|
THEY ARE HERO
กำลังจะเดินตรงไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์เพื่อพิมพ์ต้นฉบับ พลันสะดุดกับสภาพของห้องซึ่งรกเหลือเกิน หนังสือ ข้าวของนานากระจายอยู่เต็มเตียง พาให้หงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง จนต้องลงมือเก็บเสียก่อนจึงจะลงมือทำ อย่างอื่นได้ แต่ในขณะที่ก้มเก็บสิ่งของอยู่นั้น คล้ายกับเราได้จัดสัมภารกในหัวใจไปพร้อมกัน การจะจัดอะไร ต่อมิอะไรให้เข้าที่เข้าทาง ต้องใช้เวลาไม่น้อยเลย บางคนแลกด้วยทั้งชีวิต ก็ยังจัดการได้ไม่สิ้น กดปุ่มเพลเทป เสียงเพลง Come as you are ของ Nirvana ดังขึ้น ผมอยากคุยกับ Kirt Cobain จัง เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งในแรงบันดาลใจให้ผมลุกขึ้นทำเรื่องยุ่งยากบางประการ ที่จริงตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ใช้หน้ากระดาษนี้บ่นพร่ำใดใดทั้งสิ้น แต่ให้อภัยผมสักสองสามย่อหน้าเถิด มันเต็มกลืนจริงๆ ผมมีหนึ่งเรื่องอยากเล่าสู่กันฟัง เป็นข้อเท็จจริงที่ส่งผลให้การมองโลกแห่งแสงสว่างกับความมืดของผม ต่าง ไปจากเดิม
ตามบทวิจัย ปี 1986 ชื่อ Psyco-physiology of film & video ของ ดิมิตรี บาลาคอฟ แห่ง International of film archives เขาได้เนอทฤษฎีที่ว่า หนังที่ดูจากจอกับหนังที่ดูจากจอแก้วเป็นคนละเรื่อง เดียวกัน โดยอ้างว่า เยื่อเรตินาที่อยู่ชั้นในสุดซึ่งคอยรับภาพจากแก้วตา ซึ่งมีเซลส์ละเอียดอ่อนทรงกรวย และทรงก้านนับเป็นล้านๆเซลส์ ถูกกะตุ้นด้วยภาพ (เต็มภาพ) จากฟิล์มหนังในทุกๆวินาทีละ 24 ภาพเป็นจังหวะ เหมือนท่วงทำนองดนตรีอันกลมกลืน อันต่างจากภาพของสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่กวาดซ้ายแนวนอนจาก ด้านหนึ่งของจอทีวีไปสุดอีกด้าน ดังนี้เองเซลส์ที่เยื่อเรตินาจึงไม่ได้ถูกกระต้นทั้งหมด แต่เพียงถูกกระทบทีละ จุดเล็กๆ ในเสี้ยวส่วนของวินาที ทำให้ไม่มีแม้แต่ภาพ (เต็มๆ) สักภาพเดียวที่จะถูกเห็นโดยตามนุษย์ มันทำให้ สมองได้รับสารต่อเนื่องเชิงวิเคราะห์ แทนที่จะเป็นจังหวะและทำนองสมดุลที่พึงได้รับจากการดูภาพจากฟิล์ม ซึ่งเป็นภาพโปร่งแสงผ่านกระบวนการเคมี
(จากหนังสือฟิล์มไวรัสเล่ม 2 - เล่มแรกมีขายที่ร้านเล่า อีกเล่มที่แนะนำคือ นิยายแปลเรื่อง Flicker แล้วคุณจะมองหนังต่างออกไป) ผมเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง มันบอกว่า มันไม่เห็นว่าจะต่างกัน แล้วตาเราจะจับติดหรือ แต่จะเชื่อหรือว่า สิ่งที่ไม่เห็นนั้น ไม่มี และสิ่งที่เห็นได้นั้น มี จะอย่างไร ทั้งสองแบบก็ยังเป็นเพียงการจำลองเพื่อการกระตุ้นทั้งสิ้น ต่างกันที่แบบหนึ่งละเอียดอ่อน กว่าเท่านั้น หนังสองเรื่องล่าสุดที่ไปดูมา ล้วนสร้างจากหนังสือ แต่หาใช่วรรณกรรมไม่ หากเป็นการ์ตูน เรื่องหนึ่ง เป็นการ์ตูนสัญชาติอเมริกาที่เรียกว่า comics อีกเรื่องเป็นการ์ตูนญี่ปุ่น คือ มังงะ (manga) HULK (ไอ้ตัวเขียว) ่กำกับโดยชาวจีน คือ อั้ง ลี ที่ยังคงถนัดอารมณ์แบบดรามาติก คอมพิวเตอร์ กราฟิกตัวเขียวจึงมีเชิงลึกของตัวละครมากกว่าคนแสดงจริงในหนังบางเรื่อง ตัว HULK ในบางคราวดูอ่อนโยน เหนื่อยอ่อน และสับสน หนังยังคงอารมณ์จากการ์ตูนได้ดี ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การตัดต่อ (แบ่งเป็นหลายช่อง) เสียงโอเวอร์ สะท้อนก้องคล้ายละครเวที (เพราะมีปมอีดิปุสหรือเปล่า) แต่ที่ไม่ค่อยมีคือ อารมณ์ขัน ที่จริงไม่จำเป็นหรอกว่า การ์ตูนจะต้องตลก แต่มันเป็นน้ำจิ้ม บางฉากดูคล้ายเทพนิยาย เช่น HULK ฟัดกับสัตว์ประหลาดที่กลายพันธุ์จากหมาพุดเดิ้ล แต่ผมว่า ฉาก ฮ.เยอะไปหน่อย น่าจะลดบทฮ.ลงแล้วเพิ่มบทนางเอกเยอะกว่านี้ เพราะเธอน่ารักและเท้เท่ห์ แม้จะไม่ได้มีอะไรใหม่ให้ แม้ไม่ได้เจ๋งขนาด Crouching Tiger Hidden Dragon แต่โดยรวม ก็ได้รับความบันเทิงแบบไม่ไร้สาร กับภาพใหม่ที่เคยประทับใจในวัยเด็ก เรื่องที่สองคือ ปิงปอง พักหลังมานี้แต้มของหนังญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวันเริ่มแซงฮอลลีวู้ดขึ้นเรื่อยๆ อ้อ หนังไทย ถ้าไม่เซ็งกับเรื่องหลอกๆไปเสียก่อน ปิงปองสร้างจากมังงะชื่อเดียวกัน คนญี่ปุ่นเขาอ่านการ์ตูนเหมือนกับอ่านหนังสือนะครับ คือไม่ใช่แค่ เด็กเท่านั้นที่อ่าน ผู้ใหญ่ คนหนุ่มสาวเขาก็อ่าน และมีการ์ตูนสำหรับคนทุกวัย ผมเป็นเด็กรุ่นที่โตมากับโดเรมอน อุลตร้าแมน หน้ากากเสือ ไอ้มดแดง ยอมรับว่าการ์ตูนเป็นส่วนหนึ่ง ในการสร้างเซลล์สมองและกระตุ้นจินตนาการได้ไม่น้อยกว่าวรรณกรรมคลาสสิคเลย ตัวเอกในปิงปอง ชื่อ เป๊กโกะ ที่มีบุคลิกแบบเด็กเกเร และแอนตี้ฮีโร่ คือ โฉ่งฉ่างและถือดี ตัวละคร สำคัญอีกตัว คือ สไมลี่ (ไม่ยิ้ม) ที่คล้ายเป็นอีกด้านของเป๊กโกะ เขาเงียบขรึม ปิดบังความรู้สึก ผมไม่เคยอ่านการ์ตูนเรื่องนี้มาก่อน อาจทำให้พลาดบางรายละเอียดไป ตัวหนังทำท่าว่าจะบอก แต่ก็ บอกไม่หมด เช่น ปมหลังของโค้ช ความสัมพันธ์ของชมรมกับเป๊กโกะ รู้แต่ว่า เป๊กโกะไม่ชอบมาซ้อมที่โรงเรียน กลับไปขลุกอยู่แต่โต๊ะให้เช่าของคุณยายพังค์ หนังให้ภาพของการท้าดวลถึงโรงเรียนสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่นไว้บ้าง แต่ไม่มากนัก และมีไว้เพื่อสนับสนุนเรื่องมากกว่า คนกับความฝัน เป๊กโกะ ชอบเล่นปิงปองมาตั้งแต่เด็ก ถึงขั้นโดดเรียนมาเล่น ชนะมาตลอดจนทะนงหลงระเริง อยู่ใน (ผมทรง) กะลา ละเลยการฝึกฝน จนต้องพ่ายอย่างอัปยศแก่ตุ๊กตาจีน (ผมไม่รู้ว่าในการ์ตูนมีตัวละครนี้หรือไม่ หรือมีนัยยะอื่นแอบแฝง จึงนำดาราฮ่องกงหน้าคล้ายโจอี้บอยมาเล่น) และถึงกับพ่าย เดม่อน ลูกไล่สมัยเด็ก ซึ่งหันไปฝึกแบบเอาเป็นเอาตายในโรงเรียนที่เป็นเอกทางปิงปอง เป๊กโกะอกหักอย่างรุนแรง เลยโยน ไม้ปิงปองเข้าเตาเผาขยะซะ เดม่อนไม่ใช่คนมีพรสวรรค์ เขาสามารถเก่งได้ระดับหนึ่งจากการฝึก แต่ไม่สามารถขึ้นสู่ที่หนึ่งได้ เพราะจุดหมายเขาเพียงต้องการการยอมรับจากคนอื่น ไคโออาจมีพรสวรรค์ และฝึกหนักจนถึงเลือด โกนหัวไม่มีคิ้ว หน้าตาแก่กว่าเด็กมัธยมโดยมาตรฐาน ใส่ชุดดำทั้งทีม ก่อนลงแข่งต้องไปทำสมาธิในส้วม สไมลี่ ใส่แว่นสุดเท่ห์ ลีลาการตีพลิ้วไหวสวยงาม สไมลี่เล่นปิงปองเพราะเป๊กโกะและเพื่อฆ่าเวลา เขาว่างั้น จนถึงวันที่ไม่มีเป๊กโกะให้วิ่งตาม เขาจึงค่อยฉายตัวตนออกมา บัตเตอร์ฟลาย โจ (ภาพปีกผีเสื้อบนหลังงามมาก) โค้ชของสไมลี่ ลบรอยพลาดในอดีตไม่ได้ ทำให้ ไปไม่ถึงจุดสูงสุด สุดท้าย เดม่อนที่ไม่มีสิ่งสวรรค์ประทานให้จึงต้องพ่ายให้แก่สไมลี่ แต่เดม่อนก็ได้เรียนรู้ที่ทางของตัวเอง ไคโอ (เล่นปิงปองเพื่อตัวเอง-เครียด) แพ้เป๊กโกะ (ความเชื่อมั่นในตัวตน) ฉากลูกปิงปองลอยขึ้น ไปท่ามกลางความสว่างโพลน เหมือนไคโอบบรลุธรรมแล้ว ว่าปิงปองนั้นต้องเพื่อปิงปอง และต้องสนุกกับมัน อย่างที่ฮีโร่ (เป๊กโกะ) เป็น สุดท้ายฉากที่ตัวตนทั้งสอง (เป๊กโกะกับสไมลี่) กลับคืน จึงไม่ใช่ไคลแม็กซ์แต่อย่างใด เพราะผลนั้นเพียง จะบอกว่า ถึงจะมีพรสวรรค์ แต่ถ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อมัน ก็หมดความหมาย ผมไม่ชอบบทพากษ์ภาษาไทยเอามากๆ ทำไมต้องยัดเยียดมุขฝืดๆใส่ปากตัวละครทั้งที่บางทีเขาหรือ เธอไม่ได้ขยับปากเลย ทำไมต้องพยายามทำให้เป็นหนังตลกทั้งที่มันไม่ได้เป็น ทำบรรยายไทยใส่หนังชาติอื่น นอกจากฝรั่งเสียทีเถิดครับ ขอร้อง เมื่อเขียนมาเรื่อยๆ ทำให้ผมรู้สึกเข้าใจหนังและตัวเองมากขึ้น ว่าอย่ากีดกันตัวเองจากความงามเลย อย่ายกวรรณกรรมให้สูงเกินควรเลย ศิลปินไม่ได้ต่างอะไรจากชาวนาหรือต้นหญ้า อย่าปฏิเสธเพราะเป็นการ์ตูน แต่จงปฏิเสธ ถ้ามันเป็นการ์ตูนที่เลว นอกจากเพลงอะคูสติกซึ้งกินใจ ยังมีเพลงแร็ปสะท้อนอีกด้านของสังคม นอกเหนือจากเจ้าชายน้อย โลกยังมี แจ็ค สเกลลิงตัน HULK และเป๊กโกะ THEY ARE HERO
Create Date : 18 กันยายน 2550 |
Last Update : 18 กันยายน 2550 9:11:12 น. |
|
0 comments
|
Counter : 454 Pageviews. |
 |
|
|
| |
|
|
Location :
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
หมายิ้มอยู่เชียงใหม่ ชอบดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ดื่มและกิน เรามีสตูดิโอชื่อ หมายิ้มสตูดิโอซึง่มีสโลแกนว่า วิดีโอเพื่อสังคมใหม่ เราชอบทำงานสื่อสร้างสรรค์อย่างวิดีโอ หนัง สารคดี แล ดนตรีร่วมสมัย ชอบเห่าดังๆให้โลกฟังถึงเรื่องราวอันผิดรูปผิดรอย เพราะอยากให้คนทุกคนมีรอยยิ้มแบบเดียวกับหมา
|
|
|
|
|
|
|