Group Blog
 
All blogs
 

เมื่อหัวใจเราใกล้กัน ตอนพิเศษ 1


เมื่อหัวใจเราใกล้กัน

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. เราเขียนเรื่องนี้หลังจากเขียนตอนปฐมบทของเรื่อง ลำนำรักสีรุ้ง และตัวละครจากเรื่องนั้นก็จะมีบทบาทในเรื่องนี้ด้วย แต่เนื้อหาสามารถแยกอ่านจากกันได้ ไม่จำเป็นว่าต้องอ่านเรื่องนั้นก่อนก็สามารถอ่านเรื่องนี้เข้าใจได้ค่ะ


++------++


ตอนพิเศษ 1: คำแนะนำของพ่อ


เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นจากแท่นชาร์จข้างเตียงปลุกผมให้หรี่ตาขึ้นดูนาฬิกาอย่างงัวเงีย ปรกติเวลานี้เป็นเวลาที่ผมต้องอยู่ที่มหา'ลัยแล้ว แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดสำคัญของปีซึ่งต่อกับวันหยุดสุดสัปดาห์พอดี แถมคนตัวเล็กที่เป็นแฟนผมก็กลับบ้านที่ต่างจังหวัดไปตั้งแต่เมื่อคืนก่อน ผมเลยตั้งใจว่าจะนอนให้เต็มอิ่มหลังอ่านหนังสือจนดึกดื่นติดต่อกันมาหลายคืนเสียที

ผมหลับตาลงใหม่แล้วหยิบหมอนใบเล็กขึ้นปิดหู หวังว่าใครก็ตามที่โทรมาจะวางสายไปเอง ทว่าปลายสายดูจะไม่ยอมให้ผมกลับไปนอนต่อง่ายๆเพราะเสียงโทรศัพท์ยังร้องดังไม่หยุดจนผมต้องยอมแพ้กับความพยายามของคนโทร

“ใครวะ...ยิ่งง่วงๆอยู่”

ผมเอื้อมตัวไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดรับโดยไม่ทันดูชื่อว่าเป็นหมายเลขของใครด้วยซ้ำแล้วหลับตาลง จะใครก็ตามรีบๆคุยให้เสร็จแล้วปิดโทรศัพท์หนีจะได้นอนต่อดีกว่า

“...อ๊อฟ? อ๊อฟรึเปล่า?”

ผมขมวดคิ้วกับเสียงคุ้นหูแล้วก็ยกมือถือขึ้นดูชื่อคนโทรเข้าก่อนจะตอบรับเมื่อรู้ว่าปลายสายเป็นใคร

“หวัดดีพี่อิม ไม่ได้คุยกันตั้งนาน”

“หยุดยาวสามวันนี้ไม่กลับมาบ้านเหรอ นี่พี่อุตส่าห์แลกเวรกับเพื่อนจะได้กลับมาเยี่ยมแม่เลยนะ”

ผมเสยผมแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง พี่สาวโทรหาทั้งทีจะไม่คุยด้วยก็เสียมารยาทไปหน่อย ตั้งแต่พี่อิมย้ายไปทำงานเป็นหมอที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคเหนือและผมเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯเราก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านตรงกันเท่าไหร่

“ขี้เกียจอะพี่อิม แล้วเมื่อตอนปิดเทอมคราวที่แล้วก็กลับไปอยู่บ้านยาวมาทีนึงแล้ว แม่เค้าคงไม่คิดถึงอ๊อฟมากเท่าพี่อิมหรอก”

คนปลายสายหัวเราะกับประโยคแสร้งทำเป็นงอนของผม “ยังไงอ๊อฟก็ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนะ ถึงแม่เค้าจะไม่พูดแต่เค้าก็ต้องอยากเห็นหน้าอยู่แล้วล่ะ”

“ที่จริงก็ตั้งใจจะกลับบ้านหลังสอบมิดเทอมเสร็จนะพี่อิม ว่าแต่เมื่อไหร่พี่จะแต่งงานซะทีเนี่ย ยังคบกับสารวัตรคนนั้นอยู่รึเปล่า”

“อุ้ย พี่ธัญเค้ายังไม่ได้ขอเลย สงสัยต้องรอให้แกได้เลื่อนขั้นเป็นผู้กำกับก่อนมั้ง”

ผมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสดชื่นของพี่สาว เพราะตั้งแต่พี่ผมเลิกกับแฟนเก่าที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนเนื่องจากฝ่ายชายถูกที่บ้านคลุมถุงชนเมื่อสี่ปีก่อนพี่ก็ไม่ร่าเริงอีกเลย จนกระทั่งได้พบแฟนใหม่คนนี้ที่มาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลของพี่หลังการปะทะกับผู้ร้ายจนบาดเจ็บสาหัสเมื่อสองปีก่อน ใครๆที่ได้ฟังเรื่องราวการพบกันครั้งแรกของพี่อิมกับพี่ธัญก็บอกว่าเหมือนเรื่องในนิยายกันทั้งนั้น โชคดีที่ถึงแม้คนรอบตัวจะตักเตือนว่าชายในเครื่องแบบไม่น่าไว้ใจ แต่พี่ธัญก็ไม่เคยทำตัวเจ้าชู้หรือออกนอกลู่นอกทางให้เห็น แถมยังแสดงความจริงใจด้วยการตามจีบพี่อิมอยู่หนึ่งปีเต็มๆกว่าพี่สาวผมจะยอมตกลงคบด้วย

“ยังไงปีใหม่พี่จะหาโอกาสชวนพี่ธัญมาเยี่ยมด้วยแล้วกัน ว่าแต่อ๊อฟมีแฟนใหม่รึยัง ตั้งแต่เลิกกับคนก่อนก็เป็นโสดมานานแล้วนะ”

ผมหันไปมองรูปถ่ายคู่กันของผมกับแฟนตัวเองที่ใส่กรอบตั้งอยู่บนโต๊ะหนังสือแล้วก็ยิ้ม “ว่าไงดี ก็มีแล้วแหละพี่ ทั้งขี้งอนทั้งขี้อ้อนจนผมปวดหัวบ่อยๆเลยแหละ”

“อื้อหือ ฟังดูแล้วน่าจะน่ารักนะ ยังไงส่งรูปมาให้ดูหรือพามาแนะนำกับแม่เค้ามั่งสิ”

ผมหัวเราะแห้งๆ ชักเริ่มกังวลขึ้นมาว่าถ้าพาคนตัวเล็กหน้าหวานไปแนะนำกับสมาชิกครอบครัวจะเป็นยังไง

“ถ้าเค้าพร้อมผมจะพาไปแล้วกันพี่อิม ว่าแต่นี่แม่ไม่อยู่บ้านเหรอ”

“ขานั้นออกไปบ้านเพื่อนตั้งแต่เช้าแล้ว เย็นๆโน่นมั้งคงกลับ ว่าแต่อ๊อฟได้โทรหาพ่อหรือยัง”

พอโดนพี่สาวทักผมก็เหลือบมองนาฬิกาแล้วคำนวณเวลาในใจ “ตอนนี้พ่อคงหลับอยู่มั้งพี่อิม เดี๋ยวเย็นๆค่อยโทรดีกว่า นี่พี่อิมโทรไปแล้วเหรอ”

“ยังเลย พี่ก็ว่าจะโทรหาตอนดึกๆเหมือนกัน จะว่าไปก็คิดถึงพ่อนะ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีแล้ว”

“นั่นสิ ยังไงพี่อิมแต่งงานแล้วไปฮันนีมูนที่โน่นสิจะได้ไปเยี่ยมพ่อ รับรองได้ซองช่วยเป็นดอลลาร์เต็มซองแน่”

พี่ผมหัวเราะแล้วเราก็คุยอะไรกันต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะวางสาย พอมองนาฬิกาอีกทีก็อดจะชื่นชมตัวเองไม่ได้ที่หลับได้มาราธอนขนาดนี้เพราะเลยเวลาอาหารกลางวันไปนานแล้ว

ผมล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็หอบเสื้อผ้าส่วนของผมกับคนร่วมห้องใส่ตะกร้าลงไปซักที่ตู้หยอดเหรียญด้านล่าง พอกลับขึ้นมาบนห้องอีกทีก็เสียบสายกระติกน้ำร้อนสำหรับต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นมื้อกลางวัน ระหว่างกินบะหมี่ก็เริ่มจะคิดถึงคนตัวเล็กขึ้นมาทั้งที่เพิ่งห่างกันได้ไม่ถึงวันเลยด้วยซ้ำ

ผมหยิบโทรศัพท์มากดหาเบอร์ของคนที่กำลังคิดถึงแล้วก็ชั่งใจ ใจหนึ่งก็อยากได้ยินเสียง แต่พอคิดได้ว่าวันนี้น่าจะเป็นวันที่แฟนของตัวเองได้ใช้เวลากับครอบครัวที่บ้านอย่างเต็มที่ก็ตัดสินใจวางโทรศัพท์ลงบนเตียงเหมือนเดิม ยังไงค่ำๆค่อยโทรหาคงไม่เป็นไร

ผมกลับลงไปเอาเสื้อผ้าที่อบแห้งแล้วขึ้นมาบนห้องแล้วก็นั่งพับผ้าไปดูหนังจากช่องเคเบิ้ลรอเวลาไป พอกะว่าน่าจะได้เวลาที่คนที่ตั้งใจจะโทรหาตื่นแล้วก็หยิบนามบัตรที่มีเบอร์โทรพร้อมรหัสประเทศยาวเหยียดมาดูก่อนจะกดต่อสาย

“Hello? Dan speaking.”

“ฮัลโหล นี่อ๊อฟเองนะ หวัดดีครับพ่อ”

ปลายสายทำเสียงอุทานตกใจแบบที่พวกฝรั่งชอบทำกัน แต่ผมชินแล้วเพราะพ่อผมไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่หลังหย่าขาดจากแม่ไม่นานทำให้ติดนิสัยแบบชาวตะวันตกมาหลายอย่าง แถมเมื่อปีที่แล้วพ่อยังเพิ่งแต่งงานกับสาวผมทองที่โน่นอีกต่างหาก

“ไงอ๊อฟ! ไม่ได้คุยกันตั้งนานแน่ะ สบายดีมั้ยไอ้ลูกชาย”

“ก็ดีครับ ตอนนี้อ๊อฟเรียนปีสามแล้วนะพ่อ อีกปีกว่าก็จบแล้ว”

“เออดีๆ ปีสามแล้วเหรอเนี่ย เวลาผ่านไปเร็วจริงแฮะ แล้วที่บ้านเป็นไงมั่ง”

“พี่อิมกับแม่ก็สบายดี เมื่อเช้าเพิ่งถามพี่อิมไปว่าจะแต่งงานเมื่อไหร่ แต่เค้าบอกว่าท่านสารวัตรยังไม่ขอเลยยังไม่รู้”

“อุวะ! อย่างงี้มันต้องให้พ่อคุยเองซะแล้ว อ๊อฟไปสืบหาเบอร์ของไอ้หมอนั่นมาเดี๋ยวพ่อโทรไปจัดการเอง”

“อย่าเลยพ่อ แทนที่จะดีกลับกลายเป็นว่าเค้าจะแหยงเอาซะมากกว่า”

เราหัวเราะให้กัน ผมถามถึงสภาพอากาศกับครอบครัวใหม่ของพ่อว่าเป็นยังไงบ้าง แล้วพ่อก็วกถามเรื่องผมอีกครั้ง

“ว่าแต่ตอนนี้อ๊อฟมีแฟนหรือยัง”

รู้อยู่แล้วละว่าต้องโดนถาม เพราะคุยกันทีไรนี่ก็เป็นคำถามยอดฮิตทุกครั้ง แต่ปีนี้ผมมีคำตอบแล้ว แล้วไหนๆก็เกริ่นกับพี่อิมไปแล้ว ก็บอกพ่ออีกคนเสียเลยจะได้เลิกถามเสียที

“มีแล้วครับ เพิ่งเริ่มคบกันเมื่อเร็วๆนี้เอง”

เสียงหัวเราะในคอของพ่อดังมาตามสาย “ว่าแล้วเชียว พ่อรู้ว่าลูกพ่อเสน่ห์แรง ว่าแต่แฟนเป็นไงน่ารักมั้ย ไว้พ่อกลับไปเมืองไทยคราวหน้าพามาแนะนำให้พ่อรู้จักหน่อยเป็นไง”

ผมหัวเราะอย่างไม่เต็มเสียงนัก คำถามแรกน่ะยังพอตอบได้ แต่คำถามที่สองนี่ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าถ้าพานะไปแนะนำจริงๆพ่อผมจะแสดงปฏิกิริยาแบบไหน ถึงผมจะมั่นใจว่าไม่ว่าใครที่ได้เจอพ่อหนูน้อยของผมก็ต้องเอ็นดูกันทั้งนั้นก็ตามเถอะ

“เอาไว้พ่อกลับมาเมื่อไหร่ผมจะถามเจ้าตัวให้แล้วกัน พอดีนะเค้าขี้อายน่ะครับพ่อ”

“ชื่อน้องนะเหรอ ชื่อน่ารักดีนี่ ชื่อจริงชื่ออะไรล่ะ”

ทั้งที่แอร์ในห้องก็ออกจะเย็น แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเหงื่อกำลังซึมออกมาที่ฝ่ามือยังไงพิกล

“เอ่อ...นะจาก...มานะครับ”

“หือ...มานะเหรอ ชื่อเหมือนผู้ชายเลยแฮะ”

พ่อทักขึ้นแล้วก็เงียบไป ส่วนผมก็ไม่ได้แย้ง เราต่างคนต่างเงียบกันครู่ใหญ่ก่อนพ่อจะทำลายความเงียบขึ้นก่อน

“อ๊อฟ มีอะไรอยากบอกพ่อหรือเปล่า เราลูกผู้ชาย มีอะไรก็พูดกันตรงๆได้นะ”

ผมถอนหายใจ บ่ายเบี่ยงไปก็คงเปล่าประโยชน์ แล้วผมก็ไม่ได้อยากปิดบังพ่อเรื่องนี้ด้วย

“ก็ตามที่พ่อเข้าใจแหละครับ แฟนผมชื่อมานะ เป็นรุ่นน้องที่มหา’ลัย ตอนนี้อยู่ปี 1…”

“ปี 1 เหรอ!? Shit! แล้วน้องเค้าอายุเกิน 18 หรือยัง?”

ผมฟังคำถามแล้วก็ขมวดคิ้ว นี่พ่อผมกังวลเรื่องอะไรอยู่เนี่ย?!

“เกินแล้วพ่อ! แล้วถึงยังไงนะเค้าก็เรียนมหา’ลัยแล้ว ไม่ใช่เด็กๆแล้วครับ”

ถึงบางครั้งจะชอบทำตัวเหมือนเด็กเจ้าอารมณ์ไปบ้างก็เถอะ ผมละประโยคนั้นไว้ในใจแล้วก็ยิ้มเมื่อนึกถึงหน้าของคนที่กำลังโดนพูดถึงขึ้นมา

ปลายสายเงียบไปนานก่อนพ่อจะเอ่ยขึ้นช้าๆอีกครั้ง

“อ๊อฟ พ่อไม่ค่อยได้ใช้เวลากับลูกเท่าไหร่ พ่อก็ไม่รู้ว่าพ่อมีสิทธิ์ออกความเห็นหรือเปล่า แต่อ๊อฟรู้ใช่มั้ยว่าการคบกับผู้ชายด้วยกันอาจโดนมองจากคนอื่นยังไง แล้วยังครอบครัวของ...เอ่อ...ของนะเค้าอีก ทางนั้นยังไม่รู้เรื่องใช่ไหม แล้วนี่เราเริ่มคบกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มีเพื่อนรู้บ้างหรือเปล่า”

คราวนี้พ่อยิงคำถามรัวเป็นชุดจนผมไม่รู้จะตอบคำถามไหนดี ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจหรอกว่าพ่อเป็นห่วง แต่ตอนนี้ปัญหามันยังไม่เกิด ก็ไม่รู้จะรีบกังวลไปทำไม

“ใจเย็นก่อนพ่อ พวกเราเพิ่งเริ่มคบกันได้ไม่นาน ทางบ้านนะน่าจะยังไม่รู้ ส่วนแม่กับพี่อิมผมก็ยังไม่ได้บอกรายละเอียด ส่วนเพื่อนผม ถ้าใครถามผมก็บอกแหละครับ”

ผมได้ยินเสียงพ่อถอนหายใจดังมาตามสายเลยรีบพูดต่อ “พ่อครับ การที่เราสองคนคบกันไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย พ่อเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม”

ถึงจะไม่พูดตรงๆแต่พ่อก็คงรู้ว่าความหมายของผมคือการที่ผมจะเลือกคบใครเป็นสิทธิ์ส่วนตัวที่ผมตัดสินใจได้เอง พ่อคงสับสนพอดูที่จู่ๆก็มาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับแฟนของลูกที่เป็นผู้ชายเหมือนกันในวันพ่อแบบนี้ แต่ผมอยากให้พ่อรับรู้ว่ายังไงผมก็ยังเป็นผมเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“อ๊อฟ พ่อเชื่อว่าลูกไม่ใช่คนที่คบใครแค่เพราะอยากรู้อยากลอง ถ้าเราจริงใจกับเด็กคนนี้ ยังไงก็ขอให้คบกันด้วยความเข้าใจนะ”

ผมเงียบไปหลังได้ยินคำแนะนำนั้น พ่อคงยังไม่ลืมประสบการณ์ความผิดพลาดในอดีตจากชีวิตสมรสของตัวเองกับแม่ ผมยังจำได้ดีถึงวันคืนที่พวกเราสมาชิกครอบครัวทั้งสี่คนมีความสุขกันพร้อมหน้า แต่โดยที่ไม่รู้ตัว รอยปริร้าวเล็กๆก็คืบคลานเข้ามารังควานความสัมพันธ์ของผู้นำครอบครัวทั้งสอง จากรอยเล็กๆก็ค่อยๆขยายใหญ่จนสุดท้ายก็จบลงด้วยการแตกหัก การหย่าร้างที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันทำเอาผมสับสนกับชีวิตตัวเองไปพักใหญ่ แต่เมื่อถึงตอนนี้ ผมเข้าใจแล้วว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง และเรื่องที่ผ่านมาก็ถือเป็นเพียงประสบการณ์ให้จดจำและเรียนรู้ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาหวาดกลัวว่าตัวเองจะดำเนินรอยตามความผิดพลาดนั้น

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับพ่อ ยังไงพ่อรักษาสุขภาพด้วยนะครับ แล้วก็ฝากสวัสดีครอบครัวที่โน่นด้วย”

“เราก็ดูแลแม่กับพี่เค้าดีๆล่ะ แล้วถ้าอยากมาเที่ยวเมื่อไหร่ก็โทรหาพ่อได้ตลอดเลยนะ ตั้งใจเรียนล่ะอ๊อฟ”

ปลายสายยังคงเอ่ยเสียงทุ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง ผมหลับตาลงซึมซับความอบอุ่นนั้น จะดีแค่ไหนถ้าชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ครอบครัวที่หายไปได้กลับมาวางต่อกันเป็นภาพใหญ่ที่สมบูรณ์ดังเดิม แต่เปล่าประโยชน์ที่จะเรียกร้องสิ่งที่สูญเสียไปแล้วให้คืนกลับมา

“ครับ สุขสันต์วันพ่อนะครับ”

ผมวางสายแล้วก็นอนแผ่ลงบนเตียง จู่ๆก็รู้สึกโหวงเหวงในอกจนพาลคิดถึงคนที่นอนกอดทุกคืนขึ้นมาตงิดๆ ไม่รู้ตอนนี้พ่อหนูน้อยของผมทำอะไรอยู่ จะกินข้าวแล้วหรือยัง หรือว่าออกไปดูหนังกับที่บ้าน ใจผมอยากจะโทรหาแต่ก็ไม่อยากทำลายเวลาครอบครัวของคนที่รัก

เสียงร้องประท้วงของน้ำย่อยในกระเพาะฉุดผมให้กลับจากภวังค์ผมเลยลุกขึ้นแล้วบิดขี้เกียจไปมา ขณะกำลังคิดว่าจะลงไปเดินหาอะไรกินที่ตลาดโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นพอดี พอผมเห็นรูปของคนโทรเข้าที่แสดงอยู่บนหน้าจอก็อดยิ้มไม่ได้

“ว่าไงครับ นะ”

“พี่อ๊อฟ ทำอะไรอยู่”

“เมื่อกี้พี่เพิ่งโทรทางไกลไปหาพ่อ นี่ก็ว่าจะโทรหานะต่ออยู่พอดีเลยเนี่ย”

“ก็แล้วทำไมไม่โทรมาตั้งแต่ตอนกลางวันล่ะ”

ผมขมวดคิ้ว ลองฝ่ายนั้นทำเสียงกระเง้ากระงอดมาอย่างนี้ก็เดาได้เลยว่าท่าทางผมจะโดนงอนอีกแล้ว

“ก็นะจะได้ใช้เวลากับครอบครัวได้เต็มที่ไงครับ อุตส่าห์กลับไปหาพ่อกับแม่เค้าทั้งทีจะให้พี่โทรไปกวนได้ไง”

“...ถึงงั้นก็เมสเซจมาบ้างก็ได้นี่นา”

ปลายสายเสียงอ่อนลงนิดหน่อย ผมนึกภาพคนหน้าหวานที่คงกำลังทำแก้มอูมอยู่แล้วก็เสียดายที่คนตัวเล็กไม่ได้อยู่ใกล้ๆไม่งั้นจะจับหยิกแก้มให้รู้แล้วรู้รอด เด็กเอ๋ยเด็ก....ไม่ได้รู้ตัวบ้างเลยว่าคนทางนี้คิดถึงแทบบ้า แต่เพราะผมเข้าใจดีถึงความอ้างว้างของการมีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ ผมเลยอยากให้นะให้ความสำคัญกับครอบครัวของตัวเองมากกว่า

“เข้าใจแล้วครับคนเก่ง ต่อไปจะไม่หายเงียบแบบนี้แล้ว ว่าแต่ตอนนี้นะทำอะไรอยู่ กินข้าวเย็นหรือยัง?”

“ยัง แล้วพี่อ๊อฟกินยังล่ะ”

ผมหนีบหูโทรศัพท์กับไหล่แล้วก็เปิดตู้เสื้อผ้าหากางเกงสำหรับใส่เปลี่ยนไปด้วย “ยังเลย แต่เดี๋ยวกำลังจะไปหาอะไรกินที่ตลาด ว่าแต่ทำไมบ้านนะกินข้าวเย็นกันช้าจัง นี่จะสองทุ่มแล้วนะ”

“ก็ไม่ได้อยู่กับที่บ้านนี่ งั้นถ้าพี่อ๊อฟยังไม่ได้กินข้าวก็รีบลงมาหน้าหอเลย เดี๋ยวไปหาอะไรกินกันดีกว่า”

ประโยคชักชวนของคนตัวเล็กทำให้ผมชะงักมือ “เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าตอนนี้ไม่ได้อยู่กับที่บ้านแล้วนะอยู่ที่ไหนเนี่ย?”

ปลายสายหัวเราะเสียงใสหลังได้ยินคำถามของผม “อยู่บนแท็กซี่ นี่เลี้ยวเข้ามาจากปากซอยแล้ว อย่าลืมลงมาเจอกันหน้าหอนะพี่อ๊อฟ แค่นี้แหละ”

ผมมองโทรศัพท์ในมืออย่างงงๆก่อนจะรีบหันไปคว้ากุญแจห้องกับประเป๋าสตางค์แล้ววิ่งลงลิฟต์ไปที่ชั้นล่าง พอออกไปที่หน้าทางเข้าหอก็พบว่าพ่อหนูน้อยของผมยืนสะพายกระเป๋ารออยู่แล้ว

“ทำไมรีบกลับมาล่ะ ไหนเมื่อวานบอกว่าจะกลับมาวันอาทิตย์ไง”

นะทำหน้ามุ่ยทันทีที่โดนผมทัก “ก็กลับไปแล้วก็ไม่เห็นพ่อกับแม่จะตื่นเต้นดีใจกันเลยนี่นา แค่พาไปดูหนังกินข้าวเมื่อกลางวัน พอกลับถึงบ้านก็เอาแต่สนใจไอ้กุ๊งกิ๊ง จะให้อยู่บ้านต่อก็เซ็งเลยกลับมาดีกว่า หรือพี่อ๊อฟยังไม่อยากเจอนะ จะได้เรียกแท็กซี่ไปขึ้นรถตู้กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย”

ผมรีบคว้าข้อมือเรียวของคนที่ทำท่าจะเดินหนีไปจริงๆแล้วดึงกลับมากอดไว้ แต่พ่อหนูน้อยตัวดีดิ้นจะออกจากอ้อมแขนผมให้ได้ลูกเดียวผมเลยแกล้งทำเสียงเข้มใส่

“อะไรเนี่ย พี่ถามคำเดียวใส่มาเป็นชุดเลยเหรอ จะขี้งอนไปไหนฮึเรา”

“ไม่ได้งอน! ปล่อยนะพี่อ๊อฟเดี๋ยวใครมาเห็น!”

คนตัวเล็กเถียงไปก็ดิ้นขลุกขลักไม่หยุด แก้มสองข้างเริ่มเรื่อเป็นสีชมพู ขี้งอนแล้วยังจะขี้อายอีกนะคนเรา ผมเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจูงมือนะให้เดินตามไปที่ซอกข้างตึก

“โอเค งั้นตามมานี่”

พอผมพาคนตัวเล็กเดินตามเข้าไปในมุมอับสายตาข้างตึกแล้วก็ดึงร่างเล็กๆเข้าประชิดตัวก่อนจะก้มลงปิดปากคนที่เงยหน้าขึ้นเตรียมจะอ้าปากถามด้วยความสงสัย นะยืนตัวแข็งทื่อในตอนแรกด้วยความตกใจ แต่แล้วเมื่อผมเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นประคองตรงท้ายทอยของศีรษะเล็กพร้อมกับแทรกลิ้นเข้าในริมฝีปากอุ่น นัยน์ตากลมโตก็ค่อยๆพริ้มหลับ ริมฝีปากนิ่มเผยอขึ้นและตอบรับจูบของผมอย่างเต็มใจ เราแลกเปลี่ยนความคิดถึงกันผ่านปลายลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดไปมาอย่างเปี่ยมด้วยความรู้สึกโหยหา ผมขบกลีบปากล่างของนะเบาๆก่อนจะถอนริมฝีปากออกแล้วจ้องนัยน์ตาหวานที่ค่อยๆปรือขึ้นมองผม แผ่นอกบางกระเพื่อมขณะพยายามปรับลมหายใจของตัวเอง ริมฝีปากที่อิ่มแดงและฉ่ำเยิ้มนั้นเผยอนิดหน่อยดูเชิญชวนจนผมต้องก้มลงไปจูบเร็วๆซ้ำอีกรอบ

“นะรู้ตัวมั้ยว่าทำให้คนเค้าคิดถึงมาทั้งวันเลย ทีนี้จะหายงอนพี่ได้หรือยังครับ”

แม้มุมที่เรายืนอยู่จะมืดสลัวเพราะมีเพียงแสงไฟที่ส่องลอดหน้าต่างมาจากห้องข้างบน แต่ผมก็เห็นได้ว่าหน้าของคนในอ้อมแขนมีสีเข้มขึ้น นะซุกหน้าลงกับอกผมก่อนจะพูดเสียงอู้อี้

“นะก็คิดถึง วันนี้ก็นั่งรอโทรศัพท์ทั้งวันพี่อ๊อฟก็ไม่โทรมาเลยรีบกลับมาซะเลย แต่ว่าตอนอยู่ที่บ้านพ่อกับแม่ก็เอาแต่สนใจไอ้กุ๊งกิ๊งมากกว่าจริงๆนะ”

น้ำเสียงท้ายประโยคที่รัวเร็วเหมือนอยากระบายความน้อยใจที่คนในครอบครัวสนใจลูกหมามากกว่าตัวเองทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้

“งั้นไม่เป็นไร ถ้าพ่อกับแม่ไม่สนใจนะเดี๋ยวพี่สนเอง ว่าแต่เราไปตลาดกันดีกว่า ตั้งแต่บ่ายมาพี่ยังไม่ได้กินอะไรเลย”

ผมจูงมือพาคนตัวเล็กเดินออกมาจากซอกข้างตึก คราวนี้ใบหน้าหวานยิ้มออกแล้ว มือเล็กบีบกระชับมือผมที่กุมมือตัวเองอยู่แน่น

“นะอยากกินอะไร”

คนถูกถามส่ายหน้าแล้วก็ส่งยิ้มเอาใจแบบที่เจ้าตัวชอบทำเวลาอ้อนมาให้ “แล้วแต่พี่อ๊อฟแหละ นะกินอะไรก็ได้”

ผมยิ้มแล้วก็บีบมือบางตอบขณะเดินไปที่ตลาดด้วยกัน รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ถูกถ่ายทอดให้กันผ่านทางมือที่กุมกันอยู่จนซ่านเข้าไปถึงข้างในหัวใจ ผมหันไปแกล้งทำตาเชื่อมใส่คนตัวเล็กที่เดินอยู่ข้างๆ

“เล่นตามใจกันแบบนี้ งั้นขอพี่กินนะก่อนดีมั้ย”

“อย่าแหย่กันสิพี่อ๊อฟ ไปกินข้าวก่อน นะหิวแล้ว”

คนตัวเล็กเร่งฝีเท้าเดินนำไปก่อนด้วยความเขิน ผมหัวเราะก่อนจะก้าวยาวๆจนตามทันแล้วคว้ามือบางมากุมไว้อีกครั้ง คราวนี้นะไม่ได้สะบัดมือหนีอีก แต่ถึงเจ้าตัวจะยังไม่ยอมหันมาหาผมก็เห็นว่าหน้าของนะแดงไปถึงใบหูแล้ว

โชคดีของผมที่แต่ละวันได้มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเพราะมีคนน่ารักคนนี้อยู่ใกล้ๆ ถึงจะคอยทำให้เวียนหัวกับการต้องง้องอนบ้าง แต่ก็เพราะคนตัวเล็กคนนี้ที่ทำให้หัวใจผมได้สัมผัสกับความสุขของการมีความรักอีกครั้ง และต่อให้อนาคตเราอาจต้องเจอเรื่องยุ่งยากจากการที่เราคบกัน แต่ผมเชื่อว่าความรู้สึกที่เรามีให้กันจะทำให้เราฝ่าฟันอุปสรรคพวกนั้นไปได้แน่นอน ก็เหมือนที่พ่อผมให้คำแนะนำไว้กระมัง

‘ถ้าเราจริงใจกับเด็กคนนี้ ยังไงก็ขอให้คบกันด้วยความเข้าใจนะ’

“ไม่ต้องห่วงนะครับพ่อ ผมตั้งใจแบบนั้นอยู่แล้ว”


++---End คำแนะนำของพ่อ---++




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 28 มกราคม 2553 19:41:28 น.
Counter : 937 Pageviews.  

เมื่อหัวใจเราใกล้กัน 7


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. เราเขียนเรื่องนี้หลังจากเขียนตอนปฐมบทของเรื่อง ลำนำรักสีรุ้ง และตัวละครจากเรื่องนั้นก็จะมีบทบาทในเรื่องนี้ด้วย แต่เนื้อหาสามารถแยกอ่านจากกันได้ ไม่จำเป็นว่าต้องอ่านเรื่องนั้นก่อนก็สามารถอ่านเรื่องนี้เข้าใจได้ค่ะ

ปล. เรื่องราวตอนนี้ ในเชิงเวลาจะคาบเกี่ยวกับลำนำรักสีรุ้งในตอน สองใจในคืนหนาว แต่ในเชิงเนื้อหาจะไม่เกี่ยวข้องกันค่ะ (เอ่อ คงไม่งงกันเนอะ)



++------++


ตอนที่ 7: เปิดตัว เปิดใจ


“ไงเป้ หายป่วยแล้วเหรอวะ”

ผมวางกระเป๋าลงบนโต๊ะม้าหินที่เพื่อนผมนั่งกับแฟนประจำแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม คนถูกถามเพียงเหลือบตาขึ้นมองผมนิดหนึ่งก่อนจะก้มลงอ่านปึกซีร๊อกซ์เลคเชอร์ต่อ นานๆทีผมจะเห็นเพื่อนทำท่าสนใจการเรียนสักที แต่ปกติเป้ก็หัวดีอยู่แล้วไม่งั้นตอนเอ็นท์คงไม่ได้คะแนนอันดับต้นๆของคณะ

“สบายมาก ได้พยาบาลดีซะอย่าง”

น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ทำให้ผมกลอกตาเพราะรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนพูดถึงใคร จะว่าไปตั้งแต่มาถึงผมยังไม่เห็นแฟนเพื่อนเลย

“วิวไปไหนล่ะ”

“ไปซื้อเครื่องเขียนที่ศูนย์หนังสือ เดี๋ยวคงมา”

“อ้อ”

ผมออกเสียงรับรู้ก่อนจะเปิดฝากระป๋องกาแฟเย็นขึ้นดื่มแล้วเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ผมมองเพื่อนที่ก้มอ่านเลคเชอร์อยู่แล้วก็ให้นึกสงสัยว่าวิวเล่าเรื่องผมกับนะให้เป้ฟังหรือยัง แล้วผมควรจะเปิดประเด็นตอนไหนดีเพราะยังไม่ได้ถามนะเลยว่าพร้อมจะให้ผมพามาแนะนำกับเพื่อนเมื่อไหร่

“มีอะไรที่กูควรจะรู้มั้ยอ๊อฟ”

คำถามที่ดังขึ้นตรงจังหวะกับความคิดในหัวทำเอาผมเกือบสำลัก หรือว่าวิวจะเล่าไปแล้ว?

“เฮ่ย อยู่ๆก็ถามกันเลยเหรอ กูยังไม่ได้เตรียมใจเลยมึง”

เป้ละสายตาจากเลคเชอร์ขึ้นมองผมแล้วก็ขมวดคิ้ว

“ความจริงกูก็ตั้งใจจะบอกมึงเร็วๆนี้อยู่แล้วแหละ แต่ว่านะเค้าขี้อาย กูเลยยังไม่ได้ถามว่าเค้าพร้อมจะให้กูพามาแนะนำหรือยัง”

“เดี๋ยวนะอ๊อฟ กูแค่จะถามว่า FN331 อาจารย์สั่งงานวันที่กูหยุดรึเปล่า พอดีวิชานั้นวิวไม่ได้ลงด้วยเลยไม่รู้ แล้วนี่มึงพูดเรื่องอะไรของมึงเนี่ย”

เราสองคนเงียบไปแล้วก็มองหน้ากันอย่างงงๆ

“เดี๋ยวก่อนนะ นี่วิวยังไม่ได้เล่าให้มึงฟังเหรอ กูก็นึกว่ามึงถามเรื่องของนะซะอีก”

“นะไหน วิวยังไม่เห็นเล่าอะไรให้กูฟังเลย”

จบประโยคของเป้คนที่พูดถึงก็มาพอดี แฟนเพื่อนผมมองหน้าเราสองคนสลับกันไปมาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง

“มาขัดจังหวะหรือเปล่าเนี่ย ทำไมทั้งสองคนทำหน้าแปลกๆ”

“วิว อ๊อฟมันมีความลับอะไรที่วิวรู้แล้วไม่บอกเป้ด้วยเหรอ”

วิวกระพริบตาแล้วก็หันมามองผม ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มก่อนจะหันกลับไปตอบแฟนตัวเอง

“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะเอง ก็วิวคิดว่าอ๊อฟคงอยากเล่าให้เป้ฟังเองมากกว่า ยังไงถ้ากำลังคุยกันเรื่องนี้อยู่แล้วก็ถามอ๊อฟไปเลยสิ”

“เฮ่ย...ตกลงวิวยังไม่ได้บอกเป้มันจริงๆอะ?”

คนถูกถามส่ายหน้า นัยน์ตาบ่งบอกว่าไม่ได้โกหกจริงๆ เป้เลยท้วงแฟนตัวเองเสียงงอนจนผมหมั่นไส้

“อะไรเนี่ย เดี๋ยวนี้มีเรื่องที่ไม่ยอมบอกเป้ด้วยเหรอ”

“ก็ไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น แต่นี่มันเรื่องส่วนตัวของอ๊อฟก็ต้องให้อ๊อฟเล่าเองสิ จะงอแงทำไม”

“ก็เกริ่นๆกันหน่อยก็ได้นี่”

ผมเริ่มเวียนหัวกับบทสนทนาที่วนไปมาเหมือนงูกินหางเลยรีบเบรกเสียเอง “ใจเย็นเป้ กูเข้าใจผิดเองที่นึกว่ามึงถามเรื่องนะ ไม่ต้องไปว่าวิวเลย”

“กูไม่ได้ว่าวิว กูแค่ทักขึ้นมาเฉยๆ”

เพื่อนผมหันมามองผมหน้าเครียด เป้เคยยอมเสียที่ไหนถ้าหากมีใครมาว่าแฟนตัวเองหรือหาว่าเป้ดูแลแฟนไม่ดี ผมเลยยกมือทำท่ายอมแพ้เพื่อตัดปัญหา

“ครับๆคุณชาย ผมผิดเองที่ใช้คำไม่ดูตาม้าตาเรือ ข้าน้อยสมควรตาย แค่นี้พอไหมครับ”

เป้ยังทำตาดุ แต่แล้วใบหน้าคมก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์แบบคนที่รู้ความลับสุดยอดที่คนอื่นไม่รู้จนผมเริ่มระแวง

“แล้วตกลง หนุ่มน้อยหน้าใสที่มึงเดินจูงมือแถวป้ายรถเมล์เมื่อเช้านั่นใคร พอจะเล่าให้กูฟังได้มั้ยอ๊อฟ”

ผมอ้าปากค้าง แต่วิวกลั้นหัวเราะจนไหล่กระเพื่อม

“โทษทีนะอ๊อฟ เราไม่ได้เล่าเรื่องวันนั้นจริงๆนะ แต่พอดีเมื่อเช้าเป้ขับรถผ่านป้ายหน้ามหา’ลัยพวกเราเลยเห็นอ๊อฟกับน้องเค้าพร้อมกันเลย ยังไงเล่าให้เป้ฟังตอนนี้เลยก็ได้มั้ง”


++------++


สรุปแล้ว ตอนเย็นหลังเลิกเรียนวันนั้นผมก็นัดทานข้าวเย็นกับเป้และวิวพร้อมให้สัญญาว่าจะพานะมาแนะนำให้รู้จักจนได้ ตอนแรกคนตัวเล็กก็อิดออดอยู่บ้างหลังจากผมเล่าแผนการของช่วงเย็นให้ฟัง แต่พอได้รู้ว่าเพื่อนผมก็มีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกันเลยยอมตกลงแต่โดยดี

ร้านอาหารที่พวกเรานัดกันเป็นร้านอาหารแนวอิตาเลียนฟิวชันเล็กๆซึ่งดัดแปลงจากบ้านเก่าริมแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก ผนังรอบด้านที่กรุกระจกทำให้ร้านดูโปร่งและสบายตา เนื่องจากช่วงเย็นต่อหัวค่ำแบบนี้ยังไม่มีลูกค้าคนอื่น และพนักงานเสริฟที่มีไม่กี่คนก็อยู่ที่เคาน์เตอร์ด้านในกันหมดเพราะผมบอกไปว่าจะรอเพื่อนมาก่อนจึงจะสั่งอาหาร ทั้งร้านจึงเหมือนมีเพียงผมกับนะที่นั่งฟังเสียงดนตรีคลอเบาๆกันอยู่สองคน

พ่อหนูน้อยดูจะตื่นเต้นกับการจะได้พบเพื่อนผมจนนั่งยุกยิกอยู่ไม่สุขตลอดเวลา เดี๋ยวก็หยิบป้ายเมนูที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมาพลิกอ่านแล้วอ่านอีก เดี๋ยวก็พับกระดาษทิชชูบนโต๊ะเล่นจนหมดแก้ว เดี๋ยวก็นั่งโยกเก้าอี้ ผมเลยตัดปัญหาด้วยการจับมือของคนที่นั่งข้างตัวขึ้นมากุมไว้ข้างหนึ่งเผื่อจะทำให้สงบลงได้บ้าง

“มานะเป็นอะไรครับ วันนี้ซนจังนะเรา”

นัยน์ตาหวานช้อนขึ้นมองผมแล้วก็ก้มลงมองแก้วชอกโกแลตเย็นของตัวเองพลางเอาหลอดคนไปเรื่อยๆแต่ไม่ได้ตอบ ผมเลยเหลือบขึ้นมองเข้าไปในร้านว่าพนักงานไม่ได้มองพวกผมอยู่ก่อนจะก้มลงหอมแก้มนิ่มของคนข้างตัวเร็วๆ

“เอ้า ตกลงเป็นอะไรเนี่ย อย่าบอกนะว่าเครียดที่จะมาเจอเพื่อนพี่น่ะ”

คราวนี้คนโดนแหย่หันมาค้อนผมหน้าแดงก่อนจะสะบัดหน้าพรืด ผมมองแก้มป่องๆนั่นแล้วก็ต้องยิ้มขำเพราะดูแล้วมันเขี้ยวน่าจิ้มเล่นเป็นบ้า แต่ไม่รู้ถ้าทำเข้าจริงๆจะโดนโวยใส่หรือเปล่า

“ก็เพื่อนพี่อ๊อฟ แต่นะไม่ได้รู้จักเค้ามาก่อนนี่ ไม่รู้ว่าจะโดนมองแบบไหนนี่นา”

เสียงงอนๆของคนที่พูดโดยไม่ยอมหันมามองหน้าทำให้ผมอมยิ้ม

“อย่าไปกังวลสิ นะเป็นแบบนี้แหละดีแล้วรู้มั้ย”

ผมยกมือขึ้นบีบต้นคอเรียวด้านหลังเบาๆเผื่อจะช่วยให้นะผ่อนคลายลงบ้าง แต่กลายเป็นว่าเจ้าตัวทำท่าจั๊กจี้พลางย่นคอหนีจนผมต้องหัวเราะ ก็ถ้านะไม่เป็นแบบนี้มีเหรอผมจะหลงขนาดนี้ พอนึกถึงที่วิวเคยทักว่าดูไม่ออกว่าผมชอบสไตล์แบบนี้ก็ต้องเห็นด้วยขึ้นมา ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบคนท่าทางเด็กๆแบบนี้มาก่อนจริงๆน่ะแหละ

เสียงประตูเปิดทำให้ผมกับนะหันไปมองพร้อมกันแล้วก็พบว่าเป้กับวิวมาถึงร้านแล้ว พอคนตัวเล็กเห็นเพื่อนผมทั้งสองคนก็ขยับเก้าอี้มานั่งเบียดผมทันที

“โทษทีว่ะอ๊อฟ มัวไปเลื่อนรถอยู่เลยมาช้าไปหน่อย”

เป้เอ่ยขึ้นก่อนแล้วก็หันไปส่งสัญญาณขอเมนูจากพนักงาน วิวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับนะ ท่าทางแฟนเพื่อนผมจะสังเกตอาการของคนข้างตัวผมออกเลยยิ้มให้ก่อนจะทักทายอย่างเป็นกันเอง

“สวัสดีครับ น้องนะใช่มั้ย ได้เจอกันซักทีเนอะ”

ผมกระทุ้งไหล่คนที่นั่งเบียดผมเบาๆ “นะครับ นี่พี่วิว เรียนอยู่คณะเดียวกับพี่ ส่วนคนนี้ชื่อพี่เป้ เป็นเพื่อนสนิทพี่ที่เอก”

“แล้วก็เป็นแฟนพี่วิวด้วยครับ”

เป้แนะนำตัวเองต่อแบบไม่ให้เสียจังหวะเลยโดนวิวมองเหล่แบบยิ้มๆ นะยกมือไหว้ทั้งสองคนแล้วก็ลดมือลงมาจับมือผมเหมือนเดิม พนักงานเสิร์ฟเดินเข้ามาพร้อมเมนูเมื่อเห็นว่าพวกผมนั่งกันเรียบร้อยแล้วเราสี่คนเลยง่วนกับการสั่งอาหารอยู่ครู่หนึ่ง

ระหว่างนั่งรออาหารเป้นั่งกอดอกพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบคาง นัยน์ตาก็จับจ้องคนข้างตัวผมด้วยใบหน้าครุ่นคิด ผมเห็นนะเหลือบตาขึ้นมองเพื่อนผมแล้วก็ก้มหลบสายตาเป็นระยะจนวิวต้องทักขึ้นมา

“เป้ ทำไมไปจ้องน้องเค้าอย่างนั้นล่ะ เสียมารยาทนะ”

คนถูกทักหันไปมองหน้าแฟนตัวเองแล้วก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งรู้ตัว

“หือ? อ้อโทษที พอดีได้เห็นใกล้ๆแล้วรู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยเจอกันมาก่อน นะเรียนจบมาจากที่ไหนครับ”

นะบอกชื่อโรงเรียนมัธยมที่จบมาซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกับผมที่ต่างจังหวัดแล้วเป้ก็ขมวดคิ้ว

“แปลกจัง แต่พี่ว่าพี่เคยเจอนะที่ไหนมาก่อนแน่ๆ”

“มึงเดินสวนนะที่มหา’ลัยเลยคุ้นหน้าหรือเปล่า ยังไงคณะพวกเราก็อยู่ใกล้ๆกัน”

ผมเสนอความเห็นเผื่อจะคลายข้อสงสัยได้ แต่เพื่อนผมก็ยังส่ายหน้า

“ไม่น่าใช่ ถ้าแค่เดินสวนกูไม่รู้สึกคุ้นงี้หรอก งั้นนะเคยไปซัมเมอร์หรือเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศหรือเปล่า”

คราวนี้คนที่นั่งเบียดผมอยู่สะดุ้งหน่อยๆ นะก้มหน้าตอบงึมงำเสียงเบาผมเลยพูดซ้ำให้ คราวนี้เป้ดีดนิ้วทำตาโต

“นึกออกแล้ว น้องมานะที่ไปแลกเปลี่ยนตอนม.ปลายรุ่นหลังพี่สองปีนี่เอง เคยเจอกันที่ค่ายปฐมนิเทศ มิน่าถึงได้คุ้นหน้า ตอนนั้นทำเพื่อนพี่ช้ำในเลยนะเรา”

เป้พูดแล้วก็หัวเราะขำ ผมกับวิวมองหน้ากันอย่างงงๆ ส่วนนะเปลี่ยนมาดึงชายเสื้อผมแล้วก้มหน้างุด แต่หน้าใสๆแดงก่ำไปถึงหูแล้ว

“ตอนนั้นมีอะไรเหรอ”

วิวถามขึ้นอย่างสงสัย เป้เลยหันไปมองแฟนตัวเองยิ้มๆก่อนจะพยักหน้ามาทางคนตัวเล็กข้างผม “ก็ปกติพวกเด็กแลกเปลี่ยนที่ได้ตอบรับแล้ว ทางโครงการจะจัดค่ายปฐมนิเทศให้โดยให้พวกศิษย์เก่ามาช่วยให้คำแนะนำ พอดีเป้เป็นประธานรุ่นก็เลยกลับไปช่วยดูด้วย ตอนนั้นมีเพื่อนคนนึงชื่อไอ้เบนซ์ มันชอบนะตั้งแต่เจอกันทีแรกเลยหาทางจีบทุกวิถีทาง เวลาเล่นเกมที่ต้องถึงเนื้อถึงตัวก็แต๊ะอั๋งน้องเค้าใหญ่แต่นะไม่เล่นด้วยสักที ทีนี้คืนสุดท้ายแต่ละกลุ่มต้องมีการแสดง เบนซ์มันก็ขึ้นไปร้องเพลงประกาศจีบน้องเค้าบนเวทีจนคนทั้งค่ายกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ แต่พอมันเดินลงมาปุ๊บนะก็ลุกไปบนเวทีแล้วคว้าไมค์มาประกาศว่าตัวเองมีแฟนแล้วแถมเท่ห์กว่าไอ้เบนซ์ร้อยเท่า เล่นเอามันหน้าแหกไปเลย”

ผมอ้าปากค้างแล้วก็หันไปมองนะที่เหลือบตากลมโตและหน้าที่แดงก่ำขึ้นมองผมก่อนจะก้มหน้าลงไปใหม่ด้วยความเขิน คนขี้อายอย่างนี้น่ะเหรอจะกล้าทำอะไรแบบนั้น

“คนที่เข้าค่ายครั้งนั้นเห็นเหตุการณ์กันทุกคน ทุกวันนี้เรื่องนี้ก็ยังเป็นมุกที่รุ่นพี่เล่าให้รุ่นน้องฟังต่อๆกันอยู่เลย”

เป้พูดไปแล้วก็หัวเราะไป ผมเลยเอื้อมมือไปกอดไหล่คนตัวเล็กแล้วดึงเข้าหาตัวก่อนจะปรามเพื่อนเพราะแค่นี้ก็ท่าทางแฟนผมจะอายจนแทบมุดดินหนีแล้ว

“พอได้แล้วมึง ขุดคุ้ยซะแฟนกูเขินหมดแล้ว ตกลงกูพานะมาแนะนำนะโว้ยไม่ได้เอามาให้มึงเผา”

“ขอโทษที แต่นึกถึงแล้วมันอดไม่ได้จริงๆว่ะ น้องนะอย่าโกรธพี่นะครับ”

เจ้าเพื่อนตัวป่วนพูดแล้วยิ้มทะเล้นจนคนนั่งข้างๆต้องถองศอกเข้าที่เอว “พอได้แล้วเป้ นะไม่ต้องไปสนใจนะ พี่รับรองว่าถ้าพี่เป้ยังไม่เลิกพูดอีกเดี๋ยวเจอดีแน่”

ท้ายประโยคคนพูดหันไปทำตาดุใส่เพื่อนผม แต่เจ้าตัวกลับยิ้มตอบเหมือนไม่รู้สึกรู้สา

“โอเค ไม่พูดแล้วก็ได้ครับ เดี๋ยวคืนนี้โดนแฟนไล่ให้กลับไปนอนที่บ้านล่ะเซ็งแน่เลย”

ผมได้ยินเสียงกึกกักจากใต้โต๊ะ ไม่รู้ว่าสองคนตรงข้ามผมทำอะไรกันแต่วิวหันไปมองแฟนตัวเองตาเขียวทั้งที่หน้าแดง ส่วนเป้ก็ยิ้มหวานอ้อนกลับเหมือนลืมว่าพวกผมนั่งอยู่ด้วยจนผมต้องส่ายหน้า ตกลงนี่จะให้ผมพานะมาแนะนำหรือพามาดูพวกตัวเองสวีทกันแน่เนี่ย

หลังทานอาหารเย็นเสร็จพวกเราทั้งสี่คนไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะตรงป้อมเก่าริมแม่น้ำฆ่าเวลาต่ออีกนิดหน่อย สายลมอ่อนๆที่โชยมาหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วกำลังเย็นสบาย ตรงส่วนที่เป็นลานกว้างริมแม่น้ำมีคนมาออกกำลังกายและนักท่องเที่ยวนั่งพักผ่อนกันประปราย ผมค่อนข้างโล่งอกที่นะเข้ากับเพื่อนๆผมได้ดีแม้จะยังดูประหม่าอยู่บ้าง คงเพราะบุคลิกที่ดูคล้ายเด็กของเจ้าตัวทำให้ใครๆที่ได้รู้จักนะก็ให้ความเอ็นดูได้ไม่ยาก ผมมองนะที่ยิ้มแย้มเวลาคุยกับเพื่อนผมทั้งสองคนแล้วก็ต้องยิ้มตามไปด้วย เจ้าตัวจะรู้บ้างไหมนะว่าตัวเองมีเสน่ห์แค่ไหนทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรนอกจากการเป็นตัวของตัวเองเลย


++------++


“พี่อ๊อฟ งั้นขอนะอาบน้ำก่อนนะ”

“อื้อ”

ผมวางกุญแจห้องหลังตู้วางรองเท้าขณะที่คนตัวเล็กคว้าเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อตอนเย็นหลังพวกเราเดินเล่นกันจนได้เวลาสักพักเป้อาสาจะขับรถมาส่งผมกับนะ แต่ผมปฏิเสธเพราะถ้าเรียกแท็กซี่จากแถวป้อมจะกลับถึงหอผมได้เร็วกว่า แล้วอีกอย่างหอของวิวก็อยู่คนละทางกับผมด้วย

ผมเลื่อนบานหน้าต่างกระจกให้ลมเย็นภายนอกได้ผ่านเข้ามา ข้าวของส่วนใหญ่ของนะได้รับการขนย้ายมาห้องผมเกือบหมดแล้ว แต่เนื่องจากผมเองยังไม่มีเวลาเคลียร์ห้องตัวเอง ของบางอย่างของนะเลยยังต้องอยู่ในกล่องไปก่อน สงสัยช่วงปีใหม่คงได้มีโปรแกรมทำความสะอาดกันยาว

ผมหยิบกีตาร์มานั่งดีดเล่นฆ่าเวลาเพราะไม่นึกอยากดูโทรทัศน์ อยู่ดีๆก็นึกถึงเรื่องวีรกรรมของนะที่เป้เล่าให้ฟังขึ้นมา จะว่าไปก็น่าสงสารเจ้าคนชื่อเบนซ์ที่โดนนะหักอกต่อหน้าเพื่อนๆอยู่เหมือนกัน แต่พอนึกภาพที่คนตัวเล็กข่มความอายขึ้นไปพูดปฏิเสธออกไมค์บนเวทีแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ถึงตอนนั้นนะจะยังไม่น่ารักเท่าตอนนี้ แต่ก็โทษเจ้าเบนซ์นั่นไม่ได้หรอกที่จะมาหลงชอบ

ทว่าพอคิดถึงเรื่องที่นะประกาศออกไมค์ว่ามีแฟนที่เท่ห์กว่าหมอนั่นเป็นร้อยเท่าแล้วก็ให้นึกตะขิดตะขวงใจขึ้นมา ทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์จะโกรธคนในอดีตที่ได้คบกับนะช่วงที่ตัวเองไม่ได้สนใจอีกฝ่ายก็ตาม แต่ก็อดเคืองขึ้นมาไม่ได้ว่าไอ้หมอนั่นเป็นใคร นะไปรู้จักด้วยตั้งแต่ตอนไหนและคบกันจนถึงเมื่อไหร่...

...แล้วทำไมผมจะต้องมาหงุดหงิดกับเรื่องนี้ด้วย?

“พี่อ๊อฟเป็นอะไร คิ้วจะผูกกันอยู่แล้ว”

ผมสะดุ้งเมื่อโดนนิ้วมือเย็นๆจิ้มเบาๆลงที่หน้าผาก พอเงยหน้าก็เห็นคนตัวเล็กที่ใส่ชุดนอนกางเกงขายาวมีผ้าขนหนูคล้องคออยู่ ผมที่ยังซับน้ำไม่หมาดเป็นปอยยุ่งมีหยดน้ำเกาะพราวไปทั้งหัว

“ไม่มีอะไรหรอก สระผมแล้วทำไมไม่เช็ดให้แห้งล่ะครับ มานั่งนี่มาเดี๋ยวพี่เช็ดให้”

ผมวางกีตาร์แล้วชี้ให้นะนั่งลงหันหลังพิงเตียง ส่วนตัวเองขยับไปนั่งขอบเตียงคร่อมหลังนะไว้จะได้เช็ดผมให้ได้ถนัด

เราสองคนนั่งเงียบกันไประหว่างที่ผมเอาผ้าขนหนูซับผมให้คนตัวเล็กจนอีกฝ่ายคงชักเริ่มแปลกใจเลยถามผมขึ้นอีก

“พี่อ๊อฟไม่ได้เป็นอะไรจริงๆนะ?”

“ทำไมถามงั้นล่ะ”

“ก็ตั้งแต่กลับมาห้องก็เงียบๆไป มีอะไรหรือเปล่า”

ผมหยุดมือที่ขยำผ้าขนหนูเช็ดผมให้คนตัวเล็กจนอีกฝ่ายหันมามองอย่างสงสัย พอเห็นตากลมโตไร้เดียงสานั่นแล้วก็ถอนหายใจก่อนจะลงมือเช็ดผมให้ต่อ

“พี่แค่กำลังคิดว่า แฟนพี่น่ารักขนาดนี้ แฟนเก่าของนะคงเสียใจน่าดูที่ปล่อยนะไป”

“เห? แฟนเก่าของนะ? แฟนที่ไหน?”

เสียงถามอย่างงงๆของเจ้าตัวทำให้ผมขมวดคิ้วอีกรอบ

“อะไร เป็นเด็กเป็นเล็กก็เริ่มความจำไม่ดีแล้วเหรอ ก็ที่เป้เล่าให้ฟังเมื่อเย็นว่านะเคยหักอกเพื่อนมันเพราะมีแฟนอยู่แล้วไง”

คนตัวเล็กเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด ครู่เดียวก็หันหน้ากลับมามองผมแล้วยิ้มจนตาหยี ร่างเล็กปีนขึ้นเตียงมานั่งกอดเอวผมไว้จนได้กลิ่นสบู่กับแชมพูที่เจ้าตัวใช้ลอยกรุ่นเข้าจมูก

“ทำไมล่ะ พี่อ๊อฟหึงเหรอ?”

คำถามจี้ใจดำแม่นยำซะจนผมรู้สึกร้อนที่หน้า นี่ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?!

“เปล่า!! เรื่องอะไรต้องหึง ก็แค่แฟนเก่าไม่ใช่เหรอ ถ้าจบกันแล้วก็จบไปสิ พี่แค่...คาใจ.... เอ้า! หึง!! ใช่ ยอมรับก็ได้ พี่หึงไอ้หมอนั่น!”

ผมพยายามพูดแก้ตัวรัวเร็วจนลิ้นแทบพันกัน แต่เพราะคนที่กอดเอวอยู่ส่งยิ้มให้แบบรู้ทัน สุดท้ายผมเลยตกม้าตายต้องยอมรับความจริงจนได้

นะยิ้มดีใจแล้วก็หอมแก้มผมโดยที่ไม่ปล่อยอ้อมแขนที่กอดเอวผมอยู่ พอโดนลูกอ้อนอย่างนี้ผมเลยต้องยอมแพ้ หันไปจูบผมหอมๆของคนตัวเล็กคืนแล้วก็กอดไหล่บางกลับ ถ้าคิดดูให้ดีผมไม่น่าจะต้องมาคิดมากกับเรื่องในอดีตแบบนี้เหมือนเด็กๆในเมื่อตัวเองก็เคยมีแฟนมาก่อน แต่สาเหตุที่ทำให้หงุดหงิดคงเป็นเพราะแฟนเก่าของนะดันเป็นผู้ชายเหมือนผมนี่แหละ

“ความจริงนะมีรูปเค้าเก็บไว้ด้วยนะ พี่อ๊อฟอยากดูมั้ย”

อารมณ์หวานๆเมื่อครู่แทบเหือดหายทันที ผมลดสายตาลงมองคนในอ้อมแขนที่เงยหน้าขึ้นยิ้มให้อย่างไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไงดี นี่ผมโดนยั่วอยู่หรือเปล่าเนี่ย?

“ไม่เอาหรอก จะดูทำไม เดี๋ยวเห็นว่าคนเก่าเค้าเท่ห์กว่าแค่ไหนแล้วพี่เสียเซลฟ์ขึ้นมานะจะทำยังไง”

ผมปฏิเสธแล้วก็ดันคนตัวเล็กออกจากอกก่อนจะหันหนีไปอีกทาง รู้หรอกว่าตัวเองทำตัวไม่มีเหตุผล แต่พอโดนแกล้งมากๆเข้าก็ชักอยากทำตัวงี่เง่าขึ้นมาเหมือนกัน

ผมได้ยินเสียงนะขยับตัวลุกจากเตียงตามด้วยเสียงกุกกักจากด้านหลังเพราะคนตัวเล็กลงไปนั่งรื้ออัลบัมรูปจากกล่องตรงมุมห้อง ผมชำเลืองดูนิดหนึ่งแล้วก็รู้สึกเสียดแทงใจจนต้องหันหนีกับภาพคนหน้าหวานที่ยิ้มอย่างมีความสุขตอนเปิดเจออัลบัมที่ตัวเองหาอยู่

“ทั้งอัลบัมนี่รูปเค้าหมดเลย พี่อ๊อฟเปิดดูสิ”

ผมสะอึกเมื่อนะโถมตัวมากอดคอจากข้างหลังแล้วก็ยื่นอัลบัมมาให้ตรงหน้า ลมหายใจอุ่นจากคนตัวเล็กที่ระอยู่ข้างใบหูทำให้จั๊กจี้ ผมมองอัลบัมที่นะชูแกว่งไปมา รู้สึกถึงความอบอุ่นจากร่างเล็กที่แนบหลังตัวเองอยู่แล้วก็อดค้านเสียงอ่อนไม่ได้

“จำเป็นต้องดูด้วยเหรอ”

“ก็นะอยากให้พี่อ๊อฟดูนี่ ดูแค่รูปแรกก่อนก็ได้ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องดูที่เหลือ”

แค่รูปแรกรูปเดียวก็เกินจะพอแล้ว ผมจะไปชอบขี้หน้าคนที่เคยเป็นอดีตของแฟนตัวเองจนทนดูรูปหมดอัลบัมไหวได้ยังไง แต่คนตัวเล็กที่รบเร้าไม่หยุดทำให้ผมต้องยอมตามใจ

“เอ้า ดูก็ดู รูปเดียวก็พอนะ”

ผมรับอัลบัมมาถือไว้ในมือ อดหวั่นๆไม่ได้ว่าพอเห็นรูปแล้วจะเกิดเปรียบเทียบตัวเองกับคนในรูปขึ้นมา สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของคนตัวเล็กที่กำลังลุ้นปฏิกิริยาของผมอยู่ คิดแล้วก็น่าน้อยใจ ทำไมจะต้องอยากให้ผมดูรูปแฟนเก่าขนาดนั้นด้วย

แต่แล้วเมื่อพลิกเปิดอัลบัมและสายตาปะทะเข้ากับรูปแรกผมก็ต้องงง เพราะผู้ชายตัวสูงผมสั้นกุดในรูปคือคนที่ผมรู้จักและคุ้นหน้าเป็นอย่างดี ผมรีบพลิกดูรูปอื่นๆจนหมดอัลบัมอย่างไม่อยากเชื่อสายตา คนตัวเล็กที่กอดคอผมอยู่หัวเราะคิกคัก

“ไหนบอกจะดูรูปเดียวไงพี่อ๊อฟ”

ทั้งอัลบัมอัดแน่นไปด้วยรูปเดี่ยวและรูปหมู่ของผมจากกิจกรรมต่างๆของโรงเรียนสมัยเรียนอยู่ม.6 ทั้งรูปในชุดนักกีฬาตอนไปแข่งบาสกับโรงเรียนอื่น รูปตอนเป็นตัวแทนถือพานวันไหว้ครู รูปตอนงานแข่งกีฬาสีที่ผมเป็นประธานสี รูปตอนไปทัศนศึกษา รูปวันจบการศึกษาแล้วก็รูปปลีกย่อยอื่นๆที่ผมก็จำไม่ได้ว่าเคยโดนถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“หมายความว่าไงเนี่ย”

ผมหันไปถามพ่อหนูน้อยที่เกาะหลังตัวเองอยู่ด้วยความสงสัย ใจหนึ่งก็อดปลื้มไม่ได้ที่คนตัวเล็กเก็บอัลบัมที่มีแต่รูปของผมไว้เป็นอย่างดี อีกใจก็ยังตะขิดตะขวงใจว่าแล้วตกลงคนที่ผมเข้าใจว่าเป็นแฟนเก่าของนะคือใครกัน

คนตัวเล็กเลื่อนตัวจากหลังผมมานั่งข้างๆแทนแล้วก็หยิบอัลบัมไปพลิกดูเล่น

“ก็หมายความว่าพี่อ๊อฟก็คือแฟนคนแรกและคนเดียวที่นะเคยมีไง”

ผมมองหน้าด้านข้างของคนหน้าหวานที่ตอนนี้แก้มเป็นสีแดงระเรื่อและไม่ยอมหันมาสบตาผมแล้วก็ขมวดคิ้ว แต่แล้วพอเริ่มคิดลำดับความในหัวได้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ถึงบางอ้อ เลยฉุดคนตัวเล็กให้ล้มลงบนเตียงแล้วลุกขึ้นคร่อมทับก่อนจะตะโบมหอมแก้มพ่อหนูน้อยจอมเจ้าเล่ห์อย่างมันเขี้ยว

“เล่นงี้เลยนะเรา นี่ทึกทักให้พี่เป็นแฟนตั้งแต่ยังไม่ได้ตกลงกันเลยเหรอ”

คนโดนแกล้งหัวเราะเสียงใสทั้งที่พยายามดิ้นหนีผมไปด้วย ผมมองคนในอ้อมแขนที่หัวเราะจนหน้าแดงไปทั้งหน้าแล้วก็อดหัวเราะตามไม่ได้ ความรู้สึกหงุดหงิดใจเมื่อครู่ปลิวหายไปจนหมดเมื่อได้รู้ว่าคนที่ตัวเองนึกหึงหวงที่แท้ก็คือตัวเองนั่นเอง

ผมล้มตัวลงนอนตะแคงข้างคนตัวเล็กแล้วเท้าศอกพลางยื่นมือขึ้นปัดผมที่ลงมาปรกหน้าผากเนียนออกให้พ้นทาง นะยังคงนอนหงายท่าเดิมแต่นัยน์ตาหวานหลับลง มุมปากยังมีรอยยิ้มติดอยู่

“ตอนยังเรียนอยู่ม.ปลายพี่อ๊อฟก็ชอบลูบหัวนะแบบนี้เหมือนกัน”

ผมขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้หยุดมือที่ลูบผมนิ่มอยู่ นะลืมตาแล้วมองผมด้วยนัยน์ตากลมโตที่เป็นประกายสุกใส

“ตอนที่ย้ายโรงเรียนมาเมื่อตอนม. 4 ใหม่ๆนะเคยโดนแกล้งเพราะเป็นลูกอาจารย์แล้วก็ตัวเล็ก นะไม่เคยฟ้องแม่หรอกแต่อาจมีคนไปบอก เค้าเลยขอให้พี่อ๊อฟกับพี่มุ้ยมาช่วยดูแลเพราะเห็นว่าเป็นเด็กม. 6 คนอื่นคงไม่กล้ามายุ่ง ความจริงตอนแรกนะก็ไม่ค่อยชอบที่แม่ทำเหมือนนะดูแลตัวเองไม่ได้ แต่มีครั้งนึงนะโดนแกล้งขัดขาล้มในโรงอาหารจนเข่าแตกแล้วพี่อ๊อฟเข้ามาช่วยอุ้มพาไปห้องพยาบาล ตอนนั้นพี่อ๊อฟลูบหัวนะแล้วชมว่านะเก่งที่ไม่ร้องไห้ด้วยล่ะ”

ผมคงทำหน้าตาเหรอหราออกไปเพราะนะมองหน้าผมแล้วก็หัวเราะ แต่ผมจำเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลยจริงๆ

“ตั้งแต่ตอนนั้นเวลาพวกเด็กเกเรเห็นนะอยู่กับพี่อ๊อฟก็ไม่กล้าเข้ามาแกล้งเพราะพี่อ๊อฟตัวโตแถมเป็นนักกีฬาโรงเรียนด้วย ตอนแรกๆนะก็ไม่ได้คิดอะไรมากกว่าพี่อ๊อฟเป็นรุ่นพี่ที่ดี แต่หลังได้เห็นว่ามีพวกผู้หญิงกรี๊ดพี่อ๊อฟกันเยอะแค่ไหนเลยทำให้เริ่มรู้ตัวว่าอิจฉาเวลาเห็นพวกนั้นขอถ่ายรูปคู่กับพี่อ๊อฟเวลาแข่งบาสหรือมีงานโรงเรียน”

“ที่เค้ากรี๊ดๆกันก็ไม่ใช่พี่คนเดียวซักหน่อย เพื่อนในทีมคนอื่นๆก็โดนเหมือนกันนั่นแหละ” ผมแย้ง เรื่องที่เด็กนักกีฬาจะมีเด็กสาวมาชื่นชมเป็นเรื่องปกติของทุกโรงเรียนอยู่แล้ว นะฟังแล้วก็ย่นจมูก

“ก็ตอนนั้นพี่อ๊อฟไม่ค่อยสนใจใครนี่ นะเคยเลียบๆเคียงๆถามแม่เพราะเค้าเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาพี่อ๊อฟใช่มั้ยล่ะ แม่บอกว่าครอบครัวของพี่อ๊อฟมีปัญหาอยู่แต่พี่อ๊อฟก็ยังตั้งใจเรียนกับทำกิจกรรม ไม่ทำตัวเป็นเด็กเกเร นะก็เลยยิ่งอยากอยู่ใกล้ๆพี่อ๊อฟมากขึ้นถึงจะโดนมองว่าเป็นแค่รุ่นน้องก็เถอะ พอพี่อ๊อฟเรียนจบออกไป เวลามีใครทำท่าจะเข้ามาจีบนะเลยบอกไปว่านะเป็นแฟนพี่อ๊อฟเพื่อตัดปัญหาซะเลย”

“อะไรนะ! ทำไมไม่เห็นมีใครเคยบอกพี่เลย”

“พี่อ๊อฟกับพี่มุ้ยไม่ค่อยกลับไปเยี่ยมบ้านเองนี่ แล้วเด็กโรงเรียนเราพอจบแล้วก็กระจัดกระจายกันไปหมด นะก็แปลกใจเหมือนกันแหละที่พี่อ๊อฟไม่รู้ แถมตอนเจอกันอีกครั้งยังจำนะไม่ได้อีกต่างหาก”

ท้ายประโยคคนตัวเล็กตวัดเสียงงอนๆจนผมต้องหัวเราะแล้วก็รั้งเอวบางเข้าหา “ไม่ยักรู้เลยนะเนี่ยว่าพี่ได้เป็นแฟนนะตั้งแต่ก่อนจะขอคบกับเราซะอีก”

“ใช่สิ ก็นะไม่เคยอยู่ในสายตานี่”

คนในอ้อมแขนแกล้งตัดพ้อ แต่นัยน์ตาที่ส่งยิ้มให้ทำให้ผมรู้ว่าคนตัวเล็กไม่ติดใจเรื่องที่ผมเคยจำตัวเองไม่ได้อีกแล้ว จะว่าไปถ้าผมโดนแบบเดียวกันก็คงโมโหเหมือนกันแหละ

“ตอนนี้ไม่เหมือนกัน มานะทำให้พี่มองคนอื่นไม่ได้แล้วรู้ตัวหรือเปล่า”

ใบหน้าหวานเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมา ผมยอมรับว่าตัวเองโรคจิตหน่อยๆที่ชอบแกล้งให้แฟนตัวเองเขิน ก็มันแสดงให้เห็นว่าคนตัวเล็กชอบผมแค่ไหนนี่นา ผมก้มลงประทับริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากอิ่มแดงตรงหน้าเร็วๆแล้วถอยออกยิ้มให้

“นะยังไม่ง่วงนอนใช่มั้ยครับ”

“ก็ยัง...เอ๊ะ...พี่อ๊อฟ จะทำอะไร”

ท้ายประโยคเจ้าของคำถามเสียงขาดห้วงเมื่อผมเลื่อนมือเข้าไปลูบผิวเนื้อเนียนใต้เสื้อนอนแล้วก็ก้มลงสูดกลิ่นสบู่ที่ซอกคอขาวแรงๆ

“ก็เท้าความหลังกันเรียบร้อยแล้ว คราวนี้พี่จะได้ชดใช้โทษฐานที่ปล่อยให้นะเหงามาตลอดสองปีไง”

“ใครเหงา! พี่อ๊อฟหลงตัวเอง”

คนในอ้อมแขนแย้งผมเขินๆแต่ก็ไม่ได้ดิ้นหนีอย่างจริงจังนัก รู้ตัวมั่งมั้ยเนี่ยว่าทำแบบนี้แล้วยิ่งทำให้อยากกอดมากขึ้นไปอีก ถ้าไม่รักไม่หลงคนตัวเล็กคนนี้ก็ไม่รู้จะไปรักไปหลงใครอีกแล้ว

“เด็กดื้อ ปากแข็งด้วย งั้นคืนนี้พี่ต้องชดใช้หลายๆรอบจะได้ปากตรงกับใจซักที เตรียมตัวไว้เลยนะ”


++---tbc---++




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 28 มกราคม 2553 19:39:02 น.
Counter : 1057 Pageviews.  

เมื่อหัวใจเราใกล้กัน 6


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. เราเขียนเรื่องนี้หลังจากเขียนตอนปฐมบทของเรื่อง ลำนำรักสีรุ้ง และตัวละครจากเรื่องนั้นก็จะมีบทบาทในเรื่องนี้ด้วย แต่เนื้อหาสามารถแยกอ่านจากกันได้ ไม่จำเป็นว่าต้องอ่านเรื่องนั้นก่อนก็สามารถอ่านเรื่องนี้เข้าใจได้ค่ะ


++------++


ตอนที่ 6: เธอคือคำตอบ


“นั่งในห้องบรรยายก็อย่าอยู่ใกล้จุดที่แอร์ลงนะ แล้วก็ตอนกลางวันต้องกินยาให้ครบรู้มั้ย”

“รู้แล้วพี่อ๊อฟ ไม่รีบไปเดี๋ยวตัวเองก็เข้าห้องสายหรอก”

ผมเดินมาส่งนะที่หน้าทางเข้าคณะแล้วก็จัดปกเสื้อคลุมกันหนาวของคนตัวเล็กให้เข้าที่และเตือนเรื่องยาที่ได้จากหมอ ทั้งที่ผมเสนอไปเมื่อเช้าให้คนป่วยหยุดเรียนวันนี้ต่ออีกสักวันแต่เจ้าตัวก็ยังดึงดันจะมาให้ได้เพราะเพื่อนเมสเซจมาบอกว่าจะมีสอบย่อย ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจระบบเก็บคะแนนของพวกภาคอินเตอร์นัก เลยต้องยอมตามใจทั้งที่ใจจริงอยากให้นะได้นอนพักผ่อนมากกว่า

“น่าเสียดายวันนี้พี่พักกลางวันไม่ตรงกับนะ ยังไงตอนบ่ายเรียนเสร็จเมื่อไหร่โทรมาแล้วกันพี่จะได้มารับ”

คนตัวเล็กพยักหน้าแล้วก็ขยับสายสะพายกระเป๋าตัวเอง ผมหันมองซ้ายขวาก่อนจะก้มลงกดปลายจมูกที่แก้มของคนหน้าหวานทีหนึ่งก่อนจะถอยออกยิ้มให้ คนโดนหอมยกมือขึ้นกุมแก้มด้วยความตกใจ หน้าที่แดงเพราะไข้อยู่แล้วยิ่งแดงมากเข้าไปอีก

“พี่อ๊อฟ!”

“จูบให้พรไงจะได้ทำข้อสอบได้ แล้วบ่ายๆเจอกันนะ”

หลังลานะแล้วผมก็เดินผิวปากกลับไปที่คณะของตัวเอง เนื่องจากคณะของเราสองคนอยู่ไม่ไกลกันนัก ผมเลยเดินตัดผ่านอาคารอเนกประสงค์ไปได้อย่างไม่เสียเวลามากมาย และโชคดีว่าวิชาที่ต้องเรียนเช้านี้อาจารย์มักเข้าสายเป็นประจำเลยไม่น่ากลัวว่าจะโดนเช็คขาดเท่าไหร่

“ไงวิว แล้วไอ้เป้มันอยู่ไหนล่ะ?”

ผมวางกระเป๋าลงข้างแฟนเพื่อนแล้วก็หันหาเพื่อนตัวเอง ความจริงวิชานี้เป็นวิชาของเอกพวกผมแต่วิวมาลงเรียนด้วยเพื่อเก็บหน่วยกิต และปรกติเป้จะไปรับส่งแฟนที่หอทุกวันดังนั้นคู่นี้จะอยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลายกเว้นวิชาที่เรียนไม่ตรงกัน

วิวละสายตาจากหนังสือที่อ่านอยู่แล้วก็มองหน้าผมยิ้มๆ “คุณชายไม่สบาย วันนี้เลยหยุดเฝ้าบ้าน”

“ไอ้เป้เนี่ยนะไม่สบาย? ร้อยวันพันปีจะเห็นมันเป็นอะไรซักที”

ผมเอ่ยอย่างแปลกใจเพราะเป้เป็นพวกที่ปรกติสุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บไข้ง่ายๆเหมือนกันกับผม ท่าทางอากาศที่เปลี่ยนจะทำให้คนรอบตัวผมพากันป่วยไปหมด ผมนั่งลงแล้วก็หยิบสมุดกับปากกาออกมาจากกระเป๋าเตรียมพร้อมรอจดเล็คเชอร์ ห้องบรรยายที่มีคนนั่งเพียงโหรงเหรงบอกให้รู้ว่าหลายๆคนคงมาเข้าสายหรือไม่ก็ไม่สบายจนหยุดเรียนเหมือนกัน

“เมื่อกี้ใครเหรอ”

“หือ?”

ผมหันไปหาคนข้างตัวเพราะไม่เข้าใจว่าวิวถามถึงใคร อีกฝ่ายคงเห็นเครื่องหมายคำถามบนหน้าผมเลยยิ้มให้อย่างใจเย็น

“คนที่อ๊อฟหอมแก้มลาก่อนมาเรียนไง หน้าตาน่ารักดีนะ”

“เฮ้ย! วิวเห็นด้วยเหรอ”

ผมหลุดปากไปแล้วก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นโดยไม่ตั้งใจ โดนเห็นได้ยังไงล่ะเนี่ย? ผมว่าผมมองรอบตัวดีแล้วนา

วิวมองหน้าผมแล้วก็หัวเราะเสียงใส “ใจเย็นๆ พอดีตอนนั้นเราแวะไปที่ตึกอเนกฯพอดีแต่คิดว่าคงไม่มีคนอื่นเห็นหรอก ว่าแต่ไม่คิดมาก่อนเลยนะว่าอ๊อฟชอบสไตล์แบบนั้น”

“จะว่าไงดี เรื่องมันยาวน่ะ”

ผมเอ่ยอย่างเขินๆ ก็ผมเพิ่งตกลงคบกับนะเมื่อคืนที่ผ่านมาเองนี่นา แล้วก็ทั้งที่ยังไม่ตั้งใจจะบอกใครแต่กลายเป็นว่าโดนเห็นเข้าเองเสียแล้ว

“เป็นเด็กคณะนั้นเหรอ?”

“อืม อยู่ปี 1 พอดีเค้าเรียนภาคอินเตอร์”

วิวพยักหน้ารับรู้แล้วก็หันมายิ้มให้ตอนที่อาจารย์เดินเข้ามาพอดี “พร้อมเมื่อไหร่พามาแนะนำแล้วกัน เป้ก็คงอยากรู้จักแฟนอ๊อฟด้วย เพื่อนกันนี่นะ”

ผมพยักหน้า แล้วก็พลันนึกถึงเพื่อนอีกคนที่ทำให้ผมได้ปรับความเข้าใจกับคนตัวเล็กขึ้นมา งานนี้ไม่เรียกมาขอบคุณเห็นจะไม่ได้เสียแล้ว


++------++


มุ้ยหัวเราะชอบใจหลังจากมานั่งกินข้าวกลางวันกับผมตามปกติแล้วคะยั้นคะยอให้ผมเล่าเรื่องที่ผ่านมาเมื่อคืนให้ฟัง

“เป็นไงละ ชั้นว่าแล้วสัญชาตญาณชั้นไม่ค่อยผิดหรอก ว่าแต่เมื่อคืนแค่เช็ดตัวคนป่วยแล้วแกก็ปล่อยให้เค้านอนไปเลยจริงอะ?”

ผมรู้สึกเหมือนหน้าตัวเองคงแดงขึ้นเพราะเพื่อนตัวดีหัวเราะไม่หยุดเลยต้องรีบตัดบท “ก็แค่นั้นดิวะ เราไม่ได้เป็นซาดิสต์นะเว่ยจะได้ทำมิดีมิร้ายกับคนป่วย”

คนฟังจุ๊ปากขัดใจจนผมแอบนึกในใจว่าถ้าไม่ใช่เพื่อนผู้หญิงนี่คงเบิ๊ดกะโหลกให้ไปแล้วโทษฐานมาล้อเลียนคนอื่น

“ไม่ใจเลยว่ะอ๊อฟ โอกาสดีออกขนาดนี้ แทนที่จะรวบหัวรวบหางให้รู้แล้วรู้รอด น้องเค้าอุตส่าห์ตามแกมาตั้งสองปี”

ผมกอดอกแล้วยิ้มแยกเขี้ยวให้เพื่อนตัวดีที่ชอบทำตัวเจ้ากี้เจ้าการนัก “แกจะไปรู้อะไร เมื่อคืนกว่าเค้าจะยอมให้เช็ดตัวเราก็ต้องหว่านล้อมจนเหนื่อยเลย เราว่านะยังมีคุณสมบัติผู้ดีมากกว่าผู้หญิงบางคนอีก”

ท้ายประโยคผมแอบจิกคนที่นั่งตรงข้ามไปหน่อยแต่คนโดนแขวะนั่งตักเฉาก๊วยเข้าปากแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ผู้ชายอายผู้ชายด้วยกันเนี่ยนะ? เกิดมาไม่เคยได้ยินว่ะ แสดงว่าน้องเค้าคงชอบแกน่าดู”

พอได้ยินความเห็นจากมุ้ยผมก็เลิกคิ้ว นี่เพื่อนผมตั้งตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เห็นคบใครยืดๆนานๆได้ซักที

“แต่แกคงไม่เกรงใจเค้าไปตลอดใช่ม้า คนป่วยแป๊บๆเดี๋ยวก็หาย แล้วอีกอย่างคนคบกันจะไม่มีเรื่องถึงเนื้อถึงตัวแบบลึกซึ้งคงไม่ไหวม้าง”

ผมถอนหายใจแล้วเสยผมตัวเอง จะว่าอย่างนั้นก็ใช่หรอก ใช่ว่าผมไม่คุ้นเคยเรื่องเซ็กส์มาก่อน เพราะตอนที่คบกับแฟนเก่าเมื่อตอนปีหนึ่งก็เคยมีประสบการณ์มาแล้ว แถมขานั้นดูจะเจนจัดรู้นั่นรู้นี่ดียิ่งกว่าผมเสียอีก

แต่กับผู้ชายด้วยกัน...ผมไม่เคยมีประสบการณ์ และถึงแม้จะไม่ได้ถามเป็นคำพูดออกมา เท่าที่สังเกตจากท่าทางตื่นๆของนะตอนโดนผมสัมผัสเนื้อตัวเมื่อคืน คนตัวเล็กก็คงไม่เคยผ่านเรื่องอย่างว่ามาก่อนเหมือนกัน

“อยากได้คู่มือเพื่อการศึกษามั้ยอ๊อฟ ชั้นมีเพื่อนในกลุ่มคนนึงชอบอะไรแนวนี้มากเลยนะ มีทั้งวีดีโอ นิยาย หนังแผ่น การ์ตูน อยากได้แบบใสๆหรือ SM มีให้ยืมได้ทุกแบบ”

มุ้ยกวาดมือทำท่าเหมือนโฆษณาสินค้า ผมเท้าคางมองเพื่อนเซ็งๆ

“เพื่อนที่ว่านี่ผู้หญิงหรือผู้ชาย”

เพื่อนสนิทผมกระพริบตาเมื่อได้ยินคำถาม “ผู้หญิงดิวะ ในกลุ่มชั้นมีผู้ชายซะที่ไหน”

ผมฟังแล้วก็ต้องถอนหายใจ ผู้หญิงสมัยนี้เดารสนิยมยากจริงๆ

“มาถอนหายใจอะไรของแก ผู้ชายกับผู้ชายมันยุ่งยากมากเรื่องกว่าผู้หญิงกับผู้ชายนะเฟ่ย ถ้าแกไม่เรียนรู้ไว้ก่อนเกิดทำให้น้องเค้ามี bad experience ขึ้นมาจะทำไงยะ”

ผมหลับตาแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นถูหน้าผาก “พอเหอะมุ้ย ยิ่งฟังแกเรายิ่งปวดหัวว่ะ”

“เอ๊ะไอ้นี่ คนเค้าอุตส่าห์ช่วยให้คำแนะนำยังจะมาทำหน้าเหม็นเบื่ออีก คอยดูนะถ้าแกมาบ่นขอคำปรึกษาเพราะทำน้องเค้าไม่ปลื้มลีลาแกชั้นจะหัวเราะให้ฟันหัก”

ผมถลึงตาใส่เพื่อนตัวดี เรื่องอย่างนี้ผู้ชายที่ไหนเค้ายอมให้สบประมาทกัน!

“ไม่มีหรอก! ระดับนี้แล้ว ถึงเราจะหัวช้าเรื่องของนะแต่ก็ไม่ได้ไร้เดียงสานะเว่ย”

“อ๋อเหรอยะ น่าดีใจแทนน้องเค้าจริงๆ”

ผมยกมือนวดขมับ เริ่มไม่เข้าใจว่าจะมานั่งเถียงกับเพื่อนเรื่องชีวิตส่วนตัวให้ได้อะไรขึ้นมา

“เอาเป็นว่า เราขอละเรื่องนี้เอาไว้ในฐานที่เข้าใจซักเรื่องละกันว่ะมุ้ย ส่วนเรื่องอื่นถ้าแกอยากรู้อะไรแล้วเราเล่าได้จะเล่าให้ฟังแล้วกัน”

เพื่อนสาวตั้งแต่สมัยเด็กของผมนั่งเชิดคอทำหน้างอน แต่ดูแล้วไม่ได้น่ารักได้ซักเศษเสี้ยวของนะเลยสักนิด ว่าแต่เมื่อตอนพักกลางวันพ่อหนูน้อยของผมยอมกินยาหลังอาหารหรือเปล่านะ

พอคิดถึงเรื่องพักกลางวันผมเลยนึกอีกเรื่องที่จะบอกเพื่อนขึ้นมาได้

“เออมุ้ย ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปถ้าแกจะมากินข้าวที่นี่แกพาเพื่อนมาแล้วกันนะ เราคงมากินข้าวกับแกไม่ได้แล้วว่ะ”

มุ้ยหันขวับมาอ้าปากเตรียมจะว่าผม แต่แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้เลยถอนหายใจ “เฮ้อ เอาวะ เข้าใจหรอกว่าคนมีแฟนแล้วมันคงไม่มีเวลาให้เพื่อนเหมือนแต่ก่อน ชั้นก็ไม่อยากให้น้องเค้าเข้าใจผิดอีกเหมือนกัน”

“ขอบใจนะ ยังไงเดี๋ยวเราค่อยนัดเลี้ยงข้าววันหลัง คราวนี้จะพานะไปด้วยจะได้คุ้นเคยกันไว้”

“...ก็ได้อะ เออ...งั้นเดี๋ยวชั้นกลับแล้วล่ะ ต้องไปเตรียมพรีเซนต์งานกับเพื่อน”

ผมพยักหน้าแล้วก็ลุกขึ้นเตรียมตัวจะไปเข้าเรียนวิชาต่อไปเหมือนกัน แต่ก่อนจะเดินออกจากโรงอาหารมุ้ยยังไม่วายหันมากระซิบกระซาบข้างหูผม

“ว่าแต่ถ้าเปลี่ยนใจอยากยืมหนังของเพื่อนชั้นก็กริ๊งกร๊างมาบอกกันได้เลยนะอ๊อฟ เดี๋ยวชั้นใช้สิทธิพิเศษให้มันเอาสเปเชียลคอลเลคชันมาให้เลย ไปละ”

ผมยิ้มเจื่อนๆให้เพื่อนตัวดีที่เดินโบกมือจากไป บางครั้งผมก็นึกดีใจที่มีเพื่อนคอยเป็นห่วงเป็นใย แต่กับเรื่องบางเรื่องนี่ไม่ต้องให้ความใส่ใจกันมากขนาดนี้ก็ได้มั้ง


++------++


ผมเข้าฟังบรรยายช่วงบ่ายอย่างไม่ค่อยมีสมาธินัก ถ้าจะโทษก็ต้องโทษมุ้ยคนเดียวที่มาจุดประเด็น แต่ก็ใช่ว่าผมจะปิดหูปิดตาไม่เคยรู้ว่าการมีอะไรกันของผู้ชายมันเป็นแบบไหน เพราะสมัยที่คบแฟนเก่าคุณเธอเคยเอาหนังเอวีแบบ 3P ซึ่งมีตัวละครเป็นชายสองหญิงหนึ่งมาให้ดูมาแล้ว ต้องยอมรับว่าบทอัศจรรย์ที่ได้เห็นทำเอาผมอึ้งไปเพราะไม่คิดว่าแฟนตัวเองจะช่างสรรหาอะไรพรรณนี้มาปลุกอารมณ์ให้ แต่เพราะหลายๆครั้งบางสิ่งที่หล่อนต้องการผมก็ไม่สามารถสนองให้ได้เราเลยทะเลาะกันบ่อยจนกระทั่งสุดท้ายก็แยกทางกัน ไอ้ที่บอกใครๆว่าเพราะฝ่ายนั้นตัดสินใจไปสอบเอ็นท์ใหม่มันก็แค่ข้ออ้างที่เราสองคนตกลงใช้ร่วมกันเพื่อกันคำถามอื่นๆที่จะตามมาเท่านั้นเอง

ใจผมคิดประหวัดไปถึงคนข้างห้องที่สัญญากันไว้ว่าจะไปช่วยแพ็คของเตรียมย้ายห้องในวันพรุ่งนี้แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ความใสซื่อบริสุทธิ์ของนะเป็นของจริงไม่ได้ปรุงแต่ง แม้เจ้าตัวจะเจ้าคิดเจ้าวางแผนไปบ้างตอนที่สืบหาหอผมแล้วย้ายมาอยู่ห้องติดกัน แล้วยังเรื่องที่มาขอปีนหน้าต่างเพราะลืมกุญแจอีก แต่ท่าทางที่ดูตื่นๆและอาการสั่นสะท้านของคนตัวเล็กที่ยอมนั่งนิ่งให้ผมเช็ดตัวให้เมื่อคืนที่ผ่านมาทำให้ผมรู้สึกอยากทะนุถนอมความใสบริสุทธิ์นั้นเอาไว้ แม้จะยอมรับว่าต้องใช้ความอดทนข่มกลั้นอารมณ์พอสมควรตอนเห็นผิวขาวๆกึ่งเปลือยของคนที่ไม่ยอมถอดกางเกงออกให้เช็ดตัวท่อนล่างให้ก็ตาม

รูปร่างสมส่วนติดไปทางผอมที่ได้เห็นเมื่อคืนยังคงติดตา ผิวตัวเนียนลื่นและอุ่นเพราะพิษไข้ที่ได้สัมผัสผ่านปลายนิ้วมือกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างที่ห่างหายไปนานให้ตื่นตัวขึ้นมา แต่ผมก็ต้องคอยเตือนตัวเองว่าอย่าเพิ่งทำอะไรเร่งเร้าให้คนตัวเล็กตกใจ ถึงแม้เราจะรู้จักกันมาก่อนก็ตาม ทว่านี่เพิ่งจะเป็นก้าวแรกของความสัมพันธ์ที่เราจะช่วยกันสานต่อในอนาคตเท่านั้นเอง

และถ้าเป็นไปได้ ผมไม่อยากให้นะมีประสบการณ์ไม่ดีจนจำฝังใจไปตลอดเพียงเพราะผมวู่วามเอาแต่ได้


++------++


ช่วงสายของวันเสาร์นะเปิดประตูรับผมที่ไปเคาะห้องเรียก แล้วก็พบว่าคนตัวเล็กเริ่มรื้อข้าวของบางอย่างออกมาจัดใส่กล่องแล้ว บนพื้นเต็มไปด้วยกองเสื้อผ้าที่พับแยกไว้ หนังสือที่วางซ้อนกันหลายเล่ม แล้วก็ข้าวของเครื่องใช้อย่างพวกจานชาม กระติกน้ำร้อนแล้วก็อะไรจิปาถะอีกนิดหน่อย

“นี่กะเก็บให้หมดวันนี้เลยใช่มั้ยเนี่ย”

“อื้อ ก็พอไปบอกอาม่าข้างล่างว่าจะย้ายห้องแกก็บอกว่ามีคนจองคิวเช่าต่อพอดี เลยอยากรีบเก็บของให้เรียบร้อยแต่เนิ่นๆไปเลยสิ้นเดือนจะได้ไม่วุ่นวาย”

ผมเดินข้ามกองหนังสือสองสามกองที่ตั้งอยู่บนพื้นข้างกล่องใส่ทีวีแล้วก็นั่งลงข้างๆคนตัวเล็กที่กำลังห่อจานชามกับแก้วน้ำด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อยู่

“แล้วจะให้พี่ช่วยอะไรเนี่ย”

“พี่อ๊อฟ...ช่วยไปเอาของในลิ้นชักตรงมุมห้องใส่ถุงก็ได้มั้ง ส่วนใหญ่มีแต่พวกของสะสม จะได้ยกขนไปง่ายๆ”

“โอเค”

ผมลุกไปหยิบถุงพลาสติกสีดำใบใหญ่แล้วก็เริ่มปฏิบัติการเก็บกวาดของในลิ้นชักทั้งสามชั้นของนะ ข้าวของในนี้เป็นพวกสมุดเฟรนด์ชิปเก่าๆ อัลบัมรูปถ่าย การ์ดวันเกิดกับเทศกาลต่างๆที่เจ้าตัวได้จากที่บ้านกับเพื่อนๆ แล้วก็มีของเล่นที่แถมมากับชุดแฮปปี้มีลของแมคโดนัลด์ ดูท่าทางพ่อหนูน้อยของผมจะชอบสะสมของเล็กๆน้อยๆแบบนี้พอสมควร

“พี่อ๊อฟ เดี๋ยวนะลงไปซื้อน้ำที่มินิมาร์ทแป๊บนึง จะเอาอะไรมั้ย”

“เอานะกลับขึ้นมาให้พี่ก็พอ”

ผมรามือที่กำลังจัดของลงถุงแล้วหันไปยิ้มให้ คนถามเลยเดินหน้าแดงออกจากห้องไปหลังค้อนผมเสียทีหนึ่ง มีแฟนขี้อายนี่แหย่ง่ายดีแฮะ

นั่งบนพื้นนานๆก็เริ่มเมื่อย ผมเลยลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วมองสำรวจไปรอบห้องเพราะไม่เคยเข้ามาในนี้มาก่อน ห้องของนะเล็กกว่าผมนิดหน่อย ข้าวของที่วางกองบนพื้นและในลังกระดาษทำให้ห้องดูรกไปบ้างแต่โดยรวมแล้วก็นับว่าเป็นห้องที่ค่อนข้างสะอาด ผ้าปูที่นอนกับหมอนที่ยังไม่ได้ถอดปลอกยังอยู่บนเตียง ที่โต๊ะหน้ากระจกมีขวดโคโลญจน์กับแป้งเด็กแล้วก็พวกครีมกันแดดวางอยู่ ผมหยิบขวดโคโลญจน์ที่เป็นแก้วใสขึ้นดมแล้วก็ยิ้มเพราะเป็นกลิ่นที่คนตัวเล็กใช้ประจำ มิน่าทำไมอยู่ใกล้นะทีไรถึงได้กลิ่นหอมๆทุกที

ผมวางขวดโคโลญจน์ลงที่เดิม แต่พอจะถอยกลับไปเก็บของที่ลิ้นชักมุมห้องต่อก็ไปเตะเอาถุงพลาสติกที่อัดแน่นไปด้วยซีดีจนของข้างในหล่นกระจายออกมากองเต็มพื้นไปหมด ผมนั่งลงเก็บกล่องและซองซีดีที่หล่นออกมาจากถุงแล้วเรียงกลับเข้าไปใหม่ อดหยิบบางแผ่นขึ้นมาพลิกดูไม่ได้ว่านะสนใจดูหนังแบบไหน แผ่นหนังอนิเมชันญี่ปุ่น หนังอินดี้นอกกระแสแล้วก็อัลบัมรวมเพลงเอ็มพีสามที่ดูแล้วเจ้าตัวคงไปซื้อจากแถวถนนข้าวสารทำให้ผมอมยิ้ม แต่พอมือควานไปหยิบซีดีก้นถุงขึ้นมาดูแล้วก็ต้องอึ้งไปพร้อมๆกับเสียงประตูที่เปิดออกพอดี

“พี่อ๊อฟ กินไอซ์ทีมั้ย”

ผมได้ยินเสียงคนตัวเล็กวางถุงขนมกับน้ำกระป๋องลงบนโต๊ะข้างหัวเตียงแต่ไม่ได้หันไปหา ภาพบนปกซีดีสองสามแผ่นในมือกำลังดึงดูดความสนใจจนลืมตอบคำถาม ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆเลยหันไปมองแล้วก็เห็นใบหน้าหวานทำหน้าสงสัย

“ดูอะไรอยู่อะพี่อ๊อฟ…เฮ้ย!”

คนตัวเล็กส่งเสียงร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นของในมือผมก่อนจะแย่งไปถือแล้วเอาซ่อนไว้หลังตัวเอง หน้าหวานแดงจัดแต่ผมคิดว่าหน้าตัวเองก็คงสีสันไม่ต่างกันเท่าไหร่

“เอ่อ...โทษที พอดีพี่เตะถุงซีดีล้มเมื่อกี้เลยกะจะเอาใส่กลับเข้าไปให้ เลยบังเอิญ...เจอ”

นะก้มหน้างุดแล้วรีบเอาซีดีทั้งสามแผ่นยัดใส่ก้นถุงเหมือนเดิมแล้วก็เดินหนีไปนั่งกอดเข่าหันหลังให้ผมที่มุมห้อง ท่าทางเจ้าตัวจะเขินน่าดูที่โดนผมเห็นคอลเลคชันพิเศษเข้าเลยไม่ยอมหันกลับมาพูดอะไรด้วยอยู่เป็นนานจนผมเริ่มไม่สบายใจ

คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อผมเดินตามไปทรุดตัวลงนั่งเอนหลังพิงกับหลังบางไว้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เรานั่งเงียบกันอยู่พักใหญ่จนบรรยากาศเริ่มจะอึดอัดผมเลยตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นก่อน

“นะครับ...เอ่อ...”

“พี่อ๊อฟไม่ต้องพูดอะไรก็ได้”

คนตัวเล็กรีบตัดบทรวดเร็วจนผมหุบปากทันที แค่ตั้งใจจะถามว่าซีดีที่ผมเจอเข้าเมื่อกี้คนตัวเล็กเคยเปิดดูไปบ้างแล้วหรือยังเท่านั้นเอง

ภาพผู้ชายญี่ปุ่นหน้าตาเกลี้ยงเกลา ร่างกายเปลือยเปล่าโพสต์ท่ายั่วยวนแบบต่างๆและรูปย่อยเล็กๆด้านหลังที่เป็นพรีวิวของเนื้อหาข้างในซีดียังติดตาผมไม่หาย

“นะไม่ได้โรคจิตนะ...”

เสียงขึ้นจมูกทำให้ผมเลิกคิ้วแล้วก็หันไปหาคนตัวเล็กทั้งตัว แต่นะก้มหน้าซุกเข่าตัวเองท่าเดียว ผมทนมองท่าทางน่าสงสารอย่างนั้นไม่ไหวเลยดึงคนที่ตัวอุ่นหน่อยๆเพราะยังไม่หายไข้ดีเข้ามากอดไว้แล้วลูบหลังบางไปมา

“พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเราเลยซักคำ บอกแล้วไงครับว่าอย่าคิดอะไรเอาเอง”

คนตัวเล็กซุกหน้าลงกับอกผมแล้วก็พูดอะไรบางอย่างเสียงเบาจนผมต้องถามซ้ำ

“อะไรนะ”

“นะบอกว่าซีดีพวกนั้นเพื่อนให้ยืมมา ตอนนะบอกว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย”

ผมฟังแล้วก็เงียบไปด้วยความตะลึง ตกลงไม่ได้มีแต่ผมคนเดียวที่กลุ้มเรื่องความต้องการของตัวเองอยู่น่ะสิ

“เพื่อนบอกว่าถ้าไม่มีประสบการณ์มาก่อน อย่างน้อยก็น่าจะศึกษาจากหนังพวกนี้เอาไว้เป็นแนวทางบ้าง ตอนทำจริงจะได้ไม่ลำบากมาก แต่ว่าที่ยืมมาทั้งสามแผ่นนะยังดูไม่หมดนะ ขนาดแผ่นแรกก็เพิ่งดูได้แค่ครึ่งเดียวเอง”

เสียงอธิบายรัวเร็วของคนตัวเล็กทำให้ผมหัวเราะออกมา เออหนอ บทจะไร้เดียงสา พ่อหนูน้อยของผมก็ใสซื่อได้กินขาดจริงๆ ผมก้มลงจูบผมนิ่มแล้วเอ่ยถามเสียงเบา

“ถ้าพี่จะบอกว่าไม่ต้องดูวีดีโอแบบนั้นแล้วมาลงมือทำเลยดีกว่าล่ะ นะจะว่ายังไง”

ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมจู่ๆถึงได้ถามแบบนั้นออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเร็วไปหรือเปล่ากับความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่มต้น รู้แต่ว่าความรู้สึกบางอย่างที่มีให้กับคนตัวเล็กมันกำลังแผ่ซ่านขึ้นในใจ และอยากจะระบายให้อีกฝ่ายได้รับรู้

พอผมพูดจบคนในอ้อมแขนก็นิ่งชะงักไป ผมไม่รู้ว่านะจะคิดยังไง แต่ถ้าคนตัวเล็กสนใจเรื่องพวกนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะรังเกียจเรื่องอย่างว่าเสียทีเดียว

นะนิ่งเงียบไปนานโดยไม่ให้คำตอบผม ทว่าสัมผัสจากหัวใจที่เต้นแรงขึ้นซึ่งรู้สึกได้ผ่านแผ่นอกของเราสองคนที่แนบชิดกันอยู่บ่งบอกให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตื่นเต้นแค่ไหน ผมค่อยๆลอดมือข้างหนึ่งที่โอบเอวบางไว้เข้าไปใต้เสื้อยืดของอีกฝ่ายแล้วลูบแผ่นหลังเนียนละเอียดเบาๆ ส่วนมืออีกข้างก็บีบคลึงที่ท้ายทอยของนะไปมาจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่สะดุดไม่เป็นจังหวะของคนในอ้อมแขน

“พี่อ๊อฟ...”

“อืม”

ผมส่งเสียงตอบรับงึมงำในลำคอ พอได้สัมผัสร่างกายของคนตรงหน้ามากเข้าก็เริ่มรู้สึกเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ นะหลุดเสียงครางเบาๆเมื่อผมก้มลงขบเม้มริมฝีปากตรงต้นคอขาวที่โผล่พ้นเสื้อยืดขึ้นมา

“จะทำ...ตอนนี้เลยจริงๆเหรอ...”

เสียงแผ่วหวิวแบบคนไม่มีแรงและนิ้วที่จิกลงบนไหล่ดึงผมให้เงยหน้าขึ้นสบสายตากับตากลมโตที่เริ่มเชื่อมไปด้วยความปรารถนาผสมปนเปไปกับความหวาดหวั่น ใช่ว่าผมจะมองข้ามความไม่มั่นใจของนะ แต่ความรู้สึกที่อยากครอบครองร่างตรงหน้าที่เริ่มเอ่อท้นขึ้นมาทำให้ผมอยากจะประคองคนตัวเล็กไว้แล้วพาข้ามกำแพงแห่งความกลัวนั้นไปด้วยกัน

ผมคว้ามือบางขึ้นมาจูบ แล้วก็เลื่อนมือที่กุมไว้ไปแตะที่อกตัวเองให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าหัวใจผมก็กำลังเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน

“มันอาจจะดูเร็วไปหน่อย แต่นะเชื่อใจพี่หรือเปล่า”

หน้าหวานเม้มริมฝีปากแน่น ผมนวดมืออีกข้างที่หลังคอของนะให้คนตัวเล็กรู้สึกผ่อนคลาย ผมเองไม่เป็นไรเพราะอย่างไรเสียก็เคยมีประสบการณ์เรื่องเพศมาก่อนแม้จะไม่ใช่กับผู้ชายด้วยกัน แต่สำหรับนะที่ไม่เคยทำแบบนี้กับใคร การที่อีกฝ่ายจะทำท่าตื่นกลัวก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก

“นะ...ไม่รู้”

ผมรู้สึกเหมือนลมหายใจสะดุด แต่ก่อนจะตัดใจแล้วถอยออกใบหน้าหวานก็ซุกลงกับอกผมพร้อมกับมือสองข้างที่เอื้อมมาโอบคอผมไว้แน่นเสียก่อน

“แต่ถ้าพี่อ๊อฟต้องการ...ก็ทำก็ได้”

เสียงกระซิบอ่อนหวานริมหูกับริมฝีปากที่จรดลงมาที่สันกรามทำให้ผมรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นรัวแรงขึ้นราวกับกลองที่โดนกระหน่ำตี ผมซุกหน้าลงกับซอกคอขาวๆของนะเพื่อสูดกลิ่นหอมของอีกฝ่ายเข้าเต็มปอดแล้วกอดรัดเอวบางไว้แน่น แทบทนที่จะปลดปล่อยความอึดอัดในตัวออกมาไม่ไหวอยู่รอมร่อ

“...ไปที่เตียงนะ”

เสียงที่ผ่านริมฝีปากออกไปแหบพร่าจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นเสียงตัวเอง ร่างในอ้อมแขนของผมสั่นเล็กน้อยก่อนจะถอยออกสบตาแล้วพยักหน้าที่แดงซ่านแต่โดยดี ผมลุกขึ้นแล้วอุ้มคนตัวเล็กเหมือนอุ้มเด็กก่อนจะเดินข้ามระยะสามก้าวไปที่เตียง

“พี่อ๊อฟ! จะอุ้มท่านี้ทำไมเนี่ย!”

“ไม่ดีเหรอ ให้ความรู้สึกเหมือนอุ้มเด็กดีออก”

ผมแกล้งแหย่เพื่อให้คนที่กำลังประหม่าได้ผ่อนคลายอาการเกร็งลง แล้วก็หอมแก้มนิ่มของคนในอ้อมแขนก่อนจะวางร่างเล็กลงบนเตียง นะมองผมที่ถอยออกเพื่อถอดเสื้อตัวเองตาไม่กระพริบแล้วก็ทำตาโตเมื่อผมก้าวขึ้นคร่อมคนตัวเล็กที่ตอนนี้กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ นัยน์ตากลมโตมองผมตื่นๆเมื่อผมเริ่มล้วงมือเข้าใต้เสื้อยืดเพื่อสัมผัสกับผิวเนียนเรียบที่เคยได้สัมผัสเพราะเช็ดตัวให้ไปเมื่อสองคืนก่อน ทว่าความรู้สึกของวันนั้นกับวันนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง สัมผัสของวันนั้นเป็นไปอย่างทะนุถนอมและหวงแหนคนที่ไม่สบาย แต่ความรู้สึกในวันนี้คือความปรารถนาอยากจะครอบครองร่างกายนี้ให้เป็นของตัวเองตลอดไป

“พี่อ๊...อื้ม”

ผมก้มปิดริมฝีปากอิ่มเต็มก่อนนะจะทันหลุดประโยคใดๆออกมาพร้อมกับใช้ลิ้นตัวเองแหย่เย้าให้ริมฝีปากนิ่มแย้มออกจากกัน ขณะที่มือสองข้างก็ไล้ตามหน้าท้องราบสูงขึ้นไปจนพบติ่งเนื้อนิ่มบนแผ่นอกแล้วใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างคลึงไปมาจนรู้สึกว่าตุ่มไตนั้นแข็งชูชันขึ้นพร้อมกับอาการสั่นระริกและเสียงครางของร่างที่กำลังโดนผมเชยชมอยู่

ผมผละจากคนตัวเล็กเพื่อจะถอดเสื้อยืดของอีกฝ่ายออกแล้วโยนลงข้างเตียงอย่างไม่ไยดี ก่อนจะก้มลงแลกลิ้นกับลิ้นอุ่นๆของคนที่เพิ่งหายไข้อีกครั้ง กลิ่นหอมหวานของแป้งผสมโคโลญจน์อ่อนๆที่นะใช้เป็นประจำกรุ่นเข้าจมูก ยิ่งกระตุ้นความต้องการให้อยากลิ้มรสเรือนร่างของคนตรงหน้ามากขึ้น นะยกมือขึ้นโอบคอผมไว้ราวคนหมดแรงที่ต้องการหาที่ยึดเหนี่ยว แล้วก็สะดุ้งเฮือกลืมตาขึ้นเมื่อมือผมข้างหนึ่งเลื้อยลงใต้ขอบกางเกงด้านหลังแล้วบีบก้อนเนื้อแน่นหยุ่นข้างหนึ่งผ่านกางเกงชั้นในเนื้อบางแล้วลูบไปมา

คนหน้าหวานเม้มปากแน่นหลับตาปี๋ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อผมเลื่อนมือทั้งสองข้างเข้าไปสัมผัสกับเนินเนื้อด้านหลังโดยตรงจนผมต้องจูบเปลือกตาข้างหนึ่งเบาๆ

“ไม่เป็นไร นะไม่ต้องกลัวนะ”

คนตัวเล็กโอบคอผมแน่นโดยไม่ยอมมองหน้าขณะที่ผมเลื่อนมือที่โลมไล้ด้านหลังของนะมาปลดประดุมกางเกงยีนส์และดึงรั้งทั้งกางเกงชั้นนอกและชั้นในลงพร้อมกันจนผิวกายขาวโพลนและส่วนที่แสดงให้รู้ถึงความปรารถนาของร่างเล็กปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมรู้สึกถึงหน้าร้อนๆของนะที่ซุกอยู่ที่บ่าผมเลยดึงคนตัวเล็กให้ถอยออกแต่นะพยายามจะหันหนีผมลูกเดียว ถึงจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ริมฝีปากที่เม้มแน่นกับใบหน้าที่แดงก่ำลงมาจนถึงคอก็บ่งบอกให้รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังเขินอายแค่ไหน

ผมจับมือเล็กให้แตะลงที่จุดกึ่งกลางของร่างกายผมและจับยึดไว้แน่นเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะถอนมือออกเหมือนถูกของร้อน นะหันมาสบตาผม นัยน์ตากลมโตแฝงไว้ด้วยความหวาดหวั่นกับความปรารถนาของผมที่ซ่อนตัวอยู่ใต้กางเกงผืนหนาเหมือนกัน

“นะช่วยถอดให้พี่ได้มั้ย นะครับ”

ผมเอ่ยเว้าวอนเสียงเบาชิดริมฝีปากของคนที่ถูกขอก่อนจะปล่อยมือที่ยึดไหล่บางไว้แล้ววางลงด้านหลังตัวเอง นะตัวสั่นขณะก้มแกะกระดุมและรูดซิปกางเกงผมลง มือเล็กที่ป่ายสะเปะสะปะมาโดนจุดยุทธศาสตร์ที่กำลังต้องการความสนใจทำให้ผมอดสูดปากไม่ได้ ผมยกสะโพกตัวเองขึ้นให้นะดึงกางเกงของผมลง แต่เพราะท่าทางงกๆเงิ่นๆของอีกฝ่ายผมเลยลุกขึ้นจากเตียงแล้วถอดทั้งกางเกงตัวนอกและชั้นในออกเอง คราวนี้คนหน้าหวานที่ได้เห็นร่างเปลือยของผมบ้างก็ถึงกับหันหนีผมทั้งตัว

ร่างเล็กที่นั่งสั่นสะท้านหันหลังให้ผมอยู่บนเตียงดูน่าสงสาร แต่ถึงตอนนี้ถ้าจะให้ผมหยุดก็คงไม่ไหวเหมือนกัน

นะสะดุ้งเมื่อผมเข้าสวมกอดและใช้ปลายจมูกดุนไล้แก้มนิ่มจากด้านหลัง ผมใช้มือข้างหนึ่งเชยคางบอบบางให้หันมาสบตาก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากแดงเย้ายวนเพื่อให้นะลืมความอาย ขณะที่มืออีกข้างค่อยๆไล้ไปตามผิวกายเนียนลื่นละมุนมือ ลมหายใจของคนตัวเล็กขาดห้วงเมื่อปลายนิ้วร้อนของผมไล่ต่ำลงผ่านหน้าท้องแบนราบจนไปถึงศูนย์รวมความต้องการเบื้องล่าง ร่างกายเล็กบิดเร่าเมื่อผมกุมส่วนสำคัญนั้นไว้เต็มมือและเริ่มรูดรั้งให้อารมณ์อีกฝ่ายเตลิดมากยิ่งขึ้นจนคนที่ถูกกระตุ้นต้องส่งเสียงร้องออกมา

“พี่อ๊อฟ...พี่อ๊อฟ...ฮ้า...ไม่ไหว...ฮึก”

ร่างเล็กๆปลดปล่อยความต้องการอุ่นข้นออกมาในเวลาไม่นานนักจนเต็มมือผมที่ยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุดจนกระทั่งส่วนแข็งขืนนั้นเริ่มอ่อนตัวลง นะหอบหายใจหนัก ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงถูกทิ้งลงพิงผมทั้งตัว ผมก้มลงจูบไหล่มนและรับรู้ถึงรสเค็มปะแล่มของเหงื่อที่ซึมออกมาจากร่างของคนตรงหน้าแม้เครื่องปรับอากาศจะทำงานอยู่

ผมเปลี่ยนท่านั่งตัวเองแล้วดึงตัวนะให้เอนลงพิงอกมากขึ้นก่อนจะจับแยกขาเรียวทั้งสองข้างที่เจ้าของดูจะหมดแรงต่อต้านออกจากกัน ผมยิ้มให้คนในอ้อมแขนที่เงยหน้าขึ้นมองผมตาปรอยทั้งที่ลมหายใจยังไม่เป็นปกติและแผ่นอกขาวกระเพื่อมขึ้นลงแล้วก็ก้มลงกระซิบข้างหูเบาๆ

อยากให้คนคนนี้มีความสุขมากที่สุด และได้รับรู้ความรู้สึกของผมด้วยเช่นกัน

“ไม่ต้องเกร็งนะครับคนเก่ง”

นะแทบเด้งลุกจากอกผมอีกครั้งเมื่อผมชำแรกนิ้วที่ฉาบด้วยหยาดหยดอุ่นของเจ้าตัวเองผ่านช่องทางด้านหลังเข้าไป การบีบรัดอย่างรุนแรงของช่องทางคับแคบที่ไม่เคยมีสิ่งใดล่วงล้ำมาก่อนและเสียงครางด้วยความเจ็บทำให้ผมเลื่อนมือที่รัดเอวบางไว้ลงไปเคล้าคลึงกับแก่นกายที่เพิ่งอ่อนตัวอีกครั้งเพื่อเบนความสนใจของคนในอ้อมแขน นะสะบัดหน้าที่หลับตาแน่นไปมาอยู่บนอกผม แผ่นอกขาวแอ่นขึ้นและปลายนิ้วเท้าสองข้างจิกลงบนผ้าปูเตียงเพราะสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย แต่การแสดงออกถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอย่างไร้เดียงสานั้นกลับยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ผมให้ตื่นตัวจนผมมั่นใจว่านะต้องรู้สึกผ่านทางแผ่นหลังที่พิงผมอยู่แน่นอน

“อะ...อ๊า...ซื้ด...พี่อ๊อฟ...พี่อ๊อฟ”

นะจิกเล็บมือข้างหนึ่งลงบนแขนผมเมื่อผมถอนนิ้วแรกออกจนเกือบสุดแล้วเพิ่มนิ้วที่สองเข้าไป ผมไล่จูบขมับและแก้มเนียนของคนที่นั่งหอบหายใจแรงพิงอกผมอยู่ รู้สึกเหมือนร่างกายของนะเริ่มลดอาการเกร็งลงบ้างจึงเลื่อนมือที่สัมผัสแก่นกายอ่อนไหวไปลูบไล้ที่ต้นขาเนียนแทนแล้วค่อยๆแทรกนิ้วที่สามเข้าไป เสียงร้องครางแผ่วหวานของนะและแรงจิกบนแขนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆทำให้ผมรู้ว่าตัวเองก็คงทนนานไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว

“นะ มีโลชั่นหรืออะไรพอหล่อลื่นได้บ้างมั้ย”

รู้ดีว่าอาจทำให้อีกฝ่ายเขินขึ้นมาอีกถ้าถาม แต่ถ้าไม่ถามผมคงทำนะร้องไห้ทีหลังแน่ๆ เจ้าของนัยน์ตาหวานมองผมตาปรือเหมือนไม่เข้าใจคำถามในตอนแรก แต่แล้วก็หันหน้าแดงๆไปทางลิ้นชักโต๊ะข้างหัวเตียง

“มี...เบบี้ออยล์อยู่...น่าจะใช้ได้…”

เสียงตอบเบาหวิว แหบเครือราวคนไม่มีแรงทำให้ผมยิ้มก่อนจะค่อยๆถอนนิ้วตัวเองออกแล้วจับร่างของนะให้นอนหงาย นะไล่สายตาตามผมที่เอื้อมตัวไปเลื่อนลิ้นชักหยิบเบบี้ออยล์ออกมาเทใส่มือแล้วชโลมบนแก่นความต้องการของตัวเองที่กำลังตื่นตัวและร้อนรุ่มจากภาพอันเย้ายวนของคนตรงหน้าด้วยท่าทางเหมือนคนอยู่ในความฝัน คนตัวเล็กพยายามเท้าศอกขึ้นมาเมื่อผมจับขาขาวเนียนทั้งสองข้างแยกออกกว้างแล้วกระถดตัวเองเข้าหาจนแนบชิดกับปากทางเข้าที่แดงก่ำและร้อนผ่าว

คนหน้าหวานสะดุ้งเฮือกพลางยกหลังมือข้างหนึ่งขึ้นกัดแน่นเมื่อผมเริ่มดันตัวเองผ่านปากโพรงที่อ่อนนุ่มและคับแน่นเข้าไปช้าๆ

“พี่อ๊อฟ เดี๋ยวก่อน...อย่าเพิ่งขยับนะ”

ภาพนัยน์ตากลมโตที่น้ำตาซึมออกมาที่หางตาและเสียงวอนขอให้ผมชะลอการเดินเครื่องทำให้ผมต้องขบฟันสะกดกลั้นความต้องการที่จะผสานร่างเป็นหนึ่งเดียวกับคนตัวเล็กอย่างรุนแรงไว้เต็มกำลัง นะหลับตาแล้วพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ส่วนผมก็ลูบไล้ไปทั่วสะโพกและต้นขาเนียนแน่นเพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายลงพร้อมกับข่มใจตัวเองไม่ให้ทะยานไปตามอารมณ์ที่กำลังร้อนขึ้นเต็มที่เหมือนกัน

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกร็งนะเด็กดี ทนหน่อยนะครับ”

นะปรือตาขึ้นมองผมช้าๆ ขณะที่ผมก็ถือโอกาสค่อยๆเดินหน้าต่อเมื่อรู้สึกว่าลมหายใจของคนตรงหน้าเริ่มเป็นปรกติมากขึ้น แต่กระนั้นก็ยังต้องหยุดเป็นจังหวะเพราะช่องทางอ่อนนุ่มด้านในคอยแต่จะตอดรัดเหมือนไม่ต้องการสิ่งแปลกปลอมให้แนบชิดลึกล้ำไปกว่าที่เป็นอยู่ ฝ่ายคนหน้าหวานที่ต้องรองรับความแข็งขืนเอาแต่ใจของผมก็กัดฟันข่มความเจ็บที่ดูจะแล่นขึ้นเป็นระยะ ทว่าร่างเล็กบางก็ไม่ได้เอ่ยคำขอร้องให้ผมหยุดอีก จนสุดท้าย ผมก็เข้าไปในร่างกายของนะได้ทั้งหมดหลังจากผ่านช่วงเวลาที่ราวกับเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุดไปได้เสียที

เราทั้งคู่หอบหายใจแรงเมื่อรู้สึกอุณหภูมิที่รุมร้อนของกันและกันผ่านร่างกายที่เชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ ผมขบฟันแน่นขณะรอให้ร่างกายของนะคุ้นเคยกับการรุกรานจากความต้องการของผม

“เข้ามาหมดแล้วใช่มั้ยพี่อ๊อฟ”

เสียงถามแหบแห้งอย่างไร้เดียงสาทำให้ผมหัวเราะเบาๆ ยังจะมีใครน่ารักแม้แต่ในเวลาแบบนี้ได้อย่างคนคนนี้อีก ผมเอื้อมมือไปช้อนแผ่นหลังบางของนะขึ้นให้นั่งซ้อนบนตักจนคนตัวเล็กผวาโอบรอบคอผมอย่างตกใจ การเคลื่อนไหวนั้นทำให้ผมหลุดครางเสียงต่ำออกมาเพราะรู้สึกได้ถึงช่องทางเบื้องล่างที่ผมเป็นส่วนหนึ่งอยู่กำลังตอดรัดอย่างรุนแรง ผมซุกไซ้ที่คอขาวแล้วกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหูของคนบนตัก

“นะครับ ขยับเองไหวมั้ย”

คนถูกถามถอยออกมองหน้าผมเหมือนจะถามด้วยสายตา แล้วก็ค่อยๆพยักหน้าเมื่อผมจ้องตอบแน่วนิ่ง ผมรู้ว่าตัวเองขอร้องอะไรยากไปหน่อยสำหรับคนที่ไม่เคยกับเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าหากให้ผมเป็นฝ่ายคุมจังหวะเองตั้งแต่ต้น ผมอาจจะเผลอทำรุนแรงจนทำร้ายนะเอาได้

คนหน้าหวานเริ่มขยับร่างกายช้าๆในทีแรกเหมือนไม่มั่นใจ แต่ผมคอยลูบไล้แผ่นหลังและสะโพกแน่นไปทั่วพร้อมกับส่งเสียงแสดงความพอใจเพื่อให้นะเชื่อใจตัวเองมากขึ้น สักพักคนตัวเล็กก็เริ่มจับจังหวะได้และเริ่มเคลื่อนไหวเร็วขึ้น แรงขึ้น เล็บมือทั้งสองข้างที่ตัดจนสั้นจิกลงบนไหล่ผม เหงื่อที่ผุดพรายออกมาตามร่างกายของเราทั้งสองที่เสียดสีกันอยู่ยิ่งเสริมให้รู้สึกถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านมากขึ้นทุกที

นะหวีดร้องเมื่อผมถอนกายออกแล้วจับคนตัวเล็กให้นอนตะแคงบนเตียงก่อนจะตามลงทาบทับและเริ่มจังหวะรักใหม่ด้วยตัวเอง มือเล็กข้างหนึ่งทึ้งหมอนที่หนุนอยู่ขณะที่อีกข้างจิกลงบนผ้าปูที่นอนทำให้ร่างกายท่อนบนที่เริ่มเป็นสีแดงเรื่อไปทั้งตัวเปิดชัดต่อสายตา ผมชะลอจังหวะที่ดำเนินอยู่แล้วก้มลงไล้ปลายลิ้นที่ยอดอกข้างหนึ่งที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า มือเล็กที่จิกผ้าปูที่นอนเลื่อนขึ้นมากดศีรษะผมที่กำลังคลอเคลียแผ่นอกของตัวเองแล้วยึดไว้แน่น

“พี่อ๊อฟ...นะไม่ไหวแล้ว”

เสียงหอบฮักราวกับเสียงสะอื้นทำให้ผมผละตัวเองออกแล้วจับคนตัวเล็กนอนหงายก่อนจะรีบเร่งจังหวะเต็มที่เพราะตัวเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน นิ้วมือสองข้างของนะจิกไหล่ผมเต็มแรงกับจังหวะที่โหมเร้ายิ่งขึ้น นัยน์ตาหวานซึ้งปิดแน่นขณะที่ริมฝีปากแดงเผยอหอบ

“พี่อ๊อฟ พี่อ๊อฟ อื๊อออ”

“ไปพร้อมกันนะ”

ช่องทางอบอุ่นที่โอบรัดผมอยู่ร้อนผ่าวและรัดรึงเป็นจังหวะ ใบหน้าหวานสะบัดไปมา ริมฝีปากล่างถูกขบเม้มจนน่ากลัวจะห้อเลือดเมื่อคนตัวเล็กเกร็งตัวแน่นขณะข้ามผ่านสู่ดินแดนแห่งความสุขสมเป็นครั้งที่สอง แรงบีบรัดอย่างรุนแรงที่ส่งผ่านมาทางร่างกายที่สอดประสานกันอยู่ทำให้ผมแทบปวดหัวจี๊ดเมื่อความต้องการของตัวเองได้รับการเติมเต็ม

ผมขยับกายต่ออีกไม่กี่ครั้งร่างทั้งร่างก็กระตุกวูบพร้อมกับความรู้สึกเต็มตื้นที่ได้มีความสัมพันธ์กับคนที่ตัวเองรัก

ผมยันตัวเองบนศอกคร่อมร่างของนะไว้เพื่อไม่ให้ลงไปทับคนตัวเล็กที่ตอนนี้นอนหอบหายใจแรงไม่ต่างกัน ใบหน้าหวานของนะส่งยิ้มอ่อนเพลียมาให้ นัยน์ตาที่ฉ่ำปรอยดึงดูดให้ผมก้มลงบดเบียดริมฝีปากกับกลีบปากแดงอิ่มที่หวานยิ่งกว่าขนมหวานไหนๆ ก่อนจะไล่ขึ้นไปที่ปลายจมูกและหน้าผากที่ชื้นไปด้วยเหงื่อจนได้ยินเสียงระบายลมหายใจยาวอย่างอิ่มเอมของคนที่ผมกอดอยู่

ความต้องการที่ได้รับการปลดปล่อยค่อยๆคืนสภาพเดิม ผมรอจนช่องทางร้อนผ่าวด้านล่างเริ่มผ่อนแรงบีบลงจึงค่อยถอนตัวเองออกแล้วล้มตัวลงนอนตะแคงพลางรั้งคนตัวเล็กให้หันมาหา

ร่างกายของเราทั้งคู่ต่างเหนียวเหนอะหนะไปด้วยเหงื่อและหยาดรัก แต่ผมกลับไม่รู้สึกรำคาญเลย นะเองที่เบียดซุกอกผมก็บอกให้รู้ว่าร่างในอ้อมแขนของผมก็ไม่รังเกียจเช่นกัน เรานอนกอดกันนิ่งๆอยู่อย่างนั้น รู้สึกพอใจกับความเงียบที่ไม่ได้เกิดจากความอึดอัดและเสียงลมหายใจของกันและกัน

ผมลูบไหล่บางไปมาแล้วก็หัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินเสียงหาวของคนในอ้อมแขน

“ง่วงแล้วเหรอครับ”

“...เพราะพี่อ๊อฟน่ะแหละ”

เสียงต่อว่าอย่างงอนๆทำให้ผมต้องก้มลงไปหอมแก้มนิ่มอย่างอดใจไม่ไหว นะถอนหายใจเสียงเบาแล้วก็ทำท่าเตรียมจะปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง

“แย่จัง อุตส่าห์กะว่าจะต่ออีกซักรอบ”

คนหน้าหวานปรือตาขึ้นมามองผมตาดุทั้งที่ใบหน้าแดงซ่านแล้วก็ขยับตัวพลิกหนีไปอีกทาง “ไม่เอาแล้ว คนเพิ่งหายป่วยนะ แล้วดูซิจะแพ็คของวันนี้เลยยังไม่เสร็จเพราะพี่อ๊อฟคนเดียวเลย”

คนตัวเล็กบ่นอุบอิบ ผมเลยกดรีโมทเร่งแอร์แล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมเราทั้งสองคนก่อนจะล้มตัวลงนอนกอดคนตัวเล็กจากข้างหลัง นะยอมเบียดกลับมาชิดอกผมแต่โดยดีผมเลยก้มจูบเรือนผมนุ่มแล้วก็กอดร่างเล็กๆเอาไว้แน่น

“งั้นตอนนี้จะปล่อยให้นอนพักเอาแรงก่อน ตื่นแล้วจะได้ไปหาอะไรกินกันแล้วค่อยมาแพ็คของต่อ ส่วนเรื่องรอบสองเดี๋ยวค่อยว่ากันคืนนี้แล้วกันนะ”

คนโดนกอดถองศอกกลับมาหาผมไม่เต็มแรงนักแต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร ผมยิ้มเมื่อเห็นใบหูของคนตรงหน้าแดงขึ้น ไม่นานก็ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอที่บ่งบอกว่าคนตัวเล็กหลับแล้วผมเลยกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น

กลิ่นหอมจากเรือนผมของคนตรงหน้าทำให้จั๊กจี้จมูกนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้น่ารำคาญ ผมมองนาฬิกาแขวนผนังในห้องของนะแล้วก็เริ่มรู้สึกเพลียตามคนตัวเล็กขึ้นมา สงสัยผมจะติดเชื้อหลับง่ายจากคนในอ้อมแขนมาเสียแล้ว

ชีวิตคนเราบางครั้งก็แปลก ไม่น่าเชื่อว่าอดีตรุ่นน้องที่เคยพบกันเพียงช่วงเวลาสั้นๆจะกลายมาเป็นคนข้างห้องและสุดท้ายก็เป็นคนที่ทำให้หัวใจผมหวั่นไหว แล้วยังเป็นคนที่ทำให้ผมได้พบเจอกับความอ่อนหวานและอบอุ่นของความรักที่ผมลืมเลือนไปแล้วอีกครั้ง ถึงแม้ต่อจากนี้ไปผมอาจจะต้องมีเรื่องปวดหัวบ้างเพราะคบกับพ่อหนูขี้งอนแถมเจ้าอารมณ์ แต่หากว่าสิ่งนั้นจะได้แลกกับการที่มีคนคนนี้มาอยู่ข้างๆตลอดไปก็ไม่เป็นไร ผมเชื่อว่าชีวิตที่มีนะอยู่ด้วยนับจากวันนี้เป็นต้นไปจะต้องมีสีสันกว่าวันคืนเหงาๆที่มีผมอยู่คนเดียวแน่นอน


++---tbc---++




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 28 มกราคม 2553 19:37:46 น.
Counter : 1530 Pageviews.  

เมื่อหัวใจเราใกล้กัน 5


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. เราเขียนเรื่องนี้หลังจากเขียนตอนปฐมบทของเรื่อง ลำนำรักสีรุ้ง และตัวละครจากเรื่องนั้นก็จะมีบทบาทในเรื่องนี้ด้วย แต่เนื้อหาสามารถแยกอ่านจากกันได้ ไม่จำเป็นว่าต้องอ่านเรื่องนั้นก่อนก็สามารถอ่านเรื่องนี้เข้าใจได้ค่ะ


++------++


ตอนที่ 5: ก็เพราะหัวใจเราใกล้กัน


“ทำไมนะถึงคิดว่าพี่กับมุ้ยเป็นแฟนกันล่ะ”

ผมเอ่ยถามหลังจากพานะเข้าห้องผมและโทรสั่งอาหารตามสั่งจากร้านใต้หอให้ขึ้นมาส่งเพราะเรายังไม่ได้ทานข้าวเย็นกันทั้งคู่ คนถูกถามตักน้ำแกงจืดเต้าหู้ขึ้นซดเบาๆก่อนจะตอบ

“ก็...เห็นว่าชอบนั่งกินข้าวด้วยกันแทบทุกวัน แล้วเมื่อวานก็มาที่ห้องด้วยนี่นา”

เสียงตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงทำให้ผมยิ้มก่อนจะยื่นมือไปลูบผมนิ่มลื่นของคนที่ก้มมองจานข้าวตัวเองอยู่ น่าแปลกที่พอผมเริ่มจำนะได้ ภาพของเด็กรุ่นน้องตอนม.ปลายที่เคยชอบมานั่งทานข้าวกลางวันกับผมที่โรงอาหารก็เริ่มแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ทว่าในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาคนตรงหน้าเติบโตขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร ส่วนสูงของนะคงเพิ่มขึ้นบ้างจากตอนนั้นแม้จะยังนับว่าเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างตัวเล็กอยู่ดี แต่รูปร่างที่เคยผอมแห้งจนดูเก้งก้างเมื่อสมัยมัธยมถูกแทนที่ด้วยรูปร่างที่ดูสมส่วนขึ้น ผมที่ไว้ยาวระต้นคอก็ถูกตัดแต่งและโกรกเป็นสีน้ำตาลอ่อนทำให้ไม่ดูกะโปโลเหมือนตอนตัดผมรองทรงตามระเบียบโรงเรียน ยังไม่นับรวมนัยน์ตากลมโตที่ตอนนี้ดูจะหวานซึ้งชวนมองกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าอีก

“พี่กับมุ้ยก็สนิทกันอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กนั่นแหละ แต่ให้เป็นแฟนกันคงไม่ไหวหรอก ถ้านะยังไม่เชื่ออีกพี่จะต่อสายให้คุยกับเจ้าตัวเดี๋ยวนี้เลยก็ได้นะ”

คนตัวเล็กส่ายหน้าทั้งที่มือเขี่ยข้าวในจานไปมา ผมจัดการอาหารส่วนของตัวเองเสร็จไปนานแล้วแต่ส่วนของคนป่วยดูไม่พร่องลงสักเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่กินข้าวมากกว่านี้จะกินยาได้ยังไงล่ะเนี่ย อาการไม่พูดไม่จาของคนตรงหน้าทำให้ผมเริ่มกังวลว่าเป็นเพราะนะไม่สบายหรือว่ายังมีเรื่องไม่พอใจอะไรผมอยู่อีกหรือเปล่ากันแน่

“...อิ่มแล้ว”

“อะไรกัน เพิ่งกินไปไม่กี่คำเอง”

“เจ็บคอ...กลืนไม่ลง”

นะตอบผมเสียงเบาแล้วก็ผลักจานข้าวออกจากตัวทั้งที่ยังตักอาหารเข้าปากไม่ถึงห้าคำเลยด้วยซ้ำ แต่ผมไม่อยากบังคับเลยหยิบจานชามทั้งหมดวางซ้อนกันแล้วเอาออกไปวางรอพนักงานมาเก็บที่หน้าประตูห้อง

“กินข้าวน้อยอย่างนี้ประจำหรือเปล่าเนี่ยถึงได้ไม่ค่อยโตเลยน่ะเรา”

ผมพยายามแหย่เผื่ออีกฝ่ายจะยอมเงยหน้ามาสบตากันแล้วพูดอะไรยาวๆบ้าง ซึ่งก็ได้ผลเพราะใบหน้าหวานช้อนสายตาขึ้นมามองค้อนผมทีหนึ่งก่อนจะหันหนีแต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรจนผมต้องลูบท้ายทอยตัวเองแก้เก้อ ตกลงนี่เราปรับความเข้าใจกันแล้วหรือเปล่าเนี่ย?

ผมเดินเลี่ยงไปคุ้ยถุงยาของนะบนหลังตู้เย็นที่เจ้าตัวถือติดมือเข้ามาแล้วก็ไล่อ่านว่ายาหลังอาหารมีตัวไหนบ้าง พอแกะออกมาจนครบก็ตกใจกับปริมาณของยาที่หมอสั่งจ่ายมาให้พอสมควร พอคนป่วยเห็นยากับแก้วน้ำที่ผมยื่นให้แล้วเจ้าตัวก็ทำหน้าเบ้ทันที

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ยังไงก็ต้องกินยาให้ครบนะ อุตส่าห์โดดเรียนไปหาหมอมาไม่ใช่เหรอ”

“...แต่มันขมนี่”

เสียงที่แสดงความแขยงรสชาติของยาเหมือนเด็กๆทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้ “ยามันก็ขมทั้งนั้นแหละ แต่ถ้านะไม่ยอมกินยาแล้วเมื่อไหร่จะหายป่วยล่ะครับ”

ใบหน้าหวานทำหน้านิ่วอย่างไม่ค่อยพอใจก่อนจะยื่นมือมารับยาจากผมอย่างเสียไม่ได้ แต่เจ้าตัวก็เอาแต่ถือยาไว้แล้วนั่งนิ่งลูกเดียวจนผมต้องเริ่มขู่

“นะครับ จะยอมกินยาดีๆหรือจะให้พี่จับป้อน จะเอาแบบนั้นก็ได้นะ แต่ถ้าทำให้ร้องไห้ไม่รู้ด้วย”

คนตัวเล็กตวัดสายตาขึ้นมองผมตาเขียวทั้งที่หน้าแดงขึ้นแล้วก็ทำท่ากลั้นใจก่อนยกยาทั้งกำเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามแทบหมดทั้งแก้ว แต่เพราะเจ้าตัวพยายามจะกลืนทั้งน้ำทั้งยาพร้อมกันเร็วเกินไปเลยสำลักจนไอหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม ด้วยความตกใจผมรีบถลาเข้าไปหยิบแก้วน้ำออกจากมือนะแล้วก็ลูบแผ่นหลังบางทันที

“ยังไงเนี่ยเรา รีบร้อนกินเข้าไปแบบนั้นก็สำลักสิ เอ้า หายใจเข้าลึกๆช้าๆนะ”

ผมลูบหลังบางขึ้นลงโดยที่นะยังคงไอเสียงดังจนน่าเจ็บคอแทน ผมเห็นใบหน้าหวานที่แดงก่ำ ตาสองข้างหลับปี๋ก็อดสงสารไม่ได้ สักครู่เสียงไอของคนตัวเล็กก็ค่อยๆแผ่วลงจนเงียบไปพร้อมกับเสียงลมหายใจที่เริ่มพรูออกมาด้วยความโล่งอก

กว่าจะรู้ตัวอีกที เราสองคนก็เผลอขยับเข้านั่งชิดกันโดยไม่ตั้งใจ ผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆของนะที่ระอยู่บริเวณอกเสื้อเชิ้ตของตัวเองแล้วก็รู้สึกว่าลมหายใจสะดุดขึ้นมา คนตัวเล็กนั่งนิ่งครู่หนึ่งเหมือนจะเริ่มรู้ตัวเช่นกัน ศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมนุ่มค่อยๆเอนลงพิงกับอกผมขณะที่ผมเลื่อนมือบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายไปกุมที่ไหล่บางแล้วบีบเบาๆแทน

เราไม่ได้พูดอะไรกันอีก ได้แต่นั่งเงียบๆฟังเสียงหัวใจเต้นของกันและกันอยู่แบบนั้นเหมือนอยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้ให้นานแสนนาน

ผมไม่รู้ว่าเราสองคนนั่งเงียบแบบนั้นกันนานแค่ไหน แต่พอได้ยินเสียงกรนขึ้นจมูกเบาๆจากคนในอ้อมแขนผมเลยดันคนตัวเล็กออก ฝ่ายคนป่วยที่ถูกปลุกขมวดคิ้วพลางปรือตาขึ้นมองผมอย่างขัดใจจนผมต้องยิ้มกับหน้าง่วงๆนั่น

“ไม่ไหวแล้วสิเรา ไปนอนบนเตียงดีกว่าไป”

นะขยี้ตาแล้วก็ยอมลุกตามผมที่ฉุดแขนนำไปที่เตียงแต่โดยดี ผมปล่อยให้คนตัวเล็กก้าวขึ้นนั่งบนฟูกหนานุ่มก่อนจะเดินเข้าไปหยิบของจำเป็นในห้องน้ำ

“มานะ อย่าเพิ่งหลับนะ ลุกมาให้เช็ดตัวก่อนเร็ว”

ผมเขย่าไหล่ของคนที่กำลังทำท่าจะหลับอีกครั้งให้รู้สึกตัว ตอนแรกใบหน้าหวานเพียงขมวดคิ้วทั้งที่ไม่ลืมตาแต่พอจบประโยคคนป่วยก็ทำตาโตแล้วลุกพรวดขึ้นนั่งตัวตรงพร้อมรวบชายเสื้อตัวเองเข้าหากันทันที

“ไม่เอา! ไม่ต้อง! แค่เช็ดตัวเดี๋ยวทำเองก็ได้!”

“อย่าดื้อสิ ตอนที่พี่ไม่สบายนะยังแอบมาถอดเสื้อเช็ดตัวให้พี่เลยไม่ใช่รึไง”

พอโดนเตือนความจำเรื่องที่ตัวเองเคยเข้าห้องผมโดยไม่ขออนุญาตคนโดนย้อนก็หน้าแดงขึ้นมาก่อนจะหันหนีผมทั้งตัว

“ก็ตอนนั้นพี่อ๊อฟหลับไปแล้วมันไม่เหมือนกันนี่ ถ้ายังบังคับกันอีกจะตะโกนจริงๆด้วย!”

ผมฟังคำขู่ของคนที่นั่งหันหลังให้แล้วก็ชักเหนื่อยใจขึ้นมาจนต้องยกมือลูบหน้า เกิดมาก็ไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้เสียด้วยสิ กับเด็กดื้อเค้าต้องรับมือกันยังไงเนี่ย?!

“มานะครับ พี่แค่จะเช็ดตัวให้เองนะ นี่เราคิดอะไรไปถึงไหนแล้ว?”

จบประโยคผมคนหน้าหวานเอี้ยวคอกลับมามองทั้งที่ยังนั่งตัวแข็งทื่อหน้าแดง นัยน์ตาที่ฉายแววหวาดหวั่นทำให้ผมเริ่มเอะใจว่าที่ตัวเองเพิ่งพูดไปเมื่อกี้สามารถตีความได้แบบไหน แล้วก็ให้รู้สึกร้อนที่หน้าตัวเองขึ้นมากะทันหัน

“เฮ้ย! พี่ไม่ได้คิดอะไรอกุศลนะ พี่เห็นว่าเราไม่สบายอยู่เลยจะช่วยดูแลให้สบายตัวขึ้นก็เท่านั้นเอง”

ไหล่บางที่เมื่อกี้ตั้งตรงเพราะความเกร็งค่อยๆลู่ลงขณะที่หน้าหวานหันหนีผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูเหมือนบ่าของคนตัวเล็กนั้นจะไหวน้อยๆด้วย

“ใช่สิ พี่อ๊อฟไม่คิดอกุศลกับนะหรอก ก็นะเป็นแค่รุ่นน้องนี่”

เสียงสั่นเครือของคนที่ไม่ยอมหันกลับมาสบตาทำให้ผมร้อนใจจนต้องรีบก้าวเข้าไปนั่งซ้อนหลังคนตัวเล็กแล้วเอาคางเกยไหล่พร้อมกับโอบเอวบางไว้ ผมโยกตัวคนในอ้อมแขนเบาๆหลังได้ยินเสียงสูดน้ำมูกที่เจ้าตัวคงไม่ตั้งใจให้ผมได้ยินแล้วก็ถอนหายใจ

“นะรู้ตัวมั้ยครับว่าทำให้พี่ลำบากใจแค่ไหน”

คนที่นั่งพิงอกผมอยู่ตัวเกร็งขึ้นอีกครั้ง “งั้นเหรอ เพราะนะน่ารำคาญล่ะสิ งั้นก็ไม่ต้องมายุ่งมาสนใจกันแล้วก็ได้ กะอีแค่หวัดแค่นี้นะดูแลตัวเองได้”

พูดไม่พูดเปล่า คนตัวเล็กทำท่าจะแงะแขนผมออกผมเลยยิ่งเพิ่มแรงรัดเข้าไปอีกจนคนในอ้อมแขนร้องประท้วง

“พี่อ๊อฟ! เจ็บนะ!”

“ก็พี่ยังพูดไม่จบเลยเราก็คิดอะไรไปก่อนแล้วนี่นา ฟังนะ พี่จะบอกว่าพี่ลำบากใจเพราะตั้งแต่นะมาเคาะประตูห้องพี่ครั้งแรกพี่ก็กลัวใจตัวเองมาตลอดเลยต่างหาก”

คนฟังเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามผมด้วยเสียงนิ่งขึ้นกว่าตอนแรก

“กลัวใจตัวเองแบบไหน”

ผมยิ้มกับคำถามที่ดูเหมือนจะไร้เดียงสานั้น นี่คงพยายามจะล่อให้ผมพูดสิ่งที่ตัวเองอยากฟังอยู่ล่ะสิเนี่ย บทจะเจ้าเล่ห์ก็วางใจไม่ได้เลยแฮะเด็กคนนี้

“ก็แบบที่ทำให้จินตนาการเตลิดเปิดเปิงเวลาเห็นเราทำตาเยิ้มตาฉ่ำตอนเมากลับมา เวลาจินตนาการว่าเรือนร่างของนะเวลาไม่ใส่เสื้อเป็นยังไงตอนได้ยินเสียงอาบน้ำ แล้วก็อะไรอีกล่ะ...โอ๊ย! เจ็บนะครับน้องนะ”

พ่อหนูน้อยของผมถองศอกใส่แบบไม่ออมแรงด้วยความเขิน แต่ผมยังไม่ยอมปล่อยแขนที่โอบอีกฝ่ายไว้แล้วก็พูดต่อ “แล้วที่แย่กว่านั้นนะ วันนี้พี่คิดถึงคนข้างห้องคนนี้ทั้งวัน แต่พอเจอตัวเค้าก็เอาแต่หลบหน้าไม่พูดไม่คุยกับพี่ แล้วยังคิดเอาเองว่าพี่ไม่สนใจเค้าอีก ไม่คิดว่าพี่น่าสงสารบ้างเหรอ”

“ดีสม แล้วพี่อ๊อฟเคยคิดบ้างมั้ยล่ะว่าทำไมเค้าถึงคิดเอาเอง ถ้าพี่อ๊อฟไม่พูดบอกความรู้สึกตรงๆเค้าจะไปเดาใจพี่อ๊อฟได้ยังไงว่าคิดอะไรกับเค้าหรือเปล่า”

“เข้าใจละ ถ้างั้นพี่ก็ต้องพูดตรงๆแสดงออกตรงๆให้เค้ามั่นใจดีกว่าใช่มั้ย?”

คนตัวเล็กหันมามองผมที่ผละตัวออกด้วยแววตาสงสัย ผมยิ้มให้เจ้าของดวงตาใสแป๋วกลมโตคู่นั้นที่ไล่ตามผมมาตลอดก่อนจะจับคางของนะเชยขึ้นแล้วถือโอกาสก้มลงจูบคนที่ไม่ทันระวังตัว คนหน้าหวานดูจะตกใจกับจูบแรกของเราสองคนที่ไม่ได้มีบรรยากาศโรแมนติกอะไรเลย แต่พอโดนผมดุนไล้ด้วยปลายลิ้นริมฝีปากนุ่มก็ค่อยๆเผยอให้ผมล่วงล้ำเข้าไปลิ้มรสชาติภายในแต่โดยดี ปลายลิ้นของนะที่ได้สัมผัสอุ่นจนเกือบร้อนเพราะพิษไข้และขมนิดๆจากยาที่เพิ่งกินเข้าไปแต่ในความรู้สึกของผมมันกลับหวานเหลือเกิน ผมเคลิ้มไปกับความละมุนของรสจูบจนกระทั่งโดนมือเล็กทุบอกประท้วงจึงยอมถอนริมฝีปากอย่างเสียดาย

นะช้อนตาขึ้นมองผมด้วยนัยน์ตากลมโตฉ่ำวาว แก้มใสสองข้างแดงซ่านซึ่งผมมั่นใจว่าไม่ใช่แค่เพราะอีกฝ่ายกำลังไม่สบายแน่นอน หน้าตาที่ดูเชิญชวนโดยไม่ตั้งใจนั่นทำให้ผมยิ้มแล้วบีบจมูกอีกฝ่ายเล่นอย่างมันเขี้ยว

“จะน่ารักไปถึงไหนฮึเนี่ย แค่นี้ก็ทำคนเค้าหลงจะแย่แล้วรู้ตัวมั้ย”

นะยกมือขึ้นลูบจมูกตัวเองแล้วมองผมตาเขียว แต่แล้วใบหน้าหวานก็ยิ้มกว้างก่อนจะโผเข้ากอดเอวผมไว้แน่น ผมกอดคนตัวเล็กตอบก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้เลยรีบพูดก่อนจะลืม

“นะ ต่อไปนี้ไม่เที่ยวกลางคืนบ่อยๆอีกได้มั้ย?”

คนถูกขอร้องถอยออกแล้วมองผมด้วยตาจ๋อยๆ “ไม่ให้ไปอีกเลยเหรอ?”

“ไม่ถึงขนาดนั้น แค่อย่าไปบ่อยเหมือนเมื่อก่อน แล้วก็อย่าเมามากแบบคราวที่แล้วอีก เกิดใครมาหาเศษหาเลยกับนะตอนพี่ไม่อยู่ด้วยจะทำยังไง พี่เป็นห่วงเรานะ”

นะก้มหน้าหลบตาผมแล้วค่อยๆพยักหน้า “ก็ได้ จะพยายาม”

เอากับพ่อหนูน้อยของผมสิ ยังมีการ ‘จะพยายาม’ อีกแน่ะ แต่อย่างน้อยก็ถือว่ารับรู้แล้วล่ะนะว่าผมไม่ชอบ

“แล้วก็อีกอย่าง ไม่ต้องมาเคาะห้องขอปีนหน้าต่างแล้วนะ มันอันตราย”

คราวนี้ใบหน้าหวานเหมือนจะเจื่อนไป นะปล่อยมืออุ่นที่โอบเอวผมอยู่แล้วเขยิบไปนั่งขอบเตียงก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

“...เข้าใจล่ะ งั้นต่อไปไม่มารบกวนอีกก็ได้”

เสียงขึ้นจมูกเหมือนคนจะร้องไห้ทำผมส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ต้องทำยังไงถึงจะเลิกน้าไอ้นิสัยชอบคิดอะไรเอาเองเนี่ย

“มานะครับ”

หน้าหวานช้อนสายตาขึ้นมองผมแต่ไม่ยอมขยับตัวเข้ามาหา

“อะไร”

“มานั่งนี่ เร็ว”

ผมตบฟูกข้างตัวเองที่เมื่อกี้คนตัวเล็กนั่งอยู่เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายกลับมานั่งที่เดิม นะมองแล้วก็ตวัดขาขึ้นเตียงก่อนจะคลานกลับมานั่งคุกเข่าตรงที่เดิมแต่ไม่ยอมสบตาผมเลย

ผมถือโอกาสฉุดแขนเรียวของคนป่วยให้ล้มลงบนที่นอนก่อนจะตามลงไปคร่อมไว้แล้วเริ่มลงมือจี้เอวคนที่ยังมัวแต่ทำหน้าเศร้าทันที เสียงหัวเราะใสของคนที่ไม่ทันระวังตัวทำให้ยิ่งอยากแกล้งมากเข้าไปอีก

“ฮ่าๆๆๆ โอ๊ยพี่อ๊อฟ ปล่อย! เหนื่อยแล้วนะ”

ผมยิ้มกับคำขอของคนที่เหนื่อยจนหอบแล้วก็ก้มลงหอมแก้มอุ่นของร่างเล็กที่ตอนนี้เริ่มมีเหงื่อซึมตามไรผมกับซอกคอเพราะออกกำลังมากไปหน่อย ก่อนจะเท้าศอกดันตัวเองขึ้นแล้วมองเข้าไปในตากลมโตคู่สวยตรงๆ

“ปล่อยก็ได้ ทีนี้ก็ฟังให้ดีๆนะ ที่พี่บอกว่าไม่ต้องมาขอปีนหน้าต่างเพราะตั้งแต่คืนนี้นะต้องกลับมาค้างที่ห้องนี้อยู่แล้วต่างหาก”

นะสบตาผมแล้วก็อ้าปากค้างก่อนจะเอ่ยถามย้ำเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง

“พี่อ๊อฟ หมายความว่า...”

“พี่ขอให้เรามาอยู่ด้วยกันไง ทีนี้ก็แล้วแต่นะว่าจะเก็บของย้ายมาหรือจะยังปีนหน้าต่างเป็นลิงเป็นค่างอยู่อีก”

“พี่อ๊อฟ! ว่าใครเป็นลิงเป็นค่าง เดี๋ยวเถอะ!”

คนตัวเล็กพยายามจะผลักอกผมออก ผมหัวเราะไปก็ปัดมือเล็กๆไปด้วยก่อนจะก้มลงประทับริมฝีปากกับกลีบปากนุ่มของคนที่นอนอยู่เบื้องล่างอย่างหวงแหนอีกครั้ง นัยน์ตากลมโตของนะฉายประกายสุกใสเมื่อผมถอนริมฝีปากออก

“ไม่ปฏิเสธพี่ถือว่าตกลงนะ”

นะยิ้มเขินแล้วก็พยักหน้ารับ ผมเลยยกมือบางข้างหนึ่งขึ้นจูบก่อนจะส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้

“เอาล่ะ ถือว่าเราเข้าใจกันแล้วนะ ทีนี้จะยอมเป็นเด็กดีให้พี่เช็ดตัวให้ได้หรือยังครับ”


++---tbc---++




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 28 มกราคม 2553 19:36:35 น.
Counter : 1255 Pageviews.  

เมื่อหัวใจเราใกล้กัน 4


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. เราเขียนเรื่องนี้หลังจากเขียนตอนปฐมบทของเรื่อง ลำนำรักสีรุ้ง และตัวละครจากเรื่องนั้นก็จะมีบทบาทในเรื่องนี้ด้วย แต่เนื้อหาสามารถแยกอ่านจากกันได้ ไม่จำเป็นว่าต้องอ่านเรื่องนั้นก่อนก็สามารถอ่านเรื่องนี้เข้าใจได้ค่ะ


++------++


ตอนที่ 4: คนที่ตามหา


“ตื่นได้แล้วอ๊อฟ หมดเวลานอนแล้วมึง”

ผมงัวเงียขึ้นมองคนที่เขย่าไหล่ผมก่อนจะขยี้ตาแล้วมองไปรอบตัว เพื่อนคนอื่นๆที่เรียนด้วยกันเริ่มทยอยออกจากห้องบรรยายกันแล้ว พอก้มมองสมุดตัวเองก็พบว่าหน้ากระดาษว่างเปล่าไม่มีตัวหนังสือสักตัว ให้มันได้งี้สิ สรุปว่าผมหลับไปทั้งคาบเลยหรือนี่

“เป็นอะไรวะ ทำหน้าอย่างกับคนอดหลับอดนอน โชคดีนะเมื่อกี้ไอ้โบ้นั่งบังมึงอยู่ไม่งั้นโดนอาจารย์เรียกแหงๆ”

ผมหัวเราะเฝื่อนๆขณะเดินลงบันไดตามเพื่อน “ต้องขอบคุณมันนะเนี่ย แต่เมื่อคืนนี้กูก็ไม่ค่อยได้นอนจริงๆแหละว่ะ”

ผมพยายามกลั้นหาวพลางเดินตามเป้ไปที่โต๊ะม้าหินข้างสนามฟุตบอล พอวิวที่นั่งอ่านหนังสือรออยู่เห็นพวกเราก็ยิ้มให้ก่อนจะเขยิบที่นั่งข้างๆตัวเองให้แฟน ผมวางกระเป๋าลงฝั่งตรงข้ามก่อนจะเดินไปซื้อกาแฟเย็นแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะ แต่พอได้หย่อนตัวลงบนเก้าอี้ปุ๊บก็รู้สึกง่วงจนต้องฟุบหน้าลงอีกรอบ

“อ๊อฟยังไม่สบายอยู่เหรอ”

“หืม? อ๋อเปล่า เราแค่นอนน้อยไปหน่อยเมื่อคืน ไม่ได้เป็นอะไรหรอก”

ผมงึมงำตอบวิวไปทั้งที่ยังคว่ำหน้าอยู่กับแขนตัวเอง เมื่อคืนกว่าผมจะข่มตานอนหลับได้ก็เกือบเช้ามืดเพราะมัวแต่กังวลเรื่องของนะ แล้วก็ทั้งที่ตั้งใจจะตื่นมาดักรอคนข้างห้องตอนเช้าแต่ปรากฏว่าดันหลับเพลินจนตื่นสายเลยต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวมาเรียนทั้งที่สมองยังไม่ตื่นตัวเท่าไหร่

บรรยากาศร่มรื่นใต้ต้นยูงทองกับลมที่พัดโชยมาทำให้ผมเริ่มเคลิ้ม แต่ยังไม่ทันจะหลับก็โดนเสียงห้าวๆของเป้เรียกไว้ซะก่อน

“อ๊อฟ กูกับวิวจะข้ามเรือไปกินข้าวฝั่งโน้นกัน มึงจะไปด้วยมั้ย?”

“อือออ...เอาไงดีวะ”

ผมยังไม่ทันตัดสินใจโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อก็ดังขึ้น พอเปิดอ่านข้อความแล้วเลยส่ายหน้าง่วงๆให้เพื่อน

“ไปกันสองคนเหอะว่ะ วันนี้มุ้ยจะมากินข้าวด้วย”

“อ๊อฟกับมุ้ยสนิทกันดีนะ”

ผมหันไปหาวิวที่ทักผมยิ้มๆอย่างงงๆ “ก็เรียนโรงเรียนเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ที่นครสวรรค์น่ะ แม่เรากับแม่มุ้ยก็เพื่อนกันเลยเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ”

“ระวังเหอะมึง จะไม่มีสาวเข้ามาจีบเพราะเค้านึกว่ามึงกับมุ้ยเป็นแฟนกันนี่แหละ”

เป้ว่าก่อนจะช่วยวิวเก็บเลคเชอร์ลงแฟ้มพลาสติกที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก็เตรียมตัวจะลุกขึ้น
พอได้ยินสิ่งที่เป้พูดผมก็ขมวดคิ้ว จริงอยู่หรอกที่ผมกับมุ้ยสนิทกันและอยู่ด้วยกันบ่อยแต่เราไม่เคยจับมือถือแขนหรือทำท่าหวานแหววใส่กันสักที แต่พอคิดไปถึงคำพูดของคนข้างห้องเมื่อคืนแล้วก็เหมือนอะไรบางอย่างจะเริ่มคลิกในหัว

ถ้าเป็นอย่างที่เป้ว่าจริงก็แปลว่าผมโดนนะเข้าใจผิดน่ะสิ แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมผมจะต้องโดนโกรธด้วยล่ะ?

ยิ่งคิดก็ยิ่งมึนหัวจนต้องเอานิ้วนวดขมับ พลันหางตาผมก็เหลือบไปเห็นแหวนเกลี้ยงสีเงินคาดริ้วทองคำเล็กๆบนนิ้วนางข้างขวาของเป้เลยทักขึ้นเพราะปกติผมเห็นเพื่อนใส่แต่นาฬิกาข้อมือ

“แหวนสวยนี่หว่าเป้ ไม่เห็นเคยใส่มาก่อน”

เป้ยกมือตัวเองข้างที่สวมแหวนขึ้นดูแล้วก็ยิ้ม “เหรอ แต่แปลกว่ะคนบางคนไม่ยักอยากใส่”

ท้ายประโยคเพื่อนผมหันไปยิ้มกวนให้คนข้างตัว วิวเลยค้อนให้ทั้งที่แก้มสองข้างเริ่มมีสีเรื่อขึ้น

“อะไรเล่า ก็มันไม่ชินนี่นา ไม่ใส่นิ้วแต่ก็ใส่เป็นสร้อยแทนแล้วไง”

ประโยคนั้นทำให้ผมเลิกคิ้ว พอสังเกตดีๆก็เห็นว่าที่คอวิวมีสร้อยเงินที่ร้อยแหวนอยู่จริงๆแต่เจ้าตัวใส่หลบไว้ใต้คอเสื้อเลยมองเห็นไม่ชัด ผมอดยิ้มอย่างหมั่นไส้กับท่าทางของคู่รักตรงหน้าไม่ได้ ท่าทาง ‘เซอร์ไพรส์’ ที่เป้เคยบอกว่าจะให้วิวตอนวันเกิดจะเป็นเรื่องนี้เอง เดาจากรสนิยมของเพื่อนผมแล้วแหวนสองวงนี้คงไม่ใช่ของที่เดินหาซื้อได้ตามห้างทั่วไปแน่

ผมโบกมือให้เพื่อนทั้งสองที่เดินผละไปแล้วก็นั่งรอเพื่อนสนิทอีกคนที่ดูจะกลายเป็นตัวป่วนโดยไม่ตั้งใจ ไม่นานคนที่นัดไว้ก็มาถึงหลังโทรถามว่าผมอยู่ที่ไหน

“เป็นอะไรของแก หน้าตาอย่างกับคนป่วย”

มุ้ยทักผมทันทีที่มาถึงจนผมต้องยกมือลูบหน้า “แกทักเราเป็นคนที่สามแล้วนะมุ้ย หน้าตาเรามันดูแย่มากเลยเหรอวะ”

“ก็ลองไปส่องกระจกดูเองดิ๊ ทำไมจ๊ะ กลุ้มเรื่องคนข้างห้องหรือไง?”

ผมไม่ตอบแล้วก็เสยกแก้วกาแฟเย็นที่ตั้งทิ้งไว้บนโต๊ะนานแล้วขึ้นดูด บทมุ้ยจะสงสัยอะไรขึ้นมาเจ้าตัวก็วิเคราะห์ได้เฉียบคมอย่างไม่น่าเชื่อ แถมไม่รู้ว่าเพราะเราคบกันมานานเกินไปหรือเปล่า แต่มุ้ยมักอ่านสีหน้าผมออกเสมอไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหน ยิ่งโดนเพื่อนจ้องมากเข้าผมยิ่งอยากยกหนังสือขึ้นปิดหน้าตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด

“ไม่ใช่หรอกน่ะมุ้ย แกก็ช่างคิดอะไรเพ้อเจ้อ”

“ฮู้ย แต่ไอ้เรื่องเพ้อเจ้อของชั้นเนี่ยแหละมันดันชอบออกมาตรงว่ะ ให้ชั้นเดานะ แกหลงรักเค้าเข้าแล้วใช่ม้า”

ข้อสันนิษฐานของมุ้ยทำเอาผมแทบสำลักกาแฟเย็น เอากับคุณเธอสิ!

“เฮ่ย! บ้า! หลงรักอะไรวะ แล้วแกจะมายัดเยียดเค้าให้เราทำไมเนี่ย?”

“ไอ้คนปากแข็ง แล้วทำไมต้องทำเป็นกระบิดกระบวนไม่อยากคุยถึงเค้าขนาดนั้นด้วย?”

มุ้ยขึ้นเสียงอย่างไม่ยอมแพ้ สมแล้วที่แม่ผมเคยทักว่ามุ้ยเหมาะจะเป็นพี่สาวผมยิ่งกว่าพี่จริงๆอีก และถึงผมจะพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงคนข้างห้องแค่ไหนแต่พอโดนเพื่อนรุกเรื่องนี้มากๆเข้าก็ชักจะหงุดหงิดขึ้นมา มุ้ยคงสังเกตเห็นสีหน้าผมเริ่มเปลี่ยนไปเลยรีบยิ้มแล้วทำเสียงร่าเริงใส่

“โอ๋ๆ อ๊อฟจ๋า แกอย่าทำหน้าน่ากลัวงั้นดิ ความจริงที่มาหาแกวันนี้ชั้นมีประเด็นนะ แกจำอาจารย์วรรณีที่เป็นที่ปรึกษาตอนเราอยู่ม. 6 ได้ปะ”

ผมเหล่มองเพื่อน เพิ่งจะกวนอารมณ์คนอื่นไปแล้วอยู่ดีๆนึกอยากมาเท้าความหลังอะไรกันตอนนี้เนี่ย?

“อือจำได้ แล้วทำไม?”

“แกจำได้มั้ยว่าตอนเทอมสองลูกชายเค้าที่ตัวเล็กๆหน้าตาน่ารักๆย้ายมาเรียน ม. 4 ที่โรงเรียนเราอาจารย์เลยขอให้เราช่วยดูแลน่ะ รู้สึกว่าตอนนั้นเค้าติดแกแจเลยนะ อะไรก็พี่อ๊อฟๆ”

ผมดูดกาแฟเย็นไปพลางพยายามทบทวนความทรงจำสมัยม.ปลายไปด้วย ช่วง ม.6 เทอมสองเป็นเวลาที่ชีวิตผมค่อนข้างวุ่นวายเพราะพ่อกับแม่เตรียมจะหย่ากันแล้วมีปัญหาเรื่องใครจะเป็นฝ่ายได้สิทธิ์เลี้ยงดูผมกับพี่สาว ผมเลยมีความทรงจำไม่ค่อยดีกับช่วงเวลานั้นเท่าไหร่ แต่พอโดนมุ้ยทักผมก็เริ่มคุ้นๆว่าเคยมีเด็กแบบนั้นอยู่จริงๆ

“แล้วไง ทำไมอยู่ดีๆก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา?”

“ก็ชั้นเพิ่งนึกได้ว่าคนข้างห้องแกหน้าคล้ายน้องเค้าเลยว่ะ ถึงว่าสิตอนเห็นหน้าเมื่อวานชั้นถึงได้ติดใจพิกล”

ผมคิดตามที่มุ้ยพูดไปพลางก็เอานิ้วเคาะโต๊ะไปด้วย อะไรบางอย่างที่เพื่อนเล่ามามันดูไม่สมเหตุสมผลชอบกล

“เดี๋ยวก่อนมุ้ย ถ้านะเป็นรุ่นน้องเราสองปีจริงๆ เค้าก็ต้องอยู่แค่ปีหนึ่งสิ แต่ที่นี่มีแต่เด็กปีสองขึ้นไปนี่นา ยกเว้นว่าเรียนภาคอินเตอร์....”

มุ้ยทำตาโตพลางตบโต๊ะดังฉาด บางทีผมก็นึกอยากเตือนเพื่อนเหมือนกันว่าให้เพลาๆไอ้ท่าทางเลียนแบบชายอกสามศอกลงบ้างก่อนจะโดนใครต่อใครเข้าใจผิดว่าเป็นทอมไปเสียก่อน

“ชื่อนะด้วยใช่มะ งั้นก็ไม่ผิดตัวแล้ว ชั้นจำได้ว่าอาจารย์แกชอบเรียกลูกว่าน้องนะๆ รู้สึกว่าตอนขึ้นม.5 น้องเค้าจะได้ทุนไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศปีนึงรึไงเนี่ย เฮ้ย...แล้วแกจะไปไหนวะอ๊อฟ”

“โทษนะมุ้ย วันนี้แกกินข้าวคนเดียวแล้วกัน แล้วค่อยคุยกันทีหลังนะ”

หลังได้รับรู้ข้อมูลใหม่ผมก็รู้สึกร้อนใจจนนั่งไม่ติดที่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็แปลว่านะรู้จักและอาจจะจำผมได้มาตลอดตั้งแต่เราเจอกันที่กรุงเทพฯแล้วน่ะสิ แต่เจ้าตัวไม่เห็นเคยทักผมว่าเราเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันมาก่อน หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่ตอนแรกๆนะชอบทำท่าเหมือนไม่พอใจผมอยู่เรื่อย?

ผมตรงไปที่สำนักงานดูแลนักศึกษาภาคภาษาอังกฤษที่คณะของนะแล้วก็ขอเบอร์โทรศัพท์มือถือจากเจ้าหน้าที่โดยอ้างเหตุผลว่าผมเป็นเพื่อนร่วมหอและมีเหตุจำเป็นต้องคืนของที่ยืมมา แต่ไม่ว่าผมจะต่อสายเข้าไปกี่ครั้งก็ได้ยินแต่เสียงตอบอัตโนมัติว่าไม่สามารถติดต่อได้อยู่ท่าเดียวจนผมเริ่มอารมณ์เสีย ไม่รู้ว่าโทรศัพท์ของนะแบตหมดหรือเจ้าตัวตั้งใจปิดเครื่องกันแน่ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ได้เวลาเข้าเรียนภาคบ่ายแล้วผมเลยต้องซื้อซาลาเปาจากเซเว่นไปนั่งแอบกินหลังห้องระหว่างอาจารย์ยังไม่เข้าด้วยความหิว

การบรรยายช่วงบ่ายผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย ตลอดเวลาที่อาจารย์บรรยายในหัวผมก็คอยแต่จะคิดย้อนถึงความทรงจำสมัยเรียนมัธยมปลาย ผมเริ่มนึกภาพเด็กผู้ชายหน้าหวานตัวเล็กจนดูแล้วน่าจะเป็นเด็กม.ต้นที่ชอบมาเข้ามาชวนคุยและทานข้าวกลางวันด้วยก่อนผมจะเรียนจบได้มากขึ้น และถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นเห็นภาพของนะซ้อนกับภาพของเด็กคนนั้น แต่ผมเริ่มมั่นใจขึ้นทุกทีว่าเด็กน้อยตากลมใสแป๋วคนนั้นกับคนข้างห้องผมต้องเป็นคนเดียวกันแน่ๆ


“ขออภัย หมายเลขที่ท่านเรียก...”


ผมกดตัดสายทันทีที่ได้ยินเสียงตอบอัตโนมัติเดิมซ้ำเป็นครั้งที่ไม่รู้เท่าไหร่หลังเดินออกจากห้องบรรยาย เอาวะ ถ้าตามตัวระหว่างอยู่ที่มหา’ลัยไม่ได้ก็กลับไปดักรอที่หน้าห้องเลยแล้วกัน ผมอยากถามเจ้าตัวให้แน่ใจว่านะคือคนเดียวกับรุ่นน้องที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันมาก่อนจริงหรือเปล่า และนะจำผมได้มาตลอดใช่ไหม

...และหากคำตอบของนะคือใช่ ผมก็จะบอกว่าผมจำเด็กคนนั้นได้แล้วเหมือนกัน


‘แกหลงรักเค้าเข้าแล้วใช่ม้า’


ผมก้าวลงจากรถเมล์พลางนึกถึงคำพูดของมุ้ยแล้วก็ส่ายหน้า ยังไงก็ต้องยอมรับว่าเพื่อนผมจินตนาการสูงส่งจนน่าชมเชย แต่ผมยังไม่ได้รักนะเสียหน่อย ผมแค่คิดถึงใบหน้าหวานกับตากลมโตนั่น ชอบมองเวลาที่คนตัวเล็กคนนั้นแสดงอารมณ์ต่างๆให้เห็น รู้สึกดีตอนที่ได้จับมือและอยู่ใกล้ๆ มันก็เท่านั้นเอง...

...แต่ก็ยังไม่ได้หมายความว่าผมรักนะ...ใช่ไหม?

ผมรู้ตัวว่าเผลอหยุดยืนกลางฟุตบาทก็ตอนที่โดนคุณป้าคนหนึ่งเดินเบียดจากด้านหลังและหันมามองตาขวางเลยรีบก้มหัวขอโทษแล้วเดินต่อ จะยังไงก็เถอะ ถ้ายังไม่ได้เจอตัวคนที่ตามหาแล้วคุยกันให้รู้เรื่องล่ะก็วันนี้ไม่หายหงุดหงิดแน่ๆ!

ต่อให้อารมณ์ไม่ดีแค่ไหนกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง แล้วถ้าต้องนั่งหิวระหว่างรอคนข้างห้องก็คงไม่ไหวเหมือนกัน พอคิดได้ผมก็เลี้ยวเข้าเซเว่นที่อยู่หน้าปากซอยเข้าหอ แต่พอก้าวเข้าไปปุ๊บก็ต้องชะงักเพราะคนที่ผมอยากพบมาตลอดทั้งวันกำลังจ่ายเงินซื้อของอยู่ที่แคชเชียร์พอดี

“นะ”

เจ้าของชื่อหันมามองผมหน้าตื่นๆเมื่อได้ยินเสียงเรียก ก่อนจะหันไปรับเงินทอนกับหยิบถุงสินค้าที่จ่ายเงินเสร็จแล้วรีบเดินก้มหน้าเบียดผมที่ยืนนิ่งอยู่หน้าทางเข้าเซเว่นทันที

...แต่ไม่มีวันเสียล่ะที่คราวนี้ผมจะยอมให้หนีไปแบบเมื่อคืนอีก

“ปล่อยนะ! อยากซื้อของก็ไปซื้อสิ”

เจ้าของแขนเรียวที่ผมจับไว้แน่นพยายามสะบัดแขนหนีแต่ผมไม่ปล่อย คิดจะสู้แรงอดีตนักกีฬาบาสเกตบอลโรงเรียนก็ให้รู้ไป

“ไม่ซื้อแล้ว ตอนนี้อยากคุยกับคนนี้มากกว่า”

คนหน้าหวานเม้มปากแน่นอย่างไม่พอใจ ผมถือโอกาสโบกแท็กซี่ที่ผ่านมาแถวปากซอยพอดีให้เข้าไปส่งที่หอทั้งที่ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่ก่อนจะดันคนตัวเล็กให้เข้าไปในรถ นะหันมามองผมที่ก้าวตามเข้าไปนั่งเบียดข้างๆแวบหนึ่งแล้วก็กอดอกหันหนีตลอดทางจนผมต้องอมยิ้มกับท่างอนแก้มป่องนั่น

ก็ดูแล้วมันน่ารักน่าจับหยิกแก้มชะมัดเลยนี่นา…

นะหันมามองผมที่หัวเราะคนเดียวอย่างงงๆ ไม่นานนักแท็กซี่ก็มาถึงที่หมายผมเลยยื่นค่ารถให้คนขับแล้วก็จับมือนะไว้แน่นก่อนจะพาเดินเข้าในหอด้วยกัน อาม่าผู้ดูแลหอที่กำลังนั่งเล่นกับแมวของแกอยู่หน้าประตูหันมามองเราสองคนยิ้มๆ นะเลยรีบเดินนำเข้าไปในลิฟต์ทั้งที่มือข้างหนึ่งยังโดนผมกุมอยู่

“ทำไมตัวร้อนจัง นะมีไข้นี่”

ผมเอามืออีกข้างที่ว่างขึ้นทาบกับหน้าผากเนียนของคนตัวเล็กหลังเราอยู่ในลิฟต์กันสองคนแล้วก็ต้องตกใจกับอุณหภูมิที่สูงจนน่าเป็นห่วง ถึงว่าสิว่าทำไมวันนี้คนข้างห้องผมถึงไม่ค่อยออกฤทธิ์เหมือนปกติเลย

นะเอาแต่นิ่งเงียบแล้วก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตาผมท่าเดียว พอลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นที่เราอยู่ร่างเล็กๆนั่นก็รีบเดินจ้ำอ้าวนำผมออกไปเหมือนจะหนี แต่พอเจ้าตัวจะดึงกุญแจออกมาเปิดประตูห้องตัวเองผมก็ดึงตัวอีกฝ่ายจนปลิวกลับมาชิดกับอกผมแล้วกอดเอาไว้แน่นเสียก่อน

“อ๊อฟ! ทำอะไร!”

คนตัวเล็กพยายามดิ้นขลุกขลักทั้งที่ไม่มีแรง ผมเลยถือโอกาสสูดกลิ่นหอมอ่อนๆของคนตัวอุ่นในอ้อมแขนเข้าเต็มปอด ความรู้สึกขุ่นมัวเหมือนมีเมฆหมอกในใจที่ทำให้กระวนกระวายมาตลอดทั้งวันที่ไม่ได้เห็นหน้าคนตัวเล็กคนนี้ค่อยๆจางหาย ขณะเดียวกันความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างพองแน่นอยู่ในอกแทรกเข้ามาแทนที่

จะผิดไหมถ้าผมคิดเอาเองว่าที่คนตัวเล็กพูดจาร้ายๆใส่ผมเมื่อคืนเพราะว่าใจเราตรงกัน...

“เรียกพี่อ๊อฟเหมือนตอน ม. ปลายสิครับ น้องนะเด็กกว่าพี่ตั้งสองปีนะ หรือเราลืมแล้วว่าเคยเรียกพี่ว่ายังไง?”

คราวนี้คนในอ้อมแขนผมนิ่งไป มือเล็กๆที่เมื่อกี้พยายามจะยกแขนผมออกกลับเพียงจับแขนผมไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงสั่นหลังเงียบไปครู่ใหญ่

“เพิ่งจำได้เหรอ คนบ้า”

ไหล่บางของคนตรงหน้าเริ่มกระเพื่อมไหว ผมเลยกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นก่อนจะก้มลงกดปลายจมูกที่แก้มนิ่มและอุ่นจัดเพราะพิษไข้แล้วกระซิบข้างหูเบาๆ

“พี่อ๊อฟขอโทษนะครับ อย่าร้องไห้เลยนะคนเก่ง เงียบเร็วเงียบ”

จบประโยคของผมกลายเป็นว่าคนตัวเล็กยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม ผมเลยจับร่างในวงแขนให้หันมาหาแต่นะกลับซุกหน้าเข้ากับอกผมแล้วก็กำเสื้อผมแน่นทั้งที่ยังสะอื้นไม่หยุด ผมยิ้มแล้วก็กอดร่างเล็กๆนั้นไว้พลางลูบหลังบางขึ้นลงไปมาแล้วเอาคางเกยศีรษะของนะไว้

“ขี้แยจังเลยนะเรา อย่างนี้พี่จะปล่อยให้อยู่ไกลสายตาได้ยังไง”

พอผมพูดจบก็โดนมือข้างหนึ่งทุบหลังแบบไม่ออมมือจนผมถึงกับสะอึก แต่ความอบอุ่นที่ได้กอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขนก็ทำให้ผมยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนคนบ้า ที่แท้คำตอบของหัวใจผมก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง ดูท่าจะถึงเวลาที่ผมต้องยอมรับว่าตัวเองหลงรักเด็กน้อยเจ้าอารมณ์ข้างห้องคนนี้เข้าเต็มเปาแล้วเสียที


++---tbc---++




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 28 มกราคม 2553 19:35:48 น.
Counter : 1129 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.