แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม / ตอนที่ 9 : ฮานอย 1 เวียดนาม
แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ : ไทย ลาว เวียดนาม ตอนที่9 : ฮานอย เวียดนาม
6 ชั่วโมงจากซาปามาถึงที่นี่ ฮานอย ด้วยสภาพผู้โยสารที่นอนเกลื่อนพื้น โดยไม่สามารถมีใครลุกเดินออกจากช่องแคบของตัวเองนั้นไปได้ ทุกช่องทางเดินมีผู้คนนอนเรียงตัวกันไปสุดทาง เอาหัวชนกันบ้าง เท้าชนกันบ้าง
ตีสี่ครึ่งเราเริ่มเดินลงจากรถด้วยอาการงงๆ กับสถานที่ใหม่ของชีวิต นักท่องเที่ยวต่างสอบถามกันไปมาว่าที่นี่ที่ไหน และจะไปยังที่หมายได้อย่างไรในเวลานี้ ที่สำคัญคือที่พักในช่วงเช้ามืดก่อนพระอาทิตย์จะโผล่โพ้นขอบโลกด้านนี้
ถึงแม้การเดินทางในทริปเล็กๆ จะเปรียบกับการเดินทางใหญ่ของชีวิตได้ยาก ชีวิตที่เราต่างมีจุดหมายเดียวกัน ต่างกันตรงะยะทางที่เราใช้นั้นแตกต่างกัน บางคนเจอเรื่องใหม่ๆไม่ซ้ำเดิม บางคนก็เจอแต่เรื่องซ้ำเดิมเป็นปกติทุกวันเหมือนเครื่องจักรที่ถูกตั้งค่าไว้อัตโนมัติ
เราเดินทางโรงแรมกันเรื่อยๆ จากมุมโน้น โผล่มุมนี้ เดินสวนทางสลับกันไปมากับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด้วยกัน ดูๆแล้วทุกคนต่างมีเป้าหมายของตน Teaheon พาพวกเราตามหาทะเลสาปกลางเมืองก่อนจะมีการเริ่มต้นใดๆ เพราะนั่นเป็นจุดที่เขาคุ้นเคยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ที่เดินทางมาวาดภาพเพียงลำพัง
จากราคาห้องพัก 30-40 US เป็น 65 US สำหรับการเดินตามหาโรงแรมภายในเมืองฮานอยแห่งนี้ ในที่สุดเวลาที่ดูเหมือนจะยาวนานออกไปจนถึงเช้าก็หยุดลงด้วยโรงแรมราคา 15 US ทีตั้งอยู่เพียงซอยถัดไป Hanoi Summit Hotel เราแยกห้องพักผ่อนก่อนนัดลงมาพบกันอีกรอบตอน 9.30 am.
มื้อแรกของที่ Hanoi เริ่มต้นด้วยเฝอราคา 30,000 D ที่อร่อยเอาการ Yeonju ชี้ให้ดูผงชูรสที่วางอยู่ด้านหน้าที่ผมนั่งพวกเราปฏิเสธคนชายที่จะเติมเจ้าสิ่งนี้ลงไปในอาหารของเรา ลูกชิ้นหมูที่ถูกบดปนกับผักนิ่มอร่อย ได้รสชาติดีทีเดียว ถึงแม้เราจะไม่รู้ว่าเขาใส่อะไรลงไปบ้าง แต่ทุกคนก็เดินมากินกันที่ร้านอาหารข้างทางแห่งนี้จนเป็นเรื่องปกติ มีไม่ปกติคือการเรื่อราวที่มากเกินไป ในห้วงความคิดของเราเองเท่านัน
เมื่อได้รับพลังงานจนอิ่มท้องสบายพุง เราก็ออกเดินทางต่ออย่างไร้ทิศทาง แต่ไม่ได้ไร้จุดหมาย คงเพราะทุกซอยสามารถทะลุหากันได้หมด จะไปซอยไหนก็ได้ แต่ละที่ล้วนเต็มไปด้วยอาหารที่ผมอยากเดินเข้าไปชิมให้หมดทุกร้าน จริงๆก็น่าจะเป็นอย่างนันถ้ามีงบประมาณสนับสนุนเรื่องอาหารเกินกว่าที่ตั้งไว้เอง
เราเดินผ่านเสียงดังจากแตรรถ ผู้คน และความคิดที่โหนมกระหน่ำมาอย่างไม่หยุดย่อนทั้งอดีตและอนาคตข้างหน้า จนกระทั่งเรามาเริ่มที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง คือบริเวณทะสาปกลางเมือง จุดเริ่มต้นที่เราคุ้นเคย เหมือนชีวิตเราหลายๆครั้งที่เริ่มหลงทางก็จะหาทางกลับมาที่จุดเริ่มต้นและเริ่มต้นใหม่ พร้อมกับประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม อย่างน้อยก็เส้นทางที่ไมถูกต้องกับความต้องการ ณ ช่วงเวลานั้น และเราสามารถเดินกลับมาได้ในอนาคต ถ้าสิ่งนั้นยังอยู่ใหเราหาเจอ
ณ สวนสาธารณะ 11:11 am บริเวณรอบทะเลสาปกลางเมือง กิจกรรมมากมายเกิดขึ้นที่นี่ซึ่งเป็นเหมือนแหล่งรวมผู้คนสำหรับการเริ่มต้นกิจกรรมของตัวเอง พวกเราก็เช่นกัน ที่จะเริ่มต้นจากเส้นทางนี้และเดินไปตามแผนที่มุ่งสู่พิพิธภัณฑ์โฮจิมิน
เราใช้แผนที่ที่ได้รับจากทางโรงแรม ออกตามหาสถานที่ท่องเที่ยวภายในนั้นกัน การเดินทางสอบถามเพื่อพูดคุยยังคงเป็นเรื่องที่ดีสำหรับความสัมพันธุ์ของมนุษย์ ถึงแม้เราจะมี GPS ใช้ แต่คงเฉพาะตอนจำเป็นหรือแหล่งที่ไม่มีคนพื้นที่อาศัยอยู่เท่านั้น ผมเห็นนักท่องเที่ยวหลายๆคนเดินไปแล้วก้มหน้าเดินตามเส้นทางที่ GPS แนะ แน่นอนว่าเราจะถึงที่หมายเหมือนกัน แต่ที่สิ่งที่จะขาดหายไปคือ เรื่องราวและความสัมพันธ์ของคนในพื้นที่
การพูดคุยทำให้ได้รับคำแนะนำหลายๆอย่างระหว่างเส้นทางที่จะให้เราแวะพัก เราได้เรียนรู้ถึงการขอบคุณของผู้รับ การให้น้ำใจและความภูมิใจของผู้ให้ พวกเรามีรอยยิ้มเสียงหัวเราะและการโบกมืออวยพร ร่ำลา ซึ่งสิ่งนี้..ไม่มีในเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักรกล
เจ้าหน้าที่ชี้จุดสำคัญให้เราได้เห็นและเดินไปอย่างง่ายดายตามเส้นทางหลักของรถไฟที่ผ่านกลางเมือง ชีวิตในกล่องสี่เหลี่ยมที่วางซ้อนและในพนังห้องร่วมกันยังเป็นหลักพื้นฐานสำหรับการในชีวิตในเขตเมืองหรือเขตชุมชน ผู้คนที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่นี่ ยังคงดำเนินกิจกรรมตามปกติหรือไม่ปกติก็ไม่แน่ใจ แต่ทุกชีวิตคือการเดินทางในทุกวัน
12 :12 pm เราเดินมาถึงอีกจุดสังเกตุซึ่งเป็นหอคอยเก่าและห้ามขึ้นไปบนนั้น หลังจากที่เราพยายามหาทางเข้าอยู่หลายมุม ซึ่งจบด้วยบทสรุปจากการสอบถาม
สิบนาทีต่อมาเราเดินทางข้ามถนนกันมาจนถึงสุสานและพิพิธภัณฑ์โฮจิมิน ซึ่งได้ปิดทำการไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ 11:00 am คงเหลือแต่พิพิธภัณฑ์โฮจิมินซึ่งงจะเปิดทำการอีกรอบตอน 14:00 pm ซึ่งเป็นเรื่องปกติของที่นี่ที่พวกเราเจอมาตั้งแต่เดียนเยียนฟู และที่นี่สร้างความมั่นใจให้เราอีกรอบว่ารอบๆบริเวณนี้ตั้งแต่ประเทศลาวจนถึงที่ฮานอยเวียดนามแห่งนี้ ใช้เวลาทำงานและหยุดพักแบบเดียวกัน
 Coffee Time ! Yeonju ชี้มาที่นาฬิกาข้อมือบ่งบอกถึงเวลาที่เราต้องใช้กันต่อไปจนถึงเวลาเปิดของพิพิธภัณฑ์ หลังจากที่เธอทำเนียนเป็นกรุ๊ปของคณะทัวร์ชาวเกาหลีและฟังไกด์เกาหลีเล่าประวัติพร้อมสอบถามเวลา กาแฟเป็นอีกสิ่งที่พวกเราชอบเหมือนกัน และกาแฟเป็นสิ่งแรกที่ทำให้พวกเราได้รู้จักและพูดคุยกัน
เราเดินหาร้านจนได้ร้านที่มีสัญาณ Wifi เพื่อการค้นหาข้อมูลสำคัญของแต่ละคน กาแฟเป็นสิ่งแรกที่พวกเราสั่ง คงเพราะขาดคาเฟอินกันตั้แต่เช้าจนผมเริ่มมีอาการปวดหัวเล็กๆ
ซึ่งเป็นเรื่องที่คอกาแฟทุกคนรู้ดีว่าวันไหนถ้าขาดกาแฟแล้วจะเป็นอย่างไรและสาหัสแค่ไหน งบประมาณผมถูกบีบให้ลดปริมาณอาหารกลางวันลง จากค่ากาแฟและแซนด์วิช 1 คู่ ในราคา 60,000 D ทำให้ผมจำเป็นต้องอิ่มเพียงแค่นั้น หลังจากที่เดินกันมาเกือบ 2 ชั่วโมง ซึ่งเป็นระยะทางและเวลาที่น้อยกว่าซาปามากนัก
เราออกจากร้านมาถึงพิพิธภัณฑ์ก่อนเวลาเปิด 5 นาที ผมและ Yeonju เดินไปซื้อตั๋วเข้า Hojimin museum ในราคา 25,000 D ส่วน Teaheon และ Peter เลือกที่จะนั่งรออยู่ด้านนอกอาคาร เพราะเขาเคยมาสัมผัสที่แห่งนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
ภายในพิพิธภัณฑ์ ถูกสร้างและออกแบบขึ้นโดยใช้รูปแบบของงานศิลปะสมัยใหม่เข้าผสานกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ของที่นี่ ศิลปะทำให้เรื่องราวต่างๆน่าสนใจมากขึ้น ผลงานแต่ละชิ้นได้สื่อถึงอารมณ์และบอกเล่าเรื่องราวได้ดีกว่าเพียงเอารูปภาพใส่กรอบแปะข้างฝาผนัง ศิลปะเป็นเครื่องบ่งบอกถึงสภาพสังคมและจิตใจของมนุษย์ได้ดี ศิลปะเป็นเครื่องมือการสื่อสารที่บอกเล่าส่งผ่านเรื่องราว อารมณ์ความรู้สึกได้ โดยไม่ต้องผ่านเครื่องมือแปลภาษา ศิลปะเป็นเครืองมือในการพัฒนาจิตใจของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี
ถ้าอยากรู้เรื่องราวความเป็นมาของเมืองไหนให้ดูที่พิพิธภัณฑ์ แต่ถ้าอยากรู้การวิวัฒนาการทางด้านจิตใจของผู้คนให้ดูที่งานศิลปะ ที่นี่เป็นทั้งสองอย่างที่บ่งบอกถึงอนาคตการพัฒนาและวิวัฒนาการของประเทศแห่งนี้ วิธีการสื่อสารของพวกเขามันมากกว่าตัวอักษรและรูปภาพที่แขวนเพียงประดับบนพนังห้องรอคนไปอ่านเพียงเท่านั้น
ผมกับ Yeonju เดินชมเรื่องราวในพิพิธภัณฑ์อยู่ชั่วโมงครึ่ง ก็เดินทางกลับมาเจอทะเลสาปที่ยาวและใหญ่อีกด้านกลางเมือง ผู้คนบริเวณสวนสาธารณะต่างเข้ามารวมกันตามกลึ่มความชอบโดดยเฉพาะการนั่งเล่นเกมส์ที่เหมือนกับหมากรุกกันเป็นกลุ่มๆ บางกลุ่มก็มีไพ่ เต้นรำ เดินเล่น ถ่ายรูป สารพัดที่ผู้คนที่นี่ใหช้เวลาสำหรับการพักผ่อน
เวลาพักพวกเขาก็พักกันจริงๆ เวลาทำงานพวกเขาก็ทำงานกันอย่างบ้าคลั่ง วิธีชีวิตของพวกเขาดูแล้วไม่ธรรมดาเลย พวกเขาสุขกับสิ่งที่มีอยู่ และในขณะเดียวกันก็ไม่หยุดที่จะไขว่คว้าอนาคตที่ดีกว่าเดิม ความเจ็บปวดในอดีตเพียงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา คงสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดและชีวิตได้มากโขทีเดียว เพราะมนุษย์เราจะรู้จักคุณค่าของเวลาและความสะดวกสบายก็ต่อเมื่อเขาผ่านความสาหัสจากเรื่องร้ายมา
เรื่องร้ายที่เรามองว่าร้าย กลับทำให้เรามองเห็นความงดงามและคุณค่าของเวลากับชีวิตและการใช้ชีวิต ความสุข ความงดงามที่พวกเขามองเห็นได้มากกว่าคนที่ไม่เคยได้เรียนรู้อย่างมากมาย
17:53 pm ฟ้าเริ่มมืดลง ลมอ่อนๆพัดพาเอาอากาศเย็นปะทะร่งผู้คนให้รู้หนาวมากขึ้นกว่าเดิม Teaheon พาพวกเราเดินหาอาหารเย็นเข้ากระเพาะกันในแหล่งที่ผู้คนนิยมเข้าไปกินกัน แหล่งที่บรรดานักท่องเที่ยวนั่งกินอาหารกันบนถนน ในทางแยกที่รถแล่นผ่านด้วยม้านั่งทรงต่ำกว่าเขา อาหารที่นี่ไม่แพงอย่างที่คิด รสชาติดีทีเดียว ร้านค้ามากมายบริเวณนี้มีทั้งงานศิลปะและอาหารวางขายอยู่ด้วยกัน
เราวางแผนถึงสถานที่ที่เราจะไปต่อในวันรุ่งขึ้น ซึ่งTeaheon แนะนำทั้งหอศิลป์ และพิพิธภัณฑ์เรื่องราวของสตรีชาวเวียดนาม พวกเขาให้คุณค่ากับผู้หญิงถึงกับสร้างพิพิภัณฑ์ไว้เพื่อให้มองเห็นถึงความสำคัญของเพศหญิง
แสงสีความสว่างไสวของที่นี่ ทำให้เราเดินชมเมืองกันเพลินจนลืมเวลา 23:53 pm เป็นเวลาที่ผมไดปิดตาลงสำหรับวันนี้เพื่อจะมีเรื่องลุยใหม่ต่อไปในวันพรุ่งนี้ ณ ที่หอศิลป์ของชาวเวียดนาม
ตอนที่ผ่านมาและต่อไป "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ; ไทย ลาว เวียดนาม" ตอนที่ 9 : ฮานอย 1 เวียดนาม<<<< Now! here ตอนที่ 10: ฮานอย 2 เวียดนาม ตอนที่ 11 : เหว้ เวียดนาม ตอนที่ 12 : เหว้-สวรรณเขตสู่ไทย
Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2558 |
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2558 5:31:23 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3841 Pageviews. |
 |
|