หมายเหตุ: จขบ. อันเนื่องมาจากการสู้รบที่ชายแดนไทย-เขมร ปลายเดือน เมษายน 54 จากประเด็นข้อพิพาทเรื่องเขตแดน ซึ่งมีวรรณกรรมเยาวชนเรื่องหนึ่งที่เล่าเรื่องของเด็กหญิงตัวน้อย ๆ ผู้อพยพชาวเขมร ช่วงหนึ่งของชีวิตในอดีตที่ชาวกัมพูชา ได้เดินเท้ามุ่งหน้าสู่ บ้านหนองจาน และ เขาอีด่าง เพื่อหลีกหนีจากสงครามการสู้รบภายในของบรรดาผู้นำเขมร กลุ่มต่าง ๆ ซึ่งมีความเหมือนและความต่างกับการสู้รบในวันนี้ ผู้อพยพไม่ใช่มีแค่ชาวเขมร ประชาชนชาวไทย ไม่ได้ถูกมองจากสายตาเด็กเขมร ด้วยความอิจฉาในความเงียบสงบและอุดมสมบูรณ์อีกต่อไป ครั้งนี้ ทั้งชาวเขมรและชาวไทย ต่างเร่งรีบ และหวาดกลัว ไม่ผิดจากครั้งโน้น มุ่งหน้าสู่ศูนย์อพยพของตัวเอง ท่ามกลางเสียงปืน ควันไฟ และความเงียบงัน หนองจาน ไม่ใช่สถานที่พักพิง และที่รับแจกอาหารอีกต่อไป แต่กาลเวลา และความมุ่งหวังทางเศรษฐกิจทำให้หนองจานในวันนี้กลายเป็นที่ดินอันร้อนระอุ และ ไม่อาจเข้าไปพักพิง หรือเดินผ่านได้อีกต่อไป ข้าพเจ้ามิได้มีเจตนาที่จะร่วมสนับสนุนให้เกิดการสู้รบ หรือ การเข้ายึดครองดินแดนใดก็ตาม ในการนำเอาวรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้มานำเสนอ เพียงเผื่อแสดงให้เห็นถึงผลพวงของสงครามต่อชะตากรรมของประชาชนที่มุ่งเพียงการทำนา การประกอบอาชีพได้ต่อไป และที่สำคัญคือ การคงอยู่ของครอบครัวที่แท้จริง ไม่ใช่ครอบครัวที่ขาดวิ่น ข้อมูลจากหนังสือ ลูกหินวิเศษ ในหน้าบันทึกผู้เขียน ระหว่างปี ค.ศ.1970 สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต และจีน เข้ามาหนุนหลังกลุ่มการเมืองต่าง ๆ ในเขมร ทำให้เกิดขัดแย้งกันขึ้นอย่างเปิดเผย ปี 1975 ปีเดียวกันกับที่พรรคคอมมิวนิสต์ปลดปล่อยเวียดนาม พรรคคอมมิวนิสต์เขมรแดง ประกาศชัยชนะในเขมร ภาวะที่เกิดขึ้นภายใต้ระบบการปกครองใน 4 ปีต่อมา เป็นฝันร้ายของชาวเขมร จนกระทั่งกองทัพเวียดนามบุกเขาประเทศเขมร (เพื่อประกาศว่าปลดปล่อยเขมรจากเขมรแดง)ทำให้โลกได้รู้ถึงความเลวร้ายในการปกครองของเขมรแดง แต่กระนั้นก็ตาม ในหนังสือเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้ามองเขมร ด้วยภาพที่แบ่งออกเป็นหลายขั้ว อันเกิดขึ้นจากความคิดเห็นหลายกลุ่มชน การสู้รบของ กองกำลังเขมรแดง- กองกำลังเวียดนาม- และกองกำลังประชาชนที่รวมตัวกัน และหวังว่า ความแตกแยกเยี่ยงนี้จะไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย...ได้แต่หวังไว้เช่นนั้น เรื่อยเจื้อยมาซะยาว...เข้าเรื่องของเด็กหญิงดารา กับครอบครัว และความสูญเสีย จนกระทั่งความสุขสงบที่เกิดขึ้นอีกครั้ง...เพื่อรอวันที่สงครามจะเกิดขึ้นอีก...อย่างที่กล่าวไว้ในเรื่องอื่น ๆ ว่าสงครามไม่เคยจางจากสังคมโลก... ผู้เขียน เขียนเรื่องนี้ขึ้นจากมุมมองของเจ้าหน้าที่องค์การอาสากาชาด และโครงการจัดหาอาหารเสริมให้เด็ก ๆ ในค่ายอพยพ ชายแดนไทย-เขมร ดารา เด็กหญิงวัย 12 ที่เดินทางรอนแรม ฝ่าแนวสู้รบ และเสียงปืน พร้อมกับแม่และพี่ชาย มุ่งสู่ความหวัง ณ บ้านหนองจาน (ไม่ปรากฏแน่ชัดในหนังสือว่าเป็นดินแดนไทย หรือ เขมร ตามที่ข้าพเจ้าได้เพียรพยายามค้นหา) ทิ้งความสูญเสีย และความอาลัยแก่พ่อและญาติมิตร ที่ตายจาก ณ หนองจานและที่ตั้งของ ทับหลัง ดารา ได้พบกับ ครอบครัวขาดวิ่นของ จันทู อันเหลือแค่เพียงพี่ณี ที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง ปูเข็ม และน้องชายของจันทู ท่ามกลางทุ่งนาแห้งผาก ตอซังข้าว และความร้อน เด็ก ๆ ได้รับแจกอาหาร ได้มีเพื่อน ได้มีรอยยิ้ม มีของเล่นที่ทำขึ้นเองการสิ่งที่พอหาได้ ตุ๊กตาเศษผ้า ดินปั้นต่าง ๆ ทุกชีวิต ทุกการกระทำ มีผลเกี่ยวเนื่องและผูกพันธ์กับสงคราม...ถึงแม้จะมีรอยยิ้มแต่คราบน้ำตาก็เพิ่งจะจาง...ถึงแม้มีความเศร้าสร้อย...แต่พ้องเพื่อนวัยเยาว์ก็สนิทแน่น... ผู้เขียนให้ดารา เป็นผู้เล่าเรื่อง ด้วยสายตา ความคิดของดารา ลูกสาวคนเล็กที่ค่อนข้างหวาดกลัว ระหว่างใช้ชีวิตที่หนองจาน ก็ได้ จันทู เด็กชาวเขมรอีกคนที่คอยให้ความช่วยเหลือ ซึ่งจันทู มีน้องชายเล็ก ๆที่ต้องดูแล ขาดทั้งพ่อและแม่ จึงทำให้จันทูเข็มแข็ง โตเกินวัย แต่มีจินตนาการ จันทูเป็นผู้นำในการเล่มต่าง ๆของเด็ก ๆ อพยพ และมีความเก่งกาจในการปั้นดินเหนียวเป็นรูปต่าง ๆ และที่สำคัญ จันทู สามารถปั้นลูกหินวิเศษ ที่ดาราเชื่อมั่นว่า มันมอบความฉลาด ความเข้มแข็ง และโชคดีให้กับจันทู อีกทั้งเราจะไม่อาจลืมเด็กเกเรที่กลายเป็นผู้นำทางให้กับดาราในช่วงท้ายของเรื่อง ไฉน เด็กชายผู้โดดเดี่ยว ท่องไปในดินแดนแห่งสงคราม และชะตากรรมที่เขาได้เลือก สายตาของดารา และ จันทู บางครั้งก็มอบรอยยิ้มให้กับเรา ความสนุกสนานในวัยเด็ก ขณะเดียวกัน ความทดท้อจากสงครามที่ยังไม่เห็นวันสิ้นสุด ความสงบสุขที่พวกเขาหวัง ก็ทำให้เราเศร้าซึม และแล้วในวันหนึ่งที่สงครามใกล้เขาหนองจานจนชิด ลูกระเบิดที่ตกลงกลางผืนนา ความโกลาหล เสียงตะโกน การผลัดพรากของครอบครัวก็เกิดขึ้น ในท้ายที่สุดแล้ว ดารา ผู้อ่อนเยาว์จะนำพาครอบครัวที่เหลืออยู่กลับมาร่วมกันได้อีกหรือไม่ จันทู ที่มอบลูกหินวิเศษให้กับดาราไปแล้ว จะรอดจากปลายดาบแห่งสงครามพร้อมกับน้องชายอันเป็นที่รักได้อย่างไร และสงครามจะเปลี่ยนสะรัญ พี่ชายที่ชอบเพาะปลูกให้หลงไปในคลื่นของการสู้รบด้วยวิธีใด เรื่องราวเหล่านี้ ผู้เขียนผู้ร้อยเรียงอย่างเรียบง่าย แต่สะท้อนชะตากรรมกันโหดร้ายจากการพลัดพรากได้เป็นอย่างดี เสียงร้องไห้จากน้องชายของจันทู ที่ยังดังอยู่ในใจของดารา ภาพใบ้ไม้โชกเลือด และแห้งกรัง เปลที่เคยกวัดไกว กล่อมเด็กหญิงคนหนึ่งให้นอนหลับใหล....หยุดนิ่งไปตอนใดตอนหนึ่งที่ลมหายใจได้หยุดลง
จันทูหายใจขัดเป็นห้วง ๆ จนทรวงอกแทบไม่เคลื่อนไหว ฉันสังเกตเห็นเลือดสด ๆ ซึมออกมานอกผ้าที่พันไว้ "ฟังพี่นะ ดารา พี่รู้ว่าดาราต้องทำได้ จำได้ไหมดาราไม่อยากไปตามหาครอบครัวของเราคนเดียว...แล้วก็พบครอบครัวของเรา ดาราทำได้ แล้วตอนนี้ก็ยังจะทำได้อีก" "นั่นไม่ใช่เพราะฉันทำได้เองดอก เพราะลูกหินวิเศษที่พี่ให้ฉันต่างหาก" "มันช่วยได้ เพราะดาราเชื่อว่ามันจะช่วยได้ ก็แค่นั้นเอง" จันทูพูดเสียงแผ่ว ฉันกอบดินเหนียวชื้น ๆ ...พยายามส่งให้ แต่จันทูไม่ยอมรับไว้ "ขอร้องเถอะจ๊ะ" จันทูได้แต่มองดินในฝ่ามือ...จันทูค่อย ๆกำ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะปั้น ทุกสิ่งเงียบสงัด นอกจากเสียงหายใจแผ่ว ๆ ของจันทูเท่านั้น ฉันสังเกตเห็นตอนนั้นเองว่า จันทูดูจะหายใจลำบากขึ้นทุกที ลมหายใจแต่ละครั้งที่จันทูสูดเข้าไป ดูเหมือนจะทำให้รู้สึกเจ็บปวด และแล้ว ด้วยความพยายามอย่างยิ่ง จันทูก็พูดขึ้นอีก ดารา ต้องเชื่อตัวเอง---ไม่ใช่เชื่อตัวพี่ ไม่ใช่เชื่อ---ลูกหินวิเศษ---ลูกหินที่พี่ให้ดารานั้นไม่มีมนต์วิเศษอยู่เลย---ดินเหนียวก็เอามาวางในมือพี่นี่ก็เหมือนกัน มนต์วิเศษอยู่ที่การปั้นดินเท่านั้น ดาราต้องทำขึ้นเอง จันทูกระซิบ และหลับตาลง ดาราต้องปั้นเอาเอง ส่งไอ้หนู มาให้พี่ซิ พี่อยากอุ้มเขา ดารา ไกวเปลให้หน่อยจ๊ะ เราจะนอนหลับกันละ ฉันจึงเริ่มผลักเปลผ้า ผลักให้มันแกว่งไกว ไปทางโน้นที มาทางนี้ที...จังหวะแกว่งไกวช่วยให้บรรเทาความรู้สึก ฉันผลักเปลผ้าไปมา แล้วก็ร้องเพลงกล่อมเด็ก ตามที่จันทูเคยสอน ในวันแรกที่เราเล่นกับหมู่บ้านของเราใกล้หินทับหลังโบราณ... ฉันได้แต่ร้องเพลงต่อไป แม้หลังจากนิ้วมือยาวเรียวของจันทูจะอ่อนเปียก ฉันยังคงร้องเพลงกล่อม ฉันไกวเปล และร้องเพลง ร้องเพลง และไกวเปล ไม่กล้าหยุด ด้วยกลัวว่าน้องเล็กจะตื่น แต่ยิ่งกว่านั้น ลึกลงไปยิ่งกว่านั้น ฉันกลัวว่าจะเห็นจันทู เพื่อนของฉัน ไม่ตื่นขึ้นอีก
Free TextEditor
Free TextEditor
Create Date : 27 เมษายน 2554 | | |
|
Last Update : 27 ธันวาคม 2554 11:18:49 น. |
| |
Counter : 2285 Pageviews. |
| |
|
|