หนัง สารคดี แล ดนตรีร่วมสมัย ชอบเห่าดังๆให้โลกฟังถึงเรื่องราวอันผิดรูปผิดรอย เพราะอยากให้คนทุกคนมีรอยยิ้มแบบเดียวกับหมา
Friends' blogs
[Add ลิตเติลวอเตอร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.