แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม / ตอนที่ 6 : :ซาปา1 เวียดนาม
แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ : ไทย ลาว เวียดนาม ตอนที่ 6 : ซาปา1 เวียดนาม
ผมตื่นเช้าเป็นปกติ ชั่วโมงสำคัญสำหรับผม คือช่วง 03.00 -05.30 am. เวลาที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงรถ ไม่มีเสียงผู้คน คงมีแต่เสียงของตัวเราเองที่ดังชัดเจนอยู่ข้างใน จากนั้นก็เอาสิ่งที่วนเวียนอยู่ข้างในจักรวาลแห่งความคิดของเรานั้นออกมาสู่หน้ากระดาษหรือบันทึกลงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่เวลาของผมไม่ได้หมายถึงว่าจะดีที่สุด เพราะเราทุกคนต่างมีเวลาที่ดีที่สุดของตัวเองนั้นแตกต่างกัน
6.00 am. ผมและคุณปีเตอร์เดินออกจากที่พักเพื่อไปเช็คอินที่สถานีขนส่งที่อยู่ใกล้ หลังจากที่กินเฝอสำเร็จรูปที่ซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเมื่อเย็นวาน ด้วยการเทน้ำร้อนและรอเวลาซด
ภายในสถานีจอดรถเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเดินสับสนวกวนเดินชนกันไปมา พวกเขาคอยเดินตามหานักเดินทางที่มีตั๋วรถเพื่อเรียกขึ้นรถตามตั๋วที่จองไว้หรือเพิ่งซื้อมา เป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาเดินตามหาหรือขึ้นรถผิดคัน คนขับรถที่ผมนั่งแต่งตัวดีสุด เขาตัดผมทรงสกินเฮดเรียบร้อย สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวพร้อมเสื้อกั๊กไหมพรมทับอีกชั้นและรองเท้าที่เป็นมันเงา ดูเหมือนเป็นพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมวิธีการปฎิบัติต่อลูกค้ามาเป็นอย่างดี เขาเชิญให้เราไปนั่งตามหมายเลขในตั๋วที่เรามีในรถพร้อมกับยกกระเป๋าของเราเป็นพิเศษไว้ที่ช่องเก็บท้ายรถ เราได้หมายเลขอยู่ตอนกลางของรถริมหน้าต่าง ทำให้สามารถมองทิวทัศน์ด้านนอกได้ ส่วนด้านหน้าจะเป็นผู้โดยสารท้องถิ่น ถัดมาเป็นชาวฝรั่งเศสที่มากันเกือบเต็มคันรถ 6.11 am. ก็ได้เวลารถออก ซึ่งออกก่อนกำหนดไป 19 นาที หลังจากที่ผู้โดยสารยังไม่ครบคนเพราะลงไปเข้าห้องน้ำ ทำให้ต้องรีบบอกคนขับให้รอ ความผิดไม่ได้อยู่ที่ผู้โดยสารเพราะยังไม่ถึงเวลา บางทีพวกเขาอาจเร่งเพื่อให้ถึงก่อนกำหนดหรือไม่คงอาจคิดว่าครบแล้วก็เป็นได้ พวกเขาดูเร่งรีบตลอดเวลาเหมือนมีนัดสำคัญ อาจด้วยระยะทางที่ไกล คดเคี้ยว หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ผมไม่อาจรู้ได้ในตอนนี้
เราเริ่มอกจากเมืองเดียนเบียนฟูมาเรื่อยๆ สองข้างทางเป็นภูเขา หมอก ต้นไม้ แม่น้ำ ชีวิตที่อาศัยอยู่กับธรรมชาติ และบ้านเรือนที่เป็นไม้เสาใหญ่หลายต้นยกสูงตั้งเป็นหมู่บ้าน อยู่เป็นกลุ่มๆ บางที่กลุ่มใหญ่ บางแห่งก็กลุ่มเล็กๆ แต่พวกเขาไม่แยกจากกัน ไม่มีพื้นที่ปลูกบ้านเดี่ยวๆ ดูเหมือนเป็นหมู่บ้านจัดสรรที่สร้างจากไม้ทั้งหมู่บ้าน ผมสังเกตุเห็นเจ้าผู้คนที่ขึ้นลงหรือทำกิจกรรมบนบ้านไว้ผมยาวมวยกองใหญ่ไว้บนหัว ใส่ชุดสีดำ คงเป็นกลุ่ม"ไทดำ"
รถที่เคลื่อนตัว ทำให้ 2 ข้างทางดูเหมือนมีถูกดึงให้เลื่อนให้ผ่านตัวเราไปเรื่อยๆในขณะที่เรานั่งอยู่กับที่ แสงอาทิตย์ที่เริ่มแทรกตัวออกจากกลุ่มหมอกมีให้เห็นเป็นระยะ พร้อมๆกับการจอดรับส่งผู้โดยสารท้องถิ่นที่มีให้เห็นเป็นระยะเช่นกัน อากาศเย็นทำให้กระเพาะปัสสาวะของผมเริ่มบีบตัวเพื่อพยามจะคายน้ำส่วนที่เกินออกจากร่างกาย
จนในที่สุดพวกเราก็ได้หยุดพักที่หมู่บ้านหนึ่งที่สร้างแบบสมัยใหม่ มีสะพานทอดยาวข้ามแม่น้ำใหญ่ มีที่จอดรถหรือพักรถระหว่างเส้นทางเพื่อให้ผู้โดยสารได้เข้าห้องน้ำ 8.44 am พวกเราก็ถูกเรียกออกจากการพูดคุยหรือถ่ายรูปด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่ถูกสตาร์ทขึ้น ระยะทางคงอีกไกล และเราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะหยุดรับ-ส่งผู้โดยสารที่ไหนบ้าง
9.55 am ถนนราบเรียบที่ดูเหมือนไร้อุปสรรคเริ่มหมดไป เมื่อพวกเราเดินทางมาถึงบริเวณทางที่กำลังทำการขยายพื้นผิวใหม่ให้กว้างขวางขึ้น ผู้คนที่มอมแมมจากฝุ่น พร้อมรถเป็นแถวยาวจอดรอเส้นทางที่ถูกปิดกั้น ผมไม่รู้ว่ามันจะอีกนานเท่าไหร่กว่าเส้นทางจะเปิด ซึ่งอาจเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้พวกเขาออกรถก่อนเวลาทันทีเมื่อพร้อม
เราต้องหยุดระหว่างทางเป็นระยะ เพื่อจอดรอเส้นทางที่ปิดเพื่อทำทาง บางแห่ง 5 นาที บางแห่งก็ 15 นาที อนาคตเมื่อเส้นทางเหล่านี้เสร็จสิ้น การเดินทางจะสะดวกมากขึ้น ชีวิตของผู้คนระหว่างเส้นทางที่ผมเดินทางมาตั้งแต่ต้นทริปนี้จะเปลี่ยนไป
1.11 pm เรามาถึงที่พักรถโดยสารพร้อมเป็นเวลาอาหารกลางวัน พวกเราถูกเรียกให้เข้าไปภายในอาคารอย่างเร่งรีบ พร้อมกับเวลาที่กำหนดไว้ 30 นาที ผู้โดยสารท้องถิ่นหลายคนเริ่มขนสัมภาระลงจากรถ ความสงสัยทำให้ผมหันไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาไม่ตอบอะไรนอกจากเรียกให้พวกเราขึ้นไปด้านบนเพื่อซื้ออาหารทาน และกลับมาขึ้นรถตามเวลา ที่นี่ไม่มีอะไรให้เลือกมานักนอกจากเฝอและความว่างเปล่า พร้อมคนที่เดินทางน้อยกว่าจำนวนรถที่จอดอยู่ด้านนอก
หลังจากเราจบอาหารมื้อกลางวันและเข้าห้องน้ำเรียบร้อย ยังคงเหลือเวลาอีกมากกว่าจะถึงเวลาที่นัดไว้ ผมเดินออกมาจากตัวอาคาร พร้อมกับชาวฝรั่งเศสที่กำลังเดินตามหลังมาไม่ห่างมากนัก เมื่อถึงที่จอดรถที่พวกเราเดินทางมาพร้อมกัน ความประหลาดใจก็เกิดขึ้นเมื่อ รถคันนั้นหายไป
ไม่มีรถ ไม่มีคนขับ ไม่มีสัมภาระของพวกเราวางอยู่ เราหันหน้าพร้อมส่งสายตาด้วยคำถามเดี๋ยวกันว่า "รถหายไปไหน"
รถถูกเปลี่ยนคันโดยที่พวกเราไม่รู้ ชาวฮอลแลนด์สองคนที่เดินทางมาพร้อมกับเราอยู่บนรถอีกคัน พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่ากระเป๋าเราอยู่ไหน เขาเพียเอากระเป๋าของเขามาด้วยเท่านั้นเอง พวกผมถูกเรียกขึ้นรถอีกคันเพื่อนเดินทางไปต่อที่ซาปา คำถามถูกป้อนเป็นชุดๆ ตั้งแต่เรื่องกระเป๋า เอกสารของบางคนที่อยู่บนรถคันเดิม ไม่เพียงคำตอบเดียวว่า "ไม่ต้องกังวล" บอกแบบตะกุกตะกักว่า "กระเป๋าถูกขนไปรอที่ซาปาแล้ว"
ไม่มีใครเชื่อ!!!!!
ไม่มีใครยอมจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนขับรถที่มารยาทดีพร้อมแต่งตัวดีเมื่อเช้า ขนกระเป๋าเราไปไหนก็ไม่รู้ กระเป๋า 9 ใบ พร้อมกระเป๋าเอกสารใบเล็กของชาวฝรั่งเศสอยู่บนรถบัสคันนั้น เรื่องโกลาหลเกิดขึ้น การสื่อสารคนละภาษาเกิดขึ้นเมื่อชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ชาวเวียดนามที่อยู่บริเวณนั้นก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้นอกจากคำว่า "Don't worry" "คุณไม่ WORRY แต่พวกเรา WORRY โว้ย!" เสียงตะโดนจากใครบางคนดังสนั่น
ถึงตอนนี้พวกเขาโทรศัพท์ตามรถกันให้วุ่น พวกเรายืนยันจะไม่ขึ้นรถคันไหนจนกว่าจะได้กระเป๋าและเดินทางไปพร้อมกับกระเป๋าของตัวเอง
โชคดีที่ผมถ่ายภาพรถคันที่ผมขึ้นไว้ด้วย ผมเรียกชายอีกคนที่ดูจะคุยรู้เรื่อง พร้อมเปิดหลักฐานรถคันที่ขนกระเป๋าพวกเราไปให้พวกเขาดู 1 ชั่วโมงที่ลุ้นระทึกกับการได้กระเป๋ากลับคืน ในที่สุดคนขับรถตัวดี 22 B-00271 ก็ขับรถเปล่ากลับเข้ามาพร้อมกับทำตัวว่าไม่รู้เรื่อง แต่กระเป๋าของพวกเราถูกแยกไว้ในรถบัส 2 คัน ที่ถูกตามกลับมา
สำหรับในกระเป๋าผม ไม่มีอะไรมากนอกจากกาแฟ แผนที่จากเส้นทางที่ผ่านมา และ เสื้อผ้าพร้อมถุงเท้าเน่าๆ 4 ชุดที่ยังไม่ได้ซัก
แต่ของเพื่อชาวฝรั่งเศสอีกคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ มีเอกสารอย่างพลาสปอร์ตและทุกอย่างติดไปบนรถด้วย สำหรับผมจะเอาของสำคัญติดตัวในกระเป๋าใบเล็กตลอดเวลาทั้งเงิน พลาสปอร์ต สมุดบันทึกและเอกสารสำคัญ
เมื่อพวกเราทั้งหมดได้รับกระเป๋าคืนด้วยใจระทึก
02.37 pm การเดินทางต่อก็เริ่มขึ้น แต่ครั้งนี้เต็มไปด้วยความเงียบงัน การเดินทางของความคิดวนเวียนไปมาถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เรื่องราวแบบนี้คงไมได้เกิดขึ้นแต่เพียงที่นี่ สถานที่ท่องเที่ยวหลายๆแห่งก็เป็นแบบนี้ มีสารพัดเรื่องร้ายตั้งแต่ของหายจนถึงชีวิต บ้านเราก็มีเรื่องแบบนี้ การระวังและป้องกันที่ดีที่สุดคงต้องเป็นที่ตัวเราเอง ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนในโลกใบนี้ยังไงมนุษย์ก็มีความโลภ เมื่อมีโอกาสที่จะเอาของของผู้อื่น อยู่ที่ใครจะระงับยับยั้งความโลภเหล่านี้ด้วยสติ ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
เรื่องราววัฒนธรรมยังคงอยู่ ธรรมชาติยังคงอยู่ สถานที่และคนดีๆที่มีอยู่มากมายก็ต้องมีอยู่เช่นกัน
3.51 pm หรือ 15.51 น. เราก็เดินทางมาถึงที่พักรถอีกแห่ง เสียงเรียกจากผู้ช่วยคนขับที่เป็นธุระตามกระเป๋าให้พวกเราจนครบบอกว่าที่นี่คือ ซาปา หมอกที่หนาทำให้ผมมองไม่เห็นอะไรจากระยะไกลมากนัก
ตอนนี้เราไม่รู้ว่ามีที่พักที่ไหนบ้าง เราไม่รู้ว่าอยู่บริเวณไหน และกำลังจะไปที่ไหน ที่นี่ เราไม่รู้จักใคร และไม่มีใครรู้จักเรา กลุ่มชาวฝรั่งเศสที่ลงมาพร้อมกันเดินรวมกลุ่มไปที่ซอยด้านหน้า
แต่สำหรับผมขอเริ่มต้นด้วยแผนที่ที่ป้ายที่ติดอยู่ด้านหน้าพร้อมชาวฮอลแลนด์อีกสองคน และคุณปีเตอร์ที่ดูเหมือนจะอารมณ์จะยังค้างคาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมง เวลานี้การที่เรารู้ตัวว่าอยู่ตรงไหนสำคัญสุด ต่อมาก็ต้องรู้ว่าจะไปที่ไหน อย่างไร แล้วค่อยว่ากันต่อไปถึงสถานที่สำคัญต่างๆของที่นี่
เมื่อรู้แล้วผมก็เดินทางต่อ แผนการณ์ต่อไปของผมคือหาซื้อแผนที่ของเมืองนี้ เพราะในนั้นจะมีที่พักและเส้นทางที่เราต้องการจะไป ในเมืองที่หมอกหนาแห่งนี้
ไม่มีร้านไหนขายแผนที่
เส้นทางที่เลี้ยวไปมาทำให้ผมเจอกับเพื่อนชาวฝรั่งเศสที่ร่วมชะตากรรมเดียวกันอีกครั้ง เขากำลังเดินตามหาโรงแรมตามหนังสือแนะนำในมือของเขา ในขณะที่ผมก็กำลังตามหาโรงแรมจากนามบัตรที่ได้จากชายหนุ่มท้องถิ่นคนหนึ่งราคา 8 USD ที่ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาแนะนำที่พักให้กับเราพร้อมชวนเรานั่งมอเตอร์ไซค์ไปกับเขา
เหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อกี้ ทำให้เราเลือกเพียงรับนามบัตรของเขามาเท่านั้น
เราเดินตามหาโรงแรมกันสักพักก่อนที่จะแยกทางอีกครั้ง เพราะเส้นทางที่ผมเลือก คือ กลางเมืองที่มี Tourist Information เขาบอกว่า ยิ่งกลางเมืองโรงแรมยิ่งแพง เขาต้องการได้โรงแรมราคา 8-10 USD
ก่อนแยกจากกันเขาถามผมว่า "คุณพูดอะไรกับชาวเวียดนามถึงได้กระเป๋าคืน" ผมตอบไปว่ารูปในกล้องที่ผมถ่าย มีทั้งรูปรถ ทะเบียนรถ รูปคนขับ ผมตามกับเจ้าหน้าที่ไม่ยากหรอก จากนั้นพวกเขาก็โทรหากันจนเอากระเป๋ากลับคืนมาให้เรา เป็นอีกวิธีที่ผมใช้ได้ผลเสมอมาหรือการกดชัตเตอร์เก็บเรื่องสำรองเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน อีกวิธีคือการโพสรูปลงอินเตอร์เนตถึงบริเวณสถานที่ครั้งสุดท้ายที่ผมอยู่ ซึ่งหากผมหายตัวไปคงตามตัวได้ไม่ยากนัก เอกสารบางส่วนผมจะสำรองเก็บไว้ในอีเมล์ทั้งภาพถ่ายพลาสปอร์ต บัตรประชาชน ใบขับขี่ และอีกสารพัดที่จำเป็น กรณีฉุกเฉิน
เมื่อคำถามเสร็จสิ้นเราก็แยกจากกัน อาจจะเจอกันอีกครั้ง หรืออาจจะไม่เจอกันอีกเลยก็ได้
เราเดินทางมาถึงทางแยกหนึ่งพร้อมคำถามที่ถูกตั้งไว้สำหรับโรงแรม MIMOSA ตามนามบัตรที่ได้ ไม่มีใครแนใจสำหรับโรงแรมแห่งนี้ จนในที่สุดชายคนนั้นก็ปรากฏตัวและชวนเราขึ้นรถมอเตอร์ไซค์พามาที่โรงแรมแห่งนี้
เมื่อผมเดินเข้ามาก็เจอกับชาวฝรั่งเศสกลุ่มที่เดินทางมาก่อนหน้าเรา หลังจากเราใช้เวลาเพื่อหาซื้อแผนที่มีระยะหนึ่ง เมื่อได้ที่พักในราคาที่เหมาะสม มีทั้งเครื่องทำน้ำอุ่น และเตียงที่อุ่นจากเครื่องทำความร้อน เราก็ออกหาอาหารมื้อแรกของที่นี่เพื่อลิ้มลอง
หมอกที่หนาพร้อมกับไฟที่ติดๆดับกันทั้งเมืองทำให้เราเลือกร้านที่อาหารปลอดภัยไว้ก่อนพร้อมโปรโมชั่นแก้หนาว ด้วยพิซซ่า แถมเครื่องดื่ม ปีเตอร์เลือกเบียร์ ผมเลือกสไปร์ส ซึ่งดูเหมือนจะขาดทุนเล็กน้อย
หลังจากเราเลือกพิซซ่าเป็นอาหารเย็นไปเรียบร้อย ระหว่างทางที่เราเดินกลับโรงแรม ก็เห็นอาหารวางขายอยู่มากมายหลายอย่าง แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ตอนนี้ของร้านที่มีเมนูราคาชัดเจนก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ
บางที เรื่องราวที่ผ่านมาทำให้เรามองโลกอาจร้ายแรงเกินไปหรือไม่ก็สวยงามเกินจริง ทำให้หลายๆครั้งเราเลือกวิธีการที่จัการใช้กับชีวิตได้ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก
เช้าวันต่อมาหลังจากผจญกับไฟฟ้าที่ติดๆดับทั่วเมืองตลอดช่วงหัวค่ำด้วยอุณหภูมิ 4 องศาพร้อมหมอกหนา 6.55 am. ผมออกเดนดูรอบๆตลาดสำรวจเส้นทาง ซึ่งเวลานี้ผมยังไม่รู้จะไปที่ไหน นอกจากหาแผนที่หลังจากที่ได้จาก BEN ชายหนุ่มซึ่งเป็นเจ้าของ MIMOSA HOTEL แห่งนี้ซึ่งเป็นเพียงแผนที่คร่าวๆในเมือง
พื้นที่ที่เฉอะแฉะจากน้ำค้างที่ตกหนักเป็นละอองเล็กๆ ลมที่พัดตลอดเวลาในอุณภูมิ 4 องศา ระยะการมองเห็นที่มีอยู่ได้ไม่ไกลมากนักจากการมองเห็น ผมจะไปที่ไหนได้ในเวลานี้
ชาวเขาที่เอาสินค้ามาวางเรียงรายอยู่กลางเมืองที่ยังไม่เห็นวี่แววคนซื้อ เสียงแตรรถมีเป็นระยะ เพื่อส่งสัญญาณให้รู้ว่ากำลังอยู่ในหมอกหนาที่มองไม่เห็น
ร้านค้า เกลเลอลรี่ ขนมปัง ของพื้นเมือง อาหาร ผลไม้ ร้านอาหารทะยอยเพปิดกันเรื่อยๆ เหมือนทุกเมืองท่องเที่ยวที่มีออยูหลายๆพื้นที่ บางเมือง บางแหล่ง เปิดเฉพาะยามพลบค่ำ บางแหล่งเปิดเฉพาะเวลาเช้าตรู่
ชีวิตที่ดำเนินไปในทุกๆเช้าพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่โผล่โพ้นขอบฟ้า ทำให้เราเห็นตลาดเช้า อาหาร และชีวิต
8.31 am ผมกลับเข้าที่พัก พร้อมกับ Big Surprise! ดาวโลกดวงกลมเล็กๆใบนี้ ผมเจอกับเพื่อนชาวนอร์เวย์สองคนที่แยกกันที่เดี่ยนเบียนฟู พวกเขากำลังจะเดินทางไปต่อที่ฮานอย เราคุยกันถึงสถานที่จะไปและเรื่องราวที่ผ่านมากลางกระทะไฟอุ่นๆหน้าเคาว์เตอร์
ผมคุยกับ Ben ถึงการเดินทางไปฮานอยด้วยรถไฟแบบ 4 เตียงตามที่แนะนำกันในเมืองไทย บางทีผมอาต้องจองตั๋วเดินทางก่อนที่จะไม่สามารถมีเตียงสำหรับผม Ben โทรไปเช็คตารางรถพร้อมราคาเดินทางกว่า 600,000 D
เพื่อนผมก็เช่นเดียวกันพวกเขากำลังจะไปฮานอย เธอเลือกเดินทางไปฮานอยด้วย Sleeping Bus และแนะนำผมอีกทีว่าส่วนใหญ่ Backpacker ด้วยกันแล้วจะเลือกเดินทางแบบนี้ เพราะทั้งประหยัดและสะดวกกว่าการที่ต้องจ่ายค่าแท็กซี่อีก 50,000 เพื่อไปสถานีรถไฟ Sleeping Bus ราคาเพียง 250,000 D ผมตัดสินใจยกเลิกการเดินทางด้วยรถไฟกับ Ben ที่กำลังรอสายจองตั๋วรถไปพอดี
นี่แหละการเดินทางที่พึงพาอาศัยกันมาระหว่างเส้นทาง การเดินทางที่สวยงามของอนาคตและมิตรภาพที่เราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้าเส้นทางนั้น เช้านี้ผมประหยัดเงินได้กว่า 400,000 เพราะมิตรภาพจากการเดินทาง
Big Surprise! เกิดขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่ผมกำลังนั่งคุยกับ Ben เพื่อนชาวเกาหลีสองคนที่แยกกันที่เดียนเบียนฟูก็พักอยู่ที่นี่ เราทั้งหมดต่างตกใจพร้อมกับเสียงหัวเราะลั่นที่พัก เราทุกคนที่นี่รู้จักกันจากการเดินทาง แม้จะต่างสถานที่ต่างที่มากัน แต่ก็มาเจอกันในสองประเทศ ตั้งแต่ฝั่งลาวหลวงพระบางจนถึงเวียดนามเดียนเบียนฟูและซาปา
ชาวเกาหลีทั้งคู่ถาม Ben ถึงร้านกาแฟ ซึ่งผมเองพกติดตัวมาอยู่แล้ว จึงเปลี่ยนเป็นขอน้ำร้อนจาก Ben และกาแฟจากบนห้องพักผม พร้อมๆกับคุณปีเตอร์ที่เดินเข้าประตูมา หลังจากออกตามหลังผมไปด้านนอก เพียงแต่เราเดินไปกันคนละเส้นทาง
กาแฟที่ผมพกไปครั้งนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตัวของมิตรภาพที่ใหญ่ขึ้น เรานั่งจิบกาแฟไปพร้อมๆกับ Ben ที่เข้าไปหยิบกีตาร์ออกมาเพื่อเล่นขับกล่อมพวกเราในเช้าวันนี้ เสียงปรบมือ ความเงียบและเสียงหัวเราะดังสลับกันไปมาระหว่างเพลงจบ Ben พูดภาษาอังกฤษได้ดี เราสามารถสื่อสารกันได้ง่ายกว่าหลายๆที่พักที่มีเพียงพนักงานที่บอกราคาห้องและขายทริปท่องเที่ยว
เมื่อเพลงบรรเลงจบไปหลายเพลง Ben ก็ขอตัวออกไปทำงาน นั่นคือการขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปรับลูกค้า ที่มาสภาพเดียวกับผมเมื่อวาน ผมเริ่มต้นด้วยคำถามง่ายๆถึงทริปในวันนี้กับเวลาที่มี พวกเขามีทริปกันแล้ว Taeheon ชายเกาหลี ชวนผมออกไปชี้บริเวณแผนที่ด้านหน้าโรงแรมสำหรับแผนของพวกเขา Yeonju หญิงชาวเกาหลีก็พยายามแปลให้ผมฟังอีกครั้งเพราะ Taeheon ยังคงไม่ถนัดภาษาอังกฤษมากนัก
ผมกล่าวเพียงสั้นๆ "ผมไม่มีแผน ขอเดินตามหลังคุณก็แล้วกัน" การตอบรับด้วยความยินดีเกิดขึ้นสำหรับการเดินทางร่วมกัน ซึ่งการเดินทางแบบนี้หากเราต้องซื้อทริป เราต้องจ่ายเงินจำนวน 11 USD ต่อคน ซึ่งจะมีไกด์และรถพากลับมาให้เราหลังจากการเดิน
Taeheon เคยมาที่นี่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เขายังคงพอจำเส้นทางได้ เราตัดสินใจซื้อขนมปังติดไปเป็นมื้อกลางวันตามที่ผมแนะนำ เผื่อหิวระหว่างทางกว่า 15 กม.ที่เราต้องเดินให้รอบ 9.30 am ผู้คน นักท่องเที่ยวเริ่มเดินกันเต็มถนนกลางเมือง หมอกยังคงปิดบังเส้นทางได้ดี สำหรับผมเราคือการได้ลุ้นว่าเราจะได้เห็นอะไรกันมากกว่าเส้นทางที่เต็มไปด้วยหมอกที่ปกคลุมอยู่แบบนี้
เราเริ่มมีชาวเขามาพูดคุยด้วย เธอตัวเล็กๆ พร้อมแบกเด็กน้อยบนหลังของเธอ เธอบอกว่าว่า ผม หน้าตาดูใจดี ทุกครั้งที่เธอมองจะเห็นรอยยิ้มจากผมเสมอ จริงเหรอ !! ที่สำคัญเธอบอกจะเดินให้คำแนะนำเราไปเรื่อยๆจนกว่าจะซื้อสินค้าของเธอ
10.00 am. เส้นทางที่เราเดิน หมอกยังคงหนาขึ้นเรื่อยๆ ผมบอกกับ Taeheon และ Yeonju ว่าผมเดินตามหลังพวกเขาเหมือนดู Music VDO เพลง Imagine ของ John Lennon เลย ผมรู้สึกแบบนี้จริงๆ พร้อมร้องบางท่อนให้พวกเขาผังถึงเพลงนี้
ผมอธิบายถึงถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่ไร้เขตแดนกั้น ไม่มีศาสนา ไมมีภาษา มีเพียงความรัก ความเห็นใจ ความเข้าใจและโอบอ้อมอารีย์ซึ่งกันและกัน
เรื่องราวมาสะดุดอีกครั้งเมื่อมีการกั้นเส้นทางไปหมู่บ้านชาวเขาที่เรากำลังจะเดินทางไป เราต้องเดินกลับไปซื้อตั๋วในตัวเมืองกว่า 1 กม. Yeonju แก้ไขปัญหาด้วยการจ้างเจ้าหน้าที่ 20,000 D เพื่อไปซื้อตั๋ว เข้าหมู่บ้าน 40,000 D ก็เท่ากับพวกเราออกค่าจ้างมอเตอร์ไซค์กันคนละ 10,000 D Taeheon รีบกล่าวคำขอโทษในความผิดพลาดของเขา พวกเราบอกเขาว่าไม่มีใครคิดโทษเขาแบบนั้น ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว
ทุกอย่างผ่านพ้นไปเหมือนหมอกข้างหน้าที่เริ่มจางลง เรามองเห็นนาขันบันไดพร้อมทิวทัศน์ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ เด็กชาวเขาที่ห่อเด็กน้อยมาด้านหลังเริ่มแนะนำเส้นทางการเดินเข้าหมู่บ้านที่ไม่อันตรายและเลอะเทอะเหมือนกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไกด์พามาลุยทางปีนเขา เธอชวนผมคุยตลอดเส้นทาง ซึ่งในที่สุดเธอก็กลายเป็นอีกความชื่นชมจากของผม สำหรับความไม่พร้อมของเรื่องภาษา นั่นคือ เธอเรียนทั้งหมดด้วยตัวเอง จดจำจากนักท่องเที่ยว และผมก็จดจำเธอในชื่อว่า Memi โดยเด็กด้านหลังของเธอนั้นชื่อ Zhu Zhu เป็นลูกของ Memi ซึ่งตามประเพณีของที่นี่เธอตั้งแต่งงานตั้งแต่อายุ 17 ปี และตอนนี้เธออายุ 20 ปีแล้ว เธอบอกกับผมว่าอยากไปเที่ยวบ้านเธอมั้ย อยู่ด้านล่างนี่เอง
เธอชี้บริเววณด้านล่างที่ภาพค่อยๆชัดเจนขึ้นว่า หมู่บ้านที่เธออยู่จะอยู่ด้านล่างนี้ เรายังต้องเดินเท้ากันอีกไกลพอสมควร แต่อากาศที่เย็นแบบนี้ ไม่ได้ทำให้เหงื่อในร่างกายซึมออกมาสักหยด ก็แน่ละว่า เราเพิ่งเดินกันมายังไม่ถึง 3 กม.ด้วยซ้ำไป
สำหรับผมตอนนี้ คงอยากไปให้ถึงที่นั่นเร็วๆแต่มันก็เป็นไปไม่ได้เมื่อเราต้องเลือกเก็บความงดงามระหว่างเส้นทางคงไม่มีวิธีการไหนดีไปกว่าการเดินซึ่งถึงแม้จะเชื่องช้า ไม่ทันใจ เหมือนกลุ่มรถตู้ที่มีไกด์พาไปจอดหน้าหมู่บ้าน
แต่ผมก็เลือกที่จะเกี่ยวเกี่ยวประสบการณ์และบรรยากาศให้คุ้มค่ากับเวลาที่มีอยู่ที่นี่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาจด้วยด้วยการสูดลมหายใจ การเลือกมุมมองจากการถ่ายรูป การถ่ายทอดความคิด ความรู้ระหว่างเส้นทางกับคนท้องถิ่นจริงๆที่ไม่ได้สร้างเรื่องราวขึ้นมาเองเพื่อการขาย
ถึงแม้การเดินทางจะเชื่องช้าเช่นนี้ แต่ในเวลาหนึ่งเราก็จะเดินไปถึงแน่นอน เราหยุดพูดคุยทบทวนกันสักพัก ก่อนที่จะเริ่มก้าวขาเดินทางต่อเพื่อลงไปที่นั่น ประตูกั้นที่เริ่มเปิดออกรับมิตรภาพใหม่เริ่มขึ้นจากการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิด ทิวทัศน์ที่เริ่มเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าเรื่องราวของผู้คนที่นั่นจะเป็นอย่างไร จะใช้ชีวิตกันอย่างปกติหรือถูกจัดเพียงฉากสวยงามไว้เพื่อการท่องเที่ยว อีกไม่นานเราจะไปยืนกันอยู่ที่จุดนั้น....ด้วยกัน
ตอนที่ผ่านมาและต่อไป "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ; ไทย ลาว เวียดนาม" ตอนที่ 9 : ฮานอย 1 เวียดนาม ตอนที่ 10: ฮานอย 2 เวียดนาม ตอนที่ 11 : เหว้ เวียดนาม ตอนที่ 12 : เหว้-สวรรณเขตสู่ไทย
Create Date : 12 มกราคม 2558 |
Last Update : 6 ธันวาคม 2559 7:30:20 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2175 Pageviews. |
|
|