|
Hemingways A Moveable Feast .. ปารีสในความทรงจำของเฮมิงเวย์
If you are lucky enough to have lived in Paris as a young man, then wherever you go for the rest of your life it stays with you, for Paris is a moveable feast. - Hemingway
เนื่องในวันแม่แห่งชาติที่ผ่านมา ผมถือโอกาสไปทานข้าวกับคุณแม่และครอบครัว และใช้เวลาว่างหาข้อมูลการเดินทางในประเทศอินเดีย เพราะวางแผนสะพายเป้ท่องดินแดนภารตะในช่วงปลายปีนี้ .. วันที่ 12 สิงหาคม นอกจากเป็นวันแม่แล้ว ยังเป็นวันเกิดของผมเองด้วย หยุดติดต่อกัน 3 วัน พอมีเวลาเหลือ ผมจึงเลือกหนังสือโปรดมาอ่านในวันเกิดตัวเอง คิดอยู่ครู่ใหญ่ว่าจะเลือกเล่มไหนมาอ่าน อยากอ่านเล่มที่ตัวเองชอบแน่ๆ ในที่สุดผมตัดสินใจหยิบ A Moveable Feast ของ เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์
เหตุผลที่เลือก A Moveable Feast มาอ่านอีกรอบ เพราะผมชอบปารีส ในทศวรรษที่ 1920 เป็นอย่างยิ่ง ยุคนั้นปารีสถือเป็นศูนย์รวมของบรรดาอัจฉริยะ เช่น ปิกัสโซ่, สตราวินสกี้, เจมส์ จอยซ์, เฮมิงเวย์ ฯลฯ ปารีสในทศวรรษที่ 1920 คือศูนย์กลางแห่งความคิดสร้างสรรค์ในทางศิลปะแทบทุกแขนง และอิทธิพลจากแนวคิดต่างๆในช่วงนั้นได้ส่งผลเปลี่ยนแปลงโลกในเวลาต่อมา ใครมีโอกาสใช้ชีวิตในปารีสในตอนนั้นต้องถือว่าโชคดีเป็นที่สุด เพราะได้อยู่ในห้วงยามพิเศษทางประวัติศาสตร์ และเฮมิงเวย์ได้ใช้ชีวิตวัยหนุ่มของเขาในมหานครปารีสแห่งนี้
เฮมิงเวย์เขียน A Moveable Feast ในช่วงบั้นปลายชีวิตระหว่างปี 1957-1960 (เขาเสียชีวิตในปี 1961) เขาเขียนหนังสือเล่มนี้จากความทรงจำล้วนๆ แม้ผมเคยอ่านมาแล้ว แต่พอได้อ่านอีกรอบก็ยังวางไม่ลง หนังสือเล่มนี้มีเสน่ห์ มันพาเรากลับไปยังปารีสในสมัยนั้น ผมมีความรู้สึก Nostalgia ร่วมไปกับการบรรยายของเฮมิงเวย์
เขาเขียนถึงผู้คนและสถานที่ต่างๆที่พบเจอ ในช่วงต้นของหนังสือเล่าถึงการเยี่ยมเยือน Gertrude Stein เธอเป็นคนนิยามคำศัพท์ที่กล่าวถึงหนุ่มสาวหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งว่า Lost Generation เฮมิงเวย์ในตอนนั้นอยู่ในสภาพนักเขียนไส้แห้ง เขาไม่มีเงินพอแม้แต่จะเช่าหนังสือที่ร้านหนังสือ Shakespeare and Company อย่างไรก็ตาม ซิลเวีย บีช เจ้าของร้าน ยินดีให้เฮมิงเวย์ยืมหนังสือไปอ่านกี่เล่มก็ได้ เมื่อพอมีเงินค่อยเอามาใช้คืนทีหลัง เฮมิงเวย์เขียนถึงหนังสือที่เขายืมมาดังนี้ :-
I started with Turgenev and took the two volumes of A Sportsmans Sketches and an early book of D.H. Lawrence, I think it was Sons and Lovers, and Sylvia told me to take more books if I wanted. I chose the Constance Garnett edition of War and Peace, and The Gambler and Other Stories by Dostoevsky.
วรรณกรรมรัสเซียในศตวรรษที่ 19 มีอิทธิพลต่อเฮมิงเวย์สูงมาก เขาอ่านทั้งตอลสตอย, ดอสโตเยฟสกี้, ตูร์เกเนฟ และเชคอฟ เขาบอกว่าเรื่องสั้นของ Katherine Mansfield ธรรมดาไปเลยเมื่อเทียบกับเรื่องสั้นของเชคอฟ และนิยายคลาสสิคของตอลสตอยทำให้ฉากสงครามในหนังสือของ Stephen Crane ดูเหมือนเป็นบทบรรยายของคนที่ไม่เคยไปสงครามจริงๆ
ผมชอบตอนที่เขานั่งสนทนากับกวี Evan Shipman ในร้านกาแฟ Closerie des Lilas มีตอนหนึ่งที่เขาหยิบประเด็นของ ดอสโตเยฟสกี้ ขึ้นมาคุยอย่างออกรส เฮมิงเวย์พูดกับชิบแมนว่า :-
Ive been wondering about Dostoevsky. How can a man write so badly, so unbelievably badly, and make you feel so deeply?
เฮมิงเวย์ยังเขียนถึงการพบปะพูดคุยกับ เอฟ สก็อตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์, ฟอร์ด แมดด็อกซ์ ฟอร์ด, เจมส์ จอยซ์ และเหล่าบรรดามิตรสหายในปารีส เขาเล่าถึงการพนันม้าแข่งที่เขาชื่นชอบ รวมทั้งเอ่ยถึงการเล่นสกีกับ Hadley ภรรยาคนแรก
ผมหลงใหลปารีส และส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมชอบหนังสือเล่มนี้คือ เฮมิงเวย์บรรยายปารีสได้อย่างน่าอ่าน ขอยกตอนที่เขาบรรยายถึง Square du Vert-Galant สวนเล็กๆที่อยู่ติดกับสะพาน Pont Neuf แม้เวลาผ่านมา 80 ปี แต่ใครไปปารีสแล้วไปยืนตรง Square du Vert-Galant หยิบหนังสือเล่มนี้ออกมาอ่าน จะพบว่าแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง :-
"At the head of the Ile de la Cite below the Pont Neuf where there was the statue of Henri Quatre, the island ended in a point like the sharp bow of a ship and there was a small park at the water's edge with fine chestnut trees, huge and spreading...."
หนังสือเล่มนี้ให้แรงบันดาลใจแก่ผมอย่างมาก เมื่อได้ไปปารีสสิ่งหนึ่งที่ผมไม่พลาดคือการ ตามรอย เฮมิงเวย์ ผมได้ไปยังสถานที่ต่างๆ อาทิ บ้านพักของเฮมิงเวย์บนถนน rue de Cardinal Lemoine ร้าน Shakespeare & Co. (ดั้งเดิม) ที่ถนน rue de l'Odeon ร้านกาแฟ Closerie des Lilas บ้านพักของ Gertrude Stein บนถนน rue de Fleurus ยามเดินเลียบแม่น้ำแซนน์ ผมอดคิดไม่ได้ว่า ใครมีโอกาสใช้ชีวิตที่นี่ในช่วงทศวรรษ 1920-1930 ช่างเป็นคนที่มีวาสนาจริงๆ
There is never any ending to Paris and the memory of each person who has lived in it differs from that of any other. We always returned to it no matter who we were or how it was changed or with what difficulties, or ease, it could be reached. Paris was always worth it and you received return for whatever you brought to it. But this is how Paris was in the early days when we were very poor and very happy. Hemingway
เฮมิงเวย์ กับ ซิลเวีย บีช (คนที่สองจากขวา) หน้าร้านหนังสือที่กลายเป็นตำนาน Shakespeare and Company
เจมส์ จอยซ์ กับ ซิลเวีย บีช ในร้านหนังสือ Shakespeare and Company หนังสือ Ulysses อันลือลั่นของจอยซ์ ตีพิมพ์และจำหน่ายครั้งแรกที่ร้านนี้
ร้านกาแฟที่เฮมิงเวย์บอกว่าเยี่ยมที่สุดในปารีส Closerie des Lilas เขานั่งจิบกาแฟและเขียน The Sun Also Rises ที่นี่
ภาพปัจจุบันของ Square du Vert-Galant มองออกไปข้างหน้าคือสะพาน Pont des Arts
Paris is not only a place but a state of mind. Whoever goes there takes away the greatest meal he has ever had in his life, a romance that will linger forever, and a dream that will never be repeated. All you have to say is Paris and the movie will begin. - Art Buchwald
Create Date : 15 สิงหาคม 2550 |
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2551 18:38:28 น. |
|
5 comments
|
Counter : 3057 Pageviews. |
|
|
|
โดย: wayakon วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:8:55:37 น. |
|
|
|
โดย: บวมแบ๋ว วันที่: 19 สิงหาคม 2550 เวลา:20:00:55 น. |
|
|
|
โดย: ปริเยศ IP: 203.130.143.243 วันที่: 2 ตุลาคม 2550 เวลา:11:43:04 น. |
|
|
|
| |
|
|
Ive been wondering about Dostoevsky. How can a man write so badly, so unbelievably badly, and make you feel so deeply?