แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม / ตอนที่ 8 : ซาปา3 เวียดนาม
แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม / ตอนที่ 8 : ซาปา3 เวียดนาม แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ : ไทย ลาว เวียดนาม ตอนที่ 8 : ซาปา3 เวียดนาม
ไม่สำคัญว่านานแค่ไหน สำคัญที่ว่าเราเริ่มเมื่อไหร่ เมื่อเริ่มต้นเดินทางก้าวแรก เราก็เข้าใกล้ความฝันมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะล้ม แต่เราก็ยังลุกด้วยความยินดี เพราะเราอยู่บนเส้นทางนั้น เส้นทางแห่งความเป็นจริง ทีไม่ใช่อยู่เพียงความฝันที่ล่องลอยอยู่ในอากาศอีกต่อไป
นั่นคือครั้งแรกที่ผมตัดสินใจเดินทางและเลือกที่จะใช้เส้นทางนี้ การออกเดินทางแม้จะไม่มีใครยืนยันถึงสิ่งที่จะปรากฏอยู่ข้างหน้าเราในวันต่อวัน ความจริง ชีวิตเราก็เป็นเช่นนั้น! เราต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงในทุกวัน
เมื่อคืนทั้งคืน ลมพัดค่อนข้างแรง เสียงป้าย ผ้าใบ ไม้ เหล็ก เสียดสี กระทบกันดังก๊อกแก๊กตลอดคืน อากาศที่เย็น พร้อมกับสถาณะการณ์แบบนี้ทำให้จิตใจของเรากังวลและสร้างภาพต่างๆมากมายในสมองโดยปราศจากความเป็นจริง ภาพแห่งความกังวล หรือสิ่งที่ต้องการถูกสมองสั่งการผุดขึ้นมาเป็นภาพสลับไปมาจนตามเรื่องราวเหล่านันไมทัน บางครั้งก็เหมือนกับการนั่งรอบางอย่างให้เคลื่อนตัวเข้าใกล้เรื่อยมา มีมืดย่อมมีสว่าง ดวงอาทิตย์เริ่มปรากฏแสงรางๆบนท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง
เช้านี้ผมต้องออกไปสำรวจภายนอกให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั้นบ้าง ....หมอกขาวที่บังตากำลังถูกลมพัดพาออกไป แสงอาทิตย์สีทองดูอบอุ่น กำลังฉาบร่างของโลกและชาวโลกที่อยู่ที่นี่ เป็นครั้งแรกของหลายวันที่ผ่านมา ลมแรงไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่ผมคิดไว้เมื่อคืน
6.55 ทะเลหมอกที่ผมเห็นมาหลายวัน กำลังเคลื่อนตัวอาบแสงอาทิตย์ แนวภูเขาสูงใหญ่พากันปรากฏกายให้เห็นเรียงแถวกันยาวเหยียด บ้านหลังโตหดเหลือเพียงนิด เมื่อเห็นพื้นหลังเป็นทิวเขาใหญ่เหมือนเพิ่งถูกจับมาตั้งไว้
หมอกที่ถูกลมหอบออกไปทำให้เราเห็นหลายๆอย่างชัดเจนขึ้น บ้านบางหลังหลบซ่อนอยู่ใต้หมอกนั้นมาหลายวันแล้ว
ฟ้าใสสีน้ำเงินกับแสงสวยที่ประทะกลุ่มทะเลหมอก ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนตื่นตา ตื่นใจรีบลงมาถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึกกันใหญ่ บรรยากาศเหมือนในภาพยนต์ที่หลังเหตุการณ์พายุสงบ ผู้คนต่างมายืนชมแสงสวย และความงามที่แท้จริงของธรรมชาติพร้อมพูดคุยกัน
ทุกอย่างชัดเจน ตอนนี้พวกเรามองเห็นที่พัก เห็นถนน บ้านเรือน ในวันที่หมอกจากไป ทั้งมนุษย์รวมถึงสัตว์น้อยใหญ่ต่างออกมารับแสงอันอบอุ่น ท่ามกลางลมที่ยังพัดหอบเอาความเย็นเข้าปะทะร่างไม่หยุด ความเป็นเพื่อน ความเข้าใจของสิ่งมีชีวิตปรากฏจากแมวสองตัวที่ Yeonju เรียกผมไปดูบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่ต่ำกว่าที่พักที่เราอยู่
เมืองในหมอกและไอหมอกที่ไหลลงจากฟ้าไม่หยุดหายไป บ้านเรือนที่นี่ถูกย่อขนาดให้หดลงเหลือนิดเดียว
ทะเลสาบที่ผมเดินข้ามผ่านมาในวันแรก กลายเป็นอีกความมหัศจรรย์ที่พบเห็น หลังจากที่แสงได้ทำงานอย่างเต็มที่ ภาพสีเทาที่มีหมอกบดบัง ถูกเม็ดสีรวมตัวกันกลายเปนภาพที่งดงาม ภาพเหล่านี้อาจดูธรรมดา หากขาดการเปรียบเทียบกับภาพที่ถูกบดบังในครั้งก่อน ชีวิตอาจหาความงดงามไม่เจอ หากขาดหมอกที่เคยบดบังชีวิต เรามองเห็นคุณค่าของวันฟ้าใส เมื่อหมอกถูกพายุพัดพาออกไป สายลมเพียงแผ่วเบาคงไม่สามารถทำอะไรกับหมอกที่หนาซึ่งปกคลุมเมืองทั้งเมืองแห่งนี้ได้
แสงมีคุณค่ากับทุกชีวิตจริงๆ กิจกรรมต่างๆเริ่มขึ้น เหมือนดอกไม้ที่กำลังชูช่อ
9.55 ทุกสิ่งมีชีวิตต่างพากันออกมาสังเคราะห์แสง พร้อมหมอกบางๆที่ถูกลมหอบมพัดมาสลับกับภาพที่ชัดเจน เวลาดีแบบนี้ Ben เสนอ เพจเกจชมวิวที่เราไม่สามารถเดินไปได้บนยอดเขา พร้อมเพื่อนเดินทางซึ่งเป็นชาวเวียดนามอีก 3 คน ที่พ่อของ BEN เสนอเพิ่มมาในตอนหลังและลดราคาให้เรา จากคนละ 100,000 D เหลือ 80,000 D กับการชมเมืองซาปาของพวกเราทั้ง 4 คน
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะพักอยู่ที่นี่ เป็นความบังเอิญแบบโชคดีที่เราสามาถได้เห็น ซาปา ถึง 2 บรรยากาศ ทั้งบรรยากาศแบบเมืองในหมอก และบรรยากาศแบบฟ้าใส ก่อนออกเดินทางจากทริปที่ BEN เสนอ เราถ่ายภาพเก็บเป็นความทรงจำกันไว้ที่นี่ ซึ่งราคาที่พักเหมาะกับ Backpacker อย่างเราเป็นที่สุด ในราคา 8 USD หากมาคนเดียวก็มีห้องรวมให้พัก ราคา 4 USD ที่ MIMOSA HOTEL กลางเมืองซาปาแห่งนี้
11.29 เราเริ่มออกเดินทางกันพร้อมกับ 3 สาวชาวเวียดนาม ความเงียบภายในรถเป็นบรรยากาศที่กดดันนิดๆเพราะมีเพื่อนใหม่เพิ่มมาอีก 3 คน และแน่นอนว่า 3 สาวนั้นก็มีเพื่อใหม่ชาวต่างชาตินั่งมาด้วยอีก 4 คน
ระหว่างเส้นทางไปน้ำตกเราจะเห็นภาพทิวทัศน์ทะเลหมอกจากด้านบนยอดเขาที่สูงขึ้นไปอีกเป็นระยะ จนกระทั่ง 1.55 pm. เราก้เดินทางมาถึงบริเวณน้ำตกแห่งแรก ซึ่งต้องซื้อตั๋วเขาไปเดินชมอีกคนละ 10,000 D ในเส้นทางที่สูงชัน น้ำตกเล็กๆที่เป็นทางผ่าน แต่เป็นการสร้างมิตรสัมพันธใหม่ที่ดีให้กับพวกเรามากขึ้น เราเริ่มถ่ายภาพด้วยกันและพูดคุยกันมากขึ้น ถึงแม้ ภาษาอังกฤษจะไม่ค่อยแข็งแรง แต่ภาษามือและสายตาก็บ่งบอกได้ถึงความจริงใจที่ไม่แสแสร้งซึ่งสังเกตุได้ไม่ยากนัก
12.25 pm เราเดินทางกันมาถึงน้ำตกอีกแห่งที่พ่อของ BEN ภูมิใจเสนอสุดๆ บอกว่าที่นี่เป็นน้ำตกใหญ่ของ Sapa LOVE WATERFALL ผมไม่รู้ที่มาของชื่อนำตกจริงๆว่ามีความเป็นมาแบบไหน อย่างไร แต่เท่าที่สัมผัสได้หลายาอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ คงมาจากบรรยากาศและทิวเขาที่เหมือนภาพวาดสมัยวัยเด็ก ภาพวาดที่ภูเขาเป็นนสามเหลี่ยม มีบ้านหนึ่งหลัง และครอบครัวยืนจูงมือกันถ่ายภาพ
พวกเรายังคงเดินกันอย่างเร่งรีบเพื่อถ่ายภาพ ในขณะที่เราสามารถใช้เวลาสำหรับทริปนี้ไปถึง 4 ชั่วโมง ผมยังคงเดินตามท้ายขบวนอีกเช่นเคย ไม่ใช่เพราะเดินปิดท้ายแล้วปลอดภัยหรืออยากทำอะไรก็ให้กลุ่มคนข้างหน้าหยุดรอ แต่ที่ผมชอบเดินปิดท้าย เพราะบางครั้งผมจะได้ช่วยเหลือคนที่แย่สุด สามารถมองเห็นอาการของทุกคนได้ว่าเหนื่อยกันหรือเปล่า ทุกคนเร่งรีบกันมาแค่ไหน แลใครอยากได้รับความช่วยเหลืออะไรบาง โดยเฉพาะการถ่ายภาพร่วมกันกับคู่ของตน มันเป็นสิ่งที่ผมสามารถมอบให้กับพวกเขาได้ง่ายที่สุดและเราทุกคนมีอยู่ในตัวมากที่สุด คือการหยิบยื่น ช่วยเหลือ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ทุกคนเริ่มเดินกันอย่างเร่งรีบ จนผมต้องตะโดกนเรียกให้ช้าลง พร้อมกับอธิบายสามเหตุว่าทำไมถึงต้องช้า ทั้งเรื่องของเวลาที่ยังคงเหลืออยู่
เราสามารถนั่งชมบรรยากาศที่นี่ให้ช้าลงได้ เราสามารถนั่งพักเพื่อฟังเสียงน้ำ เสียงลม สัมผัสกับสายน้ำและก้อนหิน โดยที่ในกระเป๋าผมและPeter มีโดนัทที่ซื้อมาเมื่อเช้าอยู่คนละ 2 ชิ้น แต่ของผมเหลือเพียงชิ้นครึ่ง เพราะเมื่อเช้าสังหารไปครึ่งหนึ่งตอนซื้อใหม่ๆร้อนๆเพราะอดใจไม่ไหว
ผมอธิบาย พร้อมฉีกแบ่งโดนัทแบ่งกันคนละครึ่ง ครบ 7 คนพอดี เป็นอาหารกลางวันมื้อแรก เวลา 1.20 pm ที่เราทานด้วกันกลางน้ำตกแห่งรักนี้ อาหารมื้อง่ายๆแต่เต็มไปด้วยมิตรภาพใหม่ที่กำลังงอกงามอย่างรวดเร็ว ทุกคนมีเวลาเป็นของตัวเอง เดินเล่น ถ่ายรูป และบางคนหยุดพักนิ่งๆเพียงลำพัง เพือถามตัวเอง สายลม ผืนดิน ก้อนหินและสายน้ำ
แม้เป็นอาหารที่น้อยนิด แต่เมื่อถูกที่ถูกเวลา ย่อมกลายเป็นความทรงจำทีไม่มีวันเลือนลาง
เราเดินพูดคุย พร้อมกับเสียงหัวเราะกันมาเรื่อยๆระหว่างทาง เบอร์โทร ที่อยู่ Email ถูกสอบถามและแลกเปลี่ยนไว้เพื่อความสัมพันธ์อันดีในครั้งต่อๆไป หรือเอาไว้พูดคุยกันยามคิดถึงเมื่อต่างคนต่างอยู่กันในพื้นที่ของตน เป็นมิตรภาพดีๆที่ไม่มีใครอยากสูญเสียไปและอยากเก็บไว้ให้นานที่สุด
ทุกอย่างช้าลง เรามีเวลามากขึ้น ความเงียบงันที่ต่างคนต่างเดินนั้นหายไป และทุกสิ่งกลายเป็นความสวยงามแม้กระทั่งก้อนกินก้อนเล็กๆ ความรักที่แท้จริงของธรรมชาติสามารถสร้างโลกให้งามกว่าที่เป็นอยู่
เมื่อเดินออกจากน้ำตกแห่งรักแห่งนี้ Taeheon และ Yeonju ชวนผมกับ Peter นั่งกินอาหารกลางวันเพิ่มเติมกันแบบง่ายๆ ด้วยข้าวที่หุงในไม้ไผ่หรือข้าวหลามของเรา เพียงแต่ข้าวหลามของเวียดนามยังไม่ผ่านการปรุงงรสใดๆ มีเพียงถั่วบดที่ใหช้จิ้มกับข้าวเมื่อแกะออกจากกระบอกไม้ไผ่เพียงเท่านั้นเอง หลังจากนี้เราก็มีแรงที่จะเดินต่อขึ้นเนินเขาสูงอีกลูก ในขณะที่ 3 สาว ต้องหยุดรอที่รถเพราะขาเจ็บ
ข้างบนนี้ลมแรง อากาศเบาบาง หมอกที่มองเห็นเป็นทิวยาวไม่สิ้นสุด และมีระฆังไว้ทำอะไรสักอย่าง อาจเป็นความเชื่อ หรือไม่ก็อาจมีไว้สำหรับผู้พิชิตยอดเขาลูกนี้ ถือเป็นการจบทริปการเดินทางสำหรับการซื้อทัวร์ของ Ben ครั้งนี้
เมือมาถึงโรงแรมเรายังเหลือเวลาก่อนเดินทางเข้าฮานอย กระเป๋าของพวกเราฝากไว้ให้กับเบนเพื่อเก็บไว้ที่เคาว์เตอร์หลังจากเช็คแินออกเมื่อตอนเที่ยง เวลาที่เหลืออยู่เราพากันมาเดินดูพิพิธภัณฑ์ของชาวซาปา ซึ่งเป็นบ้านไม้ ภายในเล่าเรื่องราวของชนเผ่าต่างๆของที่นี่ มีรูปแบบบ้านของ Memi ซึ่งเป็นเผ่า Hmong ด้วย
หมอกเริ่มกลับเข้ามาปกคลุมที่นี่อีกครั้ง คราวนี้หนาวกว่าเดิม ไฟฟ้าก็ติดๆด้บจากลมที่พัดแรงเอาการ ครึ่งวันที่หมอกหาย เหมือนเป็นของขวัญที่ถูกส่งมาเฉพาะสำหรับพวกเรา
ในช่วงอาหารเย็น ผมกับ Taeheon และ Yeonju มีเวลาแลกเปลี่ยนกันชมผลงานภาพวาดของเรามากขึ้นที่ร้านอาหาร พวกเรานั่งดื่มชาพร้อมกับอาหารเย็นกันอย่างยาวนานเพียงไม่กี่โต๊ะที่มีลูกค้าสลับกันมานั่งก่อนที่จะได้เวลาสำหรับการเดินทาง
เมื่อใกล้เวลาพวกเรากลับมาเอากระเป๋าพรอมกับพูดคุยกับ Ben ที่เขาจะเดินทางไปส่งเราฟรีๆที่บริเวณรถยัสนอนไปฮานอย ตอนนี้ที่นี่ติดเตาผังใหม่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่กำลังติดตั้งกันช่วงที่เราเดินทางไปชมวิวน้ำตก ไม่ต้องใช้กระทะใบใหญ่ก่อไฟผิงด้านในอีกแล้ว
เมื่อได้เวลา Ben พาพวกเราไปขึ้นรถพร้อมกล่าวคำร่ำลาและบอกความสนใจขอซื้อนาฬิกาข้อมือของผม แต่น่าเสียดายที่ผมถอดไว้ให้กับเขาไม่ได้ เพราะสิ่งนี้ก็มีค่าทางใจสำหรับผมเหมือนกัน จึึงต้องติดเขาไว้สำหรับครั้งหน้าหากมาที่นี่อีกครั้งผมจะหานาฬิกาใหม่ไปให้เขาเพื่อตอบแทนให้กับมิตรภาพที่ได้รับ
8.15 pm TOYOTA FORTUNER ถูกขับมาพาเราส่งขึ้น Sleeping bus เพื่อเข้าสู่ฮานอยในวันรุ่งขึ้น พวกเราขึ้นรถหาที่พักของแต่ละคนซึ่งเป็นเหมือนกับแคปซูลอาวกาศที่พักส่วนตัว ภายในรถมี Wifi ซึ่งเปฒือนเป็นสิ่งสำหรับสำหรับทุกแห่งไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่พัก ร้านอาหาร ร้านกาแฟหรือบนรถขณะเดินทาง ผมสลับที่นอนหมายเลข 11 กับ Yeonju ให้อยู่ข้างกับ Taeheon และนอนด้านหลังเหมือนเดิม ทุกคนยังอยู่ในสายตาของผม จนกว่าผมจะหลับตาลง
ตอนที่ผ่านมาและต่อไป "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ; ไทย ลาว เวียดนาม" ตอนที่ 8 : ซาปา3 เวียดนาม <<<< Now! here ตอนที่ 10: ฮานอย 2 เวียดนาม ตอนที่ 11 : เหว้ เวียดนาม ตอนที่ 12 : เหว้-สวรรณเขตสู่ไทย
Create Date : 25 มกราคม 2558 |
Last Update : 6 ธันวาคม 2559 7:33:48 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2583 Pageviews. |
|
|