Group Blog
 
All blogs
 
เมื่อหัวใจเราใกล้กัน 23 (THE END)


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. เราเขียนเรื่องนี้หลังจากเขียนตอนปฐมบทของเรื่อง ลำนำรักสีรุ้ง และตัวละครจากเรื่องนั้นก็จะมีบทบาทในเรื่องนี้ด้วย แต่เนื้อหาสามารถแยกอ่านจากกันได้ ไม่จำเป็นว่าต้องอ่านเรื่องนั้นก่อนก็สามารถอ่านเรื่องนี้เข้าใจได้ค่ะ

ปล. 2 ตอนนี้เป็นตอนจบแล้วล่ะ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ยังไงเดี๋ยวคงได้มาอัพเดตเกี่ยวกับการรวมเล่มเรื่องนี้ต่อไปในเร็วๆนี้ค่ะ


++------++


ตอนที่ 23: ปลายทางของสองเรา


เวลา...จะว่าไปมันก็ชอบผ่านเลยเราไปแบบไม่ให้โอกาสตั้งตัว จากวันที่ผมได้กลับมาเจอนะอีกครั้ง จนวันที่รู้ใจตัวเองและตกลงคบกัน ผ่านเรื่องใจหายใจคว่ำตอนที่กลับไปเยี่ยมบ้านครั้งแรกด้วยกัน จนได้ไปฉลองครบรอบครึ่งปีด้วยกันที่ริมทะเล ตอนนี้ชีวิตการเป็นศึกษาปีที่สามในรั้วมหาวิทยาลัยของผมและปีที่หนึ่งของนะก็จบลงไปแล้ว

เนื่องจากภาคปกติของผมกับภาคอินเตอร์ของนะเปิดและปิดเทอมไม่พร้อมกัน ผมเลยสอบไล่ปลายภาคเทอมสองเสร็จก่อนและได้ปิดเทอมเร็วกว่าเกือบสามเดือน ระหว่างนั้นผมจึงตัดสินใจไปฝึกงานที่บริษัทด้านการค้นคว้าข้อมูลการตลาดแห่งหนึ่งซึ่งอาจารย์ช่วยแนะนำให้ เพราะนอกจากจะตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะหาอะไรที่มีสาระทำระหว่างปิดเทอม อีกเหตุผลสำคัญก็คือ ผมจะได้ไม่ต้องกลับบ้านแล้วปล่อยให้นะอยู่หอคนเดียวระหว่างที่เจ้าตัวยังสอบไม่เสร็จด้วย

ขณะที่เราเติมเต็มเวลาที่หายไปช่วง ม.ปลายผ่านการใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยกัน ก็มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับผู้คนรอบตัวเราเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของพี่หล่งกับมุ้ย ที่ผมว่าดูยังไงมันก็ใกล้เคียงการเป็นคู่รักเข้าไปทุกที เพราะจากที่พี่หล่งเคยโทรศัพท์ไปแหย่มุ้ยทุกวัน เดี๋ยวนี้ทั้งสองคนก็พัฒนาถึงขั้นออกไปทานข้าวหรือดูหนังด้วยกันแล้ว ถึงแม้ว่าพอผมทักมุ้ยเรื่องนี้ทีไรก็จะโดนแผดเสียงแว้ดๆใส่ว่าผมคิดไปเองทุกครั้งก็ตาม หรือว่าเรื่องของพี่อิม พี่สาวผมที่เป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลในเชียงรายซึ่งเริ่มปรึกษากับแฟนเรื่องการแต่งงาน เพราะว่าฝ่ายชายเพิ่งได้รับเลื่อนยศเป็นพันตำรวจโท และตอนนี้ก็พาพี่สาวผมไปแนะนำกับทางบ้านอย่างเป็นทางการแล้วอีก

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมายเหล่านั้น ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดสำหรับผม ก็คือการที่แม่ตัดสินใจแต่งงานใหม่ในที่สุดหลังจากดูใจกับว่าที่สามีใหม่มาปีกว่า โดยแม่บอกเรื่องนี้กับผมระหว่างที่ปิดเทอมใหญ่ก่อนขึ้นปีสี่นั่นเอง

เจ้าของนามสกุลใหม่ของแม่ หรือในอีกแง่ก็คือคนที่จะมาเป็น ‘พ่อเลี้ยง’ ของผมชื่อลุงตั๋ง ซึ่งลุงตั๋งกับแม่เคยเรียนโรงเรียนมัธยมเดียวกันและเคยคบกันมาก่อนแล้วตอนยังเป็นวัยรุ่น เพียงแต่หลังจากที่เรียนจบแล้วต่างฝ่ายต่างสอบติดคนละที่จึงทำให้แยกห่างกันไป และจากนั้นก็ไม่ได้นัดพบหรือติดต่อกันอีกเลย จนกระทั่งลุงตั๋งกลับมาร่วมงานศพพ่อของตัวเองที่นครสวรรค์เมื่อประมาณหนึ่งปีก่อนจึงทำให้ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้ง

ถ้าใครได้มาฟังเรื่องของลุงตั๋งกับแม่แล้วอาจจะนึกว่าเป็นนิยายก็ได้ เพราะทั้งๆที่ตลอดเวลาซึ่งทั้งสองคนแยกไปมีครอบครัวของตัวเองนั้น มีบางช่วงที่ลุงตั๋งกลับมาเยี่ยมญาติที่นครสวรรค์บ้าง แต่ว่าก็ไม่เคยได้เจอแม่ผมเลยสักครั้ง ส่วนแม่เองก็ไม่เคยติดตามถามไถ่ข่าวคราวของอีกฝ่ายจากคนรู้จักเลยเหมือนกัน สาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันก็เป็นเพราะลุงตั๋งต้องเข้าไปคัดลอกเอกสารที่สำนักงานเขตเพื่อจัดการเรื่องพินัยกรรมมรดก และแม่ผมก็ดันต้องเข้าไปทำบัตรประชาชนใหม่แทนบัตรเดิมที่หายในวันนั้นพอดี อดีตคู่รักวัยเรียนเลยได้กลับมาพบกันใหม่หลังจากเวลาผ่านไปเกือบสามสิบปีด้วยเหตุนี้

การได้พบกันอีกครั้งทำให้ทั้งสองคนได้รู้ว่าต่างฝ่ายต่างก็กลายเป็นโสดรอบสอง เพราะว่าภรรยาของลุงตั๋งเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน ส่วนลูกสาวคนเดียวที่มีก็เพิ่งแต่งงานออกเรือนไปได้ไม่นาน ในขณะที่ฝ่ายแม่ผมก็หย่าขาดจากพ่อมาสี่ปีกว่า และคงไม่มีวันหวนกลับไปคืนดีกันอีกเพราะพ่อก็แต่งงานใหม่ไปแล้ว

แน่นอนว่าลุงตั๋งกับแม่ไม่ได้ตกลงใจแต่งงานกันทันทีหลังจากได้กลับมาเจอกัน เพราะถึงแม้ลูกๆของแต่ละคนจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่การตัดสินใจจะใช้ชีวิตคู่กับใครก็ถือเป็นเรื่องใหญ่เสมอ ยิ่งทั้งคู่ห่างหายกันไปเกือบสามสิบปีก็ยิ่งทำให้ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่อีกครั้ง และที่สำคัญที่สุดก็คือการที่ทั้งคู่ต่างทำงานและมีสังคมกันคนละที่ เพราะในขณะที่แม่ผมทำงานและมีเพื่อนๆอยู่ที่นครสวรรค์ แต่ว่าลุงตั๋งกลับมีบ้านและการงานอยู่ที่กาญจนบุรี ดังนั้นหากทั้งสองคนจะแต่งงานกันจริงๆก็หมายถึงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องยอมย้ายไปอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่งแทน และสุดท้ายก็เป็นลุงตั๋งที่ยอมเสียสละด้วยการทำเรื่องขอย้ายงานจากการประปาส่วนภูมิภาคที่กาญจนบุรีมาที่นครสวรรค์ เพราะถึงอย่างไรลุงตั๋งก็ต้องมาดูแลมรดกซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ตามพินัยกรรมของพ่อที่เสียไปอยู่แล้ว แต่ว่าแม่ผมก็ต้องย้ายของออกจากบ้านเดิมเพื่อไปอยู่บ้านสามีหลังจากแต่งงานกันแล้วเหมือนกัน

ตอนแรกที่แม่โทรมาขอให้กลับบ้านในสุดสัปดาห์หนึ่งระหว่างที่ยังฝึกงาน ผมก็คิดอยู่แล้วว่าแม่คงมีเรื่องสำคัญจะบอก เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงกับระบุว่าต้องเป็นวันเสาร์นั้นเท่านั้น และตอนแรกผมก็ตั้งใจจะพานะกลับไปด้วย แต่ว่าเจ้าตัวติดทำรายงานกับเพื่อนๆ ผมเลยต้องกลับไปที่บ้านคนเดียว แล้วก็เป็นอย่างที่คาดคือแม่นัดผมไปเพื่อให้ได้พบกับลุงตั๋งจริงๆ แต่ที่ไม่ได้คาดไว้ก็คือการได้เจอพี่อิมที่มาพร้อมกับพี่ธัญญ์ แฟนซึ่งเป็นตำรวจที่เพิ่งได้เลื่อนขั้น ส่วนลุงตั๋งเองก็พาลูกสาวกับลูกเขยมาแนะนำด้วย จึงนับเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับว่าที่สมาชิกครอบครัวใหม่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาโดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน

พี่จี๊ด ลูกสาวของลุงตั๋งอายุน้อยกว่าพี่อิมหนึ่งปีและมากกว่าผมสามปี เพิ่งแต่งงานกับแฟนชื่อพี่โชคซึ่งเป็นเจ้าของอู่รถแห่งหนึ่งในตัวเมืองกาญจน์ได้ไม่นานและปลูกบ้านอยู่ด้วยกันที่นั่น ส่วนด้านพี่อิมเอง ที่พาพี่ธัญญ์มาครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการพาคนรักมาแนะนำกับครอบครัวแล้ว พี่อิมก็มากระซิบบอกผมว่าเพราะตอนแรกพี่ธัญญ์ตั้งใจจะมาสู่ขอพี่อิมด้วย แต่หลังจากที่รู้ว่าแม่ผมนัดให้ทุกคนมารวมตัวกันเพราะจะประกาศเรื่องแต่งงานกับลุงตั๋งอย่างเป็นทางการ พี่อิมเลยต้องขอให้พี่ธัญญ์เลื่อนการสู่ขอไปก่อน แต่แหวนวงเล็กบนนิ้วพี่อิมก็ทำให้ผมรู้ว่าถึงอย่างไรท่านสารวัตรก็ได้หัวใจและคำตอบของพี่ผมไปแล้ว

อันที่จริงผมก็เตรียมใจไว้ตั้งแต่ตอนที่ได้ยินแม่บอกว่ามีเพื่อนสมัยเรียนมาจีบแล้ว แต่พอได้ยินคำยืนยันเข้าจริงๆ ก็ยังอดจะช็อคไม่ได้ เพราะในที่สุดผมก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่ากำลังจะมีผู้ชายอื่นเข้ามาในชีวิตของแม่ และครอบครัวที่เคยเหลือเพียงเราสามคนก็จะไม่ใช่แค่ ‘เราสามคน’ ที่มีเพียงผม พี่อิมและแม่อีกต่อไป แต่หลังจากที่ได้เจอลุงตั๋ง ผมก็เริ่มมั่นใจว่าอย่างน้อยแม่ผมคงจะมีคนที่คอยดูแลไปจนแก่เฒ่าไปด้วยกัน เพราะในขณะที่พ่อผมมักชอบออกไปสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนฝูงตลอดเวลาแม้กระทั่งวันหยุด ลุงตั๋งกลับเป็นคนขรึมๆและไม่ชอบกินเหล้าเมายา นอกจากนี้ยังชอบอยู่บ้านทำสวนในวันหยุด ความทุ่มเทเอาใจใส่ครอบครัวของลุงตั๋งซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อของผมเคยขาดไปนั่นเอง คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ผมคลายความกังวลว่าแม่ได้พบคนที่ดีแล้ว และผมเองก็ต้องปรับตัวกับครอบครัวใหม่ที่ขยายใหญ่ขึ้น เพราะว่าหากแม่ทำอะไรแล้วมีความสุข นั่นก็ถือเป็นความสุขสำหรับผมด้วยเหมือนกัน


+------+


นับจากวันที่ทุกคนในครอบครัวรับรู้ว่าพวกเรากำลังจะเกี่ยวดองกัน และหลังจากการย้ายงานของลุงตั๋งผ่านไปอย่างราบรื่น เวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งเทอมพอดี และขณะที่ผมกำลังรอให้ภาคการศึกษาสุดท้ายเริ่มเพื่อจะได้เรียนให้จบเสียที แม่กับลุงตั๋งก็ได้กำหนดฤกษ์พิธีแต่งงานกันระหว่างนั้นนั่นเอง

ความที่แม่กับลุงตั๋งไม่อยากสิ้นเปลืองเงินทองจัดงานให้เอิกเกริกเพราะต่างคนก็ไม่ได้เพิ่งจะแต่งงานเป็นครั้งแรก หลังจากปรึกษากันแล้ว พวกผู้ใหญ่เลยคิดว่าจะทำพิธีสงฆ์และจัดเลี้ยงอาหารง่ายๆที่บ้านก็พอ เพียงแต่ว่าใช้วิธีจ้างร้านอาหารมาจัดการให้จะได้ไม่ต้องวุ่นวายเก็บกวาดกันเอง แต่เพราะว่าลุงตั๋งเองก็มีเพื่อนที่รู้จักกันที่กาญจนบุรีเยอะ งานที่ตอนแรกคาดกันว่าคงมีแขกมาเพียงยี่สิบสามสิบคนเลยกลายเป็นงานที่มีแขกหกสิบกว่าคน พอถึงวันงานจริงๆจึงต้องให้ทางร้านเอาเต๊นท์มากางที่สนามและเอาโต๊ะกับเก้าอี้เสริมมาวางให้ด้วย

กำหนดการของงานก็คือจะมีการทำพิธีสงฆ์ในตอนเช้า หลังจากนั้นก็ตามด้วยการเลี้ยงเพลและเลี้ยงอาหารโต๊ะจีนให้กับแขกที่มาร่วมงาน จะว่าไปนี่ก็เป็นการรวมญาติที่ผมห่างหายไปนานเหมือนกัน เพราะว่ายายผมเสียไปก่อนที่ผมจะเกิด ส่วนตาก็เสียไปตั้งแต่ตอนผมแปดขวบ หลังจากนั้นเลยไม่ค่อยมีงานใหญ่ที่ทำให้ญาติๆได้มารวมกันพร้อมหน้าพร้อมตาเท่าไหร่

นอกจากญาติๆแล้ว ครอบครัวของเพื่อนและคนรู้จักที่สนิทก็ได้รับเชิญมาด้วย ดังนั้นในบรรดาแขกเหรื่อของวันนี้จึงมีครอบครัวของน้าเหมียว แม่ของมุ้ยซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับแม่ผมมาร่วมงาน โดยน้าเหมียวพาครอบครัวมาครบ ทั้งลุงปุ่นซึ่งเป็นสามี พี่เม่น ลูกชายคนโตก็พาภรรยากับลูกสาวที่อายุได้ขวบกว่ามาด้วย และแน่นอนว่ามุ้ยก็ต้องมา ส่วนนะเองก็มากับลุงพงษ์และอาจารย์วรรณีตั้งแต่เช้าเหมือนกัน

คงเพราะในการ์ดเชิญก็บอกไว้แล้วว่าขอให้แขกแต่งตัวตามสบายได้ วันนี้พวกสาวๆก็เลยแต่งชุดกระโปรงที่ดูไม่เป็นทางการมากนัก ส่วนพ่อหนูน้อยใส่เสื้อผ้าฝ้ายคอจีนสีครีมแขนสามส่วนกับยีนส์ฟอกสีดำ ขณะที่ผมเองใส่กางเกงสีเทากับเสื้อเชิ้ตสีขาวมีลายกราฟฟิคที่ด้านหลัง

“อ้าวน้องนะ ไงลูก ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คุณวรรณี คุณพงษ์ สวัสดีค่ะ”

แม่ซึ่งยืนรับแขกอยู่หน้าบ้านคู่กับลุงตั๋งเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นแฟนผม ก่อนจะคว้าตัวเข้าไปกอดอย่างดีใจราวกับได้เจอลูกชายคนเล็กที่หายไปนาน จากนั้นก็หันไปทำท่ากระซิบกระซาบกับพี่อิมที่ยืนอยู่ข้างๆแล้วพยักเพยิดมาทางผม ตอนแรกพี่อิมทำตาโตขึ้นแวบหนึ่ง แต่แล้วก็หันมามองผมสลับกับนะแล้วก็ยิ้ม พ่อหนูน้อยเองก็คงพอจะรู้ตัวว่ากำลังโดนมอง แก้มสองข้างเลยเริ่มเรื่อเป็นสีเลือดฝาดขึ้นมา ผมเลยขอตัวพาเข้าไปหลบญาติๆในครัวด้วยกันก่อน เพราะว่าผมต้องไปเตรียมน้ำชามาถวายคณะของพระสงฆ์ที่เพิ่งมาถึงบ้านพอดี

“เมื่อคืนพี่อิมทำน้ำพั้นช์เหลือไว้ในตู้เย็นพอดี แต่ไม่ได้ใส่เหล้าหรอกนะ นะจะเอาหน่อยมั้ย?”

คนถูกถามพยักหน้า ผมเลยหยิบเหยือกใส่น้ำพั้นช์ออกมาจากตู้เย็นแล้วรินใส่แก้วส่งให้ระหว่างรอกระติกน้ำเดือด พ่อหนูน้อยรับแก้วไปแล้วก็กวาดสายตาไปรอบห้องครัวที่ค่อนข้างใหญ่และสะอาดเรียบร้อยด้วยความสนใจ เพราะว่าตั้งแต่ผมย้ายของออกจากบ้านเดิมมาอยู่ที่นี่เมื่อเดือนก่อนก็ยังไม่เคยพานะมาเที่ยวเลย ส่วนบ้านเก่าของผม ตอนนี้แม่เปิดให้คนอื่นมาเช่าไปแล้ว

“พี่อ๊อฟชินกับบ้านใหม่หรือยัง?”

นะถามขึ้นหลังจากชิมน้ำพั้นช์สูตรของพี่อิมไปอึกหนึ่ง ผมเลยยิ้มให้คนถามก่อนจะมองไปรอบๆ ยอมรับว่าตอนแรกที่รู้ว่าต้องย้ายของตามแม่มาอยู่ที่นี่ผมก็ตะขิดตะขวงใจเหมือนกัน เพราะว่าผมเองก็ผูกพันกับบ้านเก่าที่อยู่มาตั้งแต่เกิด แต่ก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บของไว้ที่นั่นในเมื่อผมเองก็ไม่ได้กลับมาบ้านบ่อยๆ และความจริงที่นี่ก็สะดวกดี เพราะว่าอยู่ใกล้ในเมืองมากกว่า จะขับรถออกไปไหนก็ง่ายกว่าที่บ้านเดิมตั้งเยอะ

“ก็เริ่มคุ้นขึ้นมากกว่าเดิมแล้วล่ะ ห้องใหม่ก็ใหญ่ดี เพียงแต่คงต้องหาเวลาจัดข้าวของให้เป็นระเบียบหน่อย ของบางส่วนพี่ยังไม่ได้เอาออกมาจากกล่องเลย”

“งั้นให้นะช่วยด้วยนะ”

พ่อหนูน้อยเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกระตือรือร้น พอผมเห็นสีหน้าตื่นเต้นอย่างกับเจ้าตัวกำลังขอไปเที่ยวก็อดจะยื่นมือไปบีบจมูกโด่งเล็กเบาๆไม่ได้ ความจริงตั้งแต่นะขึ้นปีสองเป็นต้นมา ผมก็รู้สึกเหมือนเจ้าตัวเริ่มทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้างแล้วเหมือนกัน แต่ก็จะมีเวลาที่อยู่กับผมสองคนนี่แหละที่ยังไงก็ยังชอบอ้อนอยู่ดี

“โอเค แต่เอาไว้ให้จบงานวันนี้ไปก่อนก็แล้วกัน”

ผมยิ้มเมื่อคนตัวเล็กย่นจมูก แต่ว่ายังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังมาจากประตูครัว

“อ๊อฟ แกชงชาเสร็จยัง เดี๋ยวใกล้จะได้เวลาเริ่มทำพิธีแล้วนะ พี่อิมฝากให้ชั้นมาตาม”

มุ้ยเอ่ยขึ้นพลางโยกตัวหลานสาวที่อุ้มติดมาด้วยไปมา วันนี้ยายเพื่อนผมใส่ชุดกระโปรงเข้ารูปสีฟ้าอ่อน ส่วนกระโปรงซึ่งยาวแค่เข่านั้นเป็นผ้าเนื้อบางพลิ้ว ส่วนผมก็ถักเปียเดี่ยวแล้วปัดมาไว้เหนือไหล่ ถ้าหากเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักมุ้ยมาก่อนคงเห็นแล้วคิดว่าน่ารัก แต่สำหรับผมที่รู้จักคุ้นเคยกันดีตั้งแต่เด็ก มองแล้วให้รู้สึกแปลกๆพิกลที่เห็นเพื่อนแต่งตัวหวานได้ซะขนาดนี้ เห็นแล้วน่าถ่ายรูปส่งไปให้พี่หล่งดูชะมัด แต่ดูเหมือนยายจอมจุ้นจะอ่านสายตาผมออกเลยถลึงตาใส่ ส่วนนะก็ได้แต่หัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของพวกผมสองคน

“แป๊บนึง น้ำเดือดแล้ว เดี๋ยวจะยกออกไปให้แล้วล่ะ งั้นนะออกไปกับมุ้ยก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการตรงนี้เสร็จก็จะออกไปแล้วเหมือนกัน”

ท้ายประโยคผมหันไปบอกคนข้างตัว นะเลยเอาแก้วน้ำพั้นช์ที่เหลืออยู่นิดเดียวไปล้างก่อนจะเดินออกไปกับมุ้ย พอผมเทน้ำชาใส่แก้วที่เรียงไว้ในถาดแล้วจึงเดินออกไปตรงส่วนสำหรับทำพิธีสงฆ์บ้าง

หลังจากได้เวลาตามฤกษ์ที่กำหนด พระสงฆ์ที่นิมนต์มาทั้งเก้ารูปก็เริ่มพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์ ส่วนผมเองก็ไปคอยช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าพิธีซึ่งเป็นพี่ชายของลุงตั๋งนั่นเอง ความที่แขกมากันเยอะทำให้ห้องนั่งเล่นซึ่งใช้เป็นที่ทำพิธีดูแน่นไปถนัดตาทีเดียว

หลังจากเสร็จพิธีสงฆ์แล้ว ผมก็คอยช่วยประสานเรื่องถวายอาหารเพลต่อ และพาคณะไปส่งที่รถหลังจากฉันอาหารเพลเสร็จแล้วอีก เพราะผมรู้สึกว่านี่เป็นงานแต่งงานครั้งที่สองของแม่ทั้งที และก็คงจะไม่มีครั้งที่สามอีกแล้ว จึงอยากจะช่วยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นพอทำทุกอย่างเสร็จแล้ว กว่าจะได้กลับมาตรงที่จัดเลี้ยงอีกทีผมเลยรู้สึกว่าตัวเองเหนียวเหงื่อไปหมด

“ไปกินข้าวได้แล้วล่ะอ๊อฟ เราน่ะพักได้แล้วนะ”

พี่อิมเดินมาบอกแล้วก็แตะบ่าผมเบาๆขณะที่ผมเดินกลับเข้าไปในงาน ผมเลยชะโงกหน้ามองว่าใครนั่งอยู่โต๊ะไหนกันบ้าง และดูเหมือนพี่อิมก็อ่านสายตาผมออก เลยบอกผมยิ้มๆ

“น้องนะนั่งอยู่กับพ่อแม่เค้า แต่ว่าก็อยู่โต๊ะติดกับพวกพี่น่ะแหละ เดี๋ยวอ๊อฟไปนั่งกับน้องนะก็ได้ ส่วนแม่กับลุงตั๋งก็ให้นั่งกับพวกแขกผู้ใหญ่ไปเถอะ”

ผมพยักหน้ารับรู้ แต่เพราะความที่รู้สึกเหนียวตัวเต็มที ผมเลยคิดว่าน่าจะไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อนค่อยมานั่งกินข้าวดีกว่า

“งั้นเดี๋ยวอ๊อฟไปเปลี่ยนเสื้อบนห้องแป๊บนึง ถ้านะถามหา พี่อิมก็บอกว่าเดี๋ยวอ๊อฟลงมาก็แล้วกัน”

พี่สาวผมยิ้มแล้วก็รับคำก่อนจะผละไป ผมเลยเดินอ้อมสนามหญ้าที่มีโต๊ะและแขกบางส่วนนั่งอยู่เพื่อเข้าไปในบ้าน ห้องใหม่ของผมที่บ้านนี้อยู่ด้านในสุดของชั้นสอง ซึ่งนอกจากจะเป็นห้องที่รับลมได้ดีที่สุดแล้วก็ยังมองออกไปเห็นวิวคลองหลังบ้านได้ด้วย และที่ผมเลือกห้องนี้ก็เพราะแบบนี้นี่แหละ ถึงจะรู้ตัวว่าคงไม่ค่อยได้กลับมาบ่อยๆก็ตามทีเถอะ

ผมถอดเสื้อเชิ้ตเนื้อหนาออกจากตัวแล้วโยนลงตะกร้ามุมห้อง จากนั้นก็เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าและเอาน้ำลูบเหงื่อตามตัวออกเสียหน่อย แต่ขณะที่เดินออกมาจากห้องน้ำพลางใช้ผ้าเช็ดตัวซับน้ำไปพลาง จู่ๆผมก็รู้สึกเพลียขึ้นมาอย่างกะทันหัน เลยใช้เท้ากดเปิดพัดลมแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงทั้งที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อนี่แหละ

ในที่สุดแม่ผมก็แต่งงานใหม่อย่างเป็นทางการแล้วสินะ...

ผมนอนมองเพดานห้องไปพลางก็ระบายลมหายใจยาว นับจากวันนี้ไป บ้านที่ผมจะกลับมาเวลาปิดเทอมหรือเวลาอยากเจอแม่ก็คือที่นี่ เวลาผมจะกรอกเอกสารอะไรที่ต้องระบุชื่อของแม่ด้วย ผมก็ต้องจำให้ได้ว่าแม่เปลี่ยนนามสกุลตามลุงตั๋งไปแล้ว และถ้าจะตัดสินใจทำอะไรในอนาคต นอกจากแม่ พี่อิมแล้วก็พ่อ ก็จะมีคนที่ผมต้องบอกให้รู้เพิ่มขึ้นอีกคน

สามีใหม่ของแม่เป็นคนดี...เรื่องนั้นผมรู้และมั่นใจ เพราะบรรดาเพื่อนๆของลุงตั๋งที่มาร่วมงานจากาญจนบุรีต่างพูดชมเชยลุงตั๋งให้ฟังไม่หยุดปากกันทั้งนั้น และผมเองก็โตเกินวัยที่จะมาต่อต้านกับการที่แม่มีพ่อใหม่แล้ว เพียงแต่สำหรับตอนนี้ ถ้าใครถามว่ารู้สึกดีใจ เสียใจ หรือน้อยใจ ผมก็คงตอบได้แค่ผมรู้สึกเนือยๆก็เท่านั้น บางทีการที่ต้องตื่นนอนตั้งแต่เช้าก็อาจจะมีส่วนทำให้เป็นแบบนี้ด้วยล่ะมั้ง

ขณะที่ผมปิดเปลือกตาลงเพราะกะจะพักสายตาสักแป๊บ จากนั้นก็จะลุกไปใส่เสื้อแล้วลงไปกินอาหารข้างล่าง เสียงเคาะประตูห้องเบาๆก็ทำให้ผมต้องหรี่ตาขึ้นมอง และก็ได้เห็นว่าเป็นพ่อหนูน้อยนั่นเองที่มาเคาะเรียก

“พี่อ๊อฟ นะเข้าไปนะ”

“อื้อ เข้ามาสิ”

ผมพูดแล้วก็หลับตาลง เสียงฝีเท้าของนะที่เดินอ้อมเตียงและไปหยุดตรงหน้าต่างทำให้รู้ว่าคงกำลังเพลินกับวิวจากคลองหลังบ้าน แต่เพียงครู่เดียวผมก็รู้สึกได้ว่าฟูกตรงข้างตัวยวบเพราะคนตัวเล็กมานอนหงายลงข้างๆ หลังมือของนะแตะเข้ากับหลังมือผมอย่างแผ่วเบา ผมเลยขยับมือไปประสานนิ้วเข้ากับมือข้างนั้น แต่ว่าก็ยังคงนอนนิ่งไม่ขยับอยู่เหมือนเดิม

“เตียงพี่อ๊อฟนอนสบายกว่าที่ห้องเราอีกนะเนี่ย”

ผมลืมตัวหัวเราะออกมา เพราะไม่ได้คาดคิดว่าสิ่งแรกที่ได้ยินหลังจากคนข้างตัวเงียบอยู่นานคือเรื่องนี้ ผมเลยลืมตาขึ้นแล้วตะแคงหน้าไปหา ทำให้เห็นว่าคนพูดยังนอนจ้องเพดานเป๋งอยู่ ผมเลยบีบมืออีกฝ่ายเพื่อเรียกความสนใจเสียทีหนึ่ง

“นะชอบเหรอ งั้นพี่ขอลุงตั๋งย้ายเอาไปไว้ที่หอแทนดีมั้ย?”

คนตัวเล็กเหล่ตามาค้อนผมทั้งที่ยังอยู่ในท่านอน ผมเลยยกมืออีกข้างที่ไม่ได้ประสานกันขึ้นไปเสยผมบนหน้าผากออกให้ เจ้าของนัยน์ตากลมโตจึงนอนหลับตานิ่งและปล่อยให้ผมลูบผมแต่โดยดี

“ไม่ต้องเอาย้ายกลับไปหรอก เดี๋ยวห้องก็ได้แคบกว่าเดิมน่ะสิ เอาไว้ที่นี่ให้พี่อ๊อฟได้นอนเวลากลับบ้านแหละดีแล้ว”

นะเอ่ยทั้งที่ยังนอนหลับตา แต่ผมกลับชะงักมือเมื่อได้ยินคำว่า ‘บ้าน’ ในประโยคที่คนตัวเล็กพูด

“ก็ไม่แน่นะ หลังจากนี้พี่จะได้กลับมาบ่อยๆหรือเปล่าก็ไม่รู้”

ผมเอ่ยพลางหันหน้ากลับไปมองเพดานเหมือนเดิม มือข้างที่เมื่อครู่ลูบผมให้กับนะถูกทิ้งลงวางข้างตัว จริงอยู่ว่าผมไม่ได้นึกต่อต้านการที่แม่แต่งงานใหม่ แต่ผมก็ไม่ได้มีความทรงจำกับบ้านหลังนี้หรือรู้สึกผูกพันกับมันเหมือนบ้านหลังที่ผมเติบโตขึ้นมาเลยสักนิดเช่นกัน ดังนั้นเมื่อได้ยินคำว่า ‘กลับบ้าน’ ความรู้สึกในใจของผมจึงยังไม่สามารถโยงคำนั้นเข้ากับที่นี่ได้ในทันที และลึกลงไปในใจ ผมก็รู้ดีว่าผมคงไม่มีวันจะรู้สึกผูกพันกับที่นี่ได้เหมือนที่บ้านเก่าแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมคงยุ่งกับการหางานทำอยู่ที่กรุงเทพฯหลังจากเรียนจบแล้วด้วย

ความเงียบงันตามมาหลังจากประโยคนั้นหลุดไปจากริมฝีปากของผม ผมไม่รู้ว่านะคิดยังไงกับสิ่งที่ผมพูด หรือว่าคนตัวเล็กจะเข้าใจความหมายของผมหรือเปล่า เพราะว่านะเป็นลูกคนเดียวที่เติบโตมาในบ้านที่พ่อกับแม่ต่างให้ความอบอุ่นโดยไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน ต่างกับผมที่ได้เห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันเป็นระยะก่อนที่จะหย่า ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำเช่นนั้นต่อหน้าผมกับพี่อิมก็ตาม ดังนั้นผมจึงไม่ได้คาดหวังว่าคนตัวเล็กจะต้องเข้าใจความรู้สึกของผมที่พ่อกับแม่ต่างแยกกันไปสร้างครอบครัวใหม่ แต่แล้วขณะที่เราต่างนอนมองเพดานกันไปเงียบๆ จู่ๆนะก็ถอนมือที่ประสานกับผมอยู่ออกก่อนจะพลิกตัวขึ้นนอนคว่ำและใช้ศอกทั้งสองยันร่างกายท่อนบนเอาไว้ ผมเลยเลิกคิ้วและหันไปมองด้วยความสงสัย

นัยน์ตากลมโตสบตาผมอยู่ครู่หนึ่งด้วยประกายที่อ่านไม่ออก จากนั้นร่างเล็กก็โน้มตัวลงมาหา ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงสัมผัสจากริมฝีปากที่ประทับลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา และไม่กี่วินาทีถัดมาสัมผัสนั้นก็ผละออกไป

ผมกะพริบตาปริบๆหลังจากความอบอุ่นบนหน้าผากเมื่อครู่หายไปแล้ว เพราะนี่อาจเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ผมโดนนะจูบแบบนี้ จริงอยู่ว่าบางทีพ่อหนูน้อยก็เอาใจผมด้วยการหอมแก้มบ้าง แต่กับการจูบหน้าผากเมื่อครู่...มันแทบจะทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กตัวเล็กๆที่กำลังถูกปลอบขึ้นมาทันที

ปลายนิ้วเรียวจากมือข้างหนึ่งยื่นมาลูบแก้มผมก่อนที่ร่างเล็กจะทิ้งตัวลงนอนตะแคงแล้วส่งยิ้มมาให้ แต่ว่านะไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ขณะที่ผมเองก็นึกสิ่งที่จะพูดต่อหลังจากการกระทำเมื่อครู่ไม่ออกเหมือนกัน

ผมไม่รู้ว่าการที่นะทำแบบนั้นเป็นเพราะคำพูดของผม หรือว่าเป็นเพียงการขยับตัวไปโดยสัญชาตญาณ แต่ว่ายิ่งได้จ้องมองเงาของตัวเองที่สะท้อนในดวงตากลมโตคู่นั้นนานขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกราวกับกำลังได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายที่เริ่มเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่อยู่ตรงหน้ามากขึ้นทุกที และบางที...นี่อาจเป็นครั้งแรกที่การเปลี่ยนแปลงนั้นปลุกความรู้สึกหวาดหวั่นในใจผมให้ตื่นขึ้นมา

ความรู้สึกดำมืดที่จู่ๆก็พลุ่งพล่านขึ้นทำให้ผมเคลื่อนไหวร่างกายไปก่อนที่จะทันได้ห้ามตัวเอง ผมยื่นมือออกไปจับไหล่ของนะกดไว้กับเตียง แล้วอาศัยน้ำหนักกับรูปร่างที่ใหญ่กว่าพลิกร่างตัวเองขึ้นคร่อมทับ ร่างเล็กที่นอนอยู่ด้านล่างเบิกตาโตอย่างตกใจกับท่าทางของผมที่จู่ๆก็แปลกไปอย่างกะทันหัน แต่ตอนนี้ผมห้ามตัวเองไม่ได้แล้ว มือของผมสอดเข้าใต้เสื้อผ้าฝ้ายแล้วลูบไล้ไปตามผิวเนียนลื่น ขณะที่กลิ่นหอมอ่อนๆจากซอกคอขาวก็ดึงดูดให้ผมก้มลงจูบไซ้อย่างรุนแรง

“อื๊อ...พี่อ๊อฟ...พี่อ๊อฟ!! อย่า!! ข้างล่างมีคนอยู่เต็มเลยนะ!!!”

นะดิ้นไปก็พยายามจะเตือนและใช้มือทั้งสองดันตัวผมออกไปด้วย เพราะว่าตอนนี้เสื้อผ้าฝ้ายสีครีมถูกเลิกขึ้นไปจนเห็นแผ่นอกที่หอบกระเพื่อมตามแรงเต้นของหัวใจ แต่ผมก็ยังดึงดันที่จะไม่หยุดและก้มลงเม้มตุ่มไตสีชมพูบนแผ่นอกจนได้ยินเสียงครางหวิวจากริมฝีปากอิ่มเต็ม แต่ว่าขณะที่มือข้างหนึ่งของผมเริ่มเลื้อยต่ำลงไปเกี่ยวขอบกางเกงบนเอวผอมบาง มือเล็กสองข้างก็ยื่นมาจับหน้าผมไว้และบังคับให้เงยขึ้นสบตากับเจ้าของนัยน์ตากลมโตที่ตอนนี้ฉายประกายเป็นสีเข้ม

“พี่อ๊อฟ!!”

เสียงเรียกของนะช่วยฉุดสติผมที่กระจัดกระจายให้กลับคืนมา แววตาที่จ้องมองบวกกับมือที่จับหน้าเอาไว้แน่นตรึงสายตาผมจนหันหนีไม่ได้ และจู่ๆเสียงของสรรพสิ่งรอบตัวก็หลั่งไหลกลับเข้ามาในการรับรู้ของโสตประสาทอีกครั้ง ไม่ว่าจะเสียงของเหล่าแขกเหรื่อที่หัวเราะเฮฮากันอยู่ด้านล่างของบ้าน เสียงพัดลมที่ยังคงส่ายไปมาในห้อง หรือแม้แต่เสียงนกร้องจากต้นไม้ริมฝั่งคลองก็ลอยมาเข้าหู

เสียงชีพจรที่กำลังเต้นแรงดังก้องอยู่ในหัวของผม และเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นบนใบหน้าของอีกฝ่ายก็ทำให้ผมนึกได้ถึงความไม่ควรของเวลาและสถานที่กับสิ่งที่เพิ่งทำลงไป และนั่นก็ทำให้ผมแทบอยากจะต่อยตัวเองขึ้นมา ทำไมผมถึงได้ขาดสติจนทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้ได้นะ ถ้าหากใครมาได้ยินเสียงหรือมาเห็นเข้า นะจะถูกมองยังไงบ้างก็ไม่รู้แท้ๆ

“ขอโทษ พี่ลืมตัวไป”

ผมกัดฟันขณะพยายามบังคับลมหายใจที่หอบรัวให้สงบลง ผมไม่อยากให้นะตกใจกลัวกับการที่จู่ๆผมก็ทำตัวเหมือนไอ้โรคจิตที่มีความต้องการผิดที่ผิดเวลาขึ้นมา แต่ความอ่อนไหวที่เข้าจู่โจมเมื่อครู่ก็ทำให้ผมยับยั้งสติเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ

จริงอยู่ว่านะเป็นฝ่ายชอบผมก่อน และก็มองตามผมด้วยสายตาชื่นชมมาตลอดตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแล้ว แต่ว่าเวลาไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ สักวันพ่อหนูน้อยที่ผมเคยมองว่าเป็นเด็กมาตลอดก็ต้องเติบโตขึ้น และเมื่อถึงวันนั้นขึ้นมา นะจะเริ่มตระหนักได้ว่าผมก็เป็นแค่คนธรรมดาๆคนหนึ่งที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษเหนือไปกว่าคนอื่นหรือเปล่า แล้วจะเบื่อหรือว่าตีจากผมไปหาคนอื่นไหม เพียงแค่ความคิดนี้วาบขึ้นในหัวผมก็รู้สึกเหมือนจะทนไม่ได้อยู่แล้ว

ความคิดที่เตลิดไม่หยุดทำให้ผมเข้าใจว่าสิ่งที่อาจารย์วรรณีเคยเตือนตอนรู้ว่าพวกเราคบกันคืออะไร นี่อาจจะนับเป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มสำนึกถึงความไม่แน่นอนของสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีอะไรที่ผมควบคุมได้เลยสักอย่าง ไม่ว่าจะการห้ามไม่ให้พ่อกับแม่ต้องหย่ากัน การห้ามไม่ให้ต่างฝ่ายต่างไปแต่งงานใหม่ หรือแม้แต่การที่จะห้ามนะไม่ให้เบื่อและจากผมไปทั้งที่เรื่องยังไม่เกิดขึ้น ต่อให้ความรู้สึกที่ผมมีให้อีกฝ่ายจะฝังลึกจนผมรู้ว่าถึงอย่างไรผมก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจแล้วก็ตาม

ผมยันตัวขึ้นขณะที่สายตาของนะยังมองตามด้วยความเป็นห่วง ร่างเล็กสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อถูกผมใช้ปลายนิ้วแตะเข้าที่แก้ม แต่แล้วอีกฝ่ายก็นอนนิ่งเมื่อผมเพียงแค่ลูบผิวตรงนั้นเบาๆ เมื่อเห็นว่านะหายตกใจแล้วผมจึงค่อยดึงเสื้อที่ถูกผมร่นขึ้นไปเหนือแผ่นอกลงและช่วยจัดให้เรียบร้อย จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งหันหลังให้อยู่บนปลายเตียง

ผมยกศอกทั้งสองข้างตั้งขึ้นบนเข่า ก่อนจะแนบหน้าผากลงบนหลังมือที่ประสานกันและระบายลมหายใจยาว ถ้าหากพูดกันแบบเปิดอก บางทีลึกๆผมอาจจะรู้อยู่แก่ใจมาตลอด แต่ที่ผ่านมาพยายามทำเป็นไม่สนใจและมองข้ามไป แต่ถึงอย่างไรความจริงก็ไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลงไปได้อยู่ดี

นะหัวดีและเรียนเก่งกว่าผม มีโอกาสได้เจอคนอื่นที่เพียบพร้อมกว่าผมมากมายเพราะคณะอินเตอร์ที่เรียนก็มีแต่เด็กที่ฐานะดีและฉลาดอยู่รวมกันเต็มไปหมด และหากจะมีใครในนั้นที่มาหลงชอบความน่ารักของเจ้าตัวก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย ดังนั้นไม่ว่าจะมองจากแง่มุมไหน นะก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมายึดติดกับรักแรกแบบเด็กๆแล้วผูกตัวเองอยู่กับผมตลอดไปเลยสักนิด ในขณะที่ผมนึกภาพตัวเองไม่ออกเลยว่าหากมีวันหนึ่งที่นะจากผมไปหาคนอื่นจริงๆ ถึงตอนนั้นผมจะเสียศูนย์ขนาดไหน

ความฟุ้งซ่านอันไร้ที่มาเข้ารุมเร้าความรู้สึกของผมจนยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวใจ แต่ผมก็ไม่กล้าเสี่ยงกับการทำให้นะต้องเสียความรู้สึกเพราะความเห็นแก่ตัวของผม หรือทำลายภาพพจน์พี่ชายที่แสนดีด้วยการยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอและขอให้อีกฝ่ายสัญญาว่าจะไม่จากผมไป ถ้าหากในอนาคตจะต้องเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นจริงๆ ผมก็อยากให้ภาพของผมในความทรงจำของนะยังคงเป็นภาพเดียวกับที่เจ้าตัวเคยเห็นตอนที่เราเพิ่งเจอกันครั้งแรกมากกว่า

ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบหน้าแรงๆ จู่ๆก็ให้นึกรำคาญความอ่อนแอที่เข้ามาครอบงำจิตใจเมื่อครู่ และให้สาบานกับตัวเองว่าต่อไปจะไม่เผลอปล่อยตัวทำอะไรมุทะลุแบบนี้อีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากมันจะทำให้นะต้องเสียใจทีหลังด้วย

ขณะที่คิดว่าตัวเองน่าจะสงบลงมากพอที่จะคุยกับอีกฝ่ายได้โดยไม่ทำให้นะตกใจกลัว ผมกลับลมหายใจสะดุดเมื่อรู้สึกถึงอ้อมแขนที่เข้ามาโอบกอดเอวผมไว้ และความอบอุ่นจากร่างที่แนบลงมาจากด้านหลัง ลมหายใจที่เป่ารดลงมาเบาๆตัดกับความเย็นจากเม็ดกระดุมเสื้อซึ่งกดแนบลงมา และนั่นก็ทำให้หัวใจของผมที่เพิ่งจะกลับไปเต้นจังหวะปกติแล้วกลับรัวเร็วขึ้นอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้

ความใกล้ชิดจากอ้อมแขนที่โอบกอดจุดความโหยหาในใจขึ้นมาอีกครั้ง แต่ผมก็พยายามข่มใจให้นั่งอยู่กับที่และไม่หันกลับไปดึงร่างเล็กเข้ามากอดให้แน่นๆเพราะไม่รู้ว่าคราวนี้ตัวเองจะหยุดได้หรือเปล่า หลังจากที่เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงเต้นของหัวใจที่สม่ำเสมอซึ่งส่งผ่านมาทางแผ่นหลังก็ราวจะช่วยดับความกระวนกระวายของผมลงไป และผมก็รู้สึกว่าจิตใจเริ่มจะมั่นคงพอที่จะเรียกการควบคุมตัวเองกลับคืนมาได้อีกครั้ง

ทั้งผมทั้งนะต่างก็ไม่มีใครขยับตัวหรือพูดอะไรออกมา ได้แต่นั่งนิ่งๆและปล่อยให้เสียงเต้นของหัวใจสื่อสารกันแทนคำพูดอยู่อย่างนั้น สักพักผมจึงขยับตัวก่อนด้วยการทาบมือทั้งสองข้างลงบนลำแขนเรียวที่โอบอยู่บนเอว จากนั้นจึงหลับตาลงและระบายลมหายใจยาว

ไม่เป็นไร...

ผมผ่อนลมหายใจและเตือนตัวเอง สัมผัสที่ผมรับรู้ผ่านร่างกายในเวลานี้คือของจริง ดังนั้นถึงแม้จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ไม่ว่านะจะอยู่กับผมตลอดไปหรือไม่ แต่ความรู้สึกห่วงใยและความอบอุ่นที่เคยได้รับก็จะถูกบันทึกในความทรงจำของผมไปตลอดชีวิต และต่อให้ผมจะต้องเผชิญกับวันหนึ่งข้างหน้าที่ไม่มีนะอยู่ข้างๆแล้วก็ตาม แต่ความทรงจำเหล่านี้ก็จะทำให้ผมดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ผมต้องทรมานอย่างที่สุดกับการที่ต้องเดินต่อไปตามลำพังก็ตามที

อ้อมแขนเรียวกระชับรอบเอวผมแน่นขึ้นก่อนจะที่นะจะแนบแก้มลงมาทาบบนหลัง ผมจึงจับมือทั้งสองข้างนั้นแน่นเข้า ก่อนจะค่อยแกะมือทั้งสองที่โอบเอวผมอยู่ออก จากนั้นก็หันไปยิ้มให้และยกมือขึ้นไล้ผิวแก้มของคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา นะเป็นคนรักที่น่ารัก และเป็นสิ่งล้ำค่าที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้สำหรับผม และมันก็จะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ไม่ว่านะจะอยู่กับผมหรือไม่ก็ตาม

“ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ ต่อไปพี่จะไม่ทำแบบนั้นแล้วนะครับ”

คนตัวเล็กมุ่นหัวคิ้วเมื่อผมพูดจบ นะรั้งมือของผมข้างที่กำลังไล้ผิวแก้มตัวเองอยู่แล้วก็บีบไว้แน่น แล้วผมก็ต้องตกใจที่เห็นหยาดน้ำใสกลิ้งลงมาจากดวงตากลมโตทั้งสองข้าง

“พี่อ๊อฟบ้า! บ้า! บ้า! บ้าที่สุดเลย!! ไอ้คนบ้า!!!”

นะใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้จับมือผมรัวกำปั้นลงมาบนอกจนผมต้องจับมือข้างนั้นไว้ อารามตกใจที่เห็นอีกฝ่ายร้องไห้ทำให้ผมดึงร่างเล็กเข้ามากอดแน่น

“ขอโทษครับ พี่ขอโทษ ต่อไปจะไม่ทำให้เราตกใจแบบนี้อีกแล้วล่ะ นะไม่ต้องร้องแล้วนะ”

ผมพูดปลอบไปพลางก็ลูบหลังอีกฝ่ายไม่หยุด แต่คนในอ้อมแขนกลับส่ายหน้าอย่างแรงก่อนจะโผเข้ามากอดผมไว้แน่นเหมือนกัน

“พี่อ๊อฟบ้า! นะไม่ได้ร้องเพราะตกใจซักหน่อย แล้วที่บอกว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกนี่หมายความว่าไง!? จะขอเลิกกับนะใช่มั้ย!?”

ผมเบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะความคิดนั้นไม่เคยแม้แต่จะผ่านหัวผมเลยสักครั้ง “พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้นเลยนะ คนเก่ง หยุดร้องแล้วคุยกันก่อนได้มั้ย?”

ผมพยายามจะดันตัวนะออกจะได้ช่วยเช็ดหน้าให้ แต่กลายเป็นว่านะกลับยิ่งกอดผมแน่นเข้าไปใหญ่ คราบน้ำตาของอีกฝ่ายที่สัมผัสได้จากบนอกทำให้ผมปวดแปลบในใจ ผมจึงไม่ขอให้นะหยุดร้องอีกและเพียงกอดเจ้าตัวตอบแน่นๆแทน

“พี่อ๊อฟ...ก็พี่อ๊อฟน่ะ ฮึก...นะแค่จะเตือนว่าตอนนี้มันไม่เหมาะ แล้วทำไม...อยู่ๆจะต้องทำท่าเหมือนห่างเหินกันแบบนั้นด้วยล่ะ”

เสียงตัดพ้อสลับกับเสียงสะอื้นของนะอู้อี้ไปหมดเพราะว่าพูดอยู่กับอกผม แต่ดูเหมือนการกระทำของผมเมื่อครู่จะทำให้นะเข้าใจผิดไป ผมเลยยิ่งกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น จนเมื่อรู้สึกว่าไหล่ของคนในอ้อมแขนสั่นน้อยลงแล้วผมจึงค่อยดันตัวร่างเล็กออกเบาๆ และคราวนี้นะก็ยอมถอยออกแต่โดยดี แต่ว่าก็ไม่ยอมสบตากับผมและก้มหน้างุด มีเพียงเสียงสูดน้ำมูกเป็นระยะที่ดังมาให้ได้ยิน ผมเลยยกมือขึ้นลูบผมให้ เพราะรู้ดีว่านี่เป็นวิธีที่จะช่วยทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายได้มากที่สุด

“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวห่างเหินหรืออะไรแบบนั้นเลยนะ แต่เมื่อกี้พี่เผลอทำแบบนั้นไป พี่ก็กลัวว่าเราคงตกใจเลยต้องอยู่ห่างออกมาก่อนน่ะสิ นะเข้าใจที่พี่พูดใช่มั้ย?”

ร่างเล็กนั่งนิ่ง แต่แล้วก็ค่อยๆพยักหน้าว่าเข้าใจ มือเล็กข้างหนึ่งยื่นมาจับมือผมไปกุมเอาไว้ ผมเลยหงายมือแล้วพลิกให้มือของนะอยู่ในอุ้งมือของผมแทน

“พี่อ๊อฟ”

“ครับ”

นะเรียกผมเสียงเบา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ได้ยินชื่อตัวเองอย่างชัดเจนจึงเอนตัวเข้าไปหาใกล้ๆ พ่อหนูน้อยบีบมือผมแน่นขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามช้าๆ

“พี่อ๊อฟ...รักนะมั้ย?”

พอถามจบ คนถามก็ยิ่งก้มหน้าลงมากกว่าเดิม แต่ใบหูที่แดงขึ้นก็ทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าแบบไหน ผมเลยก้มลงไปหาแล้วกระซิบด้วยเสียงหนักแน่น ต่อให้นะถามคำถามเดียวกับตอนนี้ในวันพรุ่งนี้ หรือว่าวันถัดไป ผมก็มั่นใจว่าคำตอบของผมจะเหมือนเดิมแน่นอน

“รักสิ รักที่สุดเลย”

ผมพูดจบก็หอมแก้มคนที่ยังไม่ยอมเงยหน้าเสียทีหนึ่ง นะเลยเหลือบตาขึ้นมองผมแล้วก็ก้มลงไปใหม่ แต่คราวนี้มือข้างที่ไม่ได้จับมือผมไว้กลับกำแน่นบนหัวเข่า

“ถ้างั้น...ต่อให้เรียนจบทำงานไปแล้ว พี่อ๊อฟก็ยังจะเป็นแฟนกับนะต่อ ไม่ย้ายออกจากหอไปไหนใช่มั้ย?”

ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำถาม แต่พอพยายามจะก้มลงไปสบตา นะก็เอาแต่เบนสายตาหนีไม่หยุด พอผมพยายามจะสบตาด้วยมากๆเข้า คนตัวเล็กก็หลับตาปี๋แล้วยื่นมือมาดันผมออกจนสุดแขน

“พี่อ๊อฟก็ตอบมาซักทีสิ! นี่นะไม่ได้ถามเล่นๆนะ!”

หน้าของคนถามแดงก่ำทั้งที่ยังปิดตาแน่น และนั่นก็ทำให้ผมรู้ว่านะกำลังรอคำตอบอย่างคาดหวังแค่ไหน ผมจึงจับมือทั้งสองข้างของนะเอาไว้และดึงลงจากอกผม ผมไม่รู้ว่าทำไมนะถึงได้ถามแบบนี้ขึ้นมา แต่ผมก็ไม่อยากตอบรับส่งๆจึงพยายามเรียบเรียงคำตอบให้ดี

“ถ้าถามพี่ คำตอบคือใช่สำหรับทุกคำถาม อยู่ที่นะเองต่างหาก ว่าจะยอมให้พี่เป็นแฟนไปตลอดหรือเปล่า”

คราวนี้คนที่ได้คำตอบไปแล้วเงยหน้าขึ้นขมวดคิ้ว ผมจึงสบตากลมโตนิ่งแต่ไม่พูดอะไรต่อ และผมก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นน้อยๆจากมือเล็กที่อยู่ในอุ้งมือของผม

“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ นี่พี่อ๊อฟไม่เชื่อใจนะเลยเหรอ?”

นัยน์ตาที่เมื่อครู่ดูจะแห้งเหือดไปแล้วกลับฉ่ำน้ำขึ้นมาอีกครั้ง ผมเลยดึงร่างเล็กเข้ามากอดและลูบหลังไปมา ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าผมเชื่อใจนะหรือไม่ แต่ผมอยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าต่อให้เจ้าตัวเปลี่ยนใจในอนาคต แต่ความรู้สึกของผมก็จะไม่มีวันเปลี่ยนไปต่างหาก

“ไม่ใช่แบบนั้น ที่พี่พูดน่ะ พี่หมายถึงว่าถึงยังไงพี่ก็จะรักเราต่อให้เราไม่รักพี่แล้วต่างหาก เพราะงั้นไม่ต้องกลัวว่าพี่จะหายไปไหนหรอกครับ”

นะสะอึกเบาๆ มือสองข้างเอื้อมขึ้นมาทาบบนแผ่นหลังของผมและจิกปลายนิ้วลงราวกับจะข่มความรู้สึก และนั่นก็ทำให้ผมยิ่งกอดร่างเล็กแน่นขึ้นไปอีก แต่แล้วเสียงเคาะประตูห้องก็ทำเอาพวกเราสองคนสะดุ้ง

“อ๊อฟ น้องนะ อยู่ในห้องกันหรือเปล่าจ๊ะ พี่ให้เค้ากันกับข้าวไว้ให้พวกเราสองคนแล้วนะ รีบไปกินกันก่อนเค้าจะเก็บเถอะ”

เสียงพี่อิมร้องบอกผ่านประตู แต่โชคดีว่าพี่สาวผมไม่ใช่พวกที่ชอบพรวดพราดเปิดประตูห้องคนอื่นแม้กับคนในครอบครัว ผมเลยค่อยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกแล้วตะโกนกลับไป “แป๊บนึงพี่อิม เดี๋ยวอ๊อฟพานะลงไป”

ผมได้ยินเสียงตอบรับและเสียงฝีเท้าที่ดังแผ่วลงและห่างออกไป จึงค่อยหันกลับมาหาคนที่ตอนนี้ขอบตาแดงช้ำไปหมดเพราะร้องไห้ไปเมื่อครู่

“นะไม่ต้องคิดมากนะ พี่พูดคำไหนคำนั้นแน่นอน แต่ตอนนี้เราล้างหน้าแล้วลงไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า”

พ่อหนูน้อยยกมือข้างหนึ่งขึ้นปาดน้ำตาแล้วพยักหน้า ผมเลยลุกไปหยิบผ้าขนหนูส่งให้ที่หน้าประตูห้องน้ำ ส่วนตัวเองก็หยิบเสื้อคอโปโลแขนสั้นตัวหนึ่งออกจากตู้มาใส่แทนเชิ้ตที่ถอดออกไป พอหันไปทางประตูห้องน้ำอีกครั้งก็เห็นนะเดินออกมาพอดี ผมเลยเดินนำออกจากห้องไปเพื่อไปชั้นล่างด้วยกัน

“...พี่อ๊อฟ”

ขณะที่ผมเดินลงไปถึงชานพักบันไดก่อนจะถึงชั้นหนึ่ง จู่ๆก็ได้ยินเสียงเรียกจากคนที่อยู่ข้างหลัง เมื่อหันกลับไปก็เห็นว่าคนตัวเล็กยังคงยืนอยู่บนบันไดขั้นบนสุด

“อื้อ?”

ผมส่งเสียงรับในคอเป็นเชิงถาม พ่อหนูน้อยเลยเดินลงบันไดมาช้าๆโดยที่มือข้างหนึ่งจับราวบันไดไว้ตลอด พอเจ้าตัวลงมาหยุดยืนอยู่บนบันไดขั้นที่ทำให้สายตาของเราอยู่ระดับเดียวกัน นะก็มองผมนิ่งอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมา

“นะรักพี่อ๊อฟนะ”

คำพูดของอีกฝ่ายพุ่งเข้ากระทบความรู้สึกอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกันก็ทำให้ความดีใจเอ่อท่วมไปทั้งอก ผมรู้ดีว่านะเป็นคนซื่อตรงกับหัวใจตัวเอง ดังนั้นถึงแม้สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมักจะมาจากความอยากอ้อนให้ผมดีใจ แต่ผมก็รู้ว่านะหมายความตามที่พูดทุกครั้ง

“ขอบคุณครับ”

“เพราะฉะนั้น...”

ผมเลิกคิ้ว เพราะจู่ๆนะก็หยุดพูดทั้งที่ยังไม่จบประโยค ริมฝีปากอิ่มเต็มเม้มแน่นขึ้น นะสบตากับผมเหมือนจะบอกว่าให้ตั้งใจฟังสิ่งที่จะพูดให้ดี และนั่นก็ทำให้ผมยืนนิ่งและแทบจะกลั้นหายใจไปโดยไม่รู้ตัว

“เพราะฉะนั้น...พี่อ๊อฟก็ไม่ต้องห่วงว่านะจะไปไหนเหมือนกัน แฟนคนแรกของนะคือพี่อ๊อฟ และพี่อ๊อฟก็จะเป็นแฟนคนเดียวที่นะมีตลอดไป เพราะงั้น...อย่าทำ...หรือพูดอะไรที่เหมือนพี่อ๊อฟพร้อมจะปล่อยมือจากนะไปอีก ไม่งั้นคราวนี้นะจะโกรธพี่อ๊อฟจริงๆ เข้าใจมั้ย?”

นะพูดไป น้ำเสียงก็สั่นไปด้วย แต่ว่านัยน์ตาที่มีหยาดน้ำคลออยู่ก็จ้องผมเขม็งเหมือนกำลังพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ และนั่นก็ทำให้ผมได้สำนึกว่าตัวเองเผลอทำร้ายอีกฝ่ายด้วยการดูถูกความรู้สึกที่นะมีให้ผมไปแล้ว

สีหน้าและน้ำเสียงของคนพูดทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งทำความผิดอันใหญ่หลวงลงไป แต่ว่าผมก็ไม่ได้เดินเข้าไปกอดหรือว่าพูดปลอบใจคนตัวเล็กตรงหน้า เพราะตอนนี้คงไม่มีคำพูดใดที่จะแทนคำขอโทษได้ดีไปกว่าการแสดงออกว่าผมรับรู้สิ่งที่อีกฝ่ายพูดและจะจดจำมันด้วยหัวใจอีกแล้ว และบางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกตั้งแต่เราคบกันมาที่ผมรู้สึกว่าไม่มีช่องว่างระหว่างอายุของพวกเรา และนะเองก็มีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่ไม่ต่างไปจากผม ซึ่งมันอาจจะเป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ผมเผลอลืมไปเพราะท่าทางการแสดงออกของอีกฝ่ายเวลาอยู่ด้วยกันนั่นเอง

“เข้าใจแล้วครับ”

ผมเอ่ยขึ้นในที่สุด หลังจากที่ได้ซึมซับแล้วว่าสิ่งที่นะเพิ่งพูดไปมีน้ำหนักเพียงไร ผมเลยยื่นมือข้างหนึ่งแบออกไปหงายรับมือของนะเอาไว้ จากนั้นก็บีบมือเล็กที่วางลงบนมือของผมเบาๆ และในชั่วพริบตานั้น ความกังวลใจที่พาดผ่านเข้ามาในความรู้สึกตอนอยู่ในห้องก็ดูจะถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น

พวกเราเดินออกไปที่หน้าบ้านด้วยกัน พอพี่อิมหันมาเห็นก็โบกมือให้เข้าไปนั่งที่ชุดโต๊ะม้าหินตรงข้างบ้านซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัว นะเลยขอแยกไปบอกพ่อกับแม่ที่กำลังนั่งคุยกับเพื่อนของลุงตั๋งก่อนว่าจะมานั่งกับผม จากนั้นพี่อิมก็ให้พนักงานของร้านเอาอาหารที่เตรียมแยกเอาไว้มาเสิร์ฟให้พวกเราสองคน พอนั่งกินกันได้สักพัก มุ้ยก็อุ้มน้องแตง หลานสาววัยขวบกว่ามานั่งตักและคุยกับพวกผมไปด้วย ดูเหมือนยายเพื่อนผมจะพอสังเกตออกอยู่บ้างถึงสีหน้าที่ผ่านการร้องไห้ของนะมาแม้เจ้าตัวจะยิ้มแย้มและคุยด้วยเหมือนปกติ จึงไม่ได้ถามซักไซ้และชวนนะให้เล่นกับหลานที่นั่งอยู่บนตักตัวเองแทน

เหล่าแขกเหรื่อเริ่มทยอยกันกลับเมื่องานกินเลี้ยงจบลง ส่วนเพื่อนสนิทและญาติๆที่นานครั้งจะได้มาเจอกันยังคงอยู่คุยกับคู่เจ้าบ่าวเจ้าสาวต่อ แต่ทางบ้านของมุ้ยมีธุระต้องไปที่อื่นต่อจึงกลับกันไปก่อน ผมเลยถือโอกาสระหว่างที่ลุงพงษ์กับอาจารย์วรรณียังนั่งคุยกับแม่พานะไปเดินสำรวจหลังบ้านซึ่งติดริมคลองและมีศาลาให้นั่งเล่นได้ด้วยเสียเลย

ผมพานะไปที่ศาลาไม้ทรงไทยริมคลองด้วยกัน ความที่บ้านนี้มีต้นไม้เยอะ บริเวณศาลาจึงมีต้นมะม่วง ต้นมะละกอ แล้วก็เพิงไม้ระแนงที่มีดอกบานบุรีสีเหลืองเลื้อยเกาะสลับกับเถาตำลึงเต็มไปหมด พอนะเห็นว่าจากตรงศาลาลงไปมีขั้นบันไดซึ่งนั่งเอาขาแช่น้ำได้ พ่อหนูน้อยก็ถอดรองเท้าแล้วม้วนขากางเกงตัวเองขึ้นถึงเข่าทันที พอเห็นท่าทางอีกฝ่ายนั่งเอาขาแกว่งตีน้ำอย่างสนุก ผมเลยม้วนขากางเกงแล้วลงไปนั่งข้างๆด้วย

สายลมที่โชยระผิวน้ำเอื่อยๆทำให้ได้ยินเสียงน้ำที่ไหลกระทบชายตลิ่งได้ชัด และความที่คลองนี้ไม่ใช่เส้นสัญจรหลักจึงไม่ค่อยมีคนพายเรือผ่าน ทั่วทั้งบริเวณลำคลองหลังบ้านจึงเหมือนเป็นของเราแค่สองคนเพราะฝั่งตรงข้ามเป็นสวนผลไม้ยาวตลอดทั้งแนวและไม่มีคนอยู่เลย หลังจากนั่งแกว่งขาตีน้ำเล่นกันได้สักพัก นะก็ขยับตัวมาใกล้แล้วเอนหัวลงพิงไหล่ผมเบาๆ

พวกเรานั่งเงียบฟังเสียงลมพัดยอดไม้กับดูฟองน้ำที่ผุดขึ้นจากฝูงปลาในลำคลองไปด้วยกัน ความสงบเงียบของการได้ใช้เวลาด้วยกันทำให้ผมมีความสุขโดยไม่จำเป็นต้องหาอะไรทำให้ยุ่งยาก และผมก็รู้ว่าต่อจากนี้ไป ขอเพียงให้ที่ข้างตัวของผมมีนะอยู่ด้วย ไม่ว่าจะให้ไปอยู่ที่ไหนผมก็มีความสุขได้ทั้งนั้น

“นะครับ”

“หือ?”

นะเงยหน้าขึ้นมามองทั้งที่ยังเอนหัวพิงไหล่ผมอยู่ ผมเลยมองกลับไปข้างหน้าอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจว่าคงไม่เร็วเกินไปหากจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาในตอนนี้

“เอาไว้พี่เรียนจบแล้ว เราแต่งงานกันดีมั้ย?”

“เอ๋?”

คราวนี้นะถอยตัวออกจ้องผมแล้วทำตาโต ผมเลยยิ้มก่อนจะจับมือเล็กข้างหนึ่งมากุมไว้

“ก็แต่งงานไง แบบที่แม่พี่แต่งกับลุงตั๋ง แล้วก็แบบที่พี่อิมจะแต่งกับพี่ธัญญ์ปีหน้าน่ะ หรือว่านะไม่อยากแต่งกับพี่?”

คนถูกถามทำหน้าเหมือนจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่ใช่แบบนั้น คือ...พี่อ๊อฟหมายความว่าไง จะให้นะใส่ชุดเจ้าสาวแล้วจัดงานเลี้ยงกันแบบวันนี้น่ะเหรอ?”

คำถามของนะทำเอาผมเผลอหัวเราะพรืด เลยโดนมือเล็กทุบลงมาบนไหล่แบบไม่ออมแรง พอหันไปหาก็เห็นว่าอีกฝ่ายหน้าแดงไปหมดด้วยความอาย

“พี่อ๊อฟอย่าหัวเราะสิ! นะแค่ถามว่าจะทำแบบไหน ไม่บอกแล้วจะให้ตอบได้ไงเล่า!”

ผมพยายามกลั้นหัวเราะจนไหล่กระเพื่อมขณะที่ปัดป้องกำปั้นที่รัวลงมาไปด้วย จนเห็นว่าคนตัวเล็กเริ่มเหนื่อยและหันหนีผมเพราะงอนแล้วนั่นแหละ ผมถึงได้เขยิบไปนั่งกอดเอวจากด้านหลังแล้วเกยคางลงบนไหล่ของคนที่กำลังงอนเอาไว้ เพราะว่าคนขี้งอนเนี่ย ต่อให้ความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ก็ยังติดนิสัยขี้งอนอยู่ดีแหละน่า

“ก็คล้ายๆแบบนั้นแหละ แต่เราไม่ต้องทำเป็นพิธีรีตองขนาดนั้นก็ได้ อย่างน้อยถ้าได้แต่งงานกันมันก็เหมือนพี่กับนะเป็นคู่กันจริงๆแล้วไง นะก็รักพี่เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ หรือเมื่อตอนอยู่ในบ้านนั่นพี่หูเฝื่อน?”

ศอกผอมบางข้างหนึ่งทำท่าจะกระทุ้งเข้ามาที่ท้องผม แต่ผมรู้ทันเลยกอดนะแน่นขึ้นจะได้ขยับตัวไม่ถนัดเสียก่อน แก้มที่แดงจัดของคนที่ไม่ยอมหันกลับมาหาทำให้ผมต้องก้มลงไปกดจมูกแรงๆทีหนึ่ง จากนั้นก็โยกตัวคนในอ้อมแขนไปมา

ความจริงแล้ว การจะแต่งงานหรือไม่แต่ง สำหรับผมมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ในเมื่อผมเองก็ได้ประจักษ์มาด้วยตัวเองแล้วว่าคนที่แต่งได้ก็หย่าได้ และการแต่งงานก็เป็นแค่พิธีการที่ประกาศให้คนทั่วไปได้รู้ว่าคนสองคนตกลงใช้ชีวิตร่วมกันแล้วเท่านั้น แต่ผมอยากมอบความมั่นใจให้กับนะว่าผมรักและจะไม่ยอมปล่อยมือจากอีกฝ่ายไปตลอดชีวิตจริงๆ ดังนั้นหากการขอนะแต่งงานจะเป็นการตอกย้ำถึงความรู้สึกของผมได้ จะให้ทำมากกว่าแต่งงานผมก็ยินดี

“จะเอาไง? ถ้าไม่ตอบพี่ไม่ยอมให้กลับบ้านนะ เอาให้ลุงพงษ์กับอาจารย์วรรณีมาเห็นทั้งที่พี่กอดนะอยู่แบบนี้ก็ดี จะได้ขอแต่งงานไปเลย ไหนๆเค้าก็รู้ว่าเราเป็นแฟนกันอยู่แล้วนี่นา”

“พี่อ๊อฟ ไอ้บ้า! แล้วอยู่ดีๆมาขอแบบนี้ คิดว่าจะให้ตอบกันยังไงล่ะ!?”

คราวนี้นะหันกลับมาหาผมทั้งตัวแล้วก็รัวกำปั้นลงมาอีกรอบ แต่พอได้เห็นชัดๆว่าคนทุบทำหน้าเหมือนพยายามจะเก๊กดุทั้งที่หุบยิ้มไม่ได้ ผมเลยจับข้อมือเรียวทั้งสองข้างยึดเอาไว้ จากนั้นก็ก้มลงไปจูบปิดปากเสียเลย

นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจในวูบแรก แต่แล้วนะก็ค่อยหลับตาลงเมื่อผมใช้ปลายลิ้นดุนริมฝีปากนิ่มให้เผยอออกจากกันเบาๆ แต่ผมยังไม่ทันจะได้จูบมากกว่านั้นก็โดนมือเล็กยื่นมาดันอกผมออกเสียก่อน

“ตรงนี้ไม่เอานะพี่อ๊อฟ เดี๋ยวแม่มาเห็น”

นะพูดไปก็หลบตาผมไปด้วย แต่สายตาที่ทอดลงบวกกับแก้มที่แดงก่ำทำให้ผมรู้ว่าเพราะอีกฝ่ายกลัวคนอื่นมาเห็นเข้าจริงๆ ไม่ใช่เพราะว่าเล่นแง่หรือว่ารังเกียจ ผมจึงถอยตัวออกแต่ว่ายังคงใช้มือทั้งสองจับไหล่บางเอาไว้กับที่ นะเลยช้อนสายตาขึ้นมองผมช้าๆ แต่พอสบตากันปุ๊บก็ก้มหนีอีก

“งั้นตกลงว่าไงล่ะครับ นะจะยอมแต่งกับพี่หรือเปล่า?”

ตัวเองพูดเองก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันไม่ค่อยโรแมนติคเหมือนกัน ก็ผมไม่ได้วางแผนมาก่อนว่าจะขอนะแต่งงานในบรรยากาศแบบนี้นี่นา หากจะถามว่าตั้งใจไว้หรือเปล่าก็ไม่ใช่ด้วยซ้ำ แต่ความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้นในใจทำให้ผมรู้สึกว่าผมอยากได้คำตอบจากคนตัวเล็กตอนนี้ คนที่โดนจับตัวยึดไว้กับที่เลยค้อนผมจนตาแทบคว่ำ พอผมยังทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจนะก็ทำท่าฮึดฮัด แต่แล้วสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาก็ทำเอาผมหุบยิ้มไม่อยู่

“ก็รู้คำตอบอยู่แล้วจะถามซ้ำอีกทำไมเล่า ถ้าพี่อ๊อฟยังถามอีก คราวนี้นะจะไม่ยอมพูดเรื่องนี้ด้วยอีกเลยคอยดูสิ”

นะพูดจบก็หันหนีอีก และถึงแม้จะไม่ได้ตอบออกมาตรงๆ แต่ผมก็รู้ว่าตัวเองได้คำตอบที่ต้องการแล้ว ผมจึงขยับเข้าไปใกล้และโอบตัวนะเข้ามากอด และคราวนี้พ่อหนูน้อยก็ยอมเอนตัวเข้ามาหาโดยไม่ดื้อรั้นอีก ผมเลยก้มลงจูบผมของนะแล้วก็ขยับให้อีกฝ่ายพิงอกผมถนัดขึ้น แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยร่างเล็กให้ออกห่างจากอ้อมแขนเลยสักครั้งเดียว

ใบไม้แห้งใบหนึ่งปลิวหล่นลงบนผิวน้ำก่อนจะลอยออกไป ในขณะที่สายลมก็ยังคงพัดยอดไม้จนไหวเอน และสายน้ำยังคงไหลเรื่อยผ่านขาของเราที่นั่งบนบันไดศาลาด้วยกัน แต่ตอนนี้ผมก็ไม่หวั่นอีกแล้วว่าอนาคตจะมีบททดสอบอะไรรอเราอยู่ เพราะผมเชื่อว่าตราบใดที่หัวใจของนะยังเต้นอยู่ข้างๆหัวใจของผมเหมือนในเวลานี้ อ้อมแขนของผมก็ใหญ่พอที่จะคุ้มครองนะและความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ไปได้ทั้งชีวิตอย่างแน่นอน

เพราะว่าเราเชื่อมั่นในกันและกัน...


Fin.



Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 23:40:49 น. 4 comments
Counter : 5402 Pageviews.

 
ไม่อยากเชื่อเหรอครับ เชื่อเถอะ เชื่อนะ นะ นะ น้า...

ยินดีด้วยครับ เขียนจบอีกเรื่องนี่มันชื่นใจจริงน้อ คราวนี้ผมจะได้เริ่มต้นอ่าน กร๊าก รับรองไม่มีค้างแน่ โฮะๆๆ


โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:12:45:57 น.  

 
พี่พีท ตอนนี้ก็เริ่มจะเชื่อแล้วล่ะค่ะว่าจบแล้ว ที่จริงตอนเริ่มเขียนเรื่องนี้กะว่าห้าหกตอนก็คงจบ แต่ไปๆมาๆตอนใหม่ก็ดั๊นงอกออกมาเรื่อยๆ พอตอนสุดท้ายมาถึงเลยใจหายเหมือนกัน ชื่นใจก็ชื่นใจอยู่แหละ แต่ว่า...นี่เราเขียนตอนจบลงไปแล้วจริงๆเหรอเนี่ย ต่อไปนี้คงคิดถึงน้องนะแย่เลยง่ะ T^T

ว่าแต่ว่า....เรื่องไหนเหรอคะที่ค้าง เรื่องไหนน้า...ป๊องๆๆๆ คิดไม่ออกจริงๆนะเนี่ย คริคริ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:18:19:40 น.  

 
ดีพอสมควรแต่ดีได้ไม่เท่า ลำนำรักสีรุ้งจ้ะ


โดย: ปู IP: 49.230.89.27 วันที่: 13 ตุลาคม 2556 เวลา:20:24:46 น.  

 
คุณปู ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และขอบคุณที่ชอบลำนำรักสีรุ้งด้วยค่ะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 14 ตุลาคม 2556 เวลา:19:41:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.