Group Blog
 
All Blogs
 
ความเชี่ยวของสายน้ำ

ผม สายน้ำและนาวา

ช่วงนี้น้ำโขงกำลังขึ้นเต็มฝั่ง สายน้ำสีน้ำตาลแดงไหลเชี่ยวกราก พัดพาเอาสรรพสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ไหลตามไปด้วย แต่ไม่ว่ากระแสน้ำไหลจะเชี่ยวสักเพียงใดก็ไม่อาจพัดพาเอาความรู้สึกที่อยู่ในใจของผมไปได้ มันคอยเฝ้าวนเวียนเกาะเกี่ยวชวนให้คิดคำนึงถึงคนที่ไม่อยากนึกถึงตลอดเวลา บางครั้งก็ชุ่มชื่นไปทั้งหัวใจหาใดปานบางครั้งก็เจ็บปวดราวเอามีดมากรีดแทงเสียดไปถึงขั้วหัวใจ คงจะมีเพียงแค่สิ่งเดียวกระมังที่สามารถทำให้เกิดความรู้สึกสองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสุดแสนนี้ได้ในเวลาเดียวกัน

ผมนั่งอยู่ที่ร้านอาหารริมฝั่งน้ำ รอบข้างมีแต่ชาวต่างชาติผมขาวผมทองทั้งหนุ่มแก่ซึ่งดูจะสนใจกับธรรมชาติแวดล้อมเป็นอย่างมาก ทั้งที่ในความคิดผมแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจขนาดนั้น ผมล้วงสตางค์ออกจากกระเป๋า ลุกขึ้นจากโต๊ะเดินเข้าไปหาหญิงชราเจ้าของร้าน ชำระเงินแล้วเดินออกไปตามริมเขื่อนที่ความยาวไม่มากเท่าไหร่นัก ดีที่วันนี้แดดไม่จัดมากนัก ลมก็พัดมาพอเหมาะพอดี

วันนี้คือวันครบรอบปีที่ผมย้ายข้ามมาทำงานในฝั่งลาว ที่ผ่านมาทุก ๆ สองอาทิตย์ผมจะข้ามมาฝั่งไทยซึ่งก็มักจะเป็นวันเสาร์ ผมต้องข้ามสะพานมิตรภาพมาแต่เช้า บางครั้งก็กลับในช่วงสาย บางทีก็กลับตอนเย็น ๆ สะพานมิตรภาพเป็นสะพานที่ไม่ยาวมากนักมีรถโดยสารวิ่งประจำอยู่ วิ่งรับส่งแค่บนสะพาน ถ้าจะไปไกลกว่านั้นจะต้องหาทางต่อรถเอาเอง ถ้าเป็นทางฝั่งลาวไม่มีปัญหาเพราะจะมีคนขับรถรับส่งประจำตัวให้อยู่แล้ว แต่เมื่อมาในฝั่งไทยคราวนี้ถึงคราวที่ผมจะต้องหาทางไปเอง ซึ่งปกติก็จะเรียกใช้บริการสามล้อเครื่อง วิ่งเข้าไปในเมืองหนองคาย เข้าร้านหนังสือเจ้าประจำหาหนังสืออ่านบ้าง ไปซื้อของใช้ที่ซุปเปอร์สโตร์บ้าง แต่เป้าหมายวันนี้คือที่ทำการไปรษณีย์

ผมยอมรับว่าที่หนีจากเมืองใหญ่มา เป็นเพราะสองสิ่งหลัก ๆ หนึ่งคือความรู้สึกของตัวเอง สองคือความเป็นอยู่ของตัวเอง แม้ว่าจะมีสิ่งอื่น ๆ เข้ามาประกอบบ้างก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเบื่อหน่ายชีวิตในเมือง ความแออัดยัดเยียด สายตาที่แต่ละคนมองกัน ผมเอียนกับมันแล้วกับสิ่งที่ต้องบริโภคทุกวันโดยมิได้อยากรับเลย แต่เมื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมันทุกคนจะต้องถูกจับเรียงราวกับปลาหมึกตากแห้ง มีการคัดเกรด เอ บี ซี ดี และไร้เกรด พวกสุดท้ายนี่จะมีมากที่สุดแต่ก็จะมีอำนาจน้อยที่สุดด้วย อำนาจมักจะตกอยู่ในพวกแรก พวกที่มีการศึกษา มีชาติตระกูล มีฐานะ แต่ความประพฤติเทียบกันแล้วยังไม่รู้ว่าใครดีกว่าใคร

ผมรู้ดีว่าการหนีนั้นคือการกระทำของผู้แพ้ แต่ใครเล่าจะเป็นผู้ชนะได้ตลอดไป ผมถือว่าการพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นบทเรียนที่สำคัญเป็นอุปสรรคที่จะต้องฝ่าไปให้ได้ แต่ก่อนอื่นคงต้องประคองนาวาหัวใจลำน้อย ๆ นี้ให้ฝ่ากระแสพายุแห่งอารมณ์ซึ่งแสนจะปั่นป่วนของตัวเองไปให้ได้เสียก่อน...

**************************


เธอ

เธอก้าวเข้ามาในชีวิตผมอย่างธรรมดา ๆ เป็นเพื่อนร่วมงานธรรมดา ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้ความเคารพนับถือเฉกเช่นพี่น้อง ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้นจริง ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งที่มันเปลี่ยนไปวันที่เธอพาเขาเข้ามา วันนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกตัว ผมเครียดจนทำอะไรไม่ถูก ไม่มีจิตใจที่จะทำงาน และเริ่มคิดขึ้นมาว่าเป็นเพราะอะไร ใช่เพราะเสียงหัวเราะและความสนิทสนมของเขาและเธอหรือไม่ แต่ในที่สุดวันที่แสนยาวนานก็ผ่านไปผมแสนโล่งใจเมื่อรู้ว่าเขาคือพี่ชายแท้ ๆ ของเธอ นั่นคงเป็นอีกวันหนึ่งที่ผมคงจะไม่ลืมไปทั้งชีวิต

ทุกครั้งที่เธอทำอะไรให้ไม่ว่าจะเป็นชงกาแฟ เปลี่ยนดอกไม้บนโต๊ะ หรือว่าส่งเมลล์หวานซึ้งมา ผมพยายามคิดว่ามันคือมิตรภาพระหว่างเพื่อนไม่มีอะไรนอกเหนือกว่านั้น แต่ในใจกลับหวานชื่นขึ้นมาได้ทุกที ชีวิตผมเริ่มเปลี่ยนไปและผมไม่ชอบเลยกับความรู้สึกเช่นนี้ มันทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง ถ้าขืนปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้อีกไม่นานผมคงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป

เธอคงไม่รู้หรอกว่าภายในใจผมคิดเช่นไร เธอยังคงเป็นเธอ ยังสม่ำเสมอกับทุกคน จนในที่สุดเขาคนนั้นก็เข้ามา คราวนี้เขาไม่ใช่พี่ของเธอ แล้ววันเวลาแห่งความปวดร้าวของผมก็เริ่มต้นขึ้น ทุกคำพูดของเขาและเธอที่ผมได้ยินกลายเป็นอาวุธร้ายที่พุ่งเข้าใส่โสตประสาท ทุกการกระทำที่เห็นกลายเป็นภาพบาดตา ซึ่งทำให้เจ็บไปได้ถึงขั้วหัวใจ

ผมสูญสิ้นความภาคภูมิใจไปอย่างง่ายดาย จิตใจที่คิดว่าแข็งแกร่งกลับถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ก่อนที่จะคิดได้ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่เขาและเธอ ไม่ใช่สิ่งที่เห็นหรือได้ยิน แต่เป็นความคิดของผมนั่นเองที่ผู้ร้ายที่แท้จริง มันแปลภาพและการกระทำเหล่านั้นเป็นความหมายต่าง ๆ ขึ้นมา ทั้งที่ผมอยากรับรู้และไม่อยากรับรู้ สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ผมเจ็บ

ในที่สุดเขาก็จากไป เธอกลับมาเหมือนเดิม แต่ผมรู้แล้วว่าตัวเองนั้นอ่อนแอเพียงใด ต่อให้เธอรับรัก ผมก็คงประคองรักของเราไปไม่ได้นาน ด้วยจิตใจที่คับแคบและหวาดระแวงแถมยังสุดอ่อนแอ คงไม่มีใครที่จะยอมรับมันได้ ผมไม่ได้หวังแค่ความรักชั่วครั้งชั่วคราวลองแล้วก็เลิก หลายคนว่าผมคิดมากและหัวโบราณแต่ผมก็คิดเช่นนี้จริง ๆ

ผมตัดสินใจจากเธอมา ไม่ได้แสดงว่าผมชอบ ไม่ได้บอกรัก เพียงแต่บอกว่าได้งานใหม่ที่ดีกว่าและจะก้าวไปสู่อนาคตใหม่ที่ดียิ่งขึ้นเท่านั้น...

****************

เหงา

ความเงียบเหงาของเวียงจันทน์ ทำให้ผมได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้ทำความเข้าใจกับตัวเองและพิจารณาถึงความเป็นไปแห่งชีวิต ผมได้รู้ว่าเพียงแค่แม่น้ำโขงกั้นกลางความเป็นอยู่ระหว่างสองฝากฝั่งกลับต่างกันราวฟ้ากับดิน ที่นี่ไม่มีห้างใหญ่โต หรือโรงหนังมัลติเพ็กซ์ แม้จะมีคลับ ผับหรือบาร์อยู่บ้างแต่มันก็ไม่ใช่ที่สิงสถิตย์ของผมอยู่แล้ว ผมชอบที่จะออกไปท่องเที่ยวไกล ๆ เข้าป่าปีนภูเขาไปเรื่อยเปื่อย แต่ก็หาเวลาไปได้ยากเต็มทีเนื่องจากงานที่อยู่ทำเป็นข้อจำกัด และสถานที่เหล่านั้นก็อยู่ห่างจากตัวเมืองไปไกลโขทีเดียว

หลายครั้งผมจะนั่งเหงาอยู่บนดาดฟ้าของตึกซึ่งมีสี่ชั้นเป็นคืน ๆ เฝ้าจับจ้องมองดาวที่อยู่บนฟ้า ในยามที่เดือนเด่นก็จะเฝ้าถามจันทร์ว่าสิ่งที่ทำไปถูกต้องหรือเปล่า พระจันทร์ไม่เคยตอบผมมีแต่ตัวของผมเองที่ให้คำตอบว่า ไม่ว่าที่ทำไปจะถูกต้องหรือไม่ตอนนี้เราก็ต้องรับผลที่เกิดขึ้นอยู่ดี

จิตใจของผมเริ่มสงบลง มีรวนเรบ้างบางครั้งที่คิดถึงเธอ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ ผมไม่ได้นึกรักใครอีก ไม่ใช่ว่าที่นี่ไม่มีสาวงาม เพียงแต่ว่าในใจผมยังมีเพียงแต่เธอก็เท่านั้น คุณอาจจะว่าผมเป็นคนงมงาย ทำอะไรไม่เข้าเรื่อง รักแล้วไม่บอกจะได้ผลอันใด ผมยอมรับในทุกเรื่องว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่ก็อยากบอกว่า คนเราทุกคนนั้นแตกต่างกัน ยิ่งเป็นเรื่องของความคิด อารมณ์ ความรู้สึกแล้วด้วย

คุณอาจจะหาคนที่หน้าตาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนได้ แต่ผมเชื่อว่าคุณไม่สามารถหาคนที่มีความคิด ความรู้สึกเหมือนกันราว ๆ กับเป็นคน ๆ เดียวกันได้แน่นอน นั่นคือสิ่งที่ผมว่าน่าสนใจที่สุด เพราะมันทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ และทำให้เกิดสังคมที่แสนวุ่นวายแต่มีชีวิตชีวาขึ้นมา

*******************

การ์ดสีชมพูใบนั้น

ผมได้มันมาเมื่อวันพุธที่แล้ว เพียงแค่อ่านลายมือที่จ่าหน้าซองก็รู้ว่าเป็นของเธอ แม้จะทำใจไว้แล้วแต่ผมก็ยังคิดว่ามันมาอย่างรวดเร็วเกินไป อาจเป็นเพราะว่าในใจผมยังหวังว่าเธอจะรอ เธออาจจะยังไม่มีใครเมื่อผมพร้อมที่จะกลับไป ...ผมยิ้ม จะให้เธอรออะไรหล่ะ ในเมื่อเราก็ไม่ได้แสดงอะไรให้เธอรู้เลย

ผมเอากรรไกรตัดซองด้วยความประณีต คลี่การ์ดขึ้นดู ในนั้นมีกระดาษจดหมายสีขาวนวลแผ่นหนึ่งวางอยู่ มันเป็นสารที่เธอแอบฝากมาให้ผม…

“คนฉลาดคือคนที่เห็นโอกาสแล้วก็พยายามไขว่คว้ามัน คนโง่คือคนที่เห็นโอกาสแล้วไม่พยายามทำอะไรให้ได้มา คนฉลาดที่สุดคือคนที่สร้างโอกาสขึ้นมาเองได้ ส่วนคนที่โง่ที่สุดคือคนที่ไม่เห็นแม้กระทั่งโอกาสที่อยู่ตรงหน้านั่นเอง” ผมนึกถึงข้อความในหนังสือที่เคยอ่านมาได้และจัดตัวเองอยู่ในประเภทหลังสุดในทันทีเมื่อได้ซึมซาบกับข้อความในกระดาษสีขาวนั้น

แย่จังที่ผมอยากจะบอกว่าผมรู้สึกดีใจที่รู้ว่าเธอคิดเช่นเดียวกันกับผมแม้มันจะสายไปแล้วก็ตาม ผมเพิ่งรู้สึกตัวตอนนี้เองว่าสิ่งที่เธอทำให้ผมนั้นมันแตกต่างกับคนอื่น ถ้าคุณถามว่าผมเสียดายไหม ผมจะตอบคุณอย่างจริงใจว่าผมเสียดาย แต่ถ้าหากถามผมว่าถ้าผมรู้ก่อนหน้านี้ผมจะจากเธอมาหรือเปล่า ผมคงตอบว่าผมจะจากเธอมาเช่นเดิมด้วยความเชื่อที่ว่า “หัวใจที่อ่อนแอคงไม่สามารถมอบความรักที่ยิ่งใหญ่ได้” แต่ผมคงไม่จากเธอมาในลักษณะนี้เป็นแน่

ผมเดินออกจากที่ทำการไปรษณีย์ หลังจากส่งจดหมายตอบและของขวัญวันแต่งงานไปให้เธอ ผมเดินผ่านตลาดท่าเสด็จเพื่อไปยังเขื่อนหินริมฝั่งแม่น้ำโขงอีกครั้งหนึ่ง

สายน้ำสีแดงลูกรังยังคงไหลเชี่ยว อารมณ์ของผมยังแปรปรวน ผมได้แต่หวังว่ามันจะสงบลงสักวันหนึ่ง เมื่อถึงวันนั้นผมคงจะออกเรือละจากฝั่ง แล่นออกไปสู่ทะเลกว้างได้อย่างสบายใจเสียที...

*****************




Create Date : 13 กรกฎาคม 2548
Last Update : 13 กรกฎาคม 2548 17:33:03 น. 2 comments
Counter : 388 Pageviews.

 
งานชิ้นเยี่ยม การกระพทำ


โดย: วิรีวุฒิ สีสุดทา IP: 58.9.236.51 วันที่: 27 พฤษภาคม 2551 เวลา:18:25:47 น.  

 


โดย: lalular (lalular ) วันที่: 29 ตุลาคม 2554 เวลา:8:12:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

biblio
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add biblio's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.