|
เมื่อหัวใจเราใกล้กัน 1
แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ
ปล. เราเขียนเรื่องนี้หลังจากเขียนตอนปฐมบทของเรื่อง ลำนำรักสีรุ้ง และตัวละครจากเรื่องนั้นก็จะมีบทบาทในเรื่องนี้ด้วย แต่เนื้อหาสามารถแยกอ่านจากกันได้ ไม่จำเป็นว่าต้องอ่านเรื่องนั้นก่อนก็สามารถอ่านเรื่องนี้เข้าใจได้ค่ะ
++------++
ตอนที่ 1: คนข้างห้อง
ก๊อกๆๆๆๆ
เสียงเคาะประตูรัวไม่หยุดปลุกผมจากห้วงนิทราอันแสนสุข อีกแล้วเหรอ...ผมถอนหายใจแล้วหรี่ตาขึ้นมองนาฬิกาดิจิตอลบนหัวเตียง เกือบจะตีสามอยู่แล้ว ผมเลิกผ้าห่มนวมผืนหนาออกแล้วเกาหัวก่อนจะลุกไปเปิดไฟแล้วเปิดประตูให้ผู้มาเยือนที่รู้ดีว่าเป็นใคร
หวาดดี...อ๊อฟ...แหะๆ โทษที เรา...อึ๊ก...ลืมกุญแจอีกแล้วว่ะ ฮ่าๆๆ
ผมส่ายหน้ากับเสียงที่แสดงความเมามาย แล้วก็ต้องเบ้หน้ากับกลิ่นเหล้าปนบุหรี่ที่โชยฟุ้งจากคนตัวผอมบางหน้าห้องก่อนจะถอยหลังให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาแล้วปิดประตูตามหลัง ผิวของนะที่ปกติขาวใสเป็นสีแดงเรื่อไปทั้งตัวเพราะแอลกอฮอลล์
คนตัวเล็กกว่าเดินตัวเซๆผ่านผมไปเลื่อนบานหน้าต่างในห้องก่อนจะปีนออกไปเหมือนทุกครั้ง ผมยกขวดน้ำใกล้หัวเตียงขึ้นดื่มแล้วก็นั่งรอจนได้ยินเสียงเลื่อนปิดหน้าต่างจากห้องข้างๆแล้วจึงปิดไฟก่อนล้มตัวลงนอน
ทว่าการจะพยายามข่มตาให้หลับหลังจากถูกปลุกขึ้นมากลางดึกไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ผมนอนพลิกไปพลิกมา หูก็คอยแต่จะฟังทุกเสียงที่ดังมาจากห้องข้างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงฝีเท้า เสียงเปิดตู้เย็นบานเล็ก หรือเสียงเปิดวิทยุ แต่พอเสียงน้ำฝักบัวกระทบพื้นเริ่มลอยมา อยู่ๆผมก็เกิดจินตนาการภาพเรือนร่างของนะกำลังที่เปียกปอนอยู่ใต้สายน้ำจนต้องรีบยกผ้านวมขึ้นคลุมหัวแล้วหลับตาปี๋เพื่อไล่ภาพนั้นกับความรู้สึกอึดอัดที่ร่างกายท่อนล่างออกไป
ผู้ชาย! ผู้ชายโว้ย! น่ารักแค่ไหนก็เป็นผู้ชาย! ท่องไว้ไอ้อ๊อฟ!!
++------++
ครั้งแรกที่นะมาเคาะประตูห้องผมคือราวสามเดือนที่แล้ว คืนนั้นผมนั่งแกะโน้ตดนตรีแล้วก็ซ้อมกีตาร์โปร่งอยู่จนดึกดื่นเพราะต้องเตรียมตัวสำหรับขึ้นแสดงของชุมนุมโฟล์คซองในวันถัดไป จู่ๆก็มีเสียงคนเคาะประตูดังขึ้น ตอนแรกผมคิดว่าคงมีใครเพิ่งกลับจากไปเที่ยวกลางคืนแล้วนึกคะนองอยากแกล้งปลุกคนอื่นเลยไม่ได้สนใจ แต่ไม่นานเสียงเคาะก็ดังรัวขึ้นอีกผมจึงต้องลุกไปเปิดประตูให้อย่างเสียไม่ได้
แว่บแรกที่เห็นนะผมชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคนหน้าแดงตัวเล็กคนนี้คือคนที่เพิ่งย้ายมาอยู่ห้องข้างๆ ผมจำได้ลางๆว่าเคยเห็นนะที่มหาวิทยาลัย แต่เนื่องจากเราไม่เคยคุยกันผมจึงไม่รู้ว่านะเรียนอยู่คณะไหน
ขอโทษที คือว่า...เราลืมกุญแจไว้เลยเข้าห้องไม่ได้ ขอปีนหน้าต่างเข้าไปจากห้องนายได้เปล่า
น้ำเสียงอ้อแอ้สะกดผมให้ยืนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอยให้อีกฝ่ายเข้ามา อ๋อ ก็ได้ เข้ามาสิ
โทษที เราไม่ได้ปลุกนายใช่มะ
นัยน์ตาเชื่อมเพราะฤทธิ์น้ำเมาที่หันมามองผมอย่างขอโทษทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้
ไม่เป็นไร เราก็ยังไม่นอน พอดีซ้อมกีตาร์อยู่
นะหันไปมองกีตาร์ของผมที่วางอยู่บนเตียงแล้วก็พยักหน้าหงึกๆก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง ทว่าก่อนร่างบางนั้นจะยกตัวข้ามออกไปที่กันสาดผมก็รั้งต้นแขนไว้เสียก่อน แขนนั้นผอมเรียวจนมือผมแทบจะกำได้รอบ นัยน์ตากลมโตหันมามองผมงงๆ
เดี๋ยวสิ แล้วเมาอยู่อย่างนี้มาปีนหน้าต่างเกิดตกลงไปจะทำยังไง
อ๋อ ไม่ต้องห่วง เราเคยขอปีนจากห้องอีกฝั่งเหมือนกัน แต่ตอนนี้คนเช่าเปลี่ยนแล้วเราเลยไม่กล้าไปขอ ยังไงขอบใจมากนะที่ช่วยเปิดประตูให้ นายชื่ออะไรอะ
อ๊อฟ
อ๊อฟ เราชื่อนะ ยังไงยินดีที่ได้รู้จัก แล้วก็ราตรีสวัสดิ์นะ ไปก่อนล่ะ
นะยิ้มอวดเขี้ยวเล็กๆให้ผมก่อนจะยกตัวโหนขอบหน้าต่างออกไป ผมชะโงกหน้าตามไปดูด้วยความเป็นห่วง แล้วก็รอจนร่างเล็กนั่นผลุบหายเข้าไปในห้องตัวเองแล้วจึงค่อยเลื่อนหน้าต่างปิดเหมือนเดิม ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่านั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์เดิมที่จะเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกหลายครั้งในเวลาต่อมา
++------++
เค้าคิดอะไรกับแกเปล่าวะ ถึงได้มาขอเข้าห้องแกบ่อยๆ
ผมกลั้นปากหาวแล้วก็เหล่มองมุ้ยซึ่งเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กและเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯเหมือนกัน เนื่องจากสถาบันของมุ้ยอยู่ใกล้จนเดินไปมาหาสู่กันได้สบาย บางครั้งเจ้าหล่อนเลยชอบนัดมากินข้าวกับผมบ่อยๆ โดยให้เหตุผลว่า ก็ผู้ชายที่นี่หน้าตาดีกว่า
เราว่าแกดูละครมากไปแล้วล่ะมุ้ย นะเค้าคงเห็นว่าเราสะดวกดีเพราะไม่เคยบ่นเวลาโดนกวนตอนดึกๆเท่านั้นแหละ แต่เราก็ห่วงว่าสักวันเค้าจะเมาหล่นจากกันสาดตอนปีนหน้าต่างอยู่เหมือนกัน
แน่ะๆ ฮั่นแน่ เป็นห่วงด้วยเหรอจ๊ะ
ก็คนอยู่ห้องติดกันนี่ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาก็ต้องช่วยดูแลใช่มั้ยล่ะ
มุ้ยยิ้มให้ผมอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะแขวะผมเสียงแหลม
เอ๊อ ให้มันจริง ชั้นละกลัวแกจะเพิ่งค้นพบตัวเองจริงจริ๊ง ไม่แน่นะเว่ยพฤติกรรมที่มันเกิดซ้ำๆของคนข้างห้องแกเนี่ยมันอาจมีความหมายแฝงก็ได้นะ ตอนปี 1 แกไม่ได้เรียนจิตวิทยารึไงฮะ
แกคิดมากไปต่างหาก เวลาอยู่ที่ม.นะไม่เคยทักเราเลย
ผมพูดความจริง ถึงแม้นะจะชอบลืมกุญแจจนต้องมาเคาะห้องผมบ่อยๆเวลาเมาเหมือนไม่เกรงใจก็ตาม แต่เวลาเราเดินสวนกันในมหาวิทยาลัยนะจะไม่เข้ามาคุยทักทายผมเลยแถมยังดูจะรีบเดินหลบเสียด้วยซ้ำ
ยังไงแกหาโอกาสแนะนำชั้นให้รู้จักบ้างสิ อยากเห็นหน้าว่ะ จะดูว่าเหมาะกับแกรึเปล่า
เออดี ไม่ยักรู้ว่าแกดูโหงวเฮ้งเป็นด้วย แล้วตกลงแกจะกลับไปเรียนยังเนี่ย
มุ้ยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นกดดูเวลาแล้วก็โวยวายใหญ่
ตายแล้ว! อ.บอกไว้ว่าวันนี้จะมีควิซด้วย งั้นเดี๋ยวชั้นไปก่อนแล้วกันว่ะ วันหลังจะมานั่งเหล่ผู้ชายแถวนี้ใหม่น้า
เพื่อนตัวดียิ้มทะเล้นแล้วตบแก้มผมเบาๆก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินออกไป ผมมองตามเพื่อนสนิทที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กแล้วก็ส่ายหน้าก่อนจะเอาจานและแก้วของตัวเองไปวางที่ชั้นสำหรับรอล้าง พอหันกลับมาก็ชนกับคนข้างหลังเข้าอย่างจัง
ขอโทษครับ! อ้าวนะ
หน้าหวานที่ตอนแรกดูสีหน้าเหมือนไม่พอใจอะไรอยู่เงยขึ้นมองผมแล้วก็ผงะ มือที่ถือจานอยู่เผลอดันเข้าหาตัวเองจนน้ำแกงที่เหลือหกเลอะเสื้อเชิ้ตสีขาว ผมรีบดึงจานจากมือนะไปวางบนชั้นแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าตัวเองออกมาช่วยเช็ดรอยเปื้อนออกให้
เอ้า ไม่ระวังเลยนะเรา เสื้อเลอะหมดแล้ว
ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปล้างๆเอาแล้วถือหนังสือปิดก็คงได้
นะก้มหน้าเหมือนหลบตาผมแล้วก็ทำท่าจะเดินหนี มือไวเท่าความคิด ผมรีบคว้าข้อมือผอมบางนั้นแล้วจูงให้เดินตามไปขึ้นลิฟต์เก่าๆของตึกกิจกรรมที่อยู่ติดลานขายอาหาร
เรามีเสื้อยืดอยู่ในชุมนุม ยังไงเดี๋ยวเอาไปใส่ก่อนแล้วกันจะได้ไม่ต้องใส่เสื้อเลอะๆเข้าเรียนช่วงบ่าย มันส่งกลิ่นรู้หรือเปล่า
นะกัดริมฝีปากแต่ยังก้มหน้าไม่ยอมสบตาผมอยู่ เออแฮะ ไม่น่าเชื่อว่าคนเราเวลาเมากับเวลาปกติจะบุคลิกต่างกันได้ขนาดนี้ นะที่ผมรู้จักไม่เห็นเคยทำท่าเขินอายเวลามาเคาะประตูห้องผมเลย ผมอดแซวระหว่างอยู่ในลิฟต์ไม่ได้
เป็นอะไร ใครขโมยปากไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย ทำไมไม่พูดไม่จาเลย
ไม่ใช่ซักหน่อย ก็แค่...
นะค้างคำพูดไว้พร้อมๆกับที่ลิฟต์หยุดที่ชั้นสี่ คนตัวเล็กเดินฉับๆนำผมออกไปก่อนแล้วก็ยืนเคว้งอยู่ตรงลานหน้าบันได
เอ้า เห็นเดินออกมาก่อนก็นึกว่ารู้ซะอีกว่าห้องชุมนุมเราอยู่ไหน กำลังรอให้เดินนำไปอยู่เลยเนี่ย
ผมพูดกลั้วหัวเราะ นะหันมาทำตาดุใส่ก่อนจะสะบัดหน้าพรืด
รู้หรอกน่ะว่าอยู่ชุมนุมไหน แต่ไม่รู้ว่าห้องมันอยู่ตรงไหนนี่
ผมเลิกคิ้ว แต่แล้วก็คิดเอาเองว่าเพราะนะเห็นผมซ้อมกีตาร์บ่อยๆเลยรู้กระมัง ผมเดินนำนะไปที่ห้องชุมนุมแล้วก็เดินเตะข้าวของที่กองรกอยู่บนพื้นเข้าไปในห้องก่อนจะชำเลืองมองคนที่หยุดยืนอยู่หน้าประตู ขนาดตัวเราสองคนต่างกันมากผมเลยต้องพยายามคุ้ยล็อคเกอร์ตัวเองหาเสื้อที่ตัวเล็กที่สุดเท่าที่มี ส่วนใหญ่เสื้อที่ผมเก็บไว้ที่นี่มีเตรียมไว้เผื่อมาค้างดังนั้นเลยมีแต่เสื้อตัวใหญ่ๆหลวมๆที่คงไม่เหมาะกับนะสักเท่าไหร่
ผมหยิบเสื้องานฟุตบอลประเพณีของปีที่แล้วซึ่งเป็นเสื้อที่ตัวเล็กที่สุดในล็อคเกอร์ออกมายื่นให้คนที่ยืนรออยู่ เจ้าตัวกางเสื้อแล้วก็พลิกดูไปมาก่อนจะเงยหน้ามองผม นัยน์ตากลมโตคู่นั้นเวลาไม่ได้ฉ่ำเยิ้มเพราะเมาก็ดูเป็นประกายน่ามองไม่หยอก
แล้วห้องน้ำอยู่ตรงไหน
ผมกระพริบตาก่อนจะนั่งลงที่โซฟาตัวเก่าในห้องแล้วกอดอก
ก็เปลี่ยนในห้องนี้ไปเลยซิ ผู้ชายเหมือนกันจะอายอะไร
จะเปลี่ยนในห้องน้ำ
นะยืนยันเสียงแข็ง ผมเลิกคิ้วแต่แล้วก็ชี้ทางไปห้องน้ำให้แต่โดยดี ใจหนึ่งก็อดเสียดายไม่ได้ที่จะไม่ได้เห็นว่าผิวส่วนที่โดนเสื้อบดบังอยู่เสมอของคนตัวเล็กจะขาวนวลกว่าส่วนที่โผล่ออกมาให้ตาเห็นหรือเปล่า...
เฮ่ย! แล้วนี่ผมคิดอะไรอยู่เนี่ย?! ถึงจะหน้าตาน่ารักแต่ก็ผู้ชายเหมือนกันนะเว้ย!!
ก่อนจะยิ่งฟุ้งซ่านไปกว่านี้ผมหันไปหยิบกีตาร์คุณปู่ในห้องแล้วออกมานั่งดีดเล่นที่ระเบียงรอคนที่ยืมเสื้อผมไปเปลี่ยน (ความจริงไม่ใช่กีตาร์ของปู่ใคร แต่มันเก่าจนตามหาเจ้าของไม่ได้เลยตั้งชื่อให้ว่ากีตาร์คุณปู่) ผมดีดกีตาร์ไปร้องเพลงคลอเบาๆไปพลาง ไม่นานนะก็เดินกลับมาโดยมีเสื้อตัวที่ถอดออกอยู่ในมือ
ผมหันไปมองคนที่ใส่เสื้อผมอยู่แล้วก็อดยิ้มไม่ได้กับขนาดเสื้อที่พอดีตัวผมแต่กลับดูหลวมบนรูปร่างเล็กๆนั้น นะมองผมกลับตาขุ่นทั้งที่มีริ้วสีแดงพาดบนแก้ม ผมวางกีตาร์ลงแล้วลุกไปหยิบถุงกระดาษจากกล่องเก็บของข้างประตูยื่นให้สำหรับใส่เสื้อตัวที่เลอะ มือเรียวยื่นมารับถุงไปแล้วก็ยืนละล้าละลังมองผมที่นั่งแปะลงที่ระเบียงเหมือนเดิม
แล้วอ๊อฟ...ไม่ไปเรียนเหรอ?
ผมส่ายหน้าแล้วก็หยิบกีตาร์ขึ้นมาใหม่ ยังหรอก พอดีช่วงบ่ายเรามีเรียนอีกทีก็บ่ายสามโน่นเลยว่าจะนอนกลางวันซักงีบก่อน
นะพยักหน้าแล้วก็ทำท่าจะผละไปแต่ถูกผมเรียกไว้ก่อน
นะ ชื่อนะมาจากอะไรเหรอ?
ใบหน้าหวานที่มักทำให้ผมใจเต้นเวลาได้มองหันกลับมาแล้วก็ขมวดคิ้ว
จะรู้ไปทำไม?
ก็ถามดูเฉยๆ หรือแค่นี้บอกไม่ได้?
ผมไม่ได้ตั้งใจจะป่วนเลยนะ จริงจริ๊งสาบานได้ แค่อยากรู้จักคนตรงหน้าให้มากขึ้นก็เท่านั้นเอง
ชื่อเต็มเราชื่อมานะ นะเลยเป็นชื่อเล่น
นะตอบเสียงสะบัดๆ ผมทวนชื่อที่ได้ยินในใจ มานะ...มานะเหรอ ทั้งที่เป็นชื่อที่ฟังแล้วทำให้นึกถึงหนังสือเรียนภาษาไทยสมัยประถม พวกมานะ มานี ปิติ ชูใจ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันน่ารักเข้ากับคนตัวเล็กตรงหน้าผมอย่างบอกไม่ถูก
แล้วนะอยู่คณะอะไร ทำไมก่อนย้ายมาอยู่ห้องข้างๆเรารู้สึกเหมือนไม่เคยเห็นนะมาก่อนเลย?
คิ้วเรียวโก่งขมวดมุ่นก่อนเจ้าตัวจะหันหน้าไปอีกทาง เราอยู่ศิลปศาสตร์ ไม่มีอะไรจะถามแล้วใช่มั้ย จะไปเรียน
ร่างเล็กๆนั่นไม่รอฟังคำตอบผมแล้วก็เดินออกไปเลย ผมว่าผมก็ไม่ได้ถามอะไรละลาบละล้วงนี่นา? แล้วทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนโมโหใส่อยู่เลยแฮะ?
++---tbc---++
Create Date : 26 กรกฎาคม 2552 |
Last Update : 28 มกราคม 2553 19:33:09 น. |
|
4 comments
|
Counter : 5136 Pageviews. |
|
|
|
โดย: สวย IP: 206.53.152.3 วันที่: 20 มิถุนายน 2554 เวลา:19:10:12 น. |
|
|
|
โดย: ฟ้าสาง IP: 88.203.72.25 วันที่: 20 กรกฎาคม 2554 เวลา:16:11:36 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 20 กรกฎาคม 2554 เวลา:17:47:59 น. |
|
|
|
โดย: Noon IP: 180.183.99.33 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา:20:54:49 น. |
|
|
|
| |
|
|