Group Blog
 
All Blogs
 
ตอนต่อของภาพยนต์โฆษณา

“เอี๊ยดดด...“เสียงล้อรถยนต์ส่วนบุคคลถูกเบรคอย่างกระทันหันขณะแล่นมาด้วยความเร็วสูงจนฝุ่นที่เกาะอยู่บนลานซีเมนต์ฟุ้งตลบไปทั่ว ประตูหน้าฝั่งคนชับของรถสีดำคันใหญ่ถูกแง้มออก มือที่ล่ำสันแข็งแรงคู่หนึ่ง ยกกล่องสีน้ำตาลขนาดพอประมาณออกมาวางที่พื้นปูนซีเมนต์ แล้วปิดประตูดังปัง สุดท้ายจึงเหยียบคันเร่งสั่งให้รถทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว

กล่องสีน้ำตาลถูกตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในบริเวณลานกว้างหน้าวัดใหญ่แห่งหนึ่ง ฝากล่องเริ่มถูกแรงดันจากภายในจนเปิดออกเป็นช่อง ลูกหมาตัวน้อย ๆ กำลังน่ารักสามตัว โผล่หน้าออกมา พวกมันตะกายออกมาจากกล่อง และเริ่มวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน

“ยาฮู้ เจ้านายเราใจดีจัง พาเรามาเที่ยวด้วย” ลูกหมาตัวหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงกับพรรคพวก

ขณะนั้นเองมีหมาพันทางร่างสูงแต่ผอมโซ ขนที่ติดอยู่ตามตัวหรอมแหรมเต็มทีเดินผ่านมา มันถุยกระดูกหมูชิ้นเก่าโกโรโกโสที่คาบลงมาสู่เบื้องล่างจนกระเด้งกระดอนไปบนพื้นปูนที่ร้อนระอุ ทำหน้ากวน ๆ นิด ๆ แล้วพูดขึ้น

“เจ้าพวกหมาน้อยเอ๊ย ยังไม่รู้อีกหรือพวกแกน่ะ ...ถูกทิ้ง”

“ถูกทิ้งงงงง...” หมาน้อยทั้งสามตัวตะโกนขึ้นพร้อมกันอย่างตกใจ

*****************

เอาล่ะครับ นั่นคือเรื่องราวของพวกผมทั้งหมดที่พวกคุณเห็นจากโฆษณา แต่ความจริงแล้วหลังจากนั้น พวกเรายังมีเรื่องที่น่าสนใจอีกเยอะที่จะเล่าให้ฟัง ผมว่าเราอย่าเสียเวลากันดีกว่า เพราะนี่ก็ใกล้จะเพลแล้วเดี๋ยวผมจะไปไม่ทันพรรคพวก

เรา – หมายถึงผมและเพื่อน ๆ อีกสองตัวเป็นหมาตัวน้อย ๆ น่ารักจนคุณไม่เชื่อหรอกว่าจะมีคนทิ้งได้ลงคอ ในตอนนั้นเราทั้งสามยังอ่อนต่อโลกมากนัก ไม่รู้จะไปไหนดี จึงวิ่งวนไปวนมา กระวนกระวายอยู่ไม่สุข ในใจลึก ๆ ก็ยังหวังว่าจะเห็นรถยนต์คันใหญ่สีดำนั้นวนกลับมารับ ส่วนพี่เสือ(ชื่อที่ทราบภายหลัง) นั้นคาบกระดูกไปนอนแทะใต้โพธิ์ขนาดใหญ่ที่ยืนต้นอยู่ข้าง ๆ อย่างสบายอารมณ์

สักพักหนึ่งผมก็เหนื่อยและเห็นว่าไร้ประโยชน์จึงชวนพรรคพวกเข้าไปพักใต้ร่มโพธิ์บ้างและจะได้สอบถามว่าที่นี่เป็นที่ใด เผื่อว่าจะได้หาทางกลับบ้านกันถูก

“พี่ ๆ ที่นี่ที่ไหนครับ” ผมถามเจ้าของร่างผอมโซอย่างสุภาพ
“ก็วัดใหญ่ไงเล่า”
“วัดนี้มันอยู่ที่ไหนล่ะพี่”
“เคยได้ยินหลวงพ่อแกบอกว่าอยู่แถวฝั่งธนนะ”
“แล้วฝั่งธนนี่มันตรงไหนเหรอ”
“ข้าก็ไม่รู้หรอก เกิดมาก็อยู่ที่วัดนี้แล้ว เคยไปไกลที่สุดก็ตลาดฝากขะโน้นเท่านั้นล่ะ เอ็งจะรู้ไปทำไมวะ”
“ก็เผื่อจะหาทางกลับบ้านได้น่ะ พี่”
“อย่าไปหวังเลยว่ะ ที่เขาเอาพวกเอ็งมาปล่อยเนี่ย ก็แสดงว่าเขาไม่ต้องการแล้ว”
“ไม่จริง พวกฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมต้องถูกทิ้งด้วยเมื่อวานนายผู้หญิงยังอุ้มฉันเล่นอยู่เลย เขายังบอกว่าพวกฉันน่ารักน่าสงสารด้วยนะ”

“เอ็งไม่รู้หรือวะ สิ่งมีชีวิตบางอย่างน่ะแค่เกิดมาก็ก็มีความผิดแล้ว ผิดที่ผิดทางอย่างไรล่ะ ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาไปทิ้งไปปล่อยไปเอาออก กันให้ทั่วบ้านทั่วเมืองหรือ”
“..........”
“พวกเอ็งชื่ออะไรกันบ้างล่ะ ต่อไปจะได้เรียกหากันถูก”
“เอ่อ....”

“ยังไม่มีชื่อกันอีกหรือวะ อย่างนี้แสดงว่า เขากะทิ้งไว้ตั้งแต่แรกเลยนี่หว่า”
“………”
“เฮ้ย ไม่ต้องนั่งเศร้ากันเป็นหมาหงอยอย่างนั้น เกิดเป็นหมากันซะเปล่า แค่นี้ทำสำออยไปได้ เอาอย่างนี้ข้าตั้งชื่อให้พวกเอ็งก็แล้วกัน” พี่เสือพูดขั้นมาหลังจากเห็นเราเงียบและดูท่าทางซึม ๆ ไป

“ไอ้ตัวเล็กนั้นชื่อ ขนมจีบ แล้วกัน ส่วนเจ้าหางขาวนั่นซาลาเปา แล้วเอ็งชื่อ ข้าวต้มมัด ก็แล้วกัน เป็นไงชอบกันไหม ส่วนข้าชื่อเสือนะโว้ย เรียกพี่เสือก็ได้เคยได้ยินไหม คบพี่เสือแล้วไม่ผิดหวัง 5555”

ถึงแม้ว่ามุขพี่แกจะฝืด ๆ ไปนิด แต่ดูเหมือนว่าแกจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเราในวันนี้ ถ้าสังเกตจากไฟนีออนที่ติดอยู่ในกระจกของรถขายขนมจีบซาลาเปาซึ่งตั้งร้านขายอยู่ใกล้ ๆ กับหาบขายข้าวต้มมัดหน้าวัดถูกเปิดขึ้นแล้ว พวกเราจึงรับคำแกอย่างเบา ๆ

พี่เสือพาพวกเราไปดูบ้านของแกที่อยู่ใต้ถุนโบสถ์ไม้หลังเก่า ซึ่งอยู่บริเวณทางด้านซ้ายค่อนไปทางด้านหลังของบริเวณวัด มันเป็นซอกเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยไม้ผุ ๆ เก่า ๆ มีช่องว่างอยู่ตรงกลางพอเป็นที่ซุกหัวนอนได้ พวกผมและพวกอีกสองตัวมองหน้ากันไปมา พยายามหามองหาเบาะอุ่น ๆ อย่างที่เคยนอนอยู่ที่บ้านของเจ้านาย แต่ก็พบเพียงกระดาษหนังสือพิมพ์เก่า ที่ถูกนอนทับติดไปกับพื้นจนแทบแยกไม่ออกว่าอันไหนกระดาษอันไหนพื้นดิน

“อ้าวยืนมองอะไรกันวะ นอนพักกันซะก่อนสิ เดี๋ยวตอนค่ำ ๆ จะได้ออกไปหาอะไรกินกัน ช่วงนี้ยิ่งหายาก ๆ อยู่ด้วย”

พวกผมนั่งลงและฟุบตัวลงกับพื้น สภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ดูต่างกับสภาพที่เคยเป็นอยู่ราวฟ้ากับดิน แต่พวกเราก็ไม่มีใครสักตัว ท้อแท้หรือสิ้นหวัง เรื่องเศร้านั้นเศร้าอยู่ แต่มันก็เป็นแค่ความรู้สึกที่แสดงออกมาตามธรรมชาติและมีอยู่เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เราปรึกษากับอยู่เงียบ ๆ ว่าจะหาทางกลับบ้านไปหาแม่ได้อย่างไร

“ฉันจำได้ ๆ ฉันเคยโผล่หัวออกมาจากล่องแวบนึงนะ ฉันมองเห็นบอลลูนลูกโตจากทางกระจกรถทางขวา” เจ้าซาลาเปาพูดขึ้นอย่างดีใจ หลังจากผมถามว่าจำอะไรได้บ้าง ระหว่างที่ถูกพามา
“ใช่ ๆ ฉันก็จำได้ ตอนนั้นรถเพิ่งแล่นออกมาได้แวบเดียวเองด้วย ถ้าเราหาบอลลูนลูกนั้นเจอ บ้านก็คงจะอยู่ใกล้ ๆ นั่นล่ะ” เจ้าขนมจีบเสริมขึ้นอีก
“ที่สำคัญคือเราต้องหาบอลลูนลูกนั้นให้เจอ ไว้พรุ่งนี้ค่อยหากันเถอะ” ผมกล่าวสรุปปิดท้าย ก่อนที่จะปิดเปลือกตาลง

พี่เสือปลุกพวกเราขึ้นมาในช่วงหัวค่ำ และพยักพเยิดบอกให้เดินตามแกไป เราทั้งสามเดินตามไปอย่างช้า ๆ ไม่นานนักก็ไปถึงตลาดสดแห่งหนึ่ง เขาพาพวกเราเดินวนไปดูตามแผงต่าง ๆ พยายามขุดค้นทุกซอกมุมเพื่อหาเศษเนื้อเศษกระดูกที่อาจจะหลงเหลือจากการเก็บกวาดของพนักงานทำความสะอาดประจำตลาด พวกเราวนกันเกือบสามรอบแต่ได้กระดูกหมูชิ้นเล็ก ๆ เพียงแค่ชิ้นเดียว ซึ่งดูอย่างไรก็คงไม่เพียงพอกับจำนวนของพวกเราเป็นแน่ พี่เสือมองมาทางพวกเราอย่างเวทนา แล้วจึงบอกให้กลับไปรอที่วัดก่อนเขาจะไปหาอาหารในที่ ๆ ไกลกว่านี้ ถ้าโชคดีคงได้มาแบ่งปันกัน เราจึงเดินกลับมาที่พักกันก่อนอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

ร่างสูงเก้งก้างเจ้าของขนสีกระดำกระด่างมุดลงมาใต้ถุนโบสถ์ตอนกลางดึก ปากยาวของเขาคาบถุงพลาสติกหูหิ้วบรรจุเต็มไปด้วยเศษอาหาร ผมและพรรคพวกอีกสองตัวตื่นขึ้นมาแทบจะทันทีที่ได้กลิ่นของกิน หลังจากทนหลับไปทั้ง ๆ ที่ท้องร้องจ๊อก ๆ

พี่เสือบอกให้เราจัดการกับอาหาร ส่วนตัวเองหลบเข้าสู่มุมส่วนตัวนอนลงหอบจนลิ้นห้อยออกมา (ตอนหลังพวกเราถึงรู้ว่าแกไปหาอาหารที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง ซึ่งห่างไกลจากตลาดที่เราไปอีกถึง 5 กิโล) พวกเราขอบคุณแกแล้วยืนเข้าแถวหน้ากระดานกินกันอย่างสุภาพ เวลานั้นในความคิดของเราพี่เสือไม่ใช่หมาผอมโซรูปร่างหน้าชังอีกต่อไป แกกลายเป็นวีรบุรุษหมาผู้ยิ่งใหญ่ที่เราสามารถฝากชีวิตไว้ได้ในทุกสถานการณ์เลยทีเดียว

เราสามตัวนอนรวมกลุ่มชิดติดกันอย่างแนบแน่น แม้กระนั้นอากาศที่หนาวเย็นก็ยังแทรกซึมผ่านขนอันหนานุ่มเข้ามาได้ ผมลืมตาตื่นขึ้นเพราะแสงแดดที่แยงเข้ามาถึงเปลือกตา หลังจากนอนนิ่งมองอณูเล็ก ๆ เต้นระบำในลำแสงอันอ่อนโยนอยู่ครู่ใหญ่ ผมก็ขยับตัวปลุกน้อง ๆ ทั้งสองตัวขึ้นมา และชักชวนกันออกไปยืดเส้นยืดสายกันที่สนามหญ้าหน้ากุฏิ

น้ำค้างยังไม่หายไปจากยอดหญ้า อากาศที่หนาวเหน็บกลับผ่อนคลายลงเมื่อเราได้เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ เราวิ่งเล่นไล่จับกันไปรอบ ๆ บริเวณและก็พบกับสิ่งแปลกตาที่เมื่อวานนี้เราไม่ได้สังเกตหลายอย่าง บริเวณหน้ากุฏิที่เป็นเรือนไม้เก่า ๆ นั้นมีกรงขนาดใหญ่วางอยู่เต็มไปหมด ภายในกรงนั้นมีสัตว์ป่านานาชนิดบรรจุอยู่ ผมเห็นหมีควายตัวใหญ่ยักษ์นอนหมอบอยู่กับพื้นด้วยความเกียจค้าน ด้านข้าง ๆ ถัดไปอีกหน่อยก็มีกรงเสือดาวที่ถูกแยกออกมาต่างหาก ซึ่งมีท่าทางดุร้าย อารมณ์ไม่ดีราวกับเกลียดชังสิ่งมีชีวิตทั้งโลก และเมื่อเราเข้าไปใกล้เขาก็แยกเขี้ยวขู่คำรามใส่ราวกับจะประกาศศักดาและศักดิ์ศรีที่สูงส่งของเขา

เราเดินทัวร์สวนสัตว์ในวัดอยู่ครู่ใหญ่ พี่เสือจึงมุดออกจากที่พักมาสมทบ และบอกความเป็นมาของสัตว์เหล่านี้ว่าก็เป็นพวกที่ถูกทิ้งเหมือน ๆ กับพวกเราน่ะแหละ บางตัวก็ถูกยกมาทั้งกรง อย่างเสือดาวที่ชื่อลีโอซึ่งขู่ใส่เรานั่นก็เพิ่งถูกเอามาปล่อยเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ตอนนั้นทั้งวัดตกใจกันยกใหญ่เมื่อตื่นขึ้นมาเจอกรงเสือดาววางอยู่หน้าวัด ช่วงแรกก็นึกกันว่ามีใครมาทำตกไว้ เพราะเสือดาวตัวขนาดนี้ราคาไม่ใช่ถูก ๆ แต่พอสองวันผ่านไปไม่มีใครมารับจึงรู้ว่ามีคนเอามาปล่อย หลวงพ่อจึงให้ย้ายกรงมาหน้ากุฏิ ให้อยู่กับสัตว์อื่น ๆ ส่วนป้าเจนนี่นั่นเป็นอีกัวน่านำเข้าจากต่างประเทศ เจ้าของแกเอามา “ฝาก” ไว้กับหลวงพ่อเมื่อปีที่แล้ว และก็ไม่ได้มาเอาคืนอีกเลย

พี่เสือแนะนำสัตว์อีกหลาย ๆ ตัวให้เรารู้จัก โดยในรายละเอียดมักจะมีราคาของบรรดาสัตว์เหล่านั้นแถมท้ายด้วยทุกครั้ง จนผมคิดว่าถ้าหลวงพ่อเอาสัตว์ทั้งหมดไปขายก็คงจะมีเงินสร้างกุฏิใหม่ได้เลยทีเดียว และมันก็ทำให้ผมสงสัยในตัวมนุษย์หนักหนาว่าถ้าเลี้ยงไม่ได้แล้วจะซื้อมาเลี้ยงกันทำไม มันทั้งเปลืองเงินเปลืองเวลาเปล่า ๆ จริง ๆ หรือพวกเขาอยากแสดงให้เห็นว่าที่ยกย่องตัวเองเป็นสัตว์ประเสริฐนั้น หนึ่งในเหตุผลก็คือสามารถควบคุมและเข้าไปยุ่งกับสัตว์อื่น ๆ ได้อย่างเบ็ดเสร็จดั่งใจนึก ซึ่งท้ายที่สุดก็คงจะรู้ว่ามันไม่ได้เป็นไปอย่างที่พวกเขาคิดเลย

เสียงระฆังดังกังวานขึ้น พี่เสือชักชวนเราไปทางหลังกุฏิแล้วบอกว่าอีกไม่นานพระสงฆ์จะฉันเพล หลังจากนั้นจะมีของเหลือมาให้เรากิน ซึ่งเป็นประจำทุกวัน ทำให้บรรดาสัตว์ที่อาศัยอยู่ในวัดไม่ต้องออกไปหาอาหารกินเอง ส่วนพวกสัตว์ที่ถูกขังอยู่ในกรงนั้นจะให้อาหารต่างหาก มากน้อยก็แล้วแต่เงินที่ได้รับบริจาคมา แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะมักจะอยู่กันไม่นานเท่าไหร่ เนื่องจากพอได้สัตว์ใหม่ ๆ มาหลวงพ่อจะติดต่อไปทางสวนสัตว์ให้มารับตัวไปอยู่เสมอ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนหลวงพ่อจะให้ใครก็ตามที่มาขอ แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้หลวงพ่อต้องตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนให้หลังจากนั้นมา คือ มีคนเอาลิงลมมาทิ้งไว้ที่วัดหลวงพ่อแกก็เลี้ยงดูเป็นอย่างดีรักษาแผลที่เน่าเปื่อยผุพองให้จนหายดี ไม่นานนักก็มีชายคนหนึ่งมาขอไปเลี้ยงโดยรับคำว่าจะเลี้ยงดูอย่างดี และก็ไม่นานอีกเช่นกันลิงลมตัวนั้นก็ได้กลับมาอยู่ที่วัดอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ชายคนที่เคยมาขอเอามาคืน เป็นหญิงสาววัยรุ่นที่บอกว่าไปซื้อมันมาจากสวนจตุจักร แล้วเลี้ยงไม่เป็น

หลังจากกินข้าวกันเสร็จ พวกเราก็เดินไปปรึกษาเรื่องที่คิดไว้กับพี่เสือ บอกแกถึงเรื่องบอลลูนที่เจ้าซาลาเปาจำได้ แกอิดออดอยู่ครู่ใหญ่ก็ยอมพาพวกเราออกไปเดินหา แต่ก็กำชับกับพวกเราว่าอย่าหวังอะไรให้มากนักจะเจ็บใจเปล่า ๆ

“จำได้ไหมว่าบนบอลลูนมันมีรูปอะไรติดอยู่บ้าง“ พี่เสือถามขึ้นหลังจากเราออกจากวัดได้ไม่นาน
“เอ่อ......”
“จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร บอลลูนมันมีไม่กี่ลูกหรอก” พี่เสือเอ่ยให้กำลังใจหลังจากที่เห็นพวกเราหงอยกันลงไปอีกครั้ง

เราเดินตามหากันตั้งแต่เช้า ท้ายที่สุดพี่เสือก็ได้ข่าวจากเพื่อนว่ามีร้านถ่ายรูปเปิดใหม่แห่งหนึ่งใช้บอลลูนติดป้ายโฆษณาร้าน พวกเรารีบมุ่งตรงไปในทันที และก็ประสบผลอย่างไม่น่าเชื่อในตอนบ่าย เราพบว่ามันเป็นบอลลูนลูกเดียวกันจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นร้านถ่ายรูปร้านนี้เปิดอยู่ในซอยของหมู่บ้าน ๆ หนึ่งซึ่งพวกเราคุ้นเคยเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นไก่ย่างหรือซี่โครงหมูทอดที่เจ้านายเคยซื้อเข้าไปกิน แล้วแบ่งให้พวกเรา ผมยังจำความเอร็ดอร่อยของมันได้เป็นอย่างดีเพราะตอนนั้นเบื่ออาหารเม็ดและอาหารกระป๋องแหยะ ๆ แล้วเต็มที ผมล่ะอยากจับให้คนคิดสูตรอาหารเม็ดมาทดลองกินอาหารเม็ดที่ทั้งแข็งทั้งแห้งนั้นทุกวันสักอาทิตย์จริง ๆ แล้วเขาจะรู้ว่าพวกเราคิดอย่างไรกับอาหารที่บอกว่าอร่อยเลอเลิศมีคุณค่าและหมาทุกตัวจะต้องชอบของเขา

ในที่สุดพวกเราก็มาถึงถิ่นที่จากมา เบื้องหน้าของเรานั้นเป็นรั้วอัลลอยด์สีทองอย่างดีซึ่งขังผู้มีศักดิ์ศรีและฐานันดรเหนือกว่าคนธรรมดาไว้ภายใน รถคันใหญ่สีดำที่นำพวกเราไปปล่อยไว้ที่วัดจอดอยู่หน้าบ้านและที่สำคัญเราได้กลิ่นของแม่ที่หวนหาอย่างที่สุดในเวลานี้ พี่เสือยังรอเราอยู่ที่มุมหนึ่งของกำแพงสูงซึ่งไกลห่างออกไปพอสมควรกับที่เรายืนอยู่ ข้าง ๆ ตัวเขานั้นยังมีถังขยะบรรจุเครื่องปรับอากาศเก่าคร่ำคร่าเครื่องหนึ่ง มันถูกทิ้งไว้รอรถขายของเก่ามาเก็บไปขายเพื่อต่อชีวิตต่อไป นั่นเป็นสัจธรมมที่ว่า ไม่ว่าจะดี ทน เยี่ยม อย่างไร เวลาก็เป็นฝ่ายชนะเสมอ

เรามองลอดเข้าไปในรั้ว ทั่วทั้งบริเวณดูสงบเงียบ บ้านสามชั้นสไตล์ยุโรปตั้งตระหง่านท้าทายลมฝนและแสงแดดอย่างกล้าหาญ พวกเรานิ่ง เงียบ ก่อให้เกิดบรรยากาศสงบสำรวมขึ้น ราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง แม้พวกเราจะยังเป็นลูกหมาตัวเล็ก ๆ เราก็รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ...แต่ในที่สุดผมก็เริ่มร้องเรียกหาแม่หลังจากนั้นน้อง ๆ ก็เริ่มร้องตาม ...การตัดสินใจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การไม่ตัดสินใจจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยที่สุด คือความคิดของผมในเวลานั้น และผมก็ได้ตัดสินใจแล้วว่านี่จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย

เสียงร้องครั้งแรกของเรายังไม่ทันจางหาย เสียงฝีเท้าวิ่งอย่างเร่งร้อนก็ดังมาจากทางหลังบ้านใหญ่ ร่างสมบูรณ์สีน้ำตาลปรากฏขึ้นและมาถึงประตูรั้วอย่างรวดเร็ว ลิ้นอันอ่อนโยนนุ่มนวลนั้นไล้โลมบนเรียวขนของพวกเราอย่างทะนุถนอมแม้ว่าแม่นั้นจะยื่นออกมาได้แค่ปากก็ตาม ในดวงตาของพวกเรานั้นมีหยาดน้ำตาเอ่อท่วมขึ้นมาทันที กำแพงอารมณ์ที่เราแส้แสร้งขึ้นมาเพื่อหลอกตัวเองให้เข้มแข็ง ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง

เราสอบถามสารทุกข์สุกดิบกับตามประสาแม่ลูกครู่ใหญ่ ผมสังเกตเห็นว่าพี่เสือกำลังจะเดินจากไป จึงรั้งแกไว้ให้มาทำความรู้จักกับแม่ ผมบอกกับแม่ว่านี่คือผู้มีพระคุณของพวกเรา เป็นผู้ที่ให้ที่พักอาหาร พามาหาบ้าน และตั้งชื่อให้ ซึ่งแสดงว่าเรามีที่ ๆ ยอมรับพวกเราแล้ว มีที่ ๆ ให้ความผูกพันแก่พวกเรา สุดท้ายผมจึงแนะนำชื่อตัวเองและน้อง ๆ กับแม่และบอกให้แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะไม่หลอกแม่ว่าเราจะไม่อดยาก หรือรับประกันว่าพวกเราจะอยู่อย่างสุขสบาย แต่ผมมั่นใจว่าเราจะมีชีวิตต่อไป และเป็นชีวิตที่เราเลือกเองแล้ว ณ วันนี้

เราสามตัวเดินตามหลังพี่เสือจากมา พยายามยืดตัวตรงให้ดูสง่าและเข้มแข็งที่สุดแม้เท้าทั้งสี่มันพาลจะทรุดลงทุกย่างก้าวที่เดินห่างออกมาจากแม่ เสียงของแม่ฟังเศร้าสร้อยโหยหวนแต่จับใจความได้ว่าขอให้โชคดี พวกเราห้ามใจตัวเองไม่ให้วิ่งกลับไปหาอ้อมอกที่อบอุ่นนั้น เราเลือกแล้วว่าต้องให้แม่มีความสุข เรายังเล็กแข็งแรงและพร้อมที่จะเติบโตไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ต่างกับแม่ที่อาศัยอยู่ในบ้านใหญ่มาชั่วชีวิตและมีความผูกพันกับนาย เราต้องไม่ให้แม่ลำบากใจ ต้องไม่ให้นายเป็นกังวลกับเราอีก ซึ่งนั่นหมายถึงว่ามันอาจจะส่งผลกระทบไปถึงแม่ก็เป็นได้

ผมอยากจะโอ้อวดว่าวันนั้นพวกเราได้ทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตและรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ลูกหมาตัวเล็ก ๆ อีกต่อไป ที่สำคัญคือเราภูมิใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปจริง ๆ

ชีวิตก็คือชีวิต มีทั้งลำบากอดอยากสุขทุกข์ปะปนไป พวกเราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างซึ่งไม่เคยคิดว่าจะได้เรียนได้ใช้มัน อย่างที่พี่เสือเรียกว่ามันคือกำไรของชีวิต คือการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า เราเรียนรู้วิธีส่งสายตาขออาหารยามหิว เรียนรู้วิธีดูลักษณะคนว่าคนไหนมีโอกาสจะให้อาหารเรา เรียนรู้ว่าช่วงเวลาไหนของตลาดที่เราจะสามารถเข้าไปหาอาหารได้ เรียนรู้ว่าถ้าเราคาบขันหรือกะลาไปวางไว้ในที่ ๆ มีผู้คนพลุกพล่านแล้วนอนเฝ้า เราจะได้เศษสตางค์ และเมื่อเอามันไปไว้หน้าร้านขายข้าวมันไก่ในช่วงที่คนน้อย ๆ เห่าสักทีสองที เราจะได้ซี่โครงไก่มาแทะ ตามจำนวนของเศษเหรียญที่มี

นั่นล่ะครับคือชีวิตของพวกเรา ถึงแม้ตอนนี้พวกเราจะทรุดโทรม มีขนแห้งกรังติดผิวหนัง มีร่องรอยที่เกิดจากการต่อสู้และผ่านชีวิตมากมาย ไม่ใช่หมาน้อยหน้าตาน่ารักน่าชังอีกต่อไป แต่พวกเราก็ยังมีชีวิตอยู่ และเราจะสู้ตราบที่ยังมีลมหายใจ เพราะมันคือชีวิตที่มีค่าที่เราได้มาจากผู้ให้กำเนิด และเติบโตก่อเกิดมาด้วยความสามารถของเรา ถ้าคุณบังเอิญพบสุนัขวัยรุ่นสามตัววิ่งหยอกล้อกันในวัดหรือนอนหมอบคุดคู้อยู่เบื้องหลังกะลาและใกล้ ๆ กันนั้นยังมีสุนัขแก่ ๆ ขนกระดำกระด่าง ผอมสูงวนเวียนอยู่ ก็ให้รู้ได้เลยว่านั่นล่ะพวกเราเอง นักสู้สี่ขาผู้มีดวงใจอันเข้มแข็งพิสุทธิ์อย่างไรก็อย่าลืมทักทายอุดหนุนบ้างล่ะกันครับ

**********************


*ป.ล. ท่อนแรกของเรื่องเขียนขึ้นจากโฆษณาชุด “ลูกหมา...ถูกทิ้ง” ของบริษัท TBWA (Thailand) ซึ่งทำให้กับแอร์เทรน เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว เรียนขออนุญาตมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ



Create Date : 12 กรกฎาคม 2548
Last Update : 12 กรกฎาคม 2548 18:35:29 น. 4 comments
Counter : 1433 Pageviews.

 
ซึ้งใจจริงๆๆ
ยอมรับ


โดย: ยะ IP: 203.144.188.7 วันที่: 20 เมษายน 2549 เวลา:13:48:31 น.  

 
ลูกหมามันมีสี่ตัวไม่ใช่เหรอ


โดย: ,มือกาว IP: 180.183.162.30 วันที่: 24 พฤษภาคม 2554 เวลา:21:00:45 น.  

 
อยากได้คลิปโมษณาแอร๋เอาหมาไปปล่อย


โดย: สสสสสสสสสสสส IP: 110.164.187.1 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2555 เวลา:0:39:04 น.  

 
ช่วยหาคลิปโมษณาแอร๋เอาหมาไปปล่อยวัด


โดย: ออออออ IP: 110.164.187.1 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2555 เวลา:0:43:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

biblio
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add biblio's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.