bloggang.com mainmenu search
จากหนังสือ Secret ปีที่ 1 ฉบับที่ 17 ประจำวันที่ 10 มีนาคม 2552 คอลัมน์ชื่อ Answer Keys โดย ท่าน ว. วชิรเมธี

คำถาม : ช่วงที่เหตุการณ์บ้านเมืองวุ่นวาย คนในประเทศทะเลาะแตกความสามัคคีกัน ผมเกิดความเบื่อหน่ายอย่างมาก ไม่รู้จะช่วยชาิติบ้านเมืองได้อย่างไร เลยเลือกสนใจข่าวสารทุกชนิด ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน สนใจแต่เรื่องปากท้องของตัวเอง การกระทำเช่นนี้ เรียกว่าเป็นการ "ปล่อยวาง" หรือไม่ การปล่อยวางต่างจากการวางเฉย ไม่ใสใจ อย่างไรครับ

ท่าน ว. วชิรเมธี ตอบ...

การปล่อยวางมี 2 ประเภท
1) การปล่อยวางด้วยความรู้
2) การปล่อยวางด้วยความเขลา

การปล่อยวางด้วยความรู้เกิดขึ้นเพราะผู้ปล่อยวางนั้นตระหนักรู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิตว่า ไม่อาจยึดเอาสิ่งใดมาเป็นของตนได้อย่างถาวร เพราะสรรพสิ่งล้วนตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ (กฎธรรมชาติที่เป็นสากลสำหรับทุกสิ่ง) ที่ว่า

"ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา" หรือ
"ไม่เที่ยง ไม่ทน ไม่แท้" หรือแปลอีกนัยหนึ่งว่า
"ไม่แน่ ไม่ได้ดั่งใจ ไม่มีอะไรสมบูรณ์"

สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนมีความไม่เที่ยง คือ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นทุกข์ คือ ไม่สามารถทนอยู่ในลักษณะเดิมตลอดไป ทนอยู่ได้ก็ชั่วครู่ชั่วคราว และสรรพสิ่งล้วนเกิดจากองค์ประกอบที่แตกต่างหลากหลายมารวมตัวกันเป็นกลุ่ม เป็นก้อน เป็นองค์รวม แต่ก็รวมกันได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ในที่สุดแล้วก็มีอันจะต้องแตกดับสลายไปเหมือนกันทั้งหมด

ในเมื่อความจริงของสิ่งต่างๆ เป็นอย่างนี้ เราจึงไม่อาจ "ยึด" เอาอะไรมาเป็น "ของเรา" ได้อย่างแท้จริง เรา "ยึด" สิ่งต่างๆ ว่าเป็นของเราได้เพียงชั่วคราว ในลักษณะของที่ "ขอยืม" เขามาเท่านั้น ในเมื่อสรรพสิ่งที่เรามีอยู่ล้วนเป็นเหมือนของที่ยืมเขามา เมื่อถึงเวลาก็ต้องส่งคืนด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เช่น

เรายืมอากาศมาหายใจ ในที่สุดก็ต้องคืนสู่ธาตุลม
เรายืมดินมาเป็นร่างกาย ในที่สุดก็ต้องคืนสู่ธาตุดิน
เรายืมไฟมาเป็นความอบอุ่น ในที่สุดก็ต้องคืนสู่ธาตุไฟ
เรายืมน้ำมาหล่อเลี้ยงร่างกาย ในที่สุดก็ต้องคืนสู่ธาตุน้ำ

ขยายความให้กว้างออกไปจนครอบคลุมสิ่งของ เช่น เสื้อผ้า บ้านเรือน รถ เงินทอง ไร่นา ฯลฯ ตลอดจนถึงโลกธรรมอันเป็นที่ชื่นชม เช่น ได้ลาภ (จะมีเสื่อมลาภรอเตือนให้คืนลาภอยู่ในตัว) ได้ยศ (จะมีอัปยศรอทวงอยู่) สรรเสริญ (จะมีนินทารออยู่) สุข (จะมีทุกข์รออยู่)

เห็นไหมว่า สรรพสิ่งล้วนตกอยู่ในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา หรือไม่เที่ยง ไม่ทน ไม่แท้ แม้แต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้นเราจึงไม่อาจยึดเอาอะไรมาเป็น "ของเรา" ได้อย่างแท้จริง เราทำได้แค่เพียงใช้ มี ครอบครองสิ่งต่างๆ ได้เพียงชั่วคราวด้วยความตระหนักรู้ว่า "ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราอย่างแท้จริง" หรือ สรุปง่ายๆ ก็คือ

"สรรพสิ่ง คือ ของใช้ อย่าเข้าใจว่าเป็นของฉัน"

ส่วนการปล่อยวางอย่างที่คุณยกตัวอย่างมานั้น เป็นเพียง "ปฏิกิริยา" ต่อบางสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจเท่านั้น ยังไม่ใช่การปล่อยวางที่แท้จริงแต่อย่างใด

วิธีปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆ ที่เราเบื่อแล้วหันหลังให้นั้น หากจะถือว่าเป็นการปล่อยวาง ก็เป็นเพียงการปล่อยวางใน "ภาษาคน" ยังไม่ใช่การปล่อยวางใน "ภาษาธรรม" แท้ๆ

ในเมื่อไม่ใช่การปล่อยวางแท้ เดี๋ยวคุณก็จะมีโอกาสกลับมาทุกข์กับสิ่งที่คุณ "ทำท่าเหมือนจะปล่อยวาง" นั้นอีกครั้งหนึ่ง ไม่เร็ว ก็ช้า ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม หากทำแล้วทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น การถอยออกมาจากบางสิ่งที่กัดกินใจให้หมองหม่นก็เป็นสิ่งที่ควรทำบ้างเหมือนกัน



Create Date :24 ธันวาคม 2552 Last Update :28 มกราคม 2553 16:08:37 น. Counter : Pageviews. Comments :5