Update! • Kenny Keng Web• Activity • Article • Imagine • My ARTWORK • BackPack/Journey • Sketch • All Art • alphafo

alphafoBasic Sketch • • 333 STUDIO KENNY KENG Blog


ALPHA FO
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]








**อันนี้ก็สำคัญครับ กับเรื่องของสิทธิ
คือว่าถ้าหากเพื่อนๆท่านใด
ต้องการนำภาพหรือบทความไปเผยแพร่
กรุณาแจ้งผมด้วยนะครับ

**ขอบคุณครับ**

alphafo

New Article : JAN 2015

Art trip : My Journey
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม"ฮานอย1 เวียดนาม:13/02/15
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม" ซาปา3 เวียดนาม:31/01/15
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม" ซาปา2 เวียดนาม:16/01/15
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม" ซาปา1 เวียดนาม:14/01/15
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม" เดียนเบียนฟู เวียดนาม:09/01/15
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม" หลวงพระบาง ลาว:07/01/15
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม" ไชยบุรี2 ลาว:26/12/14
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียนาม" ไชยบุรี1 ลาว:25/12/14
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม" ปาด แปด 8:23/12/14
• "เริ่มใหม่...ได้ทุกเมื่อ":25/02/14
• "ปั่นคิดที่กองโค":19/12/12
• "12 12 12":12/12/12

• "ลับแล ซะที" :06/08/12

• BEST OF THE BEST:05/03/12

alphafo

• กาแฟสดบ้านหมึกจีน coffee and china's art gallery:16/02/12

Update! • อุปกรณ์การวาด carbon powder
•เทคนิคการทำเฟรมเขียนสีน้ำมัน
•เทคนิคการทำเฟรมสีน้ำมัน
•ปลอกต่อดินสอ EE กรณีดินสอของท่านหดสั้นจุ๊ดจู๋
•การทำสมุดเสก็ตซ์อย่างง่ายและประหยัด
•ภาพตัวอย่างสีชอล์ก 1
•ภาพตัวอย่างสีชอล์ก 2
•ภาพตัวอย่างสีชอล์ก 3



Update!เทคนิค ขั้นตอน การวาดภาพการ์ตูน
• : เทคนิคการวาดภาพผงคาร์บอนพระเจ้าตากสินมหาราช และพระยาพิชัยดาบหัก
• การวาดการ์ตูนล้อเลียน
• พื้นฐานการวาดการ์ตูน
•เทคนิคการวาดภาพคนสีชอล์ก(หลวงปู่แดง)
•เทคนิคการวาดภาพคนเหมือนเต็มตัวสีน้ำมัน
•การวาดเส้นสีคนเหมือน แบบหญิง
•การวาดเส้นสีคนเหมือน แบบชาย
•เทคนิคการวาด carbon powder
•การวาดสีชอล์กแท่ง พระยาพิชัยดาบหัก
•การแก้ไขภาพสีน้ำมัน landscape
•เทคนิควาดภาพสีน้ำมัน Landscape
•พื้นฐานการวาดภาพสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่(Basic)
•เทคนิคการวาดเส้นหุ่นนิ่ง(Drawing)
•เทคนิคการวาดเส้นภาพเหมือน(portrait) "ตา"
•เทคนิคการวาดเส้นภาพเหมือน(portrait) "จมูก"
•เทคนิคการวาดเส้นภาพเหมือน(portrait) "ปาก"
•เทคนิคการวาดเส้นรูปคนเหมือนด้วยดินสอ EE(drawing portrait-woman)
•เทคนิคการวาดเส้นคนเหมือน (Drawing sketch)
•เทคนิคการวาดเส้นรูปคนเหมือนภาพสีด้วยสีชอล์กแท่ง(pastel portrait)
•เทคนิคการใช้สีชล์อกแบบ drawing
•เทคนิคการแกะสติ๊กเกอร์แบบปลอกล้วย(จริงๆ)

alphafo ART ARTICLE :
• "เที่ยวไปกับถ่าน"ตอนที่ 6(สุดท้าย): โบนัสพิเศษกับงานศิลปะ
• "เที่ยวไปกับถ่าน"ตอนที่ 5 : วิธีการวาดภาพให้ได้ (เอาจริงซะที 2)
• "เที่ยวไปกับถ่าน"ตอนที่ 4 : วิธีการวาดภาพให้ได้ (เอาจริงซะที 1)
• "เที่ยวไปกับถ่าน"ตอนที่ 3 : ตามหามุมบันทึก(วาดเส้น)
• "เที่ยวไปกับถ่าน"ตอนที่ 2 : ทำไมต้องเป็นถ่าน?
• "เที่ยวไปกับถ่าน" ตอนที่ 1: เด็กน้อยกับฝาบ้าน
**ภาพสเก็ตซ์สีชอล์กน้ำมัน
**เทคนิคประสม...ใคร ??
ศิลป์(ป่ะ) “ต้องเป็นตัวของตัวเองดิ๊” ...

ภาพวาดที่ฉีก: ผมยืนมองภาพพร้อมกับฟังเสียงหล่น..
ANATTA: วันที่ความหดหู่ หดเหี่ยว หรือเหี่ยวจนหด...
alphafo
alphafo

alphafo
alphafo


Sketch crawl ร่วม Sketch กับเพื่อนๆทั่วโลก

alphafo ALPHA FOCUS หนังสือพิชัย เมืองเล็กฯ เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองหน้าด่านของสยามประเทศในอดีต.....
alphafo
โอกาสที่ท่านมุ้ยมอบให้ สิ่งที่ผมเฝ้าศึกษาและสังเกตุ จะมีเรื่องราวและข้อมูลไปพ้องกับใครบางท่านเข้าอย่างจัง...

New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ALPHA FO's blog to your web]
Links
 

 
แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม / ตอนที่ 6 : :ซาปา1 เวียดนาม



แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ : ไทย ลาว เวียดนาม
ตอนที่ 6 : ซาปา1 เวียดนาม

ผมตื่นเช้าเป็นปกติ ชั่วโมงสำคัญสำหรับผม คือช่วง 03.00 -05.30 am.
เวลาที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงรถ ไม่มีเสียงผู้คน คงมีแต่เสียงของตัวเราเองที่ดังชัดเจนอยู่ข้างใน
จากนั้นก็เอาสิ่งที่วนเวียนอยู่ข้างในจักรวาลแห่งความคิดของเรานั้นออกมาสู่หน้ากระดาษหรือบันทึกลงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แต่เวลาของผมไม่ได้หมายถึงว่าจะดีที่สุด 
เพราะเราทุกคนต่างมีเวลาที่ดีที่สุดของตัวเองนั้นแตกต่างกัน

6.00 am. ผมและคุณปีเตอร์เดินออกจากที่พักเพื่อไปเช็คอินที่สถานีขนส่งที่อยู่ใกล้
หลังจากที่กินเฝอสำเร็จรูปที่ซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเมื่อเย็นวาน
ด้วยการเทน้ำร้อนและรอเวลาซด




ภายในสถานีจอดรถเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเดินสับสนวกวนเดินชนกันไปมา
พวกเขาคอยเดินตามหานักเดินทางที่มีตั๋วรถเพื่อเรียกขึ้นรถตามตั๋วที่จองไว้หรือเพิ่งซื้อมา 
เป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาเดินตามหาหรือขึ้นรถผิดคัน
คนขับรถที่ผมนั่งแต่งตัวดีสุด เขาตัดผมทรงสกินเฮดเรียบร้อย สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวพร้อมเสื้อกั๊กไหมพรมทับอีกชั้นและรองเท้าที่เป็นมันเงา
ดูเหมือนเป็นพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมวิธีการปฎิบัติต่อลูกค้ามาเป็นอย่างดี
เขาเชิญให้เราไปนั่งตามหมายเลขในตั๋วที่เรามีในรถพร้อมกับยกกระเป๋าของเราเป็นพิเศษไว้ที่ช่องเก็บท้ายรถ
เราได้หมายเลขอยู่ตอนกลางของรถริมหน้าต่าง ทำให้สามารถมองทิวทัศน์ด้านนอกได้
ส่วนด้านหน้าจะเป็นผู้โดยสารท้องถิ่น ถัดมาเป็นชาวฝรั่งเศสที่มากันเกือบเต็มคันรถ
6.11 am. ก็ได้เวลารถออก ซึ่งออกก่อนกำหนดไป 19 นาที
หลังจากที่ผู้โดยสารยังไม่ครบคนเพราะลงไปเข้าห้องน้ำ ทำให้ต้องรีบบอกคนขับให้รอ 
ความผิดไม่ได้อยู่ที่ผู้โดยสารเพราะยังไม่ถึงเวลา บางทีพวกเขาอาจเร่งเพื่อให้ถึงก่อนกำหนดหรือไม่คงอาจคิดว่าครบแล้วก็เป็นได้
พวกเขาดูเร่งรีบตลอดเวลาเหมือนมีนัดสำคัญ อาจด้วยระยะทางที่ไกล คดเคี้ยว 
หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ผมไม่อาจรู้ได้ในตอนนี้




เราเริ่มอกจากเมืองเดียนเบียนฟูมาเรื่อยๆ สองข้างทางเป็นภูเขา หมอก ต้นไม้ แม่น้ำ ชีวิตที่อาศัยอยู่กับธรรมชาติ
และบ้านเรือนที่เป็นไม้เสาใหญ่หลายต้นยกสูงตั้งเป็นหมู่บ้าน อยู่เป็นกลุ่มๆ 
บางที่กลุ่มใหญ่ บางแห่งก็กลุ่มเล็กๆ แต่พวกเขาไม่แยกจากกัน 
ไม่มีพื้นที่ปลูกบ้านเดี่ยวๆ ดูเหมือนเป็นหมู่บ้านจัดสรรที่สร้างจากไม้ทั้งหมู่บ้าน
ผมสังเกตุเห็นเจ้าผู้คนที่ขึ้นลงหรือทำกิจกรรมบนบ้านไว้ผมยาวมวยกองใหญ่ไว้บนหัว ใส่ชุดสีดำ คงเป็นกลุ่ม"ไทดำ"





รถที่เคลื่อนตัว ทำให้ 2 ข้างทางดูเหมือนมีถูกดึงให้เลื่อนให้ผ่านตัวเราไปเรื่อยๆในขณะที่เรานั่งอยู่กับที่
แสงอาทิตย์ที่เริ่มแทรกตัวออกจากกลุ่มหมอกมีให้เห็นเป็นระยะ
พร้อมๆกับการจอดรับส่งผู้โดยสารท้องถิ่นที่มีให้เห็นเป็นระยะเช่นกัน
อากาศเย็นทำให้กระเพาะปัสสาวะของผมเริ่มบีบตัวเพื่อพยามจะคายน้ำส่วนที่เกินออกจากร่างกาย

จนในที่สุดพวกเราก็ได้หยุดพักที่หมู่บ้านหนึ่งที่สร้างแบบสมัยใหม่
มีสะพานทอดยาวข้ามแม่น้ำใหญ่  มีที่จอดรถหรือพักรถระหว่างเส้นทางเพื่อให้ผู้โดยสารได้เข้าห้องน้ำ

8.44 am พวกเราก็ถูกเรียกออกจากการพูดคุยหรือถ่ายรูปด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่ถูกสตาร์ทขึ้น
ระยะทางคงอีกไกล และเราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะหยุดรับ-ส่งผู้โดยสารที่ไหนบ้าง




9.55 am ถนนราบเรียบที่ดูเหมือนไร้อุปสรรคเริ่มหมดไป
เมื่อพวกเราเดินทางมาถึงบริเวณทางที่กำลังทำการขยายพื้นผิวใหม่ให้กว้างขวางขึ้น
ผู้คนที่มอมแมมจากฝุ่น พร้อมรถเป็นแถวยาวจอดรอเส้นทางที่ถูกปิดกั้น ผมไม่รู้ว่ามันจะอีกนานเท่าไหร่กว่าเส้นทางจะเปิด
ซึ่งอาจเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้พวกเขาออกรถก่อนเวลาทันทีเมื่อพร้อม






เราต้องหยุดระหว่างทางเป็นระยะ เพื่อจอดรอเส้นทางที่ปิดเพื่อทำทาง
บางแห่ง 5 นาที  บางแห่งก็ 15 นาที
อนาคตเมื่อเส้นทางเหล่านี้เสร็จสิ้น การเดินทางจะสะดวกมากขึ้น
ชีวิตของผู้คนระหว่างเส้นทางที่ผมเดินทางมาตั้งแต่ต้นทริปนี้จะเปลี่ยนไป

1.11 pm เรามาถึงที่พักรถโดยสารพร้อมเป็นเวลาอาหารกลางวัน
พวกเราถูกเรียกให้เข้าไปภายในอาคารอย่างเร่งรีบ พร้อมกับเวลาที่กำหนดไว้ 30 นาที
ผู้โดยสารท้องถิ่นหลายคนเริ่มขนสัมภาระลงจากรถ ความสงสัยทำให้ผมหันไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น

เขาไม่ตอบอะไรนอกจากเรียกให้พวกเราขึ้นไปด้านบนเพื่อซื้ออาหารทาน และกลับมาขึ้นรถตามเวลา
ที่นี่ไม่มีอะไรให้เลือกมานักนอกจากเฝอและความว่างเปล่า พร้อม
คนที่เดินทางน้อยกว่าจำนวนรถที่จอดอยู่ด้านนอก




หลังจากเราจบอาหารมื้อกลางวันและเข้าห้องน้ำเรียบร้อย ยังคงเหลือเวลาอีกมากกว่าจะถึงเวลาที่นัดไว้
ผมเดินออกมาจากตัวอาคาร พร้อมกับชาวฝรั่งเศสที่กำลังเดินตามหลังมาไม่ห่างมากนัก
เมื่อถึงที่จอดรถที่พวกเราเดินทางมาพร้อมกัน ความประหลาดใจก็เกิดขึ้นเมื่อ รถคันนั้นหายไป

ม่มีรถ ไม่มีคนขับ ไม่มีสัมภาระของพวกเราวางอยู่
เราหันหน้าพร้อมส่งสายตาด้วยคำถามเดี๋ยวกันว่า "รถหายไปไหน"


รถถูกเปลี่ยนคันโดยที่พวกเราไม่รู้
ชาวฮอลแลนด์สองคนที่เดินทางมาพร้อมกับเราอยู่บนรถอีกคัน พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่ากระเป๋าเราอยู่ไหน
เขาเพียเอากระเป๋าของเขามาด้วยเท่านั้นเอง
พวกผมถูกเรียกขึ้นรถอีกคันเพื่อนเดินทางไปต่อที่ซาปา
คำถามถูกป้อนเป็นชุดๆ ตั้งแต่เรื่องกระเป๋า เอกสารของบางคนที่อยู่บนรถคันเดิม
ไม่เพียงคำตอบเดียวว่า "ไม่ต้องกังวล" บอกแบบตะกุกตะกักว่า "กระเป๋าถูกขนไปรอที่ซาปาแล้ว"

ไม่มีใครเชื่อ!!!!!



ไม่มีใครยอมจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
คนขับรถที่มารยาทดีพร้อมแต่งตัวดีเมื่อเช้า ขนกระเป๋าเราไปไหนก็ไม่รู้

กระเป๋า 9 ใบ พร้อมกระเป๋าเอกสารใบเล็กของชาวฝรั่งเศสอยู่บนรถบัสคันนั้น
เรื่องโกลาหลเกิดขึ้น การสื่อสารคนละภาษาเกิดขึ้นเมื่อชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้
ชาวเวียดนามที่อยู่บริเวณนั้นก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้นอกจากคำว่า "Don't worry"
"คุณไม่ WORRY แต่พวกเรา WORRY โว้ย!" เสียงตะโดนจากใครบางคนดังสนั่น


ถึงตอนนี้พวกเขาโทรศัพท์ตามรถกันให้วุ่น
พวกเรายืนยันจะไม่ขึ้นรถคันไหนจนกว่าจะได้กระเป๋าและเดินทางไปพร้อมกับกระเป๋าของตัวเอง

โชคดีที่ผมถ่ายภาพรถคันที่ผมขึ้นไว้ด้วย ผมเรียกชายอีกคนที่ดูจะคุยรู้เรื่อง
พร้อมเปิดหลักฐานรถคันที่ขนกระเป๋าพวกเราไปให้พวกเขาดู
 1 ชั่วโมงที่ลุ้นระทึกกับการได้กระเป๋ากลับคืน
ในที่สุดคนขับรถตัวดี 22 B-00271 ก็ขับรถเปล่ากลับเข้ามาพร้อมกับทำตัวว่าไม่รู้เรื่อง
แต่กระเป๋าของพวกเราถูกแยกไว้ในรถบัส 2 คัน ที่ถูกตามกลับมา

สำหรับในกระเป๋าผม ไม่มีอะไรมากนอกจากกาแฟ แผนที่จากเส้นทางที่ผ่านมา
 และ เสื้อผ้าพร้อมถุงเท้าเน่าๆ 4 ชุดที่ยังไม่ได้ซัก

แต่ของเพื่อชาวฝรั่งเศสอีกคนที่พูดภาษาอังกฤษได้
มีเอกสารอย่างพลาสปอร์ตและทุกอย่างติดไปบนรถด้วย
สำหรับผมจะเอาของสำคัญติดตัวในกระเป๋าใบเล็กตลอดเวลาทั้งเงิน พลาสปอร์ต สมุดบันทึกและเอกสารสำคัญ



เมื่อพวกเราทั้งหมดได้รับกระเป๋าคืนด้วยใจระทึก

02.37 pm การเดินทางต่อก็เริ่มขึ้น แต่ครั้งนี้เต็มไปด้วยความเงียบงัน
การเดินทางของความคิดวนเวียนไปมาถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
เรื่องราวแบบนี้คงไมได้เกิดขึ้นแต่เพียงที่นี่
สถานที่ท่องเที่ยวหลายๆแห่งก็เป็นแบบนี้ มีสารพัดเรื่องร้ายตั้งแต่ของหายจนถึงชีวิต
บ้านเราก็มีเรื่องแบบนี้


การระวังและป้องกันที่ดีที่สุดคงต้องเป็นที่ตัวเราเอง ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนในโลกใบนี้
ยังไงมนุษย์ก็มีความโลภ เมื่อมีโอกาสที่จะเอาของของผู้อื่น
อยู่ที่ใครจะระงับยับยั้งความโลภเหล่านี้ด้วยสติ ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน

เรื่องราววัฒนธรรมยังคงอยู่ ธรรมชาติยังคงอยู่
สถานที่และคนดีๆที่มีอยู่มากมายก็ต้องมีอยู่เช่นกัน

3.51 pm หรือ 15.51 น. เราก็เดินทางมาถึงที่พักรถอีกแห่ง
เสียงเรียกจากผู้ช่วยคนขับที่เป็นธุระตามกระเป๋าให้พวกเราจนครบบอกว่าที่นี่คือ ซาปา
หมอกที่หนาทำให้ผมมองไม่เห็นอะไรจากระยะไกลมากนัก

ตอนนี้เราไม่รู้ว่ามีที่พักที่ไหนบ้าง เราไม่รู้ว่าอยู่บริเวณไหน และกำลังจะไปที่ไหน
ที่นี่ เราไม่รู้จักใคร และไม่มีใครรู้จักเรา
กลุ่มชาวฝรั่งเศสที่ลงมาพร้อมกันเดินรวมกลุ่มไปที่ซอยด้านหน้า

แต่สำหรับผมขอเริ่มต้นด้วยแผนที่ที่ป้ายที่ติดอยู่ด้านหน้าพร้อมชาวฮอลแลนด์อีกสองคน
และคุณปีเตอร์ที่ดูเหมือนจะอารมณ์จะยังค้างคาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมง
เวลานี้การที่เรารู้ตัวว่าอยู่ตรงไหนสำคัญสุด
ต่อมาก็ต้องรู้ว่าจะไปที่ไหน อย่างไร แล้วค่อยว่ากันต่อไปถึงสถานที่สำคัญต่างๆของที่นี่





เมื่อรู้แล้วผมก็เดินทางต่อ
แผนการณ์ต่อไปของผมคือหาซื้อแผนที่ของเมืองนี้
เพราะในนั้นจะมีที่พักและเส้นทางที่เราต้องการจะไป ในเมืองที่หมอกหนาแห่งนี้

ไม่มีร้านไหนขายแผนที่

เส้นทางที่เลี้ยวไปมาทำให้ผมเจอกับเพื่อนชาวฝรั่งเศสที่ร่วมชะตากรรมเดียวกันอีกครั้ง
เขากำลังเดินตามหาโรงแรมตามหนังสือแนะนำในมือของเขา
ในขณะที่ผมก็กำลังตามหาโรงแรมจากนามบัตรที่ได้จากชายหนุ่มท้องถิ่นคนหนึ่งราคา 8 USD
ที่ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาแนะนำที่พักให้กับเราพร้อมชวนเรานั่งมอเตอร์ไซค์ไปกับเขา

เหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อกี้ ทำให้เราเลือกเพียงรับนามบัตรของเขามาเท่านั้น

เราเดินตามหาโรงแรมกันสักพักก่อนที่จะแยกทางอีกครั้ง
เพราะเส้นทางที่ผมเลือก คือ กลางเมืองที่มี Tourist Information
เขาบอกว่า ยิ่งกลางเมืองโรงแรมยิ่งแพง เขาต้องการได้โรงแรมราคา 8-10 USD 

ก่อนแยกจากกันเขาถามผมว่า "คุณพูดอะไรกับชาวเวียดนามถึงได้กระเป๋าคืน"
ผมตอบไปว่ารูปในกล้องที่ผมถ่าย มีทั้งรูปรถ ทะเบียนรถ รูปคนขับ ผมตามกับเจ้าหน้าที่ไม่ยากหรอก
จากนั้นพวกเขาก็โทรหากันจนเอากระเป๋ากลับคืนมาให้เรา
เป็นอีกวิธีที่ผมใช้ได้ผลเสมอมาหรือการกดชัตเตอร์เก็บเรื่องสำรองเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
อีกวิธีคือการโพสรูปลงอินเตอร์เนตถึงบริเวณสถานที่ครั้งสุดท้ายที่ผมอยู่ ซึ่งหากผมหายตัวไปคงตามตัวได้ไม่ยากนัก
เอกสารบางส่วนผมจะสำรองเก็บไว้ในอีเมล์ทั้งภาพถ่ายพลาสปอร์ต บัตรประชาชน ใบขับขี่ และอีกสารพัดที่จำเป็น กรณีฉุกเฉิน

เมื่อคำถามเสร็จสิ้นเราก็แยกจากกัน อาจจะเจอกันอีกครั้ง หรืออาจจะไม่เจอกันอีกเลยก็ได้

เราเดินทางมาถึงทางแยกหนึ่งพร้อมคำถามที่ถูกตั้งไว้สำหรับโรงแรม MIMOSA ตามนามบัตรที่ได้
ไม่มีใครแนใจสำหรับโรงแรมแห่งนี้ จนในที่สุดชายคนนั้นก็ปรากฏตัวและชวนเราขึ้นรถมอเตอร์ไซค์พามาที่โรงแรมแห่งนี้



เมื่อผมเดินเข้ามาก็เจอกับชาวฝรั่งเศสกลุ่มที่เดินทางมาก่อนหน้าเรา
หลังจากเราใช้เวลาเพื่อหาซื้อแผนที่มีระยะหนึ่ง
เมื่อได้ที่พักในราคาที่เหมาะสม มีทั้งเครื่องทำน้ำอุ่น และเตียงที่อุ่นจากเครื่องทำความร้อน
เราก็ออกหาอาหารมื้อแรกของที่นี่เพื่อลิ้มลอง

หมอกที่หนาพร้อมกับไฟที่ติดๆดับกันทั้งเมืองทำให้เราเลือกร้านที่อาหารปลอดภัยไว้ก่อนพร้อมโปรโมชั่นแก้หนาว
ด้วยพิซซ่า แถมเครื่องดื่ม ปีเตอร์เลือกเบียร์ ผมเลือกสไปร์ส ซึ่งดูเหมือนจะขาดทุนเล็กน้อย





หลังจากเราเลือกพิซซ่าเป็นอาหารเย็นไปเรียบร้อย
ระหว่างทางที่เราเดินกลับโรงแรม ก็เห็นอาหารวางขายอยู่มากมายหลายอย่าง
แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ตอนนี้ของร้านที่มีเมนูราคาชัดเจนก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ

บางที เรื่องราวที่ผ่านมาทำให้เรามองโลกอาจร้ายแรงเกินไปหรือไม่ก็สวยงามเกินจริง
ทำให้หลายๆครั้งเราเลือกวิธีการที่จัการใช้กับชีวิตได้ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก



เช้าวันต่อมาหลังจากผจญกับไฟฟ้าที่ติดๆดับทั่วเมืองตลอดช่วงหัวค่ำด้วยอุณหภูมิ 4 องศาพร้อมหมอกหนา
6.55 am. ผมออกเดนดูรอบๆตลาดสำรวจเส้นทาง ซึ่งเวลานี้ผมยังไม่รู้จะไปที่ไหน
นอกจากหาแผนที่หลังจากที่ได้จาก BEN ชายหนุ่มซึ่งเป็นเจ้าของ MIMOSA HOTEL แห่งนี้ซึ่งเป็นเพียงแผนที่คร่าวๆในเมือง

พื้นที่ที่เฉอะแฉะจากน้ำค้างที่ตกหนักเป็นละอองเล็กๆ ลมที่พัดตลอดเวลาในอุณภูมิ 4 องศา
ระยะการมองเห็นที่มีอยู่ได้ไม่ไกลมากนักจากการมองเห็น
ผมจะไปที่ไหนได้ในเวลานี้







ชาวเขาที่เอาสินค้ามาวางเรียงรายอยู่กลางเมืองที่ยังไม่เห็นวี่แววคนซื้อ
เสียงแตรรถมีเป็นระยะ เพื่อส่งสัญญาณให้รู้ว่ากำลังอยู่ในหมอกหนาที่มองไม่เห็น



ร้านค้า เกลเลอลรี่ ขนมปัง ของพื้นเมือง อาหาร ผลไม้
ร้านอาหารทะยอยเพปิดกันเรื่อยๆ เหมือนทุกเมืองท่องเที่ยวที่มีออยูหลายๆพื้นที่
บางเมือง บางแหล่ง เปิดเฉพาะยามพลบค่ำ 
บางแหล่งเปิดเฉพาะเวลาเช้าตรู่




ชีวิตที่ดำเนินไปในทุกๆเช้าพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่โผล่โพ้นขอบฟ้า
ทำให้เราเห็นตลาดเช้า อาหาร และชีวิต



8.31 am ผมกลับเข้าที่พัก พร้อมกับ Big Surprise! ดาวโลกดวงกลมเล็กๆใบนี้
ผมเจอกับเพื่อนชาวนอร์เวย์สองคนที่แยกกันที่เดี่ยนเบียนฟู
พวกเขากำลังจะเดินทางไปต่อที่ฮานอย
เราคุยกันถึงสถานที่จะไปและเรื่องราวที่ผ่านมากลางกระทะไฟอุ่นๆหน้าเคาว์เตอร์

ผมคุยกับ Ben ถึงการเดินทางไปฮานอยด้วยรถไฟแบบ 4 เตียงตามที่แนะนำกันในเมืองไทย
บางทีผมอาต้องจองตั๋วเดินทางก่อนที่จะไม่สามารถมีเตียงสำหรับผม
Ben โทรไปเช็คตารางรถพร้อมราคาเดินทางกว่า 600,000 D

เพื่อนผมก็เช่นเดียวกันพวกเขากำลังจะไปฮานอย
เธอเลือกเดินทางไปฮานอยด้วย Sleeping Bus
และแนะนำผมอีกทีว่าส่วนใหญ่ Backpacker ด้วยกันแล้วจะเลือกเดินทางแบบนี้
เพราะทั้งประหยัดและสะดวกกว่าการที่ต้องจ่ายค่าแท็กซี่อีก 50,000 เพื่อไปสถานีรถไฟ
Sleeping Bus ราคาเพียง 250,000 D ผมตัดสินใจยกเลิกการเดินทางด้วยรถไฟกับ Ben ที่กำลังรอสายจองตั๋วรถไปพอดี

นี่แหละการเดินทางที่พึงพาอาศัยกันมาระหว่างเส้นทาง
การเดินทางที่สวยงามของอนาคตและมิตรภาพที่เราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้าเส้นทางนั้น

เช้านี้ผมประหยัดเงินได้กว่า 400,000 เพราะมิตรภาพจากการเดินทาง



Big Surprise! เกิดขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่ผมกำลังนั่งคุยกับ Ben
เพื่อนชาวเกาหลีสองคนที่แยกกันที่เดียนเบียนฟูก็พักอยู่ที่นี่
เราทั้งหมดต่างตกใจพร้อมกับเสียงหัวเราะลั่นที่พัก
เราทุกคนที่นี่รู้จักกันจากการเดินทาง แม้จะต่างสถานที่ต่างที่มากัน แต่ก็มาเจอกันในสองประเทศ
ตั้งแต่ฝั่งลาวหลวงพระบางจนถึงเวียดนามเดียนเบียนฟูและซาปา

ชาวเกาหลีทั้งคู่ถาม Ben ถึงร้านกาแฟ ซึ่งผมเองพกติดตัวมาอยู่แล้ว
จึงเปลี่ยนเป็นขอน้ำร้อนจาก Ben และกาแฟจากบนห้องพักผม พร้อมๆกับคุณปีเตอร์ที่เดินเข้าประตูมา
หลังจากออกตามหลังผมไปด้านนอก เพียงแต่เราเดินไปกันคนละเส้นทาง

กาแฟที่ผมพกไปครั้งนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตัวของมิตรภาพที่ใหญ่ขึ้น
เรานั่งจิบกาแฟไปพร้อมๆกับ Ben ที่เข้าไปหยิบกีตาร์ออกมาเพื่อเล่นขับกล่อมพวกเราในเช้าวันนี้
เสียงปรบมือ ความเงียบและเสียงหัวเราะดังสลับกันไปมาระหว่างเพลงจบ
Ben พูดภาษาอังกฤษได้ดี เราสามารถสื่อสารกันได้ง่ายกว่าหลายๆที่พักที่มีเพียงพนักงานที่บอกราคาห้องและขายทริปท่องเที่ยว





เมื่อเพลงบรรเลงจบไปหลายเพลง Ben ก็ขอตัวออกไปทำงาน
นั่นคือการขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปรับลูกค้า ที่มาสภาพเดียวกับผมเมื่อวาน

ผมเริ่มต้นด้วยคำถามง่ายๆถึงทริปในวันนี้กับเวลาที่มี
พวกเขามีทริปกันแล้ว Taeheon ชายเกาหลี ชวนผมออกไปชี้บริเวณแผนที่ด้านหน้าโรงแรมสำหรับแผนของพวกเขา
Yeonju หญิงชาวเกาหลีก็พยายามแปลให้ผมฟังอีกครั้งเพราะ 
Taeheon ยังคงไม่ถนัดภาษาอังกฤษมากนัก

ผมกล่าวเพียงสั้นๆ "ผมไม่มีแผน ขอเดินตามหลังคุณก็แล้วกัน"
การตอบรับด้วยความยินดีเกิดขึ้นสำหรับการเดินทางร่วมกัน ซึ่งการเดินทางแบบนี้หากเราต้องซื้อทริป
เราต้องจ่ายเงินจำนวน 11 USD ต่อคน ซึ่งจะมีไกด์และรถพากลับมาให้เราหลังจากการเดิน



Taeheon เคยมาที่นี่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เขายังคงพอจำเส้นทางได้
เราตัดสินใจซื้อขนมปังติดไปเป็นมื้อกลางวันตามที่ผมแนะนำ เผื่อหิวระหว่างทางกว่า 15 กม.ที่เราต้องเดินให้รอบ
 9.30 am ผู้คน นักท่องเที่ยวเริ่มเดินกันเต็มถนนกลางเมือง
หมอกยังคงปิดบังเส้นทางได้ดี สำหรับผมเราคือการได้ลุ้นว่าเราจะได้เห็นอะไรกันมากกว่าเส้นทางที่เต็มไปด้วยหมอกที่ปกคลุมอยู่แบบนี้

เราเริ่มมีชาวเขามาพูดคุยด้วย เธอตัวเล็กๆ พร้อมแบกเด็กน้อยบนหลังของเธอ
เธอบอกว่าว่า ผม หน้าตาดูใจดี ทุกครั้งที่เธอมองจะเห็นรอยยิ้มจากผมเสมอ
จริงเหรอ !! 
ที่สำคัญเธอบอกจะเดินให้คำแนะนำเราไปเรื่อยๆจนกว่าจะซื้อสินค้าของเธอ



10.00 am. เส้นทางที่เราเดิน หมอกยังคงหนาขึ้นเรื่อยๆ
ผมบอกกับ 
Taeheon และ Yeonju ว่าผมเดินตามหลังพวกเขาเหมือนดู Music VDO เพลง Imagine ของ John Lennon เลย
ผมรู้สึกแบบนี้จริงๆ พร้อมร้องบางท่อนให้พวกเขาผังถึงเพลงนี้

ผมอธิบายถึงถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่ไร้เขตแดนกั้น
ไม่มีศาสนา ไมมีภาษา มีเพียงความรัก ความเห็นใจ ความเข้าใจและโอบอ้อมอารีย์ซึ่งกันและกัน



เรื่องราวมาสะดุดอีกครั้งเมื่อมีการกั้นเส้นทางไปหมู่บ้านชาวเขาที่เรากำลังจะเดินทางไป
เราต้องเดินกลับไปซื้อตั๋วในตัวเมืองกว่า 1 กม.
Yeonju แก้ไขปัญหาด้วยการจ้างเจ้าหน้าที่ 20,000 D เพื่อไปซื้อตั๋ว เข้าหมู่บ้าน 40,000 D
ก็เท่ากับพวกเราออกค่าจ้างมอเตอร์ไซค์กันคนละ 10,000 D
Taeheon รีบกล่าวคำขอโทษในความผิดพลาดของเขา
พวกเราบอกเขาว่าไม่มีใครคิดโทษเขาแบบนั้น ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว




ทุกอย่างผ่านพ้นไปเหมือนหมอกข้างหน้าที่เริ่มจางลง
เรามองเห็นนาขันบันไดพร้อมทิวทัศน์ที่ขึ้นชื่อของที่นี่

เด็กชาวเขาที่ห่อเด็กน้อยมาด้านหลังเริ่มแนะนำเส้นทางการเดินเข้าหมู่บ้านที่ไม่อันตรายและเลอะเทอะเหมือนกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไกด์พามาลุยทางปีนเขา
เธอชวนผมคุยตลอดเส้นทาง ซึ่งในที่สุดเธอก็กลายเป็นอีกความชื่นชมจากของผม
สำหรับความไม่พร้อมของเรื่องภาษา นั่นคือ เธอเรียนทั้งหมดด้วยตัวเอง จดจำจากนักท่องเที่ยว
และผมก็จดจำเธอในชื่อว่า Memi โดยเด็กด้านหลังของเธอนั้นชื่อ Zhu
Zhu เป็นลูกของ Memi ซึ่งตามประเพณีของที่นี่เธอตั้งแต่งงานตั้งแต่อายุ 17 ปี และตอนนี้เธออายุ 20 ปีแล้ว
เธอบอกกับผมว่าอยากไปเที่ยวบ้านเธอมั้ย อยู่ด้านล่างนี่เอง




เธอชี้บริเววณด้านล่างที่ภาพค่อยๆชัดเจนขึ้นว่า หมู่บ้านที่เธออยู่จะอยู่ด้านล่างนี้
เรายังต้องเดินเท้ากันอีกไกลพอสมควร
แต่อากาศที่เย็นแบบนี้ ไม่ได้ทำให้เหงื่อในร่างกายซึมออกมาสักหยด
ก็แน่ละว่า เราเพิ่งเดินกันมายังไม่ถึง 3 กม.ด้วยซ้ำไป



สำหรับผมตอนนี้ คงอยากไปให้ถึงที่นั่นเร็วๆ
แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เมื่อเราต้องเลือกเก็บความงดงามระหว่างเส้นทาง
คงไม่มีวิธีการไหนดีไปกว่าการเดิน
ซึ่งถึงแม้จะเชื่องช้า ไม่ทันใจ เหมือนกลุ่มรถตู้ที่มีไกด์พาไปจอดหน้าหมู่บ้าน

แต่ผมก็เลือกที่จะเกี่ยวเกี่ยวประสบการณ์และบรรยากาศให้คุ้มค่ากับเวลาที่มีอยู่ที่นี่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อาจด้วยด้วยการสูดลมหายใจ การเลือกมุมมองจากการถ่ายรูป
 การถ่ายทอดความคิด ความรู้ระหว่างเส้นทางกับคนท้องถิ่นจริงๆที่ไม่ได้สร้างเรื่องราวขึ้นมาเองเพื่อการขาย


ถึงแม้การเดินทางจะเชื่องช้าเช่นนี้ แต่ในเวลาหนึ่งเราก็จะเดินไปถึงแน่นอน
เราหยุดพูดคุยทบทวนกันสักพัก ก่อนที่จะเริ่มก้าวขาเดินทางต่อเพื่อลงไปที่นั่น
ประตูกั้นที่เริ่มเปิดออกรับมิตรภาพใหม่เริ่มขึ้นจากการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิด
ทิวทัศน์ที่เริ่มเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ไม่รู้ว่าเรื่องราวของผู้คนที่นั่นจะเป็นอย่างไร
จะใช้ชีวิตกันอย่างปกติหรือถูกจัดเพียงฉากสวยงามไว้เพื่อการท่องเที่ยว
อีกไม่นานเราจะไปยืนกันอยู่ที่จุดนั้น....ด้วยกัน












ตอนที่ผ่านมาและต่อไป "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ; ไทย ลาว เวียดนาม" 
ตอนที่ 5 : เดียนเบียนฟู เวียดนาม
ตอนที่ 6 : ซาปา1 เวียดนาม
<<<< Now! here
ตอนที่ 9 : ฮานอย 1 เวียดนาม
ตอนที่ 10: ฮานอย 2 เวียดนาม
ตอนที่ 11 : เหว้ เวียดนาม
ตอนที่ 12 : เหว้-สวรรณเขตสู่ไทย




Create Date : 12 มกราคม 2558
Last Update : 6 ธันวาคม 2559 7:30:20 น. 0 comments
Counter : 2175 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.