สนุก สวย อร่อย ครั้งแรกกับ "เชียงราย", เที่ยวเมืองไทยไม่ไปไม่รู้ จริงๆด้วยขอบอก

โพสท์อีกที่ที่ thaidvd.net เมื่อ: Nov 18 2004, 09:19 PM here

“เชียงราย 23-26 ตุลาคม 2547”

แนะนำตัวกันก่อน ทริปนี้ประกอบไปด้วย 4 สาว(แท้แน่นอน) กับ 1 หนุ่ม(หรือเปล่า :P )

เริ่มต้นเดินทางกันที่สนามบินดอนเมือง วันที่ 23 ตุลาคม 2547 เวลาประมาณ 11 โมงกว่าๆ โดยเป็น สามสาว กับ หนึ่งหนุ่ม ด้วยสายการบินต้นทุนต่ำ แอร์เอเชีย ส่วนอีกหนึ่งสาวจะตามมากับการบินไทย เพราะสาวเจ้าเป็นพนักงานการบินไทย สำหรับกลุ่มที่เดินทางด้วยแอร์เอเชีย ก่อนขึ้นเครื่องได้เจอแอร์สาวสวยคือ คุณนิ้ง กุลสตรีด้วย แต่ว่าไม่ได้ถ่ายรูปเธอมา คิดว่าเธอสวยกว่าในโทรทัศน์ แต่เธอไม่ได้ขึ้นเครื่องไปกับพวกเรา เบาะที่นั่งบนแอร์เอเชียใช้ได้ทีเดียว เพียงชั่วโมงเดียวเราก็มาถึงสนามบินเชียงราย ได้ลงตรงด้านนอกไม่ได้ผ่านงวงเหมือนทุกครั้งที่เราขึ้นเครื่องบินไปที่ไหนๆกัน คราวนี้เลยได้ถ่ายรูปคู่กับเครื่องบินที่พาเราผ่านท้องฟ้ามา



ระหว่างรอหนึ่งสาวจากการบินไทย เราจึงขอให้พี่คนขับรถตู้พาเราไปหาอะไรทานเป็นอาหารกลางวัน พี่คนขับรถตู้ของเราชื่อ พี่สมศักดิ์ กับรถตู้เพดานสูงใหม่ สะอาดก็พาเราไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวยกล้อ ซึ่งพวกเราก็สั่งก๋วยเตี๋ยวมาทานกัน พร้อมทั้งสะเต๊ะหมูและสะเต๊ะปลา รสชาติอร่อยใช้ได้ เราลองถามพี่คนขายที่มาเก็บเงินเราว่าทำไมตั้งชื่อเป็น ก๋วยเตี๋ยวยกล้อ เธอบอกว่ายกล้อก็เหมือนกับที่โอเลี้ยงพอใส่นมก็เรียกว่ายกล้อ สำหรับก๋วยเตี๋ยวยกล้อก็หมายถึงว่าจะรสชาติเข้มข้นขึ้น ร้านนี้ท่าทางจะมีชื่อเสียงในแถวนั้น เพราะเห็นมีคนเชียงรายมาทานกัน ตรงที่เราทานนั้นเป็นสาขาที่สองด้วย

หลังจากนั้นก็ยังเหลือเวลาก่อนที่เพื่อนเราจะมาถึง พี่คนขับจึงพาเราไปเที่ยววัดพระแก้วซึ่งมีความสวยงามมากจริงๆ ทั้งตัววัดและบริเวณวัด พระแก้วที่ประดิษฐาน ณ วัดพระแก้วในกรุงเทพ ก็มีที่มาเริ่มต้นจากเมืองเชียงรายนี่เอง



ได้เวลาแล้วเราทั้งหมดก็เดินทางไปสนามบินเพื่อรอรับสาวน้อยการบินไทย เมื่อครบทีมท่องเที่ยวแล้ว พวกเราทั้งหมดก็มุ่งหน้าสู่ภูชี้ฟ้า
จากสนามบินเชียงรายถึงที่พักบนภูชี้ฟ้าก็ประมาณชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมงได้ บ้านพักของเราคือ ไร่ภูฟ้า ซึ่งได้โทรมาจองแล้วโอนเงินครึ่งหนึ่งมาให้แล้ว บ้านพักของเราอยู่ตรงมุมสูงด้านหน้าที่ระเบียงมองออกไปเห็นทิวทัศน์ข้างนอก ด้านในห้องพักมีลักษณะเหมือนแท่นยกสูงจากพื้นยาวเต็มห้องซึ่งมีหมอนและผ้าห่มให้ คิดว่านอนได้ 6 คน พวกเราไปกัน 5 คนจึงถือว่านอนกันได้สบายๆ ห้องพักมีห้องน้ำในตัวขนาดกำลังพอดี มีน้ำอุ่นให้ด้วย อากาศเริ่มเย็นและหนาว (ถ้าใครไม่พักในบ้าน เขาก็มีเต็นท์ให้เช่าซึ่งวางบนไม้ไผ่ยื่นออกไป และมีห้องน้ำรวมไว้ให้) ณ ตอนนี้ก็เริ่มพิสูจน์ว่าระบบโทรศัพท์ของใครจะมีสัญญาณกันบ้าง ซึ่งต้องเดินไปแถวหน้าที่พักตรงทางเข้าถึงจะมีสัญญาณโทรศัพท์ ท้องเริ่มร้องกับอาหารเย็นที่ทางบ้านพักจัดให้ ปลาเผากับน้ำจิ้ม หมูทอด ต้มยำร้อนๆ ผัดผัก น้ำพริกกับผัก รสชาติอร่อยถูกใจพวกเราทุกคน กับบริการเติมได้เรื่อยๆ



ตอนเช้าวันที่ 24 ตุลาคม พวกเราทุกคนรวมถึงนักท่องเที่ยวที่มาพักในไร่ภูฟ้าก็ถูกปลุกให้ตื่นตอนประมาณตีห้า เพื่อเคลื่อนขบวนไปยังภูชี้ฟ้า พี่สมศักดิ์ที่มารอรับพาพวกเราขึ้นไปยังภูชี้ฟ้า รถวิ่งไปตรงบริเวณที่ทุกคนมาจอดรถทิ้งไว้ เพื่อเดินขึ้นไปยังยอดภูชี้ฟ้า เดินกันทั้งมืดๆ โชคดีที่หนึ่งชายได้เตรียมไฟฉายมาด้วย ไม่อย่างนั้นอาจเดินกันอย่างลำบากมาก เดินขึ้นได้เหนื่อยทีเดียวจนใกล้ยอดภู เนื่องจากเป็นวันหยุดยาว ไม่แปลกที่เราจะเจอผู้คนมากมายไปรอบนยอดภูชี้ฟ้า จนแทบไม่มีที่ให้เราแทรกได้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะทะเลหมอกที่ค่อยปรากฏให้เห็น เราก็สามารถมองจากตรงทางขึ้นได้บ้าง หรือสักพักคนที่เขามาก่อน เขาดูจนพอใจ เขาก็ลง จนมีที่ให้เราได้มองเห็นทะเลหมอกที่เคลื่อนที่เข้ากระทบภูเขาเหมือนเห็นคลื่นทะเลกระทบฝั่ง ภาพที่จดจำในสมองกับการพยายามถ่ายรูปเท่าที่จะทำได้




เมื่อถึงเวลาเดินลงเราก็ได้เจอน้องชาวเขามาขายโปสการ์ดของที่ระลึก เห็นน้องๆมาขายแผ่นละ 10 บาท ก็เลยอุดหนุนน้องเขาหน่อย ได้กันมาคนละใบสองใบ (หลังจากกลับมาเช็คภาพที่ถ่ายแล้ว ก็พบว่าคิดถูกแล้วที่ซื้อของน้องเขามา เพราะว่าภาพที่ได้จากกล้องของแต่ละคนไม่สวยหรือคมชัดได้เท่ากับบนโปสการ์ดเลย) กลับมายังบ้านพักก็ได้ทานอาหารเช้าที่ทางไร่ภูฟ้าเตรียมไว้ให้เป็น ข้าวสวย ข้าวต้ม ไข่เจียว ผักกาดดอง แกงจืดร้อนๆ เติมได้เรื่อยๆเช่นเดิม พร้อมมี กาแฟ โอวัลตินให้พวกเราได้บริการตัวเองกัน

เป็นบ้านพักที่ทำให้พวกเราประทับใจจริงๆ ทั้งตัวบ้านพัก บรรยากาศ เจ้าของซึ่งใจดี อัธยาศัยดีมาก และอาหารที่อร่อยถูกปากพวกเรา เติมได้เรื่อยๆนี่ล่ะ ของชอบเลย

ลงจากไร่ภูฟ้า รถตู้ก็มุ่งสู่ตัวเมืองเชียงราย เพื่อแวะวัดร่องขุ่นก่อนไปแม่สาย (ที่ไม่วิ่งจากภูชี้ฟ้าไปแม่สายเลย เพราะว่าทางพี่คนขับแนะนำว่าทางไม่ค่อยดี ให้มาผ่านตัวเมืองก่อนจะดีกว่า เราจึงเลือกเที่ยววัดร่องขุ่นในวันนี้) ถึงวัดร่องขุ่นตอนใกล้เที่ยง แดดระอุพร้อมอากาศร้อน พวกเราจึงใช้เวลาที่นี่ชื่นชมความงามประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วก็ไปแวะทานข้าวซอยในตัวเมืองเชียงราย ร้านพอใจ ซึ่งเป็นร้านของครอบครัวอาจารย์เฉลิมชัยนั่นเอง ข้าวซอยไก่และข้าวซอยลูกชิ้นพร้อมทั้งมีเครื่องเคียงเป็นผักดองรสหวานๆ



อิ่มกันได้ที่ พลพรรคก็ขับเคลื่อนสูชายแดนไทย-พม่าเพื่อข้ามด่านไปหาซื้อดีวีดีที่พวกเราหมายมาดกันไว้ จากตัวเมืองเชียงรายถึงด่านท่าขี้เหล็กใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนัดหมายกับพี่สมศักดิ์แล้ว พวกเราก็ควักบัตรประชาชนออกมาเพื่อเตรียมทำเรื่องข้ามชายแดน โดยที่มีส่วนที่เขารับจ้างทำให้แล้ว โดยเอาบัตรประชาชนทั้งหมดของพวกเรามายื่นให้เขาจัดการทำใบคำร้องให้ เสียค่าใช้จ่ายตรงนี้คนละ 5 บาท แล้วก็ไปยื่นคำร้องตรงเจ้าหน้าที่เสียค่าข้ามแดนคนละ 30 บาท นำใบคำร้องที่ผ่านเจ้าหน้าที่มาทำสำเนาอีกคนละ 5 บาท เพื่อเป็นเอกสารยื่นให้ตรงด่าน พอผ่านด่านไทยแล้วก็ต้องไปผ่านด่านพม่าเสียอีกคนละ 10 บาท ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของการข้ามด่านคือ 50 บาทนั่นเอง ใบคำร้องของฝั่งไทยที่พวกเรายังมีเก็บไว้คนละใบนั้นต้องเก็บให้ดีๆ เพราะตอนข้ามกลับต้องใช้



เมื่อข้ามไปได้แล้ว พวกเราก็คล้ายๆเกิดอาการสติแตกเล็กน้อย เมื่อเห็นดีวีดีมากมายทั้งที่บางคนก็ไม่ใช่นักสะสมดีวีดีกันนัก แต่ก็รับฝากมาจากเพื่อนๆคนอื่นๆด้วย จึงได้หิ้วของทั้งตัวเองและคนฝากมาข้ามด่านมาได้อย่างไม่ลำบากเลย แค่เพียงเปิดถุงให้ดูเท่านั้น ของที่ได้มากับเงินที่หายไปจากกระเป๋าเงินทำให้พวกเราเริ่มมองหาตู้เอทีเอ็มกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังใจแข็งไม่ยอมกดเงินกันอยู่ดี (่เพราะต่างก็มุ่งหน้าซื้ออย่างเดียวจนไม่มีเวลาควักกล้องมาถ่ายบรรยากาศของร้านดีวีดี วีซีดี ซีดีกันเลย)



จากแม่สายพวกเราก็มุ่งหน้าไปยังสามเหลี่ยมทองคำเพื่อหาที่พัก โดนพี่สมศักดิ์ก็พาไปที่แรกซึ่งเราก็ตกลงใจเอาเลย เพราะว่าเขายอมให้พวกเราพักกันหมด 5 คนในบ้านหลังเดียว (บ้านจำปี) ที่พักนี้ชื่อ ลานนาโฮม ที่พักยังใหม่อยู่เลย สะอาดดีด้วย เป้าหมายต่อไปของเราก็คือไปทานข้าวริมน้ำโขง ซึ่งพี่สมศักดิ์ได้พาเรามาปล่อยไว้ที่ร้านตะวันติดริมโขง (ก่อนที่พี่เขาจะขอลาไปพักบ้านของเขา) อาหารมื้อนี้ก็อร่อยอีกแล้ว ประกอบไปด้วย เห็ดหอมสดอบซีอิ๊ว (อร่อยดีจริงๆ เสิร์ฟพร้อมกระเทียมโทนดองซึ่งก็รสชาติถูกใจ) ปลาเนื้ออ่อนทอดกรอบ ต้มยำปลาแค้ (ตามชื่อในเมนู เขาว่าเป็นปลาน้ำโขงเลยอยากลองกัน ก็รสชาติพอใช้ได้) ผัดผักฮ่องเต้หมูกรอบ ผัดแห้งกระเพราะปลา ทานเสร็จก็เดินกลับที่พักกันแบบกะๆ เดาๆเอาว่าน่าจะใช่

ตื่นกันแต่เช้าตรู่ของวันที่ 25 แต่ไม่เช้าเท่าวันขึ้นภู หุหุ เพราะตั้งใจว่าจะเดินขึ้นไปตรงส่วนจุดชมวิวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของเรานัก เมื่อเดินขึ้นไปเราก็ได้ผ่านวัดภูเข้าซึ่งมีความสงบและความสวยงามในแบบเก่าๆ ด้วยตัววัดที่เหมือนสร้างจากหิน และบริเวณที่ไม่มีใครนอกจากชาวเชียงรายหนึ่งคนมาวิ่งออกกำลังกาย




เดินขึ้นไปอีกสักระยะจะเจอกับจุดชมวิวที่เราสามารถมองเห็นแผ่นดินของทั้งสามมาจบกับแม่น้ำเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยม ทางซ้ายมือของเราคือพม่า ขวามือคือลาว และที่เรายืนอยู่คือแผ่นดินไทย น่าเสียดายที่มีหมอกจึงมองเห็นไม่ชัดนัก ที่นี่เราก็ได้เจอน้องชาวเขา(แท้หรือเปล่านะ) มายืนให้เราถ่ายรูปด้วยค่าต่อเด็ก 1 คนคือ 5 บาท

จุดมุ่งหมายวันนี้ของเราคือ ดอยตุงและดอยแม่สะลอง ก่อนออกจากสามเหลี่ยมทองคำ เราก็ไปทานข้าวต้มกุ้งตอนเช้าที่ร้านตะวัน ได้ทานข้าวต้มร้อนๆ อร่อยๆ ริมแม่น้ำโขง และแวะซื้อแอ๊ปเปิ้ล สาลี่ที่ขายตามร้านริมทาง เอาไว้ทานระหว่างเดินทางต่อ

ถึงดอยตุงในเวลาประมาณเกือบ 11 โมง ตกลงใจซื้อบัตรเข้าชมครบทั้งสามที่คือ หอประวัติ สวน พระตำหนักของสมเด็จย่า เราตัดสินใจเดินไปชมพระตำหนักก่อนเนื่องจากอยู่ไกลสุด เมื่อไปถึงก็พบว่าต้องรอเป็นรอบถึงจะเข้าชมได้ ยังคิดเลยว่าเขาน่าจะไปติดป้ายบอกรอบไว้ตรงทางเข้าเพื่อคนที่เดินเที่ยวจะได้รู้เวลาและตัดสินใจไปที่ไหนก่อนได้ พวกเราเลยรออยู่ประมาณ 30 นาที ก็ได้เข้าชมภายในพร้อมมีผู้เล่าประวัติและที่มาต่างๆ ซึ่งภายในนั้นสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นเพดานที่มีดวงดาวและจักรราศี ผ้าปักซึ่งมีกลุ่มสตรีปักถวายสมเด็จย่า ภาพวาดที่ต้องมีลักษณะการมองให้ถูกต้องซึ่งเป็นภาพรุ่งเช้าที่แสงจะต้องกับพระธาตุดอยตุง และช่วงค่ำคืนที่แสงดาวก็ส่องต้องกับพระธาตุดอยตุง ภายในพระตำหนักนั้นห้ามถ่ายรูป แต่เราสามารถออกไปที่ระเบียงและถ่ายรูปออกไปได้ บริเวณรอบพระตำหนักก็มีดอกไม้หลากชนิด ออกดอกอย่างสวยงามทั้งนั้น




ก่อนเข้าชมสวน พวกเราแวะกินขนมกับเครื่องดื่มตรงร้านขายกาแฟดอยตุง ได้ลองทานบราวนี่ อร่อยดี และก็เค้ก กับชา กาแฟ โกโก้ รสชาติดี พลังคืนมาได้แล้วก็ลงไปเดินชมสวน ดอกไม้สีสันงดงาม แต่ด้วยความที่เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆ แดดเลยจัด ก็เลยเดินอย่างเร่งหน่อยๆ ถ่ายรูปไปด้วย หลังจากนั้นพวกเราก็ตกลงใจว่าจะไปดอยแม่สะลองเลย ไม่ได้แวะชมหอพระราชประวัติเนื่องจากเวลาไม่พอ

รถตู้จึงพาเรามุ่งสู่ดอยแม่สะลอง ซึ่งทางขึ้นคดเคี้ยวมากๆ หวิดจะเมารถเหมือนกัน แวะไร่ชา 101 เผื่อเจอหนอนชิเมะโจได เดินดูไร่ชาแล้วขึ้นมาลองชิมชาที่หญิง(ที่เราเดาว่าน่าจะเป็นเจ้าของไร่) มาชงให้ได้ลองชิมกัน กลิ่นหอมดื่มแล้วชุ่มคอ เลยซื้อติดไม้ติดมือกันไปคนละห่อสองห่อ



ออกจากไร่ชา 101 ก็มุ่งไปยังคุ้มนายพลซึ่งเราได้ไปอ่านเจอมาว่าอาหารที่นี่อร่อย แล้วก็ไม่ผิดหวังกับที่สั่งไปไม่ว่าจะเป็น ขาหมู หมั่นโถว เป็ดกรอบยูนนาน เห็ดหอมสดอบซีอิ๊ว (ที่ต้องบอกว่าอร่อยมากๆ เห็ดหอมสดยังกรอบอยู่กับรสชาติเค็มกำลังดีหอมซีอิ๊ว สุดยอด) ยอดมะระผัด อิ่มหนำสำราญกันแล้วก็แวะขึ้นไปชมหลุมศพนายพลต้วน

เราไม่ได้ขึ้นไปถึงยอดของดอยแม่สะลอง เพราะว่าเริ่มจะเย็นแล้วก็เลยตัดสินใจลงจากดอยเพื่อเดินทางไปตัวเมืองเชียงราย พี่สมศักดิ์ซึ่งจะหมดหน้าที่กับเรา ณ วันนี้ได้พาเราไปหาที่พัก ซึ่งก็ได้โรงแรมเปิดใหม่ชื่อ ไดมอนด์ ปาร์ค อิน ราคากำลังดีห้องละ 450 บาท ห้องสะอาด เรียบร้อย แถมอยู่ใกล้เชียงรายไนท์บาซาร์ด้วย

ก่อนหมดวันนี้ พวกเราไปเดินเที่ยวเชียงรายไนท์บาซาร์ได้ชมการแสดงสวยๆ และเลือกซื้อของที่น่าสนใจ



เช้าวันสุดท้ายจองทริปนี้วันที่ 26 ตุลาคม พวกเราตื่นมาเพื่อเดินไปยังร้านที่เราเล็งไว้ว่าน่าจะมาทานอาหารเช้าได้ ซึ่งก็ได้ทานโจ๊กหมูกับปาท่องโก๋ รสชาติดี หลังจากนั้นก็เดินหาตลาดตอนเช้า แต่ก็ไปเจอตลาดสดที่ขายในตึกเหมือนตลาด อตก ก็เลยหาทางเดินไปวัดพระสิงห์ เดินไปนานพอประมาณก็ได้เจอวัดพระสิงห์ สวยงามอีกเช่นเคย

ชมวัดเสร็จก็เช่ารถกระป๊อกับโรงแรม เตรียมข้าวของเพื่อหารถเช่าไปสนามบินเชียงราย โดยเพื่อนการบินไทยมีแผนต้องไปก่อน แต่เมื่อไปถึงแล้ว ไฟลท์การบินไทยเต็ม เธอจึงต้องอยู่รอไปอีก 2 ชั่วโมง ส่วนพวกเราก็ขึ้นเครื่องแอร์เอเชียกลับกัน ถึงกรุงเทพอย่างปลอดภัย ทราบข่าวเพื่อนการบินไทยว่าได้ขึ้นไฟลท์ถัดมา โดยนั่งมาในห้องนักบินเลยล่ะ เพราะเต็มเอี้ยด

ทุกคนกลับบ้านอย่างปลอดภัย พร้อมความประทับใจกับทริปครั้งนี้ เชียงราย สนุก สวย และอร่อย กลับมาแล้วก็อยากไปอีกจริงๆ

Create Date : 20 พฤษภาคม 2548 Last Update : 11 กันยายน 2548 19:59:03 น. Counter : 1833 Pageviews.		8 comments
Share Tweet