Group Blog
 
All blogs
 
เมื่อหัวใจเราใกล้กัน ตอนพิเศษ 3


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. เราเขียนเรื่องนี้หลังจากเขียนตอนปฐมบทของเรื่อง ลำนำรักสีรุ้ง และตัวละครจากเรื่องนั้นก็จะมีบทบาทในเรื่องนี้ด้วย แต่เนื้อหาสามารถแยกอ่านจากกันได้ ไม่จำเป็นว่าต้องอ่านเรื่องนั้นก่อนก็สามารถอ่านเรื่องนี้เข้าใจได้ค่ะ


++------++


ตอนพิเศษ 3: การเริ่มต้นกับคนสุดท้าย


“พี่อ๊อฟ พี่อ๊อฟไปสนิทกับพี่เป้ได้ยังไงเหรอ?”

อยู่ๆนะก็ยิงคำถามขึ้นในบ่ายของวันอาทิตย์หนึ่ง ผมจึงละสายตาจากเสื้อเชิ้ตสีขาวบนที่รองรีดขึ้นสบตากับคนที่นอนคว่ำเอาคางเกยหลังมืออยู่บนเตียง รอบร่างเล็กมีหนังสือการ์ตูนจากร้านเช่าที่เพิ่งอ่านจบไปวางกองระเกะระกะเต็มไปหมด

“ทำไมอยู่ๆก็อยากรู้ขึ้นมาล่ะ?”

ผมนาบเตารีดลงบนเสื้อต่อ ความจริงนะชอบส่งเสื้อผ้าของตัวเองให้ร้านซักรีดจัดการ แต่เพราะผมโดนที่บ้านหัดให้ซักรีดผ้ามาตั้งแต่เด็กเลยติดนิสัยทำทุกอย่างเอง หลังจากที่คนตัวเล็กย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันแล้วผมก็เลยเหมาจัดการเรื่องนี้ให้ด้วยซะเลย

“แค่คิดว่าโลกมันกลมจัง นะเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับพี่อ๊อฟตอนม.ปลาย พอไปเป็นเด็กแลกเปลี่ยนก็เป็นรุ่นน้องพี่เป้ แล้วพอมาเข้ามหา’ลัยก็ดันเจอว่าพี่อ๊อฟสนิทกับพี่เป้อีก”

“จะว่าไปก็จริงแฮะ”

ผมดึงปลั๊กเตารีดออกแล้วแขวนเสื้อเชิ้ตขาวของเราสองคนตามฝั่งที่แบ่งไว้ ฝั่งซ้ายเป็นของผมที่มีแต่เสื้อตัวใหญ่ๆขณะที่ฝั่งขวาเป็นของนะที่เสื้อเล็กกว่าผมหลายไซส์ แต่ตรงกลางเป็นพื้นที่สำหรับแขวนเสื้อยืดลำลองรวมกันเพราะบางทีคนตัวเล็กก็ชอบเอาเสื้อผมไปใส่เล่นเวลาไม่ต้องออกไปข้างนอก

ผมหยิบหนังสือการ์ตูนบนเตียงลงวางบนพื้นแล้วขึ้นไปนอนบ้าง วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่พวกเราไม่ได้ออกไปไหนกัน ดังนั้นก็เลยขลุกอยู่ที่ห้องแล้วต่างคนก็ทำนู่นทำนี่ไปเรื่อยๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าวันธรรมดาแบบนี้ แค่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษก็พอแล้ว

นะหยิบหมอนอีกอันมานั่งกอดอยู่ข้างๆแล้วมองผมตาแป๋ว ท่าทางที่กำลังรอให้ผมเล่าเรื่องให้ฟังดูแล้วน่ามันเขี้ยวจนต้องดึงแขนลงมาหอมแก้มแรงๆทีนึง

“อื้อ...อย่าเพิ่งสิพี่อ๊อฟ เล่าให้นะฟังก่อน”

มือเล็กตะปบมือผมที่เริ่มเลื้อยเข้าไปใต้เสื้อยืดแล้วก็ถอยออกทำหน้ามุ่ยใส่ ผมเลยต้องเลิกฟัดไหล่ขาวๆที่โผล่พ้นคอเสื้อยืดตัวโคร่งที่เจ้าตัวยืมไปใส่แต่โดยดี

“เล่าก็ได้ แต่หลังจบแล้วพี่ขอค่าเล่าด้วยนะ”

ผมดึงมือเล็กข้างหนึ่งขึ้นมาหอมก่อนจะยอมถอยมานอนหนุนแขนตัวเอง พ่อหนูน้อยหน้าแดงขึ้นนิดหน่อยก่อนจะดึงไหล่เสื้อขึ้นแล้วเขยิบมานอนเท้าคางอยู่ใกล้ๆ แต่กลายเป็นว่าตอนนี้สายตาผมเลยอยู่ระดับเดียวกับคอเสื้อที่ย้วยลงจนทำให้เห็นเข้าไปถึงแผ่นอกขาวเนียนข้างใน แล้วอย่างนี้มันจะได้เล่าจนจบไหมล่ะเนี่ย

“เล่าเรื่องตอนพี่เป้จีบพี่วิวด้วยนะว่ามาเป็นแฟนกันได้ไง”

ผมขมวดคิ้ว เรื่องนี้ผมก็ไม่เคยถามรายละเอียดจากเจ้าตัวซะด้วยสิ ถึงจะสนิทกันขนาดไหน เรื่องบางเรื่องผมก็พอจะรู้ว่าไม่ควรละลาบละล้วงเหมือนกันแหละ

“เรื่องว่าพี่สนิทกับเป้ได้ไงน่ะพอเล่าได้ แต่เรื่องวิวกับเป้พี่ก็ไม่ค่อยรู้ ยังไงจะเล่าให้เท่าที่รู้แล้วกัน”

ใบหน้าหวานยิ้มแล้วก็พยักหน้าให้ ผมเลยพยายามนึกย้อนกลับไปยังความทรงจำสมัยที่ยังเรียนอยู่ปีหนึ่งตอนเพิ่งเจอกับเป้ใหม่ๆ


++------++


“เฮ้ย! คนมันไม่ลงตัวว่ะ อ๊อฟ มึงไปหามาอีกคนเลย ขืนทีมไหนได้มึงไปก็ชนะใสเลยสิ”

เพื่อนผมส่งเสียงโวยวายหลังจากพวกเรามารวมตัวกันที่สนามบาสหน้าหอในเย็นวันหนึ่ง แต่เนื่องจากเพื่อนอีกคนที่นัดไว้แล้วโทรมายกเลิกกะทันหัน ตอนนี้พวกเราเลยมีกันแค่ห้าคน ไอ้ครั้นจะแบ่งทีมเล่นสองต่อสามก็กระไรอยู่เพราะมีผมคนเดียวในวงที่เคยเป็นนักกีฬาแชมป์ระดับม.ปลายของจังหวัด ดังนั้นที่เพื่อนโวยก็พอจะมีเหตุผล แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันจะต้องโบ้ยให้ผมเป็นคนไปหาสมาชิกเพิ่มด้วย

“อ้าว ความผิดกูมั้ยเนี่ย ก็ไอ้จิ๊กมันตกลงจะมาแต่ดันต้องไปกินข้าวกับแฟนนี่หว่า งั้นเดี๋ยวกูโทรถามไอ้โก้ก็ได้ว่าว่างรึเปล่า”

ผมเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าที่วางอยู่บนม้านั่ง แต่สายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นหน้าคนคุ้นเคยกำลังยืนสูบบุหรี่พลางกดโทรศัพท์มือถือพิงรถตัวเองอยู่ในลานจอด ผมเลยวางโทรศัพท์ลงแล้วเดินเข้าไปเรียกซะเลย

“เฮ้ยเป้ ว่างอยู่ป่าววะ วงบาสกูขาดคนว่ะ มาช่วยเล่นหน่อยดิ”

เป้ละสายตาจากมือถือแล้วก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น คงจะงงเหมือนกันที่จู่ๆก็เห็นผมใส่เสื้อยืดกางเกงบอลเดินมาทัก เพราะถึงแม้ว่าเราจะอยู่โต๊ะกลุ่มเดียวกันที่คณะแต่ก็เคยคุยกันแทบจะนับประโยคได้

“ก็พอมีเวลาอยู่ ถ้าแค่ชั่วโมงเดียวล่ะก็ได้ ขอกูเปลี่ยนรองเท้าแป๊บนึง”

ไอ้เพื่อนหน้าหล่อของผมตอบรับคำชวนง่ายดายจนผมอ้าปากค้าง ตอนแรกผมแค่กะว่าจะลองถามเล่นๆแต่ไม่ได้คิดว่าเจ้าตัวจะตกลง เพราะปกติเป้จะเป็นคนเงียบๆแล้วก็เหมือนมีรัศมีความเป็นลูกคนรวยจับตลอดเวลา ผมเลยนึกว่าหมอนี่คงเป็นหนุ่มเจ้าสำอางประเภทที่ทำอย่างอื่นนอกจากมาเรียน กินข้าวแล้วก็ขับรถไม่เป็นซะอีก

เป้ดีดก้นบุหรี่ทิ้งก่อนจะพับแขนเสื้อแล้วเดินไปหยิบรองเท้าผ้าใบจากท้ายรถขึ้นเปลี่ยนแทนรองเท้าหนังสีดำ พอปิดฝากระโปรงรถแล้วเจ้าตัวก็หันมาสบตากับผมก่อนจะยิ้มขำ

“ทำไมทำหน้าเอ๋อยังงั้นวะ มึงมาชวนกูเล่นบาสไม่ใช่รึไง นำไปสิ”

“อ้อ…เออๆ เพื่อนกูรออยู่โน่นแน่ะ”

ผมชี้นิ้วโป้งไปทางสนามก่อนจะพาเป้ไปแนะนำกับเพื่อนๆที่เล่นบาสด้วยกันประจำ ซึ่งทั้งวงอยู่หอเดียวกับผมหมดแต่ไม่มีใครอยู่คณะเดียวกับพวกเราเลยสักคน พอแนะนำตัวกันเสร็จเจ้าพวกที่เหลือก็จัดแจงให้ผมกับเป้แยกฝั่งกันด้วยเหตุผลง่ายๆว่าแต่ละทีมจะได้มีคนที่ตัวสูงที่สุดฝ่ายละคนซึ่งเจ้าตัวก็ไม่มีปัญหา

หลังเริ่มเกมได้ไม่นานเป้ก็ทำให้ผมแปลกใจในทักษะการเล่นบาสที่เก่งเกินคาด ขนาดผมเคยเป็นตัวทำคะแนนให้ทีมของโรงเรียนมาก่อนยังโดนแย่งตัดลูกไปหลายครั้งจนต้องโหมเล่นเต็มที่ชนิดที่ไม่ได้เล่นมานาน ผมกับเป้ผลัดกันแย่งลูกทำคะแนนจนข้างๆสนามเริ่มมีคนสนใจมาหยุดยืนดูพลางส่งเสียงเชียร์กันเซ็งแซ่ไปหมด

สุดท้ายก่อนจะหมดเวลาและทีมผมยังเป็นรองอยู่ ผมก็อาศัยจังหวะที่เป้ผ่านบอลให้เพื่อนอีกคนตัดลูกมาชู้ตทำสามคะแนนได้อย่างเฉียดฉิว ทีมผมเลยชนะไปด้วยสกอร์มากกว่าเพียงหนึ่งแต้ม

“เล่นดีนี่หว่าเป้ เคยเป็นนักกีฬามาก่อนหรือเปล่าวะ”

ผมยกชายเสื้อตัวเองขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าแล้วยื่นขวดน้ำให้เพื่อนหลังเรานั่งพักกันที่ม้านั่งข้างสนาม เสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อดีของเป้ชุ่มเหงื่อจนเปียกไปทั้งตัว มือใหญ่รับน้ำไปดื่มหน่อยหนึ่งก่อนจะยกขึ้นราดหัวแล้วก็สะบัดจนฝอยน้ำเล็กๆแตกกระจาย ไอ้ท่าทางห่ามๆแบบนี้ก็ดูแปลกตาจากอิมเมจลูกคุณหนูที่ผมเคยคิดไว้เหมือนกัน

“ถ้าหมายถึงว่าเป็นนักกีฬาบาสล่ะก็ไม่เคยว่ะ เพราะจริงๆแล้วกูเล่นยูโด บาสนี่เล่นเฉพาะในชั่วโมงพละ”

“เหรอ...น่าเสียดายแทนทีมโรงเรียนมึงนะเนี่ย”

ผมรับขวดน้ำคืนแล้วก็ยกขึ้นดื่มบ้าง เป้เสยผมชื้นเหงื่อของตัวเองยิ้มๆก่อนจะเหลือบตาดูนาฬิกาแล้วก็ลุกขึ้น “ขอบใจนะที่ชวนกูเล่นบาสวันนี้ พอดีกูต้องกลับแล้ว ยังไงเจอกันที่ห้องบรรยายพรุ่งนี้แล้วกัน”

เป้ตบบ่าผมแล้วก็เดินออกไป ผมมองตามแผ่นหลังของเพื่อนแล้วก็สะดุ้งเมื่อโดนตบไหล่ป้าบเข้าจากเพื่อนที่เล่นบาสด้วยกันเมื่อครู่

“เพื่อนมึงก็เอาเรื่องนี่หว่าอ๊อฟ กูเห็นตอนแรกนึกว่าจะเป็นคุณชายมาจากไหน ที่ไหนได้แม่งสูสีกับมึงเลย”

“เออ กูก็เพิ่งรู้เนี่ยแหละว่าเพื่อนกูเก่งกีฬา ปกติเวลาอยู่ที่คณะพวกกูไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่หรอก”

เพื่อนผมหันไปทางเป้ที่ขับรถออกจากลานจอดไป ก่อนจะหันกลับมาทำตาโตมองผมอย่างประหลาดใจ

“จริงเด้ะ!? เห็นมึงชวนแล้วมาง่ายๆกูก็นึกว่าพวกมึงสนิทกันซะอีก”

ผมยักไหล่เพราะยังไงก็มองไม่ออกว่าผมจะสนิทกับเป้ได้ยังไง แต่ถ้ามาคิดให้ดีๆ การที่ผมกล้าเข้าไปทักเป้วันนั้นอาจเป็นจุดเริ่มต้นก้าวแรกก็ได้กระมัง


++------++


“ไงเป้ วันนี้มาเช้านี่หว่า”

ผมวางกระเป๋าแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างเพื่อนในห้องประชุมใหญ่ ที่นี่เป็นที่ที่นักศึกษาปีหนึ่งต้องมาเรียนวิชาพื้นฐานด้วยกัน ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าหลังจากวันที่ผมชวนเป้เล่นบาสเป็นต้นมาพวกเราก็คุยกันบ่อยขึ้น บางเย็นเป้ก็ตามมาเล่นบาสด้วยถ้าไม่รีบกลับ พอเริ่มคุ้นเคยกันผมจึงได้รู้ว่าการที่เจ้าตัวดูเงียบๆก็เพราะปกติเป้จะไม่ค่อยพูดกับคนที่ยังไม่สนิท และความจริงแล้วหมอนี่ก็มีบางมุมที่ค่อนข้างติดดินและเข้ากับคนอื่นได้ง่ายกว่าที่เคยคิดทีเดียว

“พอดีตื่นเช้าว่ะ ขี้เกียจนอนต่อเลยรีบมา ดีซะอีกมาเช้าๆหาที่จอดรถง่าย”

“เออจริง”

พอใกล้เวลาเริ่มบรรยายนักศึกษาคนอื่นๆก็ทยอยเข้ามาในห้องมากขึ้น แต่ผมก็เห็นว่าสายตาของเป้ยังจ้องไปที่ที่นั่งแถวหน้าสุดที่มีคนนั่งอยู่สองคน ปกติคนที่หัวพอใช้ได้อย่างผมไม่ใช่คนขวนขวายเรื่องเรียนอะไรนัก ดังนั้นเวลาได้เห็นคนที่ขยันแบบนั้นก็จะรู้สึกชื่นชมปนเกรงๆ เพราะถ้าหากไม่ตั้งใจอยากฟังเลคเชอร์มากจริงๆคงไม่มีใครไปนั่งแถวหน้าสุดทั้งที่ยังมีที่นั่งแถวอื่นว่างอยู่หรอก

“มึงมองคนไหนอยู่วะเป้ กูเห็นมึงจ้องอยู่นานแล้วนะ”

ผมอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ เพราะสองคนที่เห็นแม้ว่าจะอยู่ในระยะไกลแต่ก็ดูออกว่าเป็นผู้ชายแม้ว่าจะรูปร่างผอมบางทั้งคู่ คนหนึ่งโกรกผมสีน้ำตาลอ่อนเซ็ทไว้เป็นทรงแบบที่กำลังฮิต ขณะที่อีกคนผมสีดำระต้นคอธรรมดาและดูตัวสูงกว่านิดหน่อย

“หือ? เปล่า แค่คิดว่าน่าสนใจดี กูไม่ค่อยเห็นคนขยันแบบนั้นเท่าไหร่”

เป้เอนหลังพิงเก้าอี้พลางเท้าคางลงบนมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างก็ควงปากกาเล่นไปด้วย แต่ผมก็พอจะรู้ว่าเพื่อนเลี่ยงที่จะตอบคำถามผมตรงๆ เลยพูดเหน็บไปขณะหยิบปากกากับสมุดขึ้นมาวางบนโต๊ะ

“กูก็ว่างั้นแหละ ไม่เหมือนมึงนะ มาซะเช้าแต่ดันนั่งซะแถวหลังสุดเชียว”

พอผมพูดจบเป้ก็หัวเราะในคอ ความจริงแล้วเพื่อนผมเป็นคนหัวดีทีเดียวเพราะผมเคยถามถึงคะแนนตอนเอ็นท์ แถมพอรู้ว่าเป้เลือกที่นี่เป็นอันดับแรกผมเลยยิ่งสงสัยว่าด้วยคะแนนขนาดนั้นทำไมถึงไม่เลือกมหาวิทยาลัยอีกแห่งที่ใครๆก็อยากเข้า แต่คำตอบที่ได้ก็สมเป็นเป้จนผมต้องยอมยกให้ว่าเพื่อนผมมันก็หยิ่งใช่เล่นเหมือนกัน


‘ไม่ล่ะว่ะ ทั้งพ่อแม่ทั้งพี่ๆกูก็เด็กรั้วนั้นกันหมด กูไม่อยากได้ยินใครทักว่าเป็นพวกลูกไม้ใต้ต้น’


เสียงโทรศัพท์มือถือของเป้ส่งสัญญาณว่ามีเมสเสจเข้า เป้เลยหยิบออกมาเปิดดูแล้วก็ขมวดคิ้วก่อนจะพิมพ์ข้อความกลับ ใบหน้าที่ฉายแววหงุดหงิดหน่อยๆขณะเจ้าตัวปิดเครื่องแล้วเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อทำให้ผมนึกสงสัยว่าใครส่งข้อความอะไรมา แต่ก็พอจะรู้ว่าคงเป็นเรื่องส่วนตัวจึงตัดสินใจไม่ถาม

“ขอโทษนะ เรานั่งตรงนี้ได้มั้ย?”

ผมหันไปตามเสียง แล้วก็เห็นว่าคนถามเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก นัยน์ตาสองข้างเรียวรีแต่ไม่ถึงกับหมวยจ๋า ผมดัดเป็นลอนเคลียไหล่ถูกคาดด้วยที่คาดผมลูกไม้สีชมพูอ่อน เจ้าตัวบุ้ยคางไปตรงที่ว่างข้างตัวผม ผมเลยพยักหน้าให้

“อือ นั่งสิ”

“หวัดดีจ้ะเป้”

เด็กสาวทรุดตัวลงนั่งแล้วก็เอ่ยทักเพื่อนผมที่ยังนั่งเงียบอยู่ แต่เป้เพียงชำเลืองมองแวบหนึ่งแล้วก็ส่งเสียงรับรู้ก่อนจะเบนสายตากลับไปที่เดิม ผมเห็นเจ้าหล่อนหน้าเจื่อนไปเลยรีบชวนคุยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

“หวัดดี เพื่อนเป้เหรอ?”

“ก็นะ...เราชื่อทราย เธอล่ะ” ทรายดูสีหน้าดีขึ้นเมื่อผมหันไปชวนคุย ริมฝีปากสีชมพูคลี่ยิ้มให้ น้ำเสียงเล็กใสฟังแล้วรื่นหูอย่างบอกไม่ถูก

“อ๊อฟ เราอยู่โต๊ะกลุ่มเดียวกับเป้น่ะ”

“เหรอจ๊ะ”

ผมกับทรายไม่ทันได้คุยอะไรกันต่ออาจารย์ก็เดินขึ้นแท่นบรรยาย พวกเราจึงเริ่มสนใจฟังเลคเชอร์โดยที่ทรายคอยหันมาถามผมเป็นระยะเพราะฟังไม่ทันหรืออ่านสไลด์ไม่ชัดบ้าง ความจริงผมก็ใช่ว่าจะหัวดีอะไรแต่ก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ บางครั้งที่ผมเหลือบไปทางเป้ก็เห็นเจ้าตัวชำเลืองมองผมแล้วยิ้มมุมปากจนผมต้องทำปากขมุบขมิบใส่

หลังจากการบรรยายภาคเช้าที่สุดแสนจะชวนให้ฟุบหลับจบลงพวกเราก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก พอทรายเก็บสมุดโน้ตกับเครื่องเขียนลงแฟ้มพลาสติกเรียบร้อยแล้วก็หันมาหาผมกับเป้

“หิวจัง ทั้งสองคนไปทานข้าวด้วยกันมั้ย?”

หลังคำถามผมก็หันไปสบตากับเป้โดยอัตโนมัติ แต่เจ้าเพื่อนตัวดีตบบ่าผมแล้วก็ลุกขึ้นก่อน

“ทรายไปกับอ๊อฟมันแล้วกัน พอดีเราไม่ว่าง โชคดีนะเว่ยอ๊อฟ”

เป้ว่าแล้วก็เดินออกไปโดยไม่รอ พอผมหันกลับไปหาทรายก็พบว่าผิวแก้มเนียนสองข้างเรื่อขึ้นเป็นสีชมพู ผมเลยเริ่มจะรู้สึกเขินๆตาม

“เอ่อ งั้นพวกเราไปโรงอาหารกันเลยดีกว่ามั้ย เดี๋ยวคนจะเยอะ”


++------++


หลังจากทานข้าวด้วยกันวันนั้นความสัมพันธ์ของผมกับทรายก็เริ่มก้าวหน้า และนั่นก็ทำให้ผมกับเป้เริ่มจะห่างๆกันไป ด้วยความที่ทรายมีความเป็นผู้หญิงในตัวสูง ชอบอะไรน่ารักๆแล้วก็ช่างเอาใจ ผมที่ไม่เคยคบใครเป็นแฟนจริงจังมาก่อนจึงหลงเจ้าหล่อนจนบางครั้งยอมโดดเรียนไปเป็นเพื่อนเดินช้อปปิ้งดูหนัง หรือแม้กระทั่งทำเรื่องอื่นที่เจ้าตัวอยากทำอยู่บ่อยๆ

ทว่าอาจเพราะเราต่างคนต่างยังใหม่ต่อกัน ช่วงแรกที่คบกันไม่ว่าทรายจะเอาแต่ใจหรือเรียกร้องในเรื่องที่ฝืนใจยังไงผมจึงไม่เคยขัด แต่ว่าก็เหมือนน้ำที่หยดลงหิน เมื่อต้องฝืนใจตัวเองบ่อยๆเข้าผมก็เริ่มจะตระหนักว่าอะไรบางอย่างที่ทรายเป็นและต้องการไม่สอดคล้องกับตัวตนของผม และผมเองก็ไม่ได้รักเธอถึงขนาดจะยอมเปลี่ยนตัวเอง จากท่าทีที่เริ่มเปลี่ยนไปของผมคงทำให้ทรายรู้ตัวบ้างเหมือนกัน หลังจากเข้าเทอมสองพวกเราจึงยิ่งคุยกันน้อยลงและไม่ค่อยไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยเหมือนแต่ก่อนจนคนรอบข้างรู้สึก

เมื่อระยะห่างระหว่างผมกับทรายเพิ่มมากขึ้น ผมก็เริ่มแวะเวียนกลับไปเล่นบาสกับเพื่อนๆที่หอช่วงเย็นเหมือนเดิม แต่พอเข้าฤดูสอบปลายภาคซึ่งเป็นฤดูรายงานด้วยผมก็วุ่นจนหัวปั่น ไหนจะยังมีเรื่องต้องหาหอใหม่หลังจากที่ย้ายวิทยาเขตเข้าไปในเมืองตอนปีสองอีก ช่วงนี้ผมจึงเริ่มกลับมาสนิทกับเป้อีกครั้งเพราะเราต้องทำงานกลุ่มด้วยกัน บางทีเป้ก็แวะมาอ่านหนังสือที่ห้องผมจนเกือบถึงเวลาปิดหอด้วยเหตุผลว่าบรรยากาศเงียบสงบกว่าที่บ้านซึ่งมีคนในครอบครัวอยู่กันเต็มไปหมด

วันหนึ่งหลังจากที่พวกเราเอารายงานไปส่งอาจารย์เสร็จ เป้ก็ชวนผมไปกินข้าวที่ร้านดังแห่งหนึ่งนอกมหาวิทยาลัยด้วยกันเป็นการฉลอง แต่ขณะที่พวกเรากำลังจะเดินเลี้ยวมุมตึกก็สวนกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งวิ่งมาชนเป้เข้าเต็มแรง แต่ดีว่าเพื่อนผมคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ได้ทันก่อนจะล้มลงไป

“ขอโทษ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“อ๊ะ! ไม่...ไม่เป็นไร”

คนถูกชนเงยหน้าขึ้น พอเห็นเพื่อนผม สีหน้าของเด็กคนนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อก่อนจะเอ่ยคำตอบอย่างตะกุกตะกัก ดูแล้วท่าทางน่าจะเป็นเด็กปีหนึ่งเหมือนกัน รูปร่างที่ผอมบางบวกกับผมสีน้ำตาลอ่อนดูคุ้นตาจนสะกิดใจผมอย่างบอกไม่ถูก

“โอ๊ค! บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ไม่เป็นอะไรนะ?”

“ไม่เป็นไรหรอกวิว พอดีเป้ช่วยจับไว้ก่อน”

ผมขมวดคิ้วแล้วก็หันไปมองคนข้างตัว เพราะเด็กคนนี้พูดเหมือนรู้จักเพื่อนผม ซึ่งความจริงก็อาจไม่แปลกอะไรถ้าเป็นเด็กคณะเดียวกันเพราะเป้เป็นที่สนใจของใครๆอยู่แล้ว แต่สายตาของคนข้างตัวผมกลับมองผ่านคนที่ตัวเองจับแขนไว้ไปยังเด็กหนุ่มอีกคนที่เพิ่งเดินตามเข้ามาพร้อมกับทำสีหน้ายุ่งๆ

“ดีนะที่ไม่ล้มก้นจ้ำเบ้าไป ยังไงขอโทษด้วย แต่ปล่อยแขนเพื่อนผมได้แล้ว”

“อ้อ โทษที คราวหน้าเดินระวังหน่อยแล้วกัน”

ผมเห็นเด็กคนที่วิ่งมาชนเป้ทำตาละห้อยนิดหน่อยเมื่อแขนตัวเองเป็นอิสระ แถมพอทั้งสองคนเดินห่างไปแล้วเด็กคนนั้นก็ยังหันกลับมามองเพื่อนผมเป็นระยะ แต่ผมค่อนข้างจะมั่นใจว่าคนที่สายตาของเป้จับจ้องอยู่คือเพื่อนของเจ้าตัวที่ไม่ได้หันกลับมา พอได้เห็นแผ่นหลังของทั้งสองจากระยะไกลผมเลยจำได้ว่าสองคนนั้นคือคู่ที่มักนั่งอยู่แถวหน้าสุดในห้องบรรยายที่เป้ชอบมองบ่อยๆนั่นเอง

“มึงสนใจเด็กนั่นเหรอวะ?”

ผมหันไปถามเจ้าเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ เป้เลยชำเลืองตามามองผมแวบหนึ่งแล้วก็ยิ้ม

“มึงพูดถึงเด็กที่ไหนล่ะ เพ้อเจ้อใหญ่แล้วนะมึงน่ะ”

“ก็กูเห็นมึงมองเค้าอยู่เต็มสองลูกกะตาเนี่ย ทำไมไม่เข้าไปคุยด้วยซะเลยล่ะ ใช่คนเดียวกับที่มึงชอบมองในห้องบรรยายไม่ใช่รึไง?”

สายตาคมใต้คิ้วเข้มมองกลับไปยังทางที่สองคนนั้นเดินจากไปอีกครั้ง แต่แล้วเป้ก็ส่ายหน้าก่อนจะหมุนตัวเดินนำผมไปทางลานจอดรถ

“ไม่ล่ะ กูยังไม่พร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับใครตอนนี้”


……………!!??


เหมือนเป้จะเพิ่งรู้ตัวว่าผมยังยืนอยู่ที่เดิมหลังเดินไปได้สักระยะเลยหันกลับมา พอเห็นสีหน้าผมไอ้เจ้าคุณชายก็ยิ้มขำ

“มึงนี่ชอบทำหน้าเหมือนคนคันปากแต่ไม่อยากพูดอยู่เรื่อยเลยนะ ถ้ามีอะไรจะถามก็ว่ามา”

“เอ่อ...งั้นเดี๋ยวนะ ที่มึงพูดเมื่อกี้หมายความว่าไง?”

พอโดนทักผมเลยสาวเท้าเข้าไปหาคนที่ยืนรออยู่ เป้กอดอกแล้วก็หันมองไปอีกทาง

“ไม่มีอะไร กูแค่เพิ่งเลิกกับแฟนที่คบกันมาตั้งแต่ม.4 ตอนนี้เลยยังไม่พร้อมจะมีคนใหม่ เคลียร์รึยัง?”


ท้ายประโยคเป้หันมาถามผม แต่มันช่างดูเป็นคำตอบที่รวบรัดตัดตอนได้สมเป็นเจ้าตัวจนผมเผลอยกมือขึ้นเกาต้นคอ เพราะการมาเค้นถามอะไรเอาทีหลังแบบนี้มันเหมือนที่ผ่านมาผมไม่สนใจความเป็นไปของเพื่อนเลยนี่นา

“เวรกรรม แล้วทำไมก่อนหน้านี้มึงไม่พามาโชว์ตัวมั่งเลยวะ กูนึกว่าที่มึงไม่ควงใครซักทีนี่เพราะยังไม่เจอคนถูกใจซะอีก”

เป้ขมวดคิ้ว แต่แล้วก็เดินนำไปที่ลานจอดรถต่อจนผมต้องรีบเดินตาม

“พอดีเค้าทำงานแล้วเลยไม่ค่อยว่าง อีกอย่างก็คงไม่ค่อยอยากให้ใครรู้จักมากนักเพราะตั้งใจจะเลิกกับกูอยู่แล้ว กูเลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องเล่าให้ใครฟัง”

ผมชำเลืองมองเพื่อนที่หยิบพวงกุญแจออกมากดรีโมทเปิดล็อกประตูด้วยท่าทางราวกำลังเล่าว่าวันหยุดที่แล้วไปเที่ยวไหนมา แล้วก็ให้รู้สึกแปลกใจว่าทำไมเจ้าตัวถึงพูดเรื่องนี้ได้ราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เพราะถ้าคำนวณตามเวลาที่บอกก็เท่ากับว่าเป้คบแฟนคนนี้มาเกือบจะสี่ปีซึ่งไม่ใช่เวลาสั้นๆเลย

“ที่ว่าทำงานแล้ว งั้นเค้าก็อายุมากกว่าน่ะสิ”

ผมก้าวเข้าไปนั่งตรงที่ข้างคนขับแล้วก็คว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาด เป้สตาร์ทรถก่อนจะไขกระจกหน้าต่างลงแล้วควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ

“ก็เจ็ดปี พอดีเค้าเป็นเพื่อนพี่สาวกูตั้งแต่สมัยเรียนคอนแวนต์ จะว่าไปเราก็เริ่มห่างกันมาก่อนหน้านี้นานแล้วล่ะ นี่ก็เพิ่งได้ยินมาว่าเค้ากำลังวางแผนแต่งงานกับผู้ชายที่พ่อแม่ดูไว้ให้อยู่”

“นี่มันศตวรรษไหนกันแล้ววะ ยังมีจับคลุมถุงชนอยู่อีกเหรอมึง อีกอย่างถ้าเค้าอายุแค่ 26-27 ก็ยังไม่เห็นต้องรีบแต่งงานเลยนี่”

ผมฟังเป้เล่าแล้วก็ให้นึกฉุนขึ้นมา เพราะอย่างนี้มันก็ไม่ต่างกับว่าเพื่อนผมเป็นฝ่ายถูกทิ้งเลยน่ะสิ

“เค้าก็คงมีเหตุผลของเค้าที่จะทำตามที่ทางบ้านขอนั่นล่ะ กูก็ไม่ได้โกรธแค้นอะไรหรอก ออกจะโล่งด้วยซ้ำที่ได้คุยกันให้รู้เรื่องก่อนจะจบกันไป แต่เพราะอย่างนี้กูเลยอยากอยู่คนเดียวไปสักพักก่อน”

ผมมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเป้ที่มองตรงไปข้างหน้า ไม่มีความเศร้าโศกขุ่นเคืองไม่ว่าจะในแววตาหรือน้ำเสียง ผมเคยคิดตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่าทำไมหมอนี่ถึงได้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าผมนักทั้งที่เรียนปีเดียวกัน แต่สงสัยว่าการที่เจ้าตัวเคยคบกับคนอายุมากกว่ามาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นจะเป็นคำตอบกระมัง

“อืม...กูเข้าใจ ถ้างั้นมึงคิดว่าต้องอีกนานแค่ไหนกว่ามึงจะพร้อมมีคนใหม่?”

เป้ขมวดคิ้วแล้วก็ปรายตามองผมแวบหนึ่ง จากนั้นก็เบนสายตากลับไปมองถนนเหมือนเดิมพร้อมกับสีหน้าครุ่นคิด สักพักเจ้าตัวจึงเอ่ยตอบคำถาม

“เวลาเกือบสี่ปีมันไม่ใช่น้อยๆว่ะ กูไม่ได้อยากปิดตัวเองหรอกนะ ถ้าเกิดมีใครเข้ามาช่วงที่กูทำใจได้แล้วกูก็คงจะลองเริ่มต้นใหม่กับเค้าดู แต่มันคงไม่ใช่เร็วๆนี้”

ผมหวนนึกถึงสายตาของเป้ตอนมองเด็กที่เจอเมื่อช่วงบ่าย แล้วก็คิดว่าบางทีเพื่อนผมอาจจะทำใจได้เร็วกว่าที่คิดก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาและเจ้าตัวยังไม่อยากยอมรับก็เท่านั้น

“เรื่องของกูก็ให้มันจบแค่นั้นเถอะ เรื่องของมึงกับทรายน่ะ จะว่าไง?”

เป้หันไปพ่นควันบุหรี่ออกทางหน้าต่างก่อนจะหันมาถาม พอโดนเปลี่ยนเรื่องปุบปับผมเลยนึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีคดีอยู่เหมือนกัน เอาแต่ซอกแซกเรื่องชาวบ้านเค้าจนเกือบลืมเรื่องของตัวเองแล้วไหมล่ะ

“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ เค้าว่าจะไปเอ็นท์ใหม่เพราะไม่ค่อยชอบที่นี่ เห็นว่าอยากไปเชียงใหม่หรือเชียงราย ก็ถ้าห่างๆกันไปก็คงไม่ค่อยได้คุยกันละมั้ง”

ผมเลือกจะเก็บงำรายละเอียดไว้เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเล่า อีกอย่างเรื่องที่ทรายจะเอ็นท์ใหม่ก็เป็นเรื่องจริง และเราก็คุยกันเรียบร้อยแล้วว่าความสัมพันธ์ของเราคงไม่สามารถพัฒนาเกินไปกว่าที่เป็นอยู่ได้ ตอนที่คุยกันเรื่องนี้ทรายทำท่าเบื่อเหมือนอยากรีบพูดให้จบๆไปด้วยซ้ำ แต่น่าแปลกที่ผมก็ไม่ได้รู้สึกโมโหหรือเสียดายอีกฝ่ายเลย บางทีอาจเป็นเพราะความรู้สึกที่ผมมีให้ทรายนั้นไม่เคยก้าวข้ามระดับของ “ความหลง” ไปถึงระดับที่เรียกว่า “ผูกพัน” และ “รัก” เลยกระมัง

ผมคงจมกับความคิดตัวเองนานไปหน่อย พอคนข้างตัวหันมาตบไหล่ผมเลยถึงกับสะดุ้ง

“พอๆ เลิกคิดเลิกคุยเรื่องเครียดได้แล้วมึง เดี๋ยวเย็นนี้กินข้าวเสร็จไปโยนโบวล์กันดีกว่า กูเลี้ยงเอง ไม่ได้ไปโยนนานแล้วด้วย”

จากตอนแรกที่ผมตั้งใจว่าช่วยจะรับฟังปัญหาเรื่องทุกข์ใจของเพื่อน กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ผมโดนไอ้เพื่อนตัวดีปลอบใจแทน แถมเป้ยังทำท่าเหมือนเรื่องของผมดูน่าเวทนากว่าจนผมต้องซัดไหล่หนาด้วยความหมั่นไส้ระหว่างรถติดสัญญาณไฟแดงไปทีนึง

“เป้เอ๊ย...มึงกับกูนี่สมแล้วที่เป็นเพื่อนกันจริงๆเลยว่ะ”


++------++


หลังจากขึ้นปีสองและพวกเราย้ายวิทยาเขตเข้ามาอยู่ในเมืองผมกับเป้ก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้นเพราะเราพูดเรื่องต่างๆกันได้อย่างเปิดอก แต่ถึงกระนั้นก็มีบางเวลาที่เป้ไปเที่ยวหรือนัดเจอเพื่อนเก่าของตัวเองบ้าง ขณะที่ผมเองด้วยความที่เพื่อนสมัยเด็กก็ย้ายวิทยาเขตเข้ามาอยู่ใกล้ๆกันทำให้ผมต้องแบ่งเวลาไปกินข้าวหรือเดินเที่ยวเป็นเพื่อนมุ้ยบ้าง และบางครั้งก็ไปแจมกับพวกชุมนุมโฟล์คซองโดยการแนะนำของรุ่นพี่ด้วยเพราะเห็นว่าผมเล่นกีตาร์เป็น

ตั้งแต่ย้ายมาเรียนที่ใหม่ เพื่อนผมก็ดูจะยิ่งป๊อบขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเพราะมีสาวๆและหนุ่มๆทั้งในและนอกคณะคอยเข้ามาหว่านเสน่ห์ทำคะแนนกันอยู่ไม่ขาด แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงท่าทีเป็นพิเศษกับใคร ทว่าหลังจากเปิดเทอมสองได้ไม่นานผมก็ต้องประหลาดใจที่เป้ตกลงคบกับเด็กต่างเอกซึ่งผมจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่เคยวิ่งมาชนเป้เมื่อตอนปีหนึ่ง แถมเด็กคนนี้ยังเป็นคนออกปากขอคบกับเป้ก่อนเองด้วย และถึงแม้จะตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างว่าเพื่อนผมไม่ได้ตกลงคบด้วยเพราะชอบอีกฝ่ายจริงๆ แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ถามและคอยสังเกตการณ์ไปเงียบๆ

แล้วก็เป็นไปตามที่ผมคาดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคงดำเนินไปได้ไม่นาน เพราะตลอดเวลาที่คบกับเด็กคนนั้น ผมก็สังเกตเห็นว่าเป้ก็ยังคอยมองหาใครอีกคนอยู่เสมอ ดังนั้นแม้เจ้าตัวจะไม่เคยเล่าว่าทำไมจึงเลิก ผมก็ไม่เซอร์ไพรส์เท่าไหร่ที่เป้มาบอกว่ากำลังคบกับเพื่อนสนิทของเด็กคนนั้นที่ไปเรียนต่อเมืองนอกอยู่ ผิดกับเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มที่พากันพูดถึงวิวลับหลังเสียๆหายๆเพราะเข้าใจผิดจนเป้ต้องออกโรงห้ามทุกคนถึงได้เลิกพูด

แวบแรกที่ได้เห็นวิวใกล้ๆอีกครั้งตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อตอนปีหนึ่งทำให้ผมรู้สึกว่าแฟนเพื่อนเป็นคนที่ธรรมดาจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนที่เป้สนใจ แต่เมื่อผมได้เห็นเวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันบ่อยครั้งเข้าก็ทำให้เริ่มเข้าใจว่าเพราะอะไรเป้ถึงได้เลือกวิว เพราะถ้าเป็นคนแบบที่คอยพะเน้าพะนอเอาใจหรือทำตัวนุ่มนิ่มให้ดูน่าปกป้องแบบที่คนอื่นๆชอบทำ เพื่อนผมก็คงจะทนคบด้วยไม่ได้แน่ แต่ว่าความซื่อตรงไม่เสแสร้ง แถมยังติดจะเอาจริงเอาจังของวิวกลับชนะใจเพื่อนผมได้อย่างอยู่หมัดโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรเลย

ตั้งแต่ทั้งสองคนเริ่มคบกันเป้ก็ไม่ค่อยเข้าโต๊ะกลุ่มสักเท่าไหร่ ความที่เพื่อนคงดูออกว่าผมไม่ค่อยสนิทกับคนอื่นๆในกลุ่มทำให้เจ้าตัวออกปากชวนให้ผมไปนั่งด้วยเวลาที่ไม่ได้เข้าห้องบรรยายซึ่งวิวก็ไม่ได้ขัดข้อง แรกๆผมก็เกรงใจอยู่บ้างแต่ว่านานเข้าก็เริ่มชิน ความสม่ำเสมอที่ทั้งสองคนมีให้กันทำให้ผมมั่นใจว่าคราวนี้เป้คงเจอตัวจริงที่จะไม่ทำให้ “การเริ่มต้น” ครั้งนี้มี “จุดจบ” เหมือนความสัมพันธ์ครั้งก่อน เพราะถึงแม้วิวจะไม่ค่อยแสดงออกมากเท่ากับเป้ แต่ผมก็รู้ว่าความห่วงใยและเอาใจใส่ที่เพื่อนผมมอบให้นั้นไม่เคยโดนละเลย และอีกฝ่ายก็คอยหาโอกาสตอบแทนในแบบของตัวเองอยู่เสมอ


++------++


“นะหลับแล้วเหรอครับ บอกให้พี่เล่าให้ฟังเองนะ”

หลังจากนอนเล่าเรื่องมานานเป็นชั่วโมงผมก็เริ่มคอแห้งแต่ขี้เกียจลุก อีกอย่างตอนนี้คนตัวเล็กก็นอนซุกผมอยู่ แขนข้างหนึ่งพาดมาบนอกผมขณะที่ขาก็ก่ายขึ้นมาเหมือนกำลังกอดหมอนข้างอันใหญ่

“ไม่ได้หลับ นะฟังอยู่”

ใบหน้าหวานแหงนขึ้นยิ้มให้แล้วก็หอมแก้มผมทีหนึ่งก่อนจะกลับไปนอนท่าเดิม ผมเลยขยับตัวเป็นนอนตะแคงแล้วโอบคนข้างตัวไว้หลวมๆแทน พอเหลือบมองนาฬิกาหัวเตียงก็เห็นว่าเพิ่งจะบ่ายแก่ๆ แถมอากาศในห้องก็เย็นกำลังดีเลยชักเริ่มง่วงขึ้นมา เอาเถอะ เดี๋ยวค่อยทวงค่าเล่าเรื่องคืนนี้แทนก็แล้วกัน

“แล้วตอนนี้พี่ทรายเค้าไปอยู่ไหนแล้วล่ะพี่อ๊อฟ?”

พอได้ยินคำถาม ผมที่เริ่มจะเคลิ้มๆเลยตาสว่างขึ้นนิดหน่อย นะแหงนหน้ามองแล้วก็ส่งสายตาอยากรู้ให้จนผมอมยิ้ม

“รู้แค่ว่าเอ็นท์ติดที่เชียงใหม่ จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันแล้ว นะถามทำไม?”

“เปล่า....ก็แค่ถามดูเฉยๆ”

คนในอ้อมแขนซุกหน้าลงแล้วก็ตอบเสียงอุบอิบ แต่อาการแบบนั้นทำให้ผมพอจะเดาได้ว่าที่นะถามคงจะเพราะ...หึง ผมเลยลุกขึ้นหยิบผ้าห่มมาคลุมตัวเราสองคนแล้วก็ล้มลงนอนกอดคนตัวเล็กใหม่

“ง่วงจัง นะนอนเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ เดี๋ยวนี้ไม่ได้กอดแฟนแล้วนอนไม่หลับ”

“แต่นะไม่ได้ง่วงนี่”

ตอนแรกคนตัวเล็กพยายามจะลุกหนี แต่หลังจากเห็นว่าผมไม่ยอมปล่อยตัวเองแน่เลยยอมหยุดดิ้นแล้วนอนนิ่งๆให้ผมลูบหลังแต่โดยดี กลายเป็นว่าไม่กี่นาทีก็มีเสียงกรนขึ้นจมูกเบาๆจากคนที่เมื่อกี้บอกว่าไม่ง่วงแทน ผมเลยยันตัวขึ้นบนศอกข้างหนึ่งแล้วเท้าคางมองคนที่หลับไปแล้ว

ความจริงผมก็พอจะเข้าใจว่าทำไมนะถึงได้ถามถึงทรายขึ้นมา คนคบกัน ต่อให้มั่นใจในกันและกันขนาดไหน เวลาได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับคนที่เป็นอดีตของแฟนก็คงรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆกันทั้งนั้น ผมไม่ชอบเวลาเห็นนะไม่สบายใจโดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะต้องเสียเวลาคิด อีกอย่างผมก็ไม่ได้ติดต่อทรายแล้วจริงๆเพราะตั้งแต่เลิกกันเราก็แทบไม่ได้คุยกันอีกเลย และที่รู้ว่าเจ้าตัวเอ็นท์ติดที่ไหนนี่ก็เพราะเพื่อนบอกมาอีกทีด้วยซ้ำ

ผมยื่นปลายนิ้วชี้ไปเขี่ยแก้มนิ่มเล่น นัยน์ตากลมโตเลยหรี่ขึ้นมองผมอย่างสะลึมสะลือแล้วก็ทำหน้ามุ่ย

“พี่อ๊อฟ...ไหนบอกว่าง่วงไง”

“ก็พี่ยังนอนไม่หลับนี่ นะง่วงก็นอนต่อเถอะ”

“อื้ม…”

คนตัวเล็กส่งเสียงงึมงำในคอก่อนจะเขยิบตัวเข้ามาซุกใกล้ๆแล้วก็หลับต่อ ผมเลยก้มลงหอมแก้มพ่อหนูน้อยฟอดนึงก่อนจะกอดเจ้าตัวไว้ ก็เล่นหว่านลูกอ้อนแทบจะตลอดอย่างนี้แล้วจะให้ผมมีเวลาไปคิดถึงคนอื่นยังไงไหว และถึงแม้ว่านะจะยังมีแง่มุมที่ชอบงอนเหมือนเด็กๆบ้างแต่ก็ไม่เคยเอาแต่ใจในเรื่องที่ผมทำให้ไม่ได้ เจ้าตัวก็ดูจะไม่รู้เอาเสียเลยว่าตัวเองมีอิทธิพลกับผมจนถึงขั้นที่ผมไม่คิดอยากมองใครอีกแล้ว


“โชคดีนะที่พี่ได้เริ่มต้นใหม่กับเรา เพราะต่อจากนี้พี่ก็จะไม่ยอมให้ใครมาแทนที่นะเหมือนกัน”


++---End การเริ่มต้นกับคนสุดท้าย---++


ความจริงตอนนี้เขียนไว้นานแล้ว แต่ที่ยังไม่โพสต์เพราะกลัวสปอยล์คนที่ไม่เคยอ่านลำนำรักสีรุ้ง แต่ไหนๆเรื่องนั้นเวอร์ชันรวมเล่มก็ออกไปแล้ว แถมอ๊อฟกับนะก็คงจบเร็วๆนี้ เลยอัพตอนนี้เสียเลย จะได้พยายามเข็นตอนใหม่เจ้าอ๊อฟออกมาเร็วๆด้วยค่ะ

ขอบคุณคุณเจย์ (onering) ด้วยนะคะที่เป็นคนรีเควสต์ตอนที่เป้กับอ๊อฟเพิ่งรู้จักกัน ทำให้เราได้เขียนตอนนี้ขึ้นมา เวลาเขียนถึงมิตรภาพของสองคนนี้แล้วสนุกดีค่ะ


Create Date : 08 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 28 มกราคม 2553 20:15:32 น. 2 comments
Counter : 1106 Pageviews.

 
จ๊ะเอ๋... เดี๋ยวผมต้องไปศึกษาลู่ทางซะหน่อยแล้ว ว่าต้องอ่านเรียงลำดับก่อนหลังยังไง ถึงจะได้อารมณ์สูงสุด ฮุๆๆ


โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา:19:30:42 น.  

 
พี่พีท ก๊ากกก สงสัยต้องเขียนแผนผังแล้วค่ะว่าเรียงลำดับการอ่านยังไง แต่ถ้าจะเอาให้ได้อารมณ์(?)สูงสุด ต้องแนะนำให้ไปอ่านลำนำรักสีรุ้งก่อนล่ะค่ะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา:19:41:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.