มิถุนายน 2561

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
28
29
 
All Blog
เจ้าสำนักหมายเลข ๑ ในประวัติศาสตร์: บทที่ ๗ การต่อสู้ระหว่างพรรคกระบี่รุ่งโรจน์กับต้นท้อแก่


History’s Number 1 Founder:chapter 7 Versus: Sword Of Radiance AndOld Peach Tree

[史上第一祖师爷]

ผู้แต่ง 八月飞鹰


Fan's Translation for fans only. Do not use it for businesspurpose. And please support the original work. This translation will end if theright is available in my country.

Smiley

หลินเฟิงนำมู่หรงเยียนหยานและพวกทั้งสองไปถึงหมู่บ้านศิลา บริเวณที่เกิดการต่อสู้ยังไม่ถูกเก็บกวาด ผืนดินจึงเกลื่อนกลาดไปด้วยซากศพ แลดูน่าสะพรึงกลัวยิ่ง ราวกับนรกบนดินก็ไม่ปาน

ไม่เพียงมู่หรงเยียนหยานจะแทบอาเจียนออกมาต่อภาพฉากที่น่าสะอิดสะเอียนนี้ กระทั่งเย่เก๋อและเด็กหนุ่มในชุดขาวต่างก็รู้สึกคลื่นเหียนเช่นกัน

ภาพฉากขัดแย้งสุดขีดระหว่างโคนต้นเหี่ยวแห้งที่ดำเป็นตอตะโกของต้นท้อโบราณตรงปากทางเข้าหมู่บ้านกับดอกท้องดงามน่าหลงใหลที่ปรากฏสู่สายตาพาให้ผู้คนรู้สึกกระสับกระส่ายกังวล

สภาพนรกบนดินเช่นนี้ ยิ่งดอกท้อเต็มไปด้วยชีวิตชีวาก็ยิ่งน่าขนลุกนัก

หลินเฟิงกำลังจะเอ่ยปากพูดเมื่อพลันบังเกิดความวุ่นวายขึ้นในหมู่บ้านศิลา พวกผู้ใหญ่เริ่มส่งเสียงเอะอะสาปแช่งในขณะที่พวกเด็กๆเริ่มร้องไห้ ทุกคนพยายามวิ่งหนีออกไปจากหมู่บ้านในทุกทิศทาง พวกเขาทุกคนต่างวิ่งหนีไปจากต้นท้อโบราณนั้น

หลินเฟิงมองจากที่ไกลและเห็นกลีบดอกท้อสีแดงสดใสกำลังลอยไปในอากาศ ไล่ตามพวกชาวบ้านไป

ทุกครั้งที่กลีบดอกแตะถูกคนๆ หนึ่ง พลังชีวิตคนผู้นั้นก็จะถูกดูดออกไปจนเกลี้ยงและกลายเป็นซากศพแห้งๆซากหนึ่ง

เห็นเสี่ยวปู้เตี่ยนอยู่ในกลุ่มคน กำลังพยายามปกป้องคนอื่นและวิ่งหนีไปกับพวกเขา หลินเฟิงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

โชคดีที่เขาได้พบมู่หรงเยียนหยานกับพวก ไม่เช่นนั้น เมื่อต้นท้อแก่เริ่มลงมือใหม่อย่างกระชั้นชิดติดกันเช่นนี้ เขาคงไม่มีหนทางจัดการกับต้นท้อปีศาจตนนี้ได้

หลินเฟิงตะโกนเสียงดังลั่น เขายกมือขึ้นกุมหัววิ่งหนีไปราวกับบังเกิดความตกใจสุดขีด

มู่หรงเยียนหยานและเด็กหนุ่มชุดขาวจ้องมองแผ่นหลังที่หายลับไปของหลินเฟิงและส่งเสียงขึ้นจมูกออกมาพร้อมกัน

“ขี้ขลาด”

หลินเฟิงไม่รู้ว่าการกระทำของตนเป็นเหตุให้เขาถูกเหยียดหยามดูแคลน ต่อให้รู้ เขาก็คงไม่แคร์

แน่นอนว่าเขาต้องวิ่งหนีไป หากเขาปล่อยให้เสี่ยวปู้เตี่ยนและผู้เฒ่ามาเห็นตนในสภาพเช่นนี้ แล้วเขายังจะแสร้งทำตัวเป็นอาจารย์ผู้ไร้เทียมทานต่อไปได้อย่างไร?

อีกด้านหนึ่ง หลินเฟิงก็จำเป็นต้องหลบให้พ้นไปจากสายตาของคนจากพรรคกระบี่รุ่งโรจน์โดยไว เพื่อที่เขาจะได้เตรียมการเคลื่อนไหวของตน

ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะหรือแพ้ หลินเฟิงก็ยังต้องลงมือเคลื่อนไหว

หากต้นท้อแก่เป็นฝ่ายชนะ หลินเฟิงย่อมต้องไม่ดีใจ เวลานี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องช่วยชีวิตของเสี่ยวปู้เตี่ยน เขายังต้องมั่นใจว่าต่อให้มู่หรงเยียนหยานและพวกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะต้องไม่ตายและสามารถหนีรอดออกไปทั้งๆยังมีชีวิตอยู่ได้ อย่างน้อยที่สุดมู่หรงเยียนหยานจะต้องไม่ตาย ไม่เช่นนั้นแล้ว ผู้ใดจะไปบ้านตระกูลเซียวและทำลายสัญญาหมั้นหมายได้?

หากเย่เก๋อและพวกเป็นฝ่ายชนะง่ายดายเกินไปก็มิใช่เรื่องดีสำหรับหลินเฟิงเช่นกัน จะเป็นอย่างไรหากพวกเขาสังเกตเห็นศักยภาพของเสี่ยวปู้เตี่ยนและพาเขาเข้าพรรคกระบี่รุ่งโรจน์?

เช่นนั้นหลินเฟิงก็จะต้องหมดสิ้นทุกสิ่งแล้ว

สถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างพ่ายแพ้จึงเป็นผลลัพธ์ที่หลินเฟิงต้องการจะเห็นอย่างแท้จริง

หลินเฟิงมองหาที่ซ่อนตัวอย่างระมัดระวัง เขาล้วงกระบี่แสงเหนือออกมาและเฝ้าจดจ่อกับการต่อสู้

เด็กหนุ่มชุดขาวชักกระบี่ออกจากฝักและเข้าพัวพันกับต้นท้อแก่แล้ว

แม้ระดับชี่ฝึกตนขั้นสิบของเขาจะน่าประทับใจทั้งเขายังสามารถตัดกิ่งท้อออกไปได้สองสามกิ่ง แต่เขาก็ยังห่างชั้นเกินกว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของต้นท้อแก่นั้นได้

ขณะที่รังสีกระบี่ของเด็กหนุ่มชุดขาวกำลังจะฟาดฟันใส่โคนต้น พลันบังเกิดความแปรเปลี่ยนอย่างหนึ่งขึ้นในต้นท้อแก่นั้น ดอกท้อบนกิ่งปลดปล่อยหมอกสีชมพูออกมากลุ่มหนึ่งซึ่งสะสมตัวเข้าห่อหุ้มทั่วต้นท้อของมัน

ขณะที่กระบี่ของเด็กหนุ่มชุดขาวฟาดฟันเข้าใส่หมอกสีชมพูนั้นมันก็ไม่อาจขยับต่อไปได้ ราวกับถูกทรายดูดก็ไม่ปาน

“เจ้ากล้าหรือ เจ้าปีศาจต่ำช้า?” สีหน้าของเด็กหนุ่มชุดขาวแปรเปลี่ยนเขาคิดจะชักกระบี่บินของตนกลับคืนทว่ามันกลับถูกหมอกสีชมพูนั้นดูดเอาไว้ เขาพยายามอย่างไรก็ไม่สำเร็จ

ไม่เพียงเท่านั้นหมอกสีชมพูยังติดตามเข้ากัดเซาะพลังปราณของเด็กหนุ่มชุดขาว ตอบโต้เขากลับ สีหน้าของเด็กหนุ่มชุดขาวแดงก่ำขึ้นมาในพริบตาราวกับเมาเหล้า ทำได้เพียงต้านทานไว้อย่างยากลำบาก

เย่เก๋อและมู่หรงเยียนหยานต่างตื่นตัวเต็มที่กับสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนย่ำแย่ลงเป็นอันมาก มู่หรงเยียนหยานคิดที่จะเข้าไปช่วยเหลือทว่าถูกเย่เก๋อหยุดยั้งไว้ “มีบางอย่างประหลาดเกี่ยวกับปีศาจต้นไม้ตนนี้ อย่าได้เข้าไปพัวพัน”

เย่เก๋อยื่นแขนของตนกวาดออกไปคราวหนึ่ง ปลดปล่อยกระบี่ชี่ที่มองไม่เห็นเข้าตัดการเชื่อมต่อระหว่างเด็กหนุ่มชุดขาวกับท้อแก่ต้นนั้น หลังจากช่วยเหลือเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นออกมา เขาจึงส่งมอบคนให้แก่มู่หรงเยียนหยาน “พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจะรับมือเจ้าปีศาจตนนี้ตามลำพัง”

ครั้นกล่าวจบ เขาชักกระบี่ออกจากฝักและจ้วงแทงเข้าใส่ต้นท้อแก่

ต้นท้อแก่ใช้กลเม็ดเดิม หมอกสีชมพูยิ่งหนาขึ้นขณะสกัดกั้นรังสีกระบี่ของเย่เก๋อ ระลอกคลื่นซัดสาดอยู่ในหมอกสีแดง ทว่าการโจมตีดุดันของเย่เก๋อกลับถูกปัดป้องได้สำเร็จ

หลินเฟิงแอบพึมพำ “ขอบคุณสวรรค์” สามารถปัดป้องการโจมตีซึ่งๆ หน้าจากเย่เก๋อผู้เป็นจอมยุทธ์ระดับเจ้าสำนักได้ แสดงให้เห็นว่าท้อแก่ต้นนี้ก็อยู่ในระดับเจ้าสำนักเช่นเดียวกัน “โชคดีที่ข้าไม่หุนหันพลันแล่นเข้าไปลองโจมตีเจ้าท้อแก่ต้นนี้ด้วยตัวเอง ต่อให้มีกระบี่แสงเหนือก็คงเป็นความพยายามที่ไร้ค่าแล้ว”

เย่เก๋อส่งเสียงฮึขึ้นจมูก รัศมีกระบี่แปรเปลี่ยนเป็นหมอกกลุ่มหนึ่งและแผ่ขยายตัวออกไปทันใด หมอกกระบี่กระจายตัวพุ่งขึ้นไป ก่อเป็นเสาหมอกน่าเกรงขามลำหนึ่ง

เสาหมอกขยายตัวออกไปจนสุดและก็พลันระเบิดตัวจากกันกลายเป็นฝนกระบี่ชี่ กระบี่ชี่นับหมื่นพุ่งตัวออกไปทุกทิศทาง

ต้นท้อแก่ไม่รีบร้อน กลีบท้อบนกิ่งทั้งสามลอยลงมาและเกิดเป็นฝนดอกไม้กลางอากาศซึ่งพุ่งยิงเข้าใส่เย่เก๋อ

กลีบดอกไม้ไม่ดูอ่อนแอแบบบางอีกแล้ว ตรงกันข้าม พวกมันดูแหลมคมราวกับลูกธนูซึ่งพวยพุ่งเข้าใส่หมอกเมฆและสามารถทะลายหินผาได้ ฝนดอกไม้ปกคลุมทั่วฟ้าและปะทะเข้ากับกระบี่ชี่กว้างใหญ่ที่กลางอากาศ เกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

กลีบดอกไม้กระจุยกระจายในขณะที่กระบี่หายวับไป ขณะที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ทั้งโลกถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกกลุ่มหนึ่ง

หลินเฟิงซ่อนตัวอยู่ในที่กำบังและเฝ้ามองด้วยความตะลึงลาน “จอมยุทธ์ระดับเจ้าสำนักช่างเก่งจริงๆ”

ขณะหลินเฟิงเฝ้าดู เขาครุ่นคิด “ข้าจะทำยังไงหากต้องรับมือกับจอมยุทธ์ระดับเจ้าสำนัก?”

ปกติแล้วย่อมจะเป็นการดีที่สุดหากเขาไม่ต้องสู้ ทว่าหากต้องทำ อย่างแรกเขาจะต้องเตรียมการเรียกสายฟ้าสวรรค์เก้าสายเพื่อซุ่มโจมตีคนผู้นั้นจากนั้นเขาก็ต้องใช้กระบี่แสงเหนือโจมตีขนาบเข้าไปในขณะที่คนผู้นั้นกำลังรับมือกับสายฟ้า

ความสำเร็จจะถูกตัดสินภายในสองกระบวนท่า หากคู่ต่อสู้ยังไม่แพ้ เขาก็จะวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทั้งหมดนี้ ภายใต้สมมุติฐานว่าเขาจะซุ่มโจมตีได้สำเร็จ เขาก็มีสิทธิชนะได้ แม้จะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำอยู่ก็ตาม

ขณะที่หลินเฟิงกำลังครุ่นคิดอยู่ การต่อสู้ระหว่างเย่เก๋อกับต้นท้อแก่ก็ค่อยๆทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

ดูเหมือนเย่เก๋อจะเป็นฝ่ายได้เปรียบจากการปะทะกันระหว่างกระบี่ชี่กับกลีบดอกไม้ กระบี่ชี่ขยี้กลีบดอกไม้ไปนับร้อยกลีบและกำลังขับเคลื่อนที่เหลืออยู่ก็ยังไม่หยุด ยังคงถาโถมเข้าโจมตีต้นท้อแก่นั้น

กระบี่ชี่รวมตัวมุ่งไปที่ต้นท้อแก่ราวพายุ

ทั่วต้นท้อแก่มีรังสีครอบงำสีแดงฉานชั้นหนึ่งปกคลุมกระเพื่อมไหวอยู่ แลดูสง่างามแพรวพราย ต้านทานการโจมตีจากพายุกระบี่ซึ่งๆ หน้า

ช่างดูราวกับพายุฝนที่ปะทะเข้ากับกำแพงน้ำ คลื่นระลอกแล้วระลอกเล่ากระเพื่อมขึ้นบนม่านรังสีปีศาจสีแดงฉานนั้น ลำแสงสายหนึ่งของกระบี่ชี่อาจจะไม่สามารถทะลายปราการป้องกันของต้นท้อแก่นั้นได้ ทว่าเมื่อลำแสงกระบี่ชี่นับพันๆ ลำรวมตัวกันก็ค่อยๆกัดกร่อนม่านป้องกันของต้นท้อแก่นั้น

มู่หรงเยียนหยานและเด็กหนุ่มชุดขาวต่างส่งเสียงเชียร์ลั่นทั้งคู่

ชาวหมู่บ้านศิลาที่วิ่งหนีอยู่ก็พากันหยุดฝีเท้าและหันมาจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ พวกเขาก็เริ่มส่งเสียงเชียร์ออกมาเมื่อเห็นเย่เก๋อเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่

มีเพียงสองตาของหลินเฟิงที่กำลังเพ่งมองอยู่น้อยๆ ในใจตึงเครียด “มีบางอย่างไม่ถูกต้อง”

ปกติแล้วเขาย่อมไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยต้นท้อแก่นั้น ตรงกันข้าม เขารู้สึกสังหรณ์ใจว่าต้นท้อแก่นั้นดูเหมือนกำลังออมมือ

เห็นต้นท้อแก่ทำได้เพียงต้านรับ ไม่มีกำลังตอบโต้ได้ เย่เก๋อที่มักระมัดระวังตัวเป็นนิสัยก็มีกำลังใจฮึกเหิมขึ้น กระบี่ในมือแปรเปลี่ยน ร่างกายของเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่และบินตรงเข้าใส่ต้นท้อแก่

ฝนกระบี่ชี่ก็เริ่มหลอมรวมกลายเป็นรังสีกระบี่เจิดจ้าเล่มหนึ่งในพริบตานี้ คนและกระบี่เป็นหนึ่งเดียว ตัดตรงเข้าใส่ต้นท้อแก่

การโจมตีนี้ไร้รูปลักษณ์ ตรงกันข้าม มันมุ่งหมายอยู่กับพลังทำลายล้างร้ายแรง พลังปราณของเย่เก๋อแผ่พุ่งออกมาและก่อเป็นรังสีกระบี่แข็งแกร่งซึ่งมีความยาวสิบกว่าเมตรและกว้างราวประตูบานหนึ่ง

ในเสี้ยวเวลานี้เอง เสียงหัวเราะเบาๆ พลันดังขึ้นข้างหูของหลินเฟิง

เป็นเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าของสตรีผู้นั้นอีกแล้ว เสียงหัวเราะของนางเต็มไปด้วยความดูแคลน

สองตาของหลินเฟิงกระตุกวูบเบิกกว้าง รังสีปีศาจสีแดงจ้ารอบต้นท้อแก่พลันหดลงเหลือเป็นลูกบอลแสงขนาดราวหมัดๆหนึ่ง

ลูกบอลแสงแลดูธรรมดายิ่ง ทว่าขณะที่หลินเฟิงมองเห็นลูกบอลแสงนี้ เขาสัมผัสได้ว่าจิตวิญญาณของตนสั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย

นั่นคือพลังปราณที่บีบอัดจนถึงที่สุด ส่งผลให้เกิดพลังทำลายล้างสุดประมาณ แม้แต่อากาศรอบลูกบอลแสงนั้นก็พร่าเลือน พื้นที่อากาศบริเวณนั้นพังทลายเข้าหาลูกบอลแสง

สีหน้าของเย่เก๋อแปรเปลี่ยนใหญ่หลวงแล้ว “ช่างเป็นปีศาจที่เจ้าเล่ห์นัก!”

เขาเคลื่อนไหววาดกระบวนท่าจนถึงขั้นตอนสุดท้ายของตนแล้วและไม่มีเวลาเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลง จึงได้แต่ปลุกปลอบตนและเดินหน้าเข้าโจมตี

รังสีกระบี่ของเย่เก๋อกระแทกเข้ากับลูกบอลแสงของต้นท้อแก่ แสงสว่างจ้ากลุ่มหนึ่งระเบิดตัวออกมา เป็นเหตุให้ดวงตาของทุกคนไม่อาจลืมขึ้นมองได้

พริบตาที่เกิดการปะทะไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก ทว่าในเสี้ยววินาทีต่อมา เสียงอึกทึกกึกก้องก็ระเบิดตัวออกมา

คลื่นกระแทกมหึมากระจายตัวออกไปทุกทิศทาง ชาวหมู่บ้านศิลาที่อยู่ไกลออกไปต่างเหมือนฟางข้าวที่ถูกพัดปลิวออกไปทุกทิศทางด้วยกำลังลมทรงพลังชุดนี้

ขณะต้านทานแรงกระแทกชุดนี้ หลินเฟิงที่อยู่ไกลออกไปรู้สึกจุกอก ลมหายใจที่กำลังจะถูกขับออกมากลับถูกกดข่มเอาไว้ ไม่อาจหายใจออกมาได้

ตรงใจกลางการระเบิด เงาร่างมนุษย์ผู้หนึ่งปลิวออกมาและร่วงลงกระแทกพื้นอย่างหนักหน่วง เป็นเย่เก๋อนั่นเอง

เย่เก๋อไม่เหลือภาพลักษณ์ราวกับนักปราชญ์ดังที่พบกันครั้งแรกอีกต่อไป ชุดขาวบนร่างก็ถูกย้อมเป็นสีแดงฉานด้วยเลือดสดๆ

มู่หรงเยียนหยานและเด็กหนุ่มในชุดขาวต่างพากันอกสั่นขวัญหนีและรีบรุดวิ่งเข้าไปช่วยเย่เก๋อ ก่อนที่พวกเขาจะทันเอ่ยอะไรได้ พวกเขาถูกเย่เก๋อขัดจังหวะ ผู้เฒ่ารีบตะโกน “ไป! ไป! เร็วเข้า!”

ก่อนสิ้นเสียงของเขา ดอกไม้บนต้นท้อแก่สะบัดไหว ต้นท้อแก่ตระเตรียมโจมตีรอบใหม่แล้ว

คนทั้งสามจากพรรคกระบี่รุ่งโรจน์ไม่กล้าชักช้า ต่างประคับประคองกัน พวกเขาวิ่งหนีชุลมุน ไม่เหลือความคิดที่จะปราบปีศาจอีกเลย เพียงคิดถึงคำๆ เดียว “วิ่ง!”

ในขณะนี้ หลินเฟิงเรียกกระบี่แสงเหนือออกมาและชี้ปลายกระบี่ตรงไปยังต้นท้อแก่

“ได้เวลาแสดงแล้ว!”




Create Date : 27 มิถุนายน 2561
Last Update : 27 มิถุนายน 2561 21:17:36 น.
Counter : 520 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นักผจญภัยมือใหม่
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 81 คน [?]



มันจะเป็นยังไง ถ้าเราทำต่อไปด้วยใจรัก...
New Comments