เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

Review : Samsung Galaxy Note 3 อุปกรณ์เติมเต็มไลฟ์สไตล์ชอบขีดเขียน



การมาของ Galaxy Note 3 ถือเป็นการเติมเต็มผลิตภัณฑ์ในไลน์อุปกรณ์พกพาของซัมซุงรุ่นใหม่ให้ครบมากขึ้น หลังจากที่เปิดตัวเรือธงอย่าง Galaxy S4 ออกมาในช่วงครึ่งปีแรก และหวังว่า Note 3 จะเข้ามาสร้างปรากฏการณ์ความนิยมสินค้าในกลุ่ม Note ของซัมซุงให้กว้างมากขึ้นอีก

       โดยฟีเจอร์หลักๆของ Note 3 จะเป็นการนำความสามารถในรุ่นก่อนหน้าอย่าง S4 และ Note 8 มาผสมรวมกับฟีเจอร์ใหม่ ที่พัฒนาขึ้นมาให้ใช้ใน Note 3 จะเป็นฟังก์ชันการสั่งงานของปากกาเป็นหลักมากกว่า ส่วนที่เหลือก็แทบจะไม่แตกต่างจากรุ่นเดิมสักเท่าใดนัก

       ส่วนในเรื่องของชิปหน่วยประมวลผลอย่าง Exynos (รุ่นที่ไทยนำมาขาย) และ Snapdragon (ที่วางขายในต่างประเทศ) ก็จะมีความแตกต่างสำคัญในแง่ของเครือข่ายที่รองรับเป็น 4G และรองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ส่วนอื่นๆก็จะเป็นในแง่ของประสิทธิภาพและการจัดการพลังงานของเครื่องที่ชิปแต่ละตัวมีความแตกต่างกัน ซึ่งต้องรอความชัดเจนจากซัมซุงประเทศไทยอีกทีหนึ่ง

การออกแบบและสเปก

center


สิ่งที่พิเศษขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเลยคือในเรื่องของวัสดุที่นำมาใช้ใน Note 3 เพราะในแง่ของดีไซน์แล้วก็เหมือนเป็นการปรับแต่งให้ดูสวยคมขึ้น ตัวเครื่องมีความบางลง ประกอบกับการเลือกใช้ขอบอลูมิเนียม กับฝาหลังที่เป็นพลาสติกเคลือบหนังเทียม ทำให้ดูแล้วหรูหรามากขึ้น

       โดยขนาดรอบตัวของ Note 3 จะอยู่ที่ 151.2 x 79.2 x 8.3 มิลลิเมตร น้ำหนักราว 168 กรัม ซึ่งในประเทศไทยจะวางขายด้วยกันเบื้องต้น 2 สี คือ ดำ และขาว ส่วนสีอื่นๆอาจจะมีตามเข้ามาในอนาคต

center


ด้านหน้า - สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือหน้าจอขนาด 5.7 นิ้ว ที่เป็น Super AMOLED ให้ความละเอียด 1080p ความละเอียดเม็ดสีอยู่ที่ 386 ppi โดยส่วนบนหน้าจอก็จะเป็นช่องลำโพงสนทนา ที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับแสง ตรวจจับใบหน้า และกล้องหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ที่สามารถถ่ายวิดีโอระดับ Full HD ได้

       ส่วนล่างหน้าจอก็จะมีปุ่มกลับหน้าหลักอยู่ตรงกลาง ซึ่งสามารถกดค้างเพื่อดูแอปพลิเคชันที่เปิดใช้งานล่าสุด และกด 2 ครั้งเพื่อเรียกฟังก์ชัน S-Voice ประกบด้วยปุ่มสัมผัส สำหรับกดย้อนกลับ และเมนูขนาบซ้ายขวา ที่สำคัญคือในรุ่น Note 3 สามารถใช้ปากกา S=Pen กดบริเวณปุ่มนี้ได้เช่นเดียวกับใน Note 8 แล้วจากเดิมในรุ่นก่อนไม่สามารถกดได้

center


ด้านหลัง - อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าฝาหลังของ Note 3 จะใช้พลาสติกทำลายเป็นหนังบุลงบนพลาสติกอีกทีหนึ่ง แน่นอนว่าฝาหลังยังสามารถโค้งงอได้อยู่เช่นเดิม โดยตรงกลางบนก็จะมีกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช ที่นูนขึ้นมาเล็กน้อย ถัดลงมาก็จะมีสัญลักษณ์ซัมซุง ส่วนที่เหลือก็จะปล่อยว่างไว้

       เมื่อเปิดฝาหลังออก (มีจุดแงะอยู่แถวๆปุ่มเปิดเครื่อง) จะพบกับแบตเตอรี่ขนาด 3,200 mAh ที่มีช่องใส่ไมโครซิมการ์ด และไมโครเอสดีการ์ดซ้อนกันอยู่ส่วนบน

center

center


ด้านซ้าย - มีเพียงปุ่มปรับระดับเสียงเท่านั้น ด้านขวา - เป็นปุ่มเปิด - ปิดเครื่อง

center

center


ด้านบน - มีข่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และพอร์ตอินฟาเรต ด้านล่าง - จะมีทั้งช่องลำโพง พอร์ตไมโครยูเอสบี ที่สามารถใช้สายเฉพาะของซัมซุงสำหรับใช้เป็น USB 3.0 ให้โอนย้ายไฟล์ได้รวดเร็วขึ้น และขาร์จได้เร็วขึ้นด้วย และที่สำคัญคือช่องเก็บปากกา S-Pen

       สำหรับสเปกภายในของ Galaxy Note 3 รุ่น N9000 มาพร้อมกับชิปเซ็ต Exynos 5 Octa 5420 ซึ่งจะเป็นหน่วยประมวลผลควอดคอร์ 2 ตัว ทำงานคู่กันคือ Cortex-A15 1.9 GHz และ Cortex-A7 1.3 GHz RAM 3 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 32 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.3

       ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 3G 850 / 900 / 1900 / 2100 MHz ที่ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 42 Mbps ส่วนไวไฟรองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac มี GPS NFC บลูทูธ 4.0 มาให้ครบ ตัวหน่วยความจำสามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุด 64 GB

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ

center


ถ้าถามว่าสิ่งที่เพิ่มมาใน Note 3 จริงๆมีอะไรบ้าง ก็คงจะเน้นไปที่ระบบ Air Command ที่มีการพัฒนาฟีเจอร์ของปากกา S-Pen ให้สามารถใช้ได้หลากหลายมากขึ้น 5 รูปแบบด้วยกัน เริ่มจากการที่ถอดปากกาออกมาจากช่อง จะเห็นคำสั่ง Air Command ลอยขึ้นมา ให้เอาใช้ปากกาไปจ่อๆเลือกใช้งานได้เลย

center


       5 ฟังก์ชัน ที่อยู่ใน Air Command ประกอบไปด้วย Action Memo ที่เมื่อเรียกใช้จะเป็นการเรียกพื้นที่ขึ้นมาสำหรับจดข้อความ ความพิเศษของฟังก์ชันนี้คือ เมื่อจดออกมาเป็นประโยคหนึ่ง และด้วยความสามารถในการอ่านลายมี จะช่วยให้ข้อความเหล่านั้นสามารถแปลงไปใช้งานอย่างอื่นได้

       ส่งผลให้ผู้ใช้สามารถนำข้อความ หรือตัวเลขที่จดนั้น สั่งงานไปเป็น การโทรออก ส่งข้อความ ส่งอีเมล เปิดเว็บไซต์ ซึ่งก็จะช่วยอำนวยความสะดวกในกรณีที่จดหมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล หรือ URL เว็บไซต์ ก็จะสามารถเรียกใช้งานได้ทันที ไม่จำเป็นต้องไปนั่งพิมพ์หรือกดตัวเลขใหม่ในโหมดอื่นๆ

       ถัดมาก็คือ Scrapbook ที่เป็นการจับภาพหน้าจอเฉพาะจุด และนำไปบันทึกรวมไว้ในสมุดภาพ ช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลต่างๆที่สนใจรวมไว้ได้ อีกอันก็คือ Screen Writer เป็นการจดข้อความลงบนพื้นหลังที่เป็นหน้าจอ เพื่ออำนวยความสะดวกและส่งต่อไปยังเพื่อนๆได้ทันที

       S Finder ถือเป็นอีกฟังก์ชันที่ช่วยให้ผู้ใช้งานค้นหาไฟล์ หรือข้อมูลต่างๆทั้งในตัวเครื่อง และใช้งานร่วมกับกูเกิลในการแสดงข้อมูลที่ค้นหาได้ด้วย สุดท้ายคือ Pen Windows ที่เป็นฟังก์ชันเรียกแอปพลิเคชันลัดขึ้นมาเป็น 1 หน้าต่างเล็กๆที่อยู่บนหน้าจอ อย่างเช่นเครื่องคิดเลข เว็บเบราว์เซอร์ ยูทิวบ์ โหมดโทรศัพท์

center


       5 ฟังก์ชันนี้คือสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาหลักๆใน Note 3 นอกจากนี้ก็จะเป็นฟังก์ชันที่มีอยู่เดิมใน Note 8 หรือ S4 ที่นำมาเพิ่มความสามารถ อย่างเช่นในโหมด Multi Screen ที่เป็นการเปิดแอปฯ 2 หน้าจอ จากเดิมที่ใช้งานได้เฉพาะคนละแอปฯ แต่ใน Note 3 ก็จะมีบางแอปฯ ที่สามารถแยกหน้าต่างจากแอปฯเดียวกันได้

       ส่วนความสามารถอื่นๆ อย่าง S-Beam Air View การสั่งงานโดยไม่ใช้มือสัมผัส โหมดหน้าจออัจฉริยะ โทรออกด้วยการยกหน้าจอขึ้นแนบหู ก็ยังคงความสามารถเช่นเดียวกับใน S4 มาแทบทั้งหมด ซึ่งในจุดนี้สามารถย้อนกลับไปอ่านที่ Review : Samsung Galaxy S4 สเปกเทพ ฟีเจอร์เยี่ยม

center


       แต่ที่น่าเสียดาย สำหรับคนที่ชอบใช้ S Note ในการวาดรูปก็คือ แต่เดิมผู้ใช้สามารถกดปุ่มที่ตัว S-Pen เพื่อเปลี่ยนสี หรือแบบของปากกาได้ทันที แต่ใน Note 3 ซึ่งได้ปรับให้การกดปุ่มกลายเป็นการเรียก Air Command แทน ทำให้เวลาเปลี่ยนปากกา ต้องจิ่มเลือกเอาเหมือนใน Note รุ่นแรกแทน

center


       นอกจากนี้ฟังก์ชันการใช้งานอื่นๆอย่างเว็บเบราว์เซอร์ ก็มีมาให้ 2 ตัว คือที่เป็นตัวเบราว์เซอร์ธรรมดา และตัว Chrome สามารถเลือกใช้ได้ตามความถนัด ซึ่งทั้ง 2 ตัวสามารถใช้งาน Air View และระบบเลื่อนหน้าจออัตโนมัติได้เช่นกัน

center


       สำหรับแอปพลิเคชันที่ให้มาในเครื่องรอบนี้จะรวมๆกันอยู่ในหน้าเดียว คือมีแอปฯทั่วไปอย่างโทรศัพท์ รายชื่อ ข้อความ S Note สมุดภาพ อัลบั้มภาพ กล้องถ่ายรูป เพลง วิดีโอ แชทออน นาฬิกา ปฏิทิน อีเมล ตั้งค่า Samsunh Hub Samsunh Apps เพลยสโตร์ แผนที่ ยูทิวบ์

       ส่วนที่เหลือจะมีการสร้างโฟลเดอร์รวมไว้อย่างแอปฯของซัมซุง ก็จะมี ตัวเว็บเบราว์เซอร์ บันทึกเสียง ที่จดโน้ตย่อ Knox เครื่องคิดเลข ดูไฟล์ในเครื่อง สร้างอัลบั้มรูป S Health Group Play Link WatchOn แปลภาษา S Voice และดาวน์โหลด

       อันอื่นก็จะมีรวมๆของ แอปฯที่แถมให้ในเป็นสิทธิพิเศษอย่าง Galaxy Gift Samsung Showtime ซึ่งแอปฯพวกนี้สามารถใช้งานกับเครื่องในตระกูล Galaxy ได้ทั้งหมดอยู่แล้ว โดยโหลดผ่าน Galaxy App Center มาติดตั้งได้ทันที

center


       ที่นี้มาไล่ดูหน้าตาของแอปฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอินเตอร์เฟส อย่างในโหมดนาฬิกา ก็จะปรับให้ดูมีลูกเล่นและสวยงามขึ้น สามารถตั้งเวลา วัน และรูปแบบการเตือนได้เพิ่มมากขึ้น ใช้ดูเวลาประเทศอื่นๆในโลก จับเวลา นับเวลาถอยหลังได้ตามปกติ

center


       แหล่งรวมแอปฯ และคอนเทนต์ดีๆที่ซัมซุงคัดสรรมาให้ก็จะมีทั้ง Samsung Apps อันนี้จะเป็นการเลือกแอปฯที่น่าสนใจมาให้ผู้ใช้ได้โหลดกัน Samsung HUB จะเป็นเหมือนที่รวมคอนเทนต์อย่างหนังสือ เกม วิดีโอที่น่าสนใจ สุดท้ายก็คือ Galaxy App Center ที่เป็นแอปฯพิเศษสำหรับผู้ใช้งานชาวไทย

center


       โหมดหน้าจอโทรศัพท์ รองรับการเดาเลขหมาย และรายชื่ออยู่ ตัวแป้นมีขนาดใหญ่ขึ้นตามขนาดหน้าจอช่วยให้สามารถใช้งานได้ง่าย และแน่นอนว่ายังรองรับการโทรด่วนอย่างเช่น เปิดหน้ารายชื่อ หรือข้อความอยู่ สามารถยกขึ้นมาแนบหูเพื่อโทรออกได้ทันที หน้าจอขณะสนทนาจะมีให้เลือกเปิด-ปิดระบบตัดเสียงรบกวน พักสาย เปิดลำโพง เพิ่มสาย ได้ตามปกติ

center


       ในส่วนของโหมดกล้อง ก็แทบจะเป็นการนำฟีเจอร์ต่างๆของใน S4 มาใช้งานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพทั้งกล้องหน้ากล้องหลัง โหมดการบันทึกภาพต่างๆอย่าง บันทึกภาพพร้อมเสียง รูปต่างต่อเนื่องคล้ายวัตถุเคลื่อนไหว ลบบุคคลเคลื่อนไหวออกจากภาพ

       แต่ที่น่าเสียดายคือ ในการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ตัวกล้องจะปรับโหใดอัตโนมัติให้กลายเป็น HDR เพื่อถ่ายภาพชดเชยแสง ส่งผลให้บางจังหวะที่กล้องประมวลผลอยู่ อาจพลาดช็อตสำคัญๆไปก็ได้ ส่วนการใช้งานในโหมดวิดีโอ ก็สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p

center


       แน่นอนว่าตัวกล้องจะมีเอฟเฟกต์สีต่างๆมาให้เลือกใช้งานกันด้วย จากการกดลูกศรที่อยู่ขอบล่างของหน้าจอ ก็จะขึ้นมาให้เลือกพร้อมภาพตัวอย่าง

center


       อีกแอปฯหนึ่งที่น่าสนใจคือ KNOX ที่ทำขึ้นมาสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการความปลอดภัยของข้อมูล ด้วยการสร้างหน้าจอเสมือนในการใช้งานสมาร์ทโฟนขึ้นมา ควบคู่ไปกับการใช้งานหน้าปกติ เพียงแต่ถ้าจะเข้าสู่หน้าจอหลักของ KNOX จำเป็นจะต้องมีการใส่รหัสเพื่อยืนยันความปลอดภัย

       โดยเมื่อเข้าไปใช้งานใน KNOX ข้อมูล หรือแอปฯ ที่ลงไว้ก็จะถูกเก็บไว้ในโหมดเสมือนทั้งหมด ไม่สามารถเปิดเข้าไปจากการใช้งานในโหมดปกติได้ เหมือนเป็นการแยกหน้าจอสำหรับใช้งานทั่วไป และทำงาน (ที่ต้องการความปลอดภัยของข้อมูล) ออกจากกัน

       แนวคิดของโหมดดังกล่าว ก็จะคล้ายๆกับใน BlackBerry ที่เคยทำ Balance โหมดออกมาเพื่อแยกการใช้งานส่วนตัว และการทำงานออกจากกัน ซึ่งเชื่อแอปพลิเคชันที่จะน่าสนใจสำหรับผู้ที่นำสมาร์ทโฟนไปใช้งานเชื่อมต่อกับข้อมูลภายในบริษัทอย่างแน่นอน

center

center

center


       สุดท้ายในส่วนของการตั้งค่า ซัมซุง จะแยกรูปแบบการตั้งค่าออกเป็น 4 ส่วนด้วยกันคือ การเชื่อมต่อ อุปกรณ์ ควบคุม และทั่วไป ซึ่งแต่ละหัวข้อจะมีอธิบายอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับตั้งค่าได้เลย

       จุดที่แนะนำก็คือ ถ้าโหมดใดหรือฟังก์ชันใดไม่ค่อยได้มีการใช้งานก็ให้ปิดซะ เพื่อช่วยประหยัดแบตเตอรี่ แม้แต่เสียงปุ่มกด ความสว่างหน้าจอต่างๆ ถ้าปรับให้ลดน้อยลงได้ ก็จะช่วยประหยัดพลังงานได้เช่นเดียวกัน

center


       ในส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu ได้คะแนน 20,001 คะแนน และ 34,543 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 10 จุดพร้อมกัน

       ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo ได้ 2,598 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ 1,206 คะแนน ทดสอบกราฟิกผ่าน Nenamark1 และ Nenamark2 ได้ 60.5 fps An3dBench 8,055 คะแนน และ An3dBenchXL 48,380 คะแนน

center


       ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม Passmark PerformanceTest Mobile ได้คะแนน System 5,158 คะแนน CPU 19,312 คะแนน Disk 16,930 คะแนน Memory 3,239 คะแนน 2D Graphics 5,135 คะแนน และ 3D Graphics 1,709 คะแนน

       ส่วนการทดสอบ CF-Bench และ 3D Mark ดูรายละเอียดได้จากรูปด้านล่าง

center

center


จุดขาย

       - ความสามารถของปากกา S-Pen ที่ช่วยอำนวยความสะดวกมากขึ้น
       - หน้าจอ 5.7 นิ้ว SuperAMOLD Full HD ที่แสดงผลด้วยสีสดคมชัด
       - ฟังก์ชันต่างๆที่มีใน S4 ถูกนำมาไว้ใน Note 3 ทั้งหมด

ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่

       - ยังไม่นำรุ่นที่รองรับ 4G และสามารถถ่ายวิดีโอ 4K เข้ามาจำหน่าย
       - ฟังก์ชันกล้องถูกตัดลูกเล่นออกไปพอสมควร ไม่มีโหมดถ่ายภาพกลางคืน

ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป

ข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคที่ใช้สินค้าในตระกูล Note ซึ่งทางซัมซุง สำรวจมาพบว่าสัดส่วนการใช้งานระหว่างผู้หญิง และผู้ชายอยู่ที่ 60% ต่อ 40% ทำให้เห็นได้ว่า ในแง่ของสเปกเครื่องหรือความเทพของตัวเครื่องไม่ใช่จุดสำคัญในการขายสินค้าในไลน์นี้สักเท่าไหร่ แต่ขึ้นอยู่กับขนาดหน้าจอและความสามารถของตัวเครื่องมากกว่า

       ดังนั้นผู้บริโภคที่เหมาะกับ Note 3 คงหนีไม่พ้นผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ แน่นอนว่ามีทั้งประสิทธิภาพ และความสามารถพิเศษที่เพิ่มขี้นมาอย่างการใช้ปากกา S-Pen ในการจดบันทึก หรือแม้กระทั่งสร้างสรรผลงานออกมา โดยที่ไม่จำเป็นต้องพกกระดาษ สมุด หรือปากกาไว้ใช้งานอีกต่อไป

       แต่ถ้าคุณเป็นกลุ่มคนที่ไม่นิยมใช้ปากกาสักเท่าไหร่ (เชื่อว่าคนใช้ Note 2 ส่วนใหญ่ หยิบปากกาออกมาใช้แค่ช่วงแรก) ก็ยังมีตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดอีกหลายรุ่น ซึ่งราคาประหยัดกว่าให้เลือกใช้กัน รวมถึงเรือธงรุ่นก่อนหน้าอย่าง Galaxy S4 ด้วย

       เพราะกับราคาเปิดตัวที่ 23,500 บาท แม้ว่าจะให้มาเป็นรุ่น 32 GB แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่งในระดับไฮเอนด์เหมือนกันอย่าง LG G2 จะอยู่ที่ 19,990 บาท หรือกระทั่ง Sony Xperia Z1 ก็อยู่ที่ 20,990 บาท ทำให้มีตัวเลือกค่อนข้างเยอะในตลาดนี้

       ส่วนรีวิว Galaxy Gear ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมที่วางจำหน่ายพร้อมกับ Note 3 รอติดตามได้เร็วๆนี้ครับ

Company Related Links :
Samsung


//www.manager.co.th/CbizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9560000125519




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2556   
Last Update : 6 ตุลาคม 2556 17:52:34 น.   
Counter : 1822 Pageviews.  

'ซัมซุง' ทำไมถึงทำกับฉันได้ ?!? (Cyber Weekend)



การเปิดตัว Samsung Galaxy Note 3 มาพร้อมกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหู ถึงสเปกเครื่องที่เลือกวางจำหน่ายในเมืองไทย โดยความแตกต่างของซีพียูกลายเป็นประเด็นที่พูดกันถึงมากสุด ทั้งในส่วนของความเร็ว ความร้อน ถ่ายวิดีโอแบบ 4K หรือแม้กระทั่งการรองรับเครือข่าย 4G LTE ที่เมืองไทยยังมีผู้ให้บริการเพียงรายเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าประเด็นดังกล่าวยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนถึงคำว่า’ดีกว่า’ แต่กระนั้นสิ่งที่ผู้บริโภคอยากได้จากซัมซุงก็คือ ‘ทางเลือก’ ที่ผู้บริโภคขอเป็นคนตัดสินใจเองก็เท่านั้น

       Samsung Galaxy Note 3 เริ่มเปิดให้จองอย่างเป็นทางการในไทยตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน โดยเริ่มรับเครื่องได้ช่วงวันที่ 25-28 กันยายนที่ผ่านมา แต่เครื่องที่ได้รับภายใต้การนำเข้าของ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด คือรุ่น N9000 ซึ่งเป็นรุ่นที่เลือกใช้ชิปประมวลผลของค่ายซัมซุงเอง นั่นก็คือ Exynos 5 Octa 5420 ความเห็นต่างของผู้บริโภคที่ต้องการจะใช้หน่วยประมวลผลของ Qualcomm Snapdragon 800 จึงเริ่มระเบิดขึ้นบนโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง

เพราะหลายคนเชื่อว่า ในเมื่อตลาดประเทศไทยที่มีกำลังซื้อมือถือปีละกว่า 20 ล้านเครื่องโดยแบ่งเป็นสมาร์ทโฟนกว่า 40% และหากซัมซุงมองไทยเป็นตลาดสำคัญในแถบอาเซียนจริง ถึงยังไม่มีโครงข่าย 4G LTE ครอบคลุมในวงกว้างเหมือนมาเลเซีย สิงคโปร์และฟิลิปปินส์ ก็ตาม แต่ซัมซุงก็น่าจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภคชาวไทยอย่างSamsung Galaxy Note 3 ที่ใช้ชิป Qualcomm Snapdragon 800 ในรุ่น N9005

       Exynos 5 Octa เป็นชิปที่ ซัมซุง พัฒนาและต่อยอดแนวทางการพัฒนาเดิมของ ARM หลังจากที่ซื้อลิขสิทธิ์มาจาก ARM โดยชิปดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นเป็นรุ่นที่ 5 ซึ่งใช้รหัสว่า Exynos 54xx แบ่งเป็นรุ่น 5410 อยู่ใน Galaxy S4 และรุ่น 5420 จะอยู่ใน Galaxy Note 3 ทั้งนี้ภายในของชิป Exynos 5 Octa จะใช้ซีพียูสองชุดประกอบด้วยชิปประสิทธิภาพสูง (ARM Cortex-A15) และชิปกินไฟต่ำ (ARM Cortex-A7) แสดงผลวิดีโอสูงสุด Full HD (1920x1080 พิกเซล) และเพิ่มเทคโนโลยี Heterogeneous Multi-Processing (HMP) ซึ่งจะครอบซีพียูทั้งแปดหัวและแบ่งการทำงานให้เหมาะสมกับแต่ละซีพียูโดยอัตโนมัติ จากเดิมที่จะแบ่งการทำงานเฉพาะงานหนักและงานเบาเท่านั้น

       ส่วน Snapdragon 800 นั้นเป็นชิปเซ็ตประมวลผลจาก Qualcomm ซึ่งรวมความสามารถของซีพียู Krait 400 ควอดคอร์ ความเร็ว 2.3GHz หน่วยประมวลผลภาพภายในชิปแบบ Adreno 330 รองรับ 4G LTE Cat 4 และ 802.11ac แสดงผลวิดีโอสูงสุดระดับ UltraHD หรือ 4K (4096x2304 พิกเซล) นอกจากนี้ Qualcomm ยังเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมที่เป็นส่วนประกอบของซีพียูอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น QuickCharge หรือ EnnvelopTracker ที่ใช้บีบขยายคลื่นสัญญาณ 4G เพื่อให้เกิดการประหยัดไฟสูงสุด

ทั้งนี้จากกระแสของโลกออนไลน์มีการเปรียบเทียบความสามารถของทั้ง 2 ซีพียูในหลากหลายแง่มุม ยกตัวอย่างเช่นชิป Snapdragon 800 รองรับ 3Gทุกค่าย 2100/1900/900/850MHz และ 4G ทุกเครือข่ายในประเทศไทย 2100/1800/850/1600/800MHz (Bands 1,3,5,7,20) ขณะที่ชิป Exynos 5 Octa ไม่รองรับการใช้งาน 4G LTE แต่รองรับ 3G ทุกเครือข่ายเช่นเดียวกัน

       Snapdragon 800 ยังรองรับการถ่ายวิดีโอคุณภาพสูง 4K UHD ความละเอียด 3840 × 2160 ที่ 2160p@30fps เหนือกว่ารุ่น Exynos 5 Octa ที่ถ่ายวิดีโอได้เพียงระดับ Full HD เท่านั้นและ Snapdragon 800 ยังสามารถถ่าย 1080p@60fps สำหรับการตัดต่อที่มีคุณภาพสูง พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slowmotion (สโลโมชัน) ที่ความละเอียด 720p@120fps (ช้าลง 4 เท่าเมื่อ playback ที่ 30fps) ในขณะที่ Exynos 5 Octa ทำได้ดีที่สุด 1080p@30fps ไม่สามารถถ่ายวิดีโอเพื่อทำสโลโมชันได้

       อีกทั้งในส่วนของ Exynos 5 Octa ไม่รองรับวิทยุดิจิตอล ในขณะที่รุ่น Snapdragon 800 มีวิทยุที่รับความถี่ FM radio ได้ในช่วงความถี่ 87.5-108 MHz ซึ่งเป็นย่านเดียวกับที่ประเทศไทยใช้ และ Snapdragon 800 ยังได้รับการยอมรับจากนักพัฒนา แอปพลิเคชั่นและค่ายผู้ผลิตมือถือก็เลือกใช้ชิป Snapdragon 800 กันมากพอสมควร จึงอาจจะส่งผลให้การอัปเดตโปรแกรมต่างๆในอนาคตของ Snapdragon 800 อาจจะถูกพัฒนาขึ้นก่อนชิปอีกค่าย แต่ก็อาจจะเป็นเพียงบางแอปพลิเคชันเท่านั้น ขณะที่การอัปเดตระบบหลักอย่างเฟิร์มแวร์ก็อาจจะส่งผลให้ Snapdragon 800 ได้รับการอัพเดท ฟีเจอร์ใหม่ก่อนชิปรุ่นอื่นๆ ในอนาคตก็เป็นได้

       จากการสำรวจราคาเครื่อง Samsung Galaxy Note 3 รหัสเครื่อง N9005 ในต่างประเทศที่มีการจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว ปรากฏว่าเครื่องที่จำหน่ายในต่างประเทศ ราคาไม่แตกต่างจากเครื่องที่จำหน่ายในประเทศไทยมากนัก โดยประเทศรอบอาเซียนที่มีวางจำหน่ายเครื่องรหัส N9005 แล้ว ได้แก่ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงค์โปร์ ขณะที่ตู้มือถือมาบุญครอง มีการหิ้วเครื่องรุ่นนี้เข้ามาจำหน่ายแล้วในราคาประมาณ 24,000 บาทหรือสูงกว่ารุ่น N9000 ไม่กี่ร้อยบาท

ด้านวิชัย พรพระตั้ง รองประธานธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวในงานเปิดตัว Samsung Galaxy Note3 ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมาว่าการนำเข้าเครื่องที่ใช้ชิปแบบ Snapdragon 800 กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา โดยการนำเข้าเครื่องอาจจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งอาจจะต้องมีการนำเข้าอุปกรณ์เพื่อทำการทดสอบร่วมกับเน็ตเวิร์กก่อนที่จะนำเข้ามาจำหน่ายเชิงพาณิชย์จริง ทั้งนี้โอกาสของการที่ซัมซุงจะนำเข้าเครื่องรหัส N9005 เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยก็ยังมีสิทธิ์ที่จะเกิดขึ้นได้

       อาจไม่บ่อยครั้งนักที่ซัมซุงต้องเผชิญความท้าทาย จากโลกออนไลน์ ที่นำเรื่องชิปประมวลผลที่ทำให้คุณสมบัติของสินค้าที่รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกัน แต่ประสิทธิภาพการทำงานต่างกัน มาจุดประเด็นให้กลุ่มคนที่กำลังตื่นเต้นกับสินค้ารุ่นใหม่ ให้เพ่งพิจารณาอย่างรอบคอบ เหมือนที่กำลังเกิดกับ Samsung Galaxy Note 3 เพราะเชื่อว่าคนที่เป็นแฟนซัมซุง อาจสงสัยและไม่เข้าใจว่า ทำไมการทำตลาดของซัมซุงจะต้องผูกไว้กับเรื่องเน็ตเวิร์ก 4G LTE เท่านั้น เพราะหากก้าวข้ามเรื่องโครงข่ายแล้ว Snapdragon 800 ยังมีคุณสมบัติมากมายที่ดีและเร้าใจกว่าExynos 5 Octa

ในเมื่อต้องเสียเงินหลัก 2 หมื่นกว่าบาทแล้ว ก็น่าจะได้สินค้าที่คุณภาพสูงที่สุด มิใช่เหรอ!!


//www.manager.co.th/CBiZReview/ViewNews.aspx?NewsID=9560000124059




 

Create Date : 05 ตุลาคม 2556   
Last Update : 5 ตุลาคม 2556 18:35:52 น.   
Counter : 1255 Pageviews.  

ส่องโปรโมชันโดนใจในงาน “Thailand Mobile Expo 2013 Showcase”

        เปิดโผโปรโมชันโดนใจส่งท้ายปี ที่งาน“Thailand Mobile Expo 2013 Showcase” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 3-6 ตุลาคมนี้ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยภายในงานนอกจากจะมีมือถือรุ่นใหม่ล่าสุดจากทุกค่ายทุกแบรนด์มาให้ลองสัมผัสแล้ว โปรโมชันแรงส่งท้ายปีทั้งในส่วนของมือถือ แก็ดเจ็ต อุปกรณ์เสริม และแบตเตอรี่สำรอง ต่างขนทัพมาลดราคาเรียกลูกค้าอย่างครบครัน ทีมงานไซเบอร์บิซจึงรวบรวมโปรโมชันแบ่งหมวดหมู่ตามประเภทอุปกรณ์มาให้ได้ชมกัน ก่อนเดินชมของจริงอย่างมีเป้าหมาย โดยเริ่มจากโปรโมชันมือถือที่ร้อนแรงกว่าใคร





























































       หรือจะเป็นแท็บเล็ตที่ไม่น้อยหน้า และต้องถือว่าราคาเครื่องจีนแต่สเปกน่าลองมีให้เลือกมากขึ้น















       ตามติดมาด้วยแก็ดเจ็ตไอทีที่มีให้เลือกมาลองเล่นมากมาย

























       และส่วนที่ขาดไม่ได้สำหรับการตกแต่งมือถือสุดรัก คืออุปกรณ์เสริมต่างๆ































       หากแบตเตอรี่มือถือหมดเร็วก็คงต้องหวังพึ่ง แบตเตอรี่สำรองที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบัน















       โปรโมชันอินเทอร์เน็ตพร้อม โปรโมชันการผ่อนของสถาบันการเงินต่างๆภายในงาน





























Company Related Link :
Thailand Mobile Expo


//www.manager.co.th/CBizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9560000123976




 

Create Date : 02 ตุลาคม 2556   
Last Update : 2 ตุลาคม 2556 17:24:34 น.   
Counter : 1657 Pageviews.  

Review: HTC Desire 600 Dual SIM เครื่องแรงจริง



       HTC Desire 600 อาจจะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการออกแบบสไตล์นี้เป็นอย่างมาก แม้ว่าครั้งนี้จะขาดความหรูหราของวัสดุที่เลือกใช้ไปบ้าง เนื่องจากภายในที่จัดเต็มฮาร์ดแวร์สำหรับการใช้งานโดยเฉพาะ พร้อมกดราคาต่ำลงจนทำให้หลายๆคนแทบอดใจไม่อยู่ กระนั้นความต่อเนื่องของการอัปเดตที่มักจะถูกลืมสำหรับเครื่อง HTC ก็เป็นอีกสิ่งที่ผู้บริโภคต้องยอมรับความจริง แต่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบฟีเจอร์ของเครื่องและไม่ต้องการการอัปเดตเครื่องต่อเนื่องเช่นสาวกไอโฟน HTC Desire 600 ก็ถือว่าเป็นอีกเครื่องที่น่าใช้เป็นอย่างมาก



การออกแบบและสเปก

       การออกแบบของ HTC Desire 600 ถือว่าทำออกมาได้ดี เนื่องจากความเนียนเรียบของชิ้นงานที่ไม่มีร่องรอยให้เห็นหรือสะดุดมือแต่อย่างใด และแม้ว่าจะไม่ได้เลือกใช้วัสดุระดับพรีเมียมอย่างที่ HTC เคยทำมา แต่ก็มีสิ่งที่สะท้อนความเป็น HTC ได้มากที่สุดนั่นก็คือรูปร่างโดยรวมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ HTC ซึ่งแทบจะมีให้เห็นในทุกรุ่นก่อนหน้า นั่นคือ “ความมีเหลี่ยมที่คมซ่อนอยู่ในความมนและเรียบเนียน พร้อมแนวลำโพงที่เป็นเอกลักษณ์” โดยมีให้เลือกถึง 2 สี ขาว-แดง และดำ-แดง โดยกรอบของเครื่องจะเป็นสีตามที่เลือกในขณะที่ภายในตัวเครื่องจะเป็นสีแดง



ด้านหน้า - ด้วยหน้าจอขนาด 4.5 นิ้วแบบสัมผัส ความละเอียด qHD แม้ว่าจะไม่ใช่ Full HD แต่ก็ให้สีสันที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งหน้าจอขนาดเท่านี้ความละเอียดมากๆก็ไม่แตกต่างกัน ลำโพงแนวยาวซึ่งเป็นเอกลักษณ์การออกแบบของ HTC มาตั้งแต่สมัยแรกๆก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งความสวยที่สนับสนุนชิปของ Beat Audio ที่อยู่ภายในได้เป็นอย่างดี ขณะที่ด้านล่างจะมีปุ่มโฮมและย้อนกลับขนาบข้างโลโก้ HTC กล้องด้านหน้าขนาด 1.6 ล้านพิกเซลถูกวางไว้ที่มุมด้านขวาบนอย่างลงตัว



ด้านบน - มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐาน พร้อมร่องสำหรับเปิดฝาหลังและปุ่มเปิดปิดเครื่องที่มีให้เห็นอย่างชัดเจน



ด้านขวา - จะมีปุ่มปรับเพิ่มและลดเสียงแบบปุ่มเดียวยาว สีเดียวกับตัวเครื่อง ขณะที่ด้านซ้ายจะไม่มีปุ่มหรือรอยใดๆเลย



ด้านล่าง - มีช่องเสียบไมโครยูเอสบีอยู่ตรงกลาง พร้อมช่องดูดเสียงสำหรับไมโครโฟนที่ซ่อนอยู่ภายในเครื่อง



ด้านหลัง - มีกล้องพร้อมไฟแฟลชอยู่ด้านข้าง แม้ว่าจะวางไว้ในตำแหน่งตรงกลางด้านบนแต่ก็ยังแอบมีการออกแบบพื้นผิวบริเวณนั้นให้มีลายแบบสวยงามพอดูดี ย้อนกลับมาที่ตรงกลางเครื่องมีโลโก้ HTC สีเทาแบบนูนบนผิวพลาสติกซึ่งก็ให้ความรู้สึกที่ดี โดยอาจจะเป็นเพราะสีของฝาหลังแบบมันวาวสีขาวสะอาดตาช่วยขับให้โลโก้แบบเรียบนูนดูเด่นขึ้นมาสวยงาม โดยด้านล่างสุดจะเป็นสัญลักษณ์ของ Beat Audio ที่บ่งบอกว่าภายในมีชิปเสียงนี้อยู่แน่นอน



       HTC Desire 600 Dual SIM มาพร้อมหน่วยประมวลผลแบบควอดคอร์ 1.2 GHz Qualcomm® Snapdragon 200 หน้าจอซูเปอร์แอลซีดี 2 ขนาด 4.5 นิ้วความละเอียด 540 x 960 พิกเซล กล้องด้านหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซลและกล้องด้านหน้าความละเอียด 1.6 ล้าน บนระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ Jelly Bean มาพร้อมอินเตอร์เฟสแบบ เอชทีซี เซนส์ 5 พร้อมฟีเจอร์ HTC Blinkfeed ช่วยอัพเดตโลกโซเชียลผ่านหน้าโฮมสกรีนได้อย่างรวดเร็ว แรมขนาด 1GB DDR2 หน่วยความจำในตัว 8 GB รองรับ ไมโคร SD การ์ด ได้มากที่สุดถึง 64 GB รองรับการใช้งาน 2 ซิมพร้อมกัน ขนาดตัวเครื่อง 134.8 x 67 x 9.26 มิลลิเมตร น้ำหนัก 130 กรัม รวมแบตเตอรี่




       ระบบสัญญาณ 3G แบบ HSPA/UMTS ย่านความถี่900/2100 MHz GSM/GPRS/EDGE: 900/1800/1900 MH ช่องต่อหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตร รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายผ่านบลูทูธ 4.0 และ Wi-Fi®: IEEE 802.11 a/b/g/n แชร์ไฟล์มัลติมีเดียผ่านเทคโนโลยี DLNA® รองรับพอร์ต Micro-USB มีระบบ NFC และ HTC Connect ช่วยให้การเชื่อมต่อระยะใกล้เป็นเรื่องง่าย



       กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพ BSI sensor รูวัดแสง F2.0 เลนส์กล้องขนาด 28mm ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ (Auto Focus) พร้อมไฟแฟลช LED แบบ Smart Flash: ปรับความสว่างของแฟลชได้ถึง 5 ระดับตามระยะห่าง บันทึกวีดีโอที่ความละเอียด 720p กล้องหน้าความละเอียด 1.6 ล้านพิกเซล BSI sensor พร้อมฟังก์ชัน Video Highlight และ HTC Share



       แบตเตอรี่ชนิด Li-ion polymer ขนาด 1,860 mAh รองรับการสนทนาต่อเนื่องนานถึง 11.1 ชั่วโมงสำหรับ WCDMAและสนทนาได้นานสูงสุด 11.4 ชั่วโมงสำหรับระบบ GSM ในชุดมาพร้อมอุปกรณ์แปลงไฟฟ้าแรงดันไฟฟ้า: 100 - 240 V AC ความถี่ 50/60 Hz แบบ DC output: 5 V ขนาด 1 A

ฟีเจอร์เด่น





       ความแรงของหน่วยประมวลผลแบบควอร์ดคอร์ที่เป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดีถึงความแรงในการใช้งาน แต่กระนั้นก็ต้องแลกมาด้วยความร้อนที่สูงขึ้นพร้อมระยะเวลาของแบตเตอรี่ที่น้อยลงอย่างรวดเร็วตามไปด้วย สิ่งสำคัญของการใช้งานเครื่องที่แรงคือการใช้งานอย่างถูกวิธี โดยไม่เปิดโปรแกรมค้างไว้อย่างไม่จำเป็นก็จะเป็นการช่วยให้แบตเตอรี่อยู่นานขึ้น



       HTC Desire 600 Dual SIM ยังมาพร้อมระบบเสียง HTC BOOMSOUND ระบบสเตอริโอจากลำโพงด้านหน้าที่เห็นเรียงเป็นแถวยาว โดยภายในประกอบด้วยชิปขยายบีทส์ ออดิโอ โดยรวมถือว่าเสียงที่ได้ยังไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่นัก เนื่องจากเมื่อเปิดเสียงดังจนสุด มีอาการเสียงแตกซ่าของลำโพงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะเกิดเฉพาะเครื่องหรือไม่อย่างไร แต่กระนั้นเสียงของเบสที่ถ่ายทอดออกมาก็ยังหนักแน่นมากกว่ามือถือเครื่องอื่นๆที่นำมาเทียบกัน



       กล้องหลังพร้อมไฟแฟลชช่วยเติมเต็มให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ครบเครื่องมากยิ่งขึ้น แม้ว่าจะมีขนาดรูรับแสงที่กว้างถึง f/2.0 แต่เมื่อลองถ่ายดูก็ยังไม่เห็นความแตกต่างเท่าที่ควร โดยรวมจึงถือว่ายังไม่โดดเด่นด้านกล้องถ่ายภาพ ซึ่งก็แน่นอนเพราะว่า HTC Desire 600 เน้นเรื่องเสียงก่อนนั่นเอง



       HTC Blinkfeed ช่วยให้การติดตามเรื่องราวสังคมออนไลน์ถูกรวมไว้ในหน้าเดียวได้อย่างครบถ้วน ช่วยให้สะดวกในการติดตามเรื่องราวจากหน้าแรกของมือถือได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าการอัปเดตออนไลน์ตลอดเวลาจะทำให้ปริมาณข้อมูลมากขึ้นตามไปด้วย



       ระบบนำทางแบบ GPS พร้อม Google Maps เวอร์ชันล่าสุดพร้อมระบบนำทางด้วยเสียงแบบภาษาไทย ช่วยให้มือถือกลายเป็นเครื่องนำทางได้อีกประโยชน์หนึ่ง และเท่าที่สังเกตการณ์แสดงผลของสัญญาณ GPS ก็ค่อนข้างจับดาวเทียมได้ไวอยู่พอสมควร การนำทางเบื้องต้นแม้ว่าไม่ได้ทดสอบออกนอกสถานที่อย่างจริงจังก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจอยู่พอตัวเลยทีเดียว



       2 ซิม Dual Active เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ผู้ผลิตพร้อมใจกันนำเสนอ โดยผู้ผลิตเคลมว่าสามารถโทรเข้าพร้อมกันสองสายได้ โดยที่ไม่ต้องคอยสลับเบอร์การใช้งาน ช่วยให้สะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการแยกเบอร์ส่วนตัวและเบอร์ทำงานออกจากกัน แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าฟีเจอร์ดังกล่าวเรามักเห็นอยู่ในเครื่องมือถือจีนเป็นส่วนใหญ่



       การทดสอบเปิดหน้าเว็บสามารถทำได้ปกติดี การแสดงผลครบถ้วน



       วิดีโอไฮไลต์ (Video Highlight) เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้การสร้างวิดีโอส่วนตัวจากภาพที่อยู่ในเครื่องด้วยการสัมผัสเพียงไม่กี่ครั้ง ก็สามารถทำให้ได้วิดีโอไฮไลต์ส่วนตัว พร้อมเพลงประกอบเอาไว้ดูเพลินๆหรือจะเป็นการนำเสนอแนวความคิดก่อนทำภาพยนตร์จริงก็เป็นได้

ทดสอบประสิทธิภาพ



       เริ่มที่การทดสอบด้วยโปรแกรม มาดูการทดสอบอื่นๆ Quadrant Standard โดยได้คะแนนอยู่ในระดับกลาง 3,498 คะแนน ด้านโปรแกรม Vellamo ในส่วนของ HTML5 ได้คะแนน 1,472 คะแนน ด้าน Metal ได้คะแนน 332 คะแนน ขณะที่การทดสอบมัลติทัชหน้าจอก็ทำได้คะแนนสูงสุด 10 จุดพร้อมกัน



       การทดสอบเล่นเกมแข่งรถที่เรียกความสามารถของการประมวณผลแบบโหดเล็กน้อย สามารถเล่นได้ลื่นไหลดีไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ภาพที่ได้สีสันครบได้อารฒณ์ไปอีกแบบ



       การทดสอบประสิทธิภาพเครื่องผ่าน AnTuTu V3 สามารถทำคะแนนได้ 8,612 คะแนน ทดสอบด้วยโปรแกรม Antutu 3D ได้คะแนน 1,943 คะแนน การทดสอบด้านอนิเมชันด้วยโปรแกรม Nenamark1 ได้คะแนน 60.0 fps และ Nenamark2 ได้คะแนน 38.5 fps



       ผลการทดสอบด้วยโปรแกรม Passmark Performance Test ได้คะแนน System 1,437 คะแนน CPU ได้คะแนน 5,529 คะแนน Disk 1,857 คะแนน Memory ได้คะแนน 1,249 คะแนน 2D ได้ 1,467 คะแนน และสุดท้าย 3D ได้ 468 คะแนน ถือว่าทำคะแนนได้อยู่ในระดับกลางๆตามระดับราคา

       ส่วนผลการทดสอบของโปรแกรม CF Benchmark สามารถดูได้จากด้านล่าง



จุดขาย

       - สเปกแรงแบบควอดคอร์ 1.2 GHz Qualcomm® Snapdragon™ 200
       - HTC Blinkfeed รวมทุกโซเชียลไว้ที่หน้าจอเดียว
       - ราคา 11,900 คุ้มกับความแรงซีพียู
       - สร้างวิดีโอจากรูปถ่ายด้วยฟีเจอร์ “วิดีโอไฮไลต์”
       - กล้องรูรับแสง f/2.0 สร้างมิติชัดลึกชัดตื้นได้ดี
       - มีชิปเสียง Beat Audio ช่วยเพิ่มพลังเสียง

ข้อสังเกต

       - แม้ว่าจะเป็นควอดคอร์ 1.2 GHz Snapdragon™ 200 แต่คะแนนการทดสอบโดยรวมยังถือว่าไม่แรงเท่าไหร่
       - ลำโพงยังให้เสียงที่ไม่สมกับเป็น Beat Audio แนะนำว่าควรฟังกับหูฟังที่เป็น Beat Audio ด้วยจึงจะได้คุณภาพเสียงจากชิปอย่างดีเยี่ยม
       - กล้องหลังแม้ว่าจะมี f/2.0 แต่ไม่สามารถปรับตั้งค่าเองได้ จึงอาจจะใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่
       - แบตเตอรี่อาจจะน้อยเกินไปสำหรับเครื่อง เนื่องจากความสามารถเยอะการใช้งานตลอดทั้งวันเกิดขึ้นยาก เพราะในความจริงมักใช้งานกันเต็มที่

ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป

       หากมองในส่วนของการออกแบบแล้วถือว่าเครื่องระดับราคานี้สำหรับแบรนด์ HTC ถือว่าน่าจับจองเป็นอย่างมาก แต่ถ้ามองในส่วนของการใช้งานด้าน Beat Audio แล้วส่วนตัวมองว่ายังให้เสียงไม่เต็มที่เท่าไหร่ ขณะที่อินเตอร์เฟสของการใช้งานถือว่าใช้งานโซเชียลมีเดียได้ง่ายขึ้นด้วย HTC Blinkfeed แต่ก็ยังมีความรู้สึกลึกๆในใจว่าจะมีอัปเดตออกมาให้ใช้ในอนาคตหรือไม่

       มองในส่วนของสเปกก็เรียกว่าคุ้มค่าสำหรับการเลือกซื้อ เพราะโดยรวมถือว่าเป็นเครื่องที่มีสเปกสูงแม้ว่าผลการทดสอบจะยังคงอยู่เพียงกลางๆเท่านั้น ที่สำคัญแบตเตอรี่สำหรับเครื่องควอดคอร์น่าจะมีมาให้มากกว่า 2000 mAh หรือไม่ ซึ่งเมื่อแบตเตอรี่น้อยแต่ความสามารถเยอะก็เหมือนกับคนตัวใหญ่แต่มีข้าวให้ทานน้อย การใช้งานก็สามารถทำได้เพียงพลังงานที่ป้อนเข้าไปเท่านั้น อาจจะต้องปรับเปลี่ยนขนาดของแบตเตอรี่ให้สอดคล้องกับความสามารถของเครื่องระดับ ควอดคอร์ 1.2 Ghz ก็น่าจะดี

       HTC Desire 600 Dual SIM นับว่าคุ้มถ้าจะจับจองมาเป็นเจ้าของ สำหรับการใช้งานที่ไม่หักโหมจนเกินไป เพราะถ้าเป็นกลุ่มคนใช้งานเครื่องหนักอาจจะรู้สึกรำคาญในเรื่องของแบตเตอรี่ที่หมดก่อนเวลาอันควรก็เป็นได้ ทั้งนี้ HTC Desire 600 Dual SIM มีให้เลือก 2 สี ขาว และดำ วางจำหน่ายแล้วด้วยราคาเปิดตัว 11,900 บาท

Company Related Link :
HTC

//www.manager.co.th/CbizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9560000117351




 

Create Date : 30 กันยายน 2556   
Last Update : 30 กันยายน 2556 21:30:38 น.   
Counter : 1638 Pageviews.  

Review : Nokia Lumia 1020 การกลับมาของเพียววิวคาเมร่า 41 ล้านพิกเซล



เมื่อปีก่อนโนเกียเคยพัฒนาสมาร์ทโฟนที่รันบน Symbian Belle กับ Nokia 808 PureView ที่มาพร้อมกล้องความละเอียด 41 ล้านพิกเซลและเทคโนโลยี Lossless Zoom ซึ่งสร้างเสียงฮือฮาให้กับวงการถ่ายภาพได้อย่างมาก

       มาวันนี้เทคโนโลยีเหล่านั้นถูกรีบู๊ตและแจ้งเกิดใหม่อีกครั้งกับ Lumia 1020 ที่รันบนระบบปฏิบัติการ Windows Phone 8 อย่างเต็มรูปแบบพร้อมดีไซน์ใหม่หมดดูลงตัวกว่า 808 PureView อย่างมาก

การออกแบบและสเปก



       สำหรับดีไซน์ของ Lumia 1020 จะเป็นแบบ monoblock ใช้วัสดุโพลีคาร์บอเนตผลิตทั้งหมด โดยหน้าจอเป็นกระจก Corning Gorilla Glass 3 ขนาด 4.5 นิ้ว ความละเอียด WXGA 1,280x768 พิกเซล อัตราส่วน 15:9 334ppi มาพร้อมเทคโนโลยี ClearBlack ให้สีดำเป็นดำสนิท AMOLED และ PureMotion HD+ ที่ช่วยให้ภาพที่แสดงบนหน้าจอมี Refresh Rate 60Hz รวมถึงมีระบบ Sunlight readability enhancements ที่ช่วยบู๊ตความสว่างหน้าจออัตโนมัติเมื่อต้องใช้งานในที่มีแสงอาทิตย์จัด

       ด้านระบบสัมผัสจะเป็น Super sensitive touch มีความไวต่อการสัมผัสหน้าจอที่สูง สามารถตั้งต่าความไวในการสัมผัสหน้าจอได้ และเมื่อใส่ถุงมือก็ยังสามารถสัมผัสหน้าจอได้อย่างลื่นไหน

       ในส่วนน้ำหนักของ Lumia 1020 อยู่ที่ 158 กรัม หนา 10.4 มิลลิเมตร



มาที่ด้านหลังจะเป็นที่อยู่ของกล้องถ่ายภาพความละเอียด 41 ล้านพิกเซลบนเซ็นเซอร์ BSI PureView ขนาด 1/1.5 นิ้ว ประกบเลนส์ Carl Zeiss f/2.2 ออโต้โฟกัส ระยะเลนส์เป็นไวด์ 26 มิลลิเมตร สามารถโฟกัสวัตถุได้ใกล้สุด 15 เซนติเมตร พร้อมไฟแฟลช Xenon flash ยิงได้ไกล 4 เมตร และไฟช่วยหาโฟกัส พร้อมระบบซูม High resolution zoom 3x ที่ใช้เทคนิคการครอปภาพจากความละเอียดสูงสุดผ่านเทคโนโลยีของโนเกียทำให้ภาพซูมที่ได้เหมือนซูมจากเลนส์ Optical ในกล้องคอมแพกต์ทั่วไป อีกทั้งตัวกล้องยังมาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว Optical image stabilization ในแบบฮาร์ดแวร์จริงไม่ใช่ซอฟท์แวร์เหมือนคู่แข่ง ซึ่งสามารถป้องกันภาพสั่นไหวที่ความเร็วชัตเตอร์ต่ำสุด 1/4 วินาที

       สำหรับค่าความไวแสง (ISO) ผู้ใช้สามารถปรับได้ตั้งแต่ 100-3,200 ส่วนวิดีโอสามารถบันทึกภาพที่ความละเอียดสูงสุด 1,920x1,080 พิกเซล 30 เฟรมต่อวินาทีพร้อมความสามารถในการซูมภาพในโหมดวิดีโอ 6 เท่า


       ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 1,280x960 พิกเซลพร้อม f/2.4 ส่วนการบันทึกวิดีโอโดยกล้องหน้าสามารถทำได้ที่ความละเอียด 720p เท่านั้น



       และถ้าสังเกตบริเวณด้านหลังสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามีขั้วไฟ 2 ขั้วสำหรับใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมได้เช่น กริปพร้อมแบตเตอรีทำให้จับกระชับมือขึ้นหรือจะเชื่อมต่อกับ Nokia Wireless Charging Cover ที่โนเกียแยกออกมาขายเป็นเคสประกบหลัง Lumia 1020




       ในส่วนพอร์ตเชื่อมต่อรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านล่างจะเป็นพอร์ต MicroUSB พร้อมลำโพงขยายเสียง ส่วนด้านบนตรงกลางเป็นช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ถัดไปทางขวาเป็นช่องใส่ MicroSIM



       ส่วนปุ่มกดต่างๆ จะติดตั้งอยู่ด้านขวาของตัวเครื่องทั้งหมด เริ่มจากซ้ายสุดของภาพคือปุ่มชัตเตอร์ ถัดมาตรงกลางเป็นปุ่มเปิด-ปิด-Lock หน้าจอ เครื่องและปุ่มสุดท้ายคือปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง



       มาดูในส่วนของสเปกเครื่อง สำหรับรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบติดตั้ง Windows Phone 8 + Lumia Amber ตัวล่าสุด ซีพียูที่ใช้เป็น Qualcomm Snapdragon S4 Dual Core 1.5GHz ทำให้ระบบเครือข่ายโทรศัพท์ 3G สามารถรับคลื่นความถี่ในไทยได้ทั้งหมด ส่วน 4G LTE รองรับแบรนด์ 1,3,7,8,20 (รับ 4G LTE ของทรูมูฟเอช) RAM ให้มา 2GB หน่วยเก็บข้อมูลภายใน 32GB พร้อม Cloud Storage : SkyDrive เพิ่มอีก 7GB เมื่อเปิดใช้งานภายในเครื่อง

       ในส่วนระบบเชื่อมต่อต่างๆ Lumia 1020 มาพร้อม NFC, WiFi, DLNA, Bluetooth 3.0 และเซ็นเซอร์ในตัวเครื่องแบบจัดเต็มตั้งแต่ Ambient light sensor, Accelerometer, Barometer, Gyroscope, Proximity sensor และ Magnetometer



       ส่วนแบตเตอรีให้มา 2,000 mAh ซึ่งจากการทดสอบเปิด Battery Saver และใช้งานสามารถทำได้ประมาณ 8 ชั่วโมงเท่านั้น และยิ่งใช้งานกล้องถ่ายภาพหนักๆ แบตเตอรีหมดตั้งแต่เพียงครึ่งวันเช้าอย่างรวดเร็ว



       สุดท้ายก่อนเข้าสู่เรื่องฟีเจอร์เด่น สำหรับคนที่ยังฝังใจว่า Windows Phone ไม่มีภาษาไทย ขอให้คิดเสียใหม่ครับว่าตั้งแต่การมาของ Windows Phone 8 ภาษาไทยถูกเพิ่มเข้ามาอย่างสมบูรณ์แบบแล้วครับ

UI และฟีเจอร์เด่น





       ตั้งแต่ Nokia Lumia 920 925 ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ Windows Phone 8 ลูกเล่นต่างๆ เช่น Here Maps Cinemagraph และอื่นๆ จะเหมือนกันแทบทั้งหมดเพราะฉะนั้นในส่วนนี้ทีมงานจะไม่ขอเจาะลึกรายละเอียดใดๆ นัก แต่จะเน้นไปในส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามาใน Lumia 1020




       เริ่มจากส่วนของ Nokia Pro Camera ที่ถูกเพิ่มเข้ามาและเป็นซอฟต์แวร์กล้องหลักสำหรับการถ่ายภาพจาก Lumia 1020 โดยหน้าตาของ Pro Camera  จะดูเรียบง่าย ค่าเริ่มต้นที่ให้มาคืออัตโนมัติทั้งหมด ซึ่งเมื่อผู้ใช้กดถ่ายภาพแล้วระบบถึงจะวิเคราะห์ภาพและปรับซีนโหมด แสง สี ความสว่างผ่านหน่วยประมวลผลภาพให้พร้อมแสดงผลลัพท์ที่ได้ออกมาในส่วนของพรีวิวภาพ



       ส่วนการตั้งค่าภาพถ่าย โนเกียจัดการเมนูใหม่หมดให้เหลือตัวเลือกแค่ 2 ตัวเลือกเพราะกันผู้ใช้สับสน โดยผู้ใช้สามารถเลือกขนาดภาพได้เพียง 5 ล้านพิกเซลเดี่ยวๆ สำหรับถ่ายไปโพสต์ลงเครือข่ายสังคม หรือจะเลือกแบบ 5 ล้านพิกเซล + 38 (4:3) หรือ 34 (16:9) ล้านพิกเซล สำหรับนำภาพขนาดใหญ่ไปใช้ในการทำ Lossless Zoom ผ่านซอฟต์แวร์ Creative Studio หรือ Crop ภาพจากระบบ โดยตัวเลือกหลังจะใช้เนื้อที่เก็บข้อมูลประมาณ 16-18MB ต่อหนึ่งรูปในแบบ JPEG File เท่านั้น



       และสำหรับขาแมนวลอยากได้ภาพตามใจต้องการ Lumia 1020 ก็อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถปรับค่ากล้องได้แบบกล้องดิจิตอลทั่วไปตั้งแต่ค่า White Balance, โฟกัส, ISO, ชดเชยแสงและความเร็วชัตเตอร์ที่สามารถปรับได้ช้าสุด 4 วินาที ถึงขนาดสร้างแสงไฟเป็นทางยาวสวยงามได้ดังเช่นบทความที่ทีมงานได้ไปร่วมทดสอบกับทริปที่โนเกียประเทศไทยจัดขึ้นในบทความ คุ้มค่าหรือไม่!!! ทำไมต้องซื้อ Nokia Lumia 1020



       มาถึงแอปฯ เด่นของโนเกียกับ Creative Studio ที่สามารถปรับแต่งภาพได้ละเอียดมากตั้งแต่ปรับเฉดสี ใส่เอ็ฟเฟ็กต์สีสันต่างๆ ทำ tilt shift ปรับ clarity รวมถึงครอปภาพจาก lossless file ใหญ่สุดได้ด้วย


WP_20130920_15_01_17_Pro


       ยกตัวอย่างภาพด้านบนคือภาพที่ถ่ายบนความละเอียด 34 ล้านพิกเซล (16:9) จากนั้นจึงครอปผ่าน Creative Studio พร้อมปรับสีและแสงเล็กน้อยก็ได้ผลลัพท์เป็นภาพที่สองที่ความละเอียด 1,483 x 750 หรือประมาณ 1 ล้านพิกเซล (ลองกดภาพซูมดูกันได้ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร)



       ฟีเจอร์เด่นสุดท้ายกับ Nokia Smart Camera ที่มาจาก Lumia 925 ก็ติดตามมาด้วยใน Lumia 1020

สำหรับใครที่อยากชมรายละเอียดของแอปฯ จากโนเกียที่ให้มาพร้อมกับระบบเครื่อง Lumia 1020 สามารถเข้าไปรับชมได้จากบทความเก่า Review : Nokia Lumia 925 โดดเด่นในที่แสงน้อย เพราะแอปฯ ส่วนใหญ่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นเดิมเท่าใดนัก ยกเว้นอัปเดตให้รองรับความละเอียด Lossless Files 41 ล้านพิกเซลได้เท่านั้นเอง



       สุดท้ายลองทดสอบประสิทธิภาพดูบ้างด้วยแอปฯ AnTuTu สามารถทำคะแนนไปได้ 10,862 คะแนน ส่วน MultiBench 2 จะเห็นว่ากราฟคะแนนอยู่ในเกณฑ์พุ่งสูง และถ้าสังเกตกราฟสีแดงให้ดี จะพบว่าชื่อเครื่องที่ทีมงานได้รับมาทดสอบกลายเป็นรหัสเฟริมแวร์เนื่องจาก Lumia 1020 ในมือทีมงานเป็นรุ่นทดสอบนั่นเอง

ทดสอบกล้องถ่ายภาพ

WP_20130919_20_53_06_Pro

WP_20130923_19_15_48_Pro

WP_20130923_18_08_20_Pro

WP_20130923_18_00_20_Pro

WP_20130920_15_23_16_Pro

WP_20130922_09_33_08_Pro

WP_20130922_09_39_55_Pro

WP_20130922_12_36_11_Pro

WP_20130922_13_01_13_Pro

WP_20130922_13_25_24_Pro__highres

WP_20130922_13_36_35_Pro


       หลังจากดูภาพทดสอบมาหลายภาพ ผมขอสรุปหลังจากคลุกคลีอยู่กับ Nokia Lumia 1020 เป็นเวลาร่วมสองอาทิตย์ อย่างแรกต้องยอมรับครับว่า Lumia 1020 ให้คุณภาพไฟล์ที่ดี ความคมชัด มีมิติจากเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ รวมถึงขนาดภาพ 41 ล้านพิกเซลที่นำไปต่อยอดได้จริง ช่วยให้ Lumia 1020 เป็นกล้องที่ดีที่สุดในกลุ่มวินโดวส์โฟน ณ ปัจจุบันนี้

       แต่ถ้าถามว่าจะยกให้เป็นสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในวงการสมาร์ทโฟนได้ไหม ส่วนนี้ทีมงานขอเรียนตามตรงว่า ณ ปัจจุบันยังไม่ได้ แน่นอนว่า Lumia 1020 ให้ไฟล์ภาพที่ดีกว่าคู่แข่งทุกเจ้าที่ทีมงานได้เคยสัมผัส แต่ติดอยู่ที่ซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพที่ทำหน้าที่ยังไม่ดี โดยเฉพาะ White Balance จะออกอมเหลืองเกือบทุกรูป และอีกประเด็นที่สำคัญก็คือกล้องทำงานช้าและหน่วงพอสมควร ยิ่งบันทึกภาพที่ความละเอียดระดับ 38 ล้านพิกเซล กล้องยิ่งทำงานช้าและเวลาเตรียมตัวเพื่อถ่ายภาพต่อไปก็ช้าลงด้วย



       ส่วนวิดีโอจากที่เคยประทับใจตอนทดสอบ Lumia 920 ที่ชูเรื่อง OIS อย่างหนักและทำหน้าที่ได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ กลับมาใน Lumia 1020 ความประทับใจเรื่อง OIS กลับเฉยๆ และดูเหมือนคุณภาพไฟล์วิดีโอก็เหมือนๆ เดิมไม่มีสิ่งใดน่าตื่นเต้นยกเว้น Rich Sound Recording ที่ทำได้แจ่มแจ๋วสุดยอด รวมถึงระบบซูมภาพในโหมดวิดีโอที่ถึงไม่สมูทแต่ทำได้คมชัดจากขนาดพิกเซลที่มากมาย

แต่ก็ต้องไม่ลืมว่านี่คือ Lumia 1020 ที่เฟริมแวร์ยังเป็นรุ่นทดสอบอยู่ เอาเข้าจริงรุ่นวางขายในเดือนหน้าออกมาอาจมีอะไรดีขึ้นกว่านี้ก็ได้

WP_20130923_18_26_19_Pro


       สุดท้ายถึงแม้จะมีเสียงบ่นเรื่องซอฟต์แวร์ใน Lumia 1020 อยู่บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่โนเกียสร้าง 1020 มาไม่ให้เหมือนชาวบ้านชาวและกลายเป็นจุดขายหลักดึงดูดนักถ่ายภาพก็คือ "ความสามารถในการปรับค่ากล้องแบบแมนวล" ดังเช่นภาพนี้ ทีมงานปรับความเร็วชัตเตอร์ลงไปเหลือ 1/10 วินาที ISO ปรับลงเหลือ 320 นอกนั้นออโต้ ผลลัพท์ที่ได้น่าประทับใจครับ Noise น้อยลง แสงสีดีขึ้นกว่าแบบปรับอัตโนมัติทั้งหมด ยอดเยี่ยมในแบบแมนวลจริงๆ ส่วนอัตโนมัติขอให้ปรับปรุงด่วนครับโนเกีย

จุดขาย

       - งานประกอบ วัสดุทำได้ดี แข็งแรง ออกแบบสวยงาม จับกระชับมือ
       - หน้าจอสู้แสงอาทิตย์ได้
       - กล้อง 41 ล้านพิกเซลใช้ต่อยอดเรื่องซูมภาพได้ดีเหมือนรุ่น 808 PureView
       - แมนวลโหมดในซอฟต์แวร์่ Nokia Pro Cam
       - วิดีโอบันทึกเสียงแบบ Rich Sound ที่ทำได้ยอดเยี่ยมมาก
       - อุปกรณ์เสริมมีให้เลือกมากมาย

ข้อสังเกต

       - ซอฟต์แวร์กล้องยังต้องปรับปรุงอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องความรวดเร็วในการประมวลผลภาพที่ช้ามาก
       - แบตเตอรี 2,000mAh หมดเร็วมาก ยิ่งใช้กล้องถ่ายภาพหนักๆ แบตสามารถหมดลงได้ภายในเวลาเพียง 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น
       - เครื่องร้อนมากระหว่างใช้งานกล้องถ่ายภาพ

ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป

       ด้วยราคาระดับ 24,990 บาทคงต้องเป็นแฟนเดนตายของโนเกียหรือชื่นชอบความแนวของวินโดวส์ โฟน 8 เท่านั้นถึงจะยอมควักเงินจ่ายแบบไม่ต้องคิดอะไร เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว Lumia 1020 มีดีแค่กล้องที่มาพร้อมฟีเจอร์และสเปกหรูหราเท่านั้น นอกนั้นจะคล้ายกับ Lumia 925 รุ่นที่เคยรีวิวไปก่อนหน้าทั้งหมด

       แต่สำหรับผู้ใช้ทั่วไป คนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพจะหลงรัก Lumia 1020 ได้ไม่ยาก แต่ถ้าจะให้ตัดสินใจซื้อก็ขอให้มองถึงเรื่องการนำไปใช้งานเป็นหลักครับว่าตอบสนองความต้องการได้หรือไม่ ถ้าไม่จงมองหารุ่นอื่น แต่ถ้าคิดว่าชอบถ่ายภาพ ไปไหนมาไหนภาพถ่ายคือลมหายใจ สมาร์ทโฟนในมือไม่เน้นเล่นแอปฯ ไม่ชอบตามกระแสสมาร์ทโฟน ขอแค่มีโซเชียลแอปฯ ไว้โพสต์รูปอวดชาวบ้านและเปิดเว็บได้ ก็ลองดู Lumia 1020 ได้ครับ ไม่เสียหายอะไรเลย...

Company Related Link :
Nokia


//www.manager.co.th/CbizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9560000120726




 

Create Date : 28 กันยายน 2556   
Last Update : 28 กันยายน 2556 16:31:20 น.   
Counter : 2027 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]