อัพเดทรายได้แพทย์ 2017 ... ที่มา กรธัช หัวใจ (รายได้หมอ รพ.รัฐเยอะขึ้น ที่ผมเคยอยู่ แต่ยังน้อย ?)
FB กรธัช หัวใจ
https://www.facebook.com/banphot.huajai/posts/608350866037994
อัพเดทรายได้แพทย์ 2017!!!!
1. แพทย์ทั่วไป(ไม่ได้จบเฉพาะทาง)
- โรงพยาบาลรัฐเฉพาะเงินเดือนและเงินเพิ่ม 40,000-60,000฿ (ได้จริง 20,000-30,000฿ ที่เหลือตกเบิกทุก 3-6เดือน) ทำงานจันทร์ถึงศุกร์ 40 ชั่วโมง/สัปดาห์
ค่าเวรโอที (บังคับอยู่เวรเพราะโรงพยาบาลต้องเปิด 24 ชั่วโมงทุกวัน) 300-1,200฿/8 ชั่วโมงหรือ 38-150฿/ชั่วโมง (ไม่ต้องขยี้ตา)
- โรงพยาบาลเอกชน การันตี เดือนละ 80,000-140,000฿ ทำงาน 48 ชั่วโมง/สัปดาห์
ค่าเวรโอที (ไม่บังคับ) 400-800฿/ชั่วโมง
- คลินิกตรวจบัตรทอง 400-550฿/ชั่วโมง
- คลินิกความงาม (ไม่มีประสบการณ์ สอนให้ได้)
ทำงาน 12.00-20.00 น. 6 วันต่อสัปดาห์การันตี 100,000-140,000฿/เดือน ค่าคอมต่างหาก
เวรโอทีสำหรับคนมีประสบการณ์ 600-900฿/ชั่วโมง
หรือเหมาจ่ายสำหรับฟรีแลนซ์ 5000-6,000฿/ 8ชั่วโมง
2. แพทย์เฉพาะทาง(ตามแต่สาขา)
2.1 อายุรกรรมทั่วไป(หมอผู้ใหญ่) หรือหมอเด็กทั่วไป
- โรงพยาบาลรัฐหรือโรงเรียนแพทย์ 40,000-60,000฿ อาจมีบังคับเวรโอทีน้อยนิด ส่วนมากจะเป็นโอฟรี (ทำเพื่อการกุศล)
- โรงพยาบาลเอกชนการันตี 160,000-250,000฿/เดือนทำงาน 48 ชั่วโมง/สัปดาห์ โอที 650-1,000฿/ชั่วโมง
- ตอนนี้มีหมอรับจ้างประจำด้วย คือไม่ได้บรรจุข้าราชการ แต่ทำงานในโรงพยาบาลรัฐหรือโรงเรียนแพทย์จะได้เงินเดือน 40,000-80,000฿ หมอบางคนไม่ชอบโรงพยาบาลเอกชนแต่ถ้าบรรจุราชการแล้วรับเงินเดือนอย่างข้าราชการก็จะไม่พอสำหรับเลี้ยงชีพครอบครัว(อย่าลืมว่ากว่าหมอจะเรียนจบเฉพาะทางใช้เวลารวมใช้ทุน 11-13 ปี พ่อแม่แก่พอดี ในขณะที่เพื่อนๆ เรียนอาชีพอื่น แค่ 4 ปี จบทำงานเลยไม่ต้องขอตังพ่อแม่)
2.2 อายุรกรรมเฉพาะทางหรือหมอเด็กเฉพาะทาง
- โรงพยาบาลรัฐหรือโรงเรียนแพทย์ ได้เงินเดือนตามฐานเงินเดือน รายได้ไม่ต่างกันในแต่ละสาขาและไม่ได้ปรับสูงกว่าอายุรกรรมทั่วไปหรือหมอเด็กทั่วไปที่ได้มากกว่าก็เพราะอายุงานมากกว่าและค่าตำแหน่งบริการและฝ่ายวิชาการเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย
- โรงพยาบาลเอกชน รายได้แตกต่างกันตามสาขา สาขาที่เป็นโรคยากๆหัตถการเยอะ เช่น
หัวใจ หรือทางเดินอาหาร การันตีที่ 250,000-350,000฿/เดือน ทำงาน 45 ชั่วโมง/สัปดาห์
สาขาระบบประสาท ไต และ ปอด การันตีที่ 200,000-250,000฿/เดือน 45 ชั่วโมง/สัปดาห์หมอไตจะมีค่าดูแลคนไข้ฟอกไตด้วย
สาขาอื่นๆ 180,000-250,000฿/เดือน 45 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรือจะทำงานเป็นฟรีแลนซ์รายชั่วโมงก็ได้ 800-1,000฿/ชั่วโมง
- คลินิกความงาม เฉพาะจบสาขาผิวหนัง (ต้องเรียนต่างหากอีก 4-7ปี ไม่รวมเรียนหมอ 6 ปี) การันตีที่ 250,000-300,000฿/เดือน 48 ชั่วโมง/สัปดาห์
- โอที ส่วนมาก 650-1,200฿/ชั่วโมง ตามแต่สาขา
- เวรดึก 4,000-8,000/10-12 ชั่วโมง
3. ศัลยกรรมทั่วไป(หมอผ่าตัด)และสูตินรีเวช(ทำคลอด)
การันตี 220,000-350,000฿ ต่อเดือนในเอกชนซึ่งบางท่านที่ผ่าตัดเยอะๆ อาจจะมีรายได้สูงถึง 1,000,000฿/เดือน
แต่สำหรับโรงพยาบาลรัฐหรือโรงเรียนแพทย์ รายได้เหมือนหมอข้อ 2.เอาง่ายๆ ไม่ถึงแสนบาท เว้นแต่ออกไปเปิดคลินิกเองหรือรับจ็อบโรงพยาบาลเอกชนนอกเวลาทำงานราชการ
- ค่าเวรโอทีการันตีที่ 650-1,000฿/ชั่วโมง
- ค่าเวรดึก 4,000-8,000฿/10-12 ชั่วโมง
ส่วนมากจะเกินการันตี
4. หมอกระดูกและหมอผ่าสมอง
รายได้ในโรงพยาบาลรัฐพอๆ กับข้อ 2 และ 3
แต่รายได้ในโรงพยาบาลเอกชนส่วนมากเกินการรันตี มากกว่า 300,000฿/เดือน
เพราะคนไทยเกิดอุบัติเหตุบ่อย มีค่ารักษาจาก พรบ.ที่เต็มที่ 30,000-80,000฿
(ยิ่งอุบัติเหตุมากเท่าไร ยิ่งได้กำไรมากเท่านั้น(ต้องไม่ตายคาที่นะ) ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน)
5. หมอตาและหูคอจมูก
มักทำงานในเวลาเนื่องจากภาวะฉุกเฉินนอกเวลางานจะเป็นหมอศัลยกรรมหรืออายุรกรรมดูแลก่อนเบื้องต้น
รายได้ตามชั่วโมงทำงาน
ตกชั่วโมงละ. 650-1,000฿ /ชั่วโมง
มีค่าหัตถการและผ่าตัดที่เพิ่มเติม
สำหรับหมอสาขาอื่นๆที่ไม่ได้ตรวจคนไข้โดยตรง เช่น รังสีแพทย์ พยาธิแพทย์ รายได้ตามชั่วโมงทำงานเหมือนข้อ 5.
อย่างไรก็ดี....
แพทย์ 1 คนกว่าจะทำงานได้ต้องเรียนมากกว่าคนอื่น นานกว่าอาชีพอื่นๆ
และแพทย์บางสาขาก็ทำงานได้จำกัดอายุ
ยิ่งอายุมากขึ้น ข้อจำกัดในการทำงานก็มากขึ้น
หรือแม้แต่หมอผู้หญิง ก็จะเริ่มมีครอบครัวตอนจบเฉพาะทางแล้วเริ่มมีลูก ต้องดูแลลูกและงานบ้าน ก็ต้องเลือกทำงานที่มีเวลาให้ครอบครัว ไม่รับงานดึกไม่รับงานที่ทำทุกวัน
และมีหมออีกไม่น้อยที่รู้สึกได้ว่า มีหลายอาชีพที่ทำเงินได้มากกว่าการเป็นหมอ
หมอ ได้เงินเยอะเพราะมีเวลา 24 ชั่วโมงให้ทำเท่าที่ทำไหวจึงได้รายได้เยอะ
ถ้าไม่ทำ หรือทำน้อย ก็ได้รายได้น้อยหรือไม่ได้เลยแม้แต่บาทเดียว
มีหลายอาชีพ เช่น หุ้นนักลงทุนทั้งอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ เจ้าของธุรกิจ หรือแม้แต่นายหน้าก็ทำเงินได้มากเหมือนกัน
อย่างเพื่อนหมอเอาเศษผ้าโรงงานนี้ขนไปขายอีกโรงงานนึงทำเดือนละครั้งได้หลายหมื่นบาท
พี่ที่รู้จักเอาของจากที่นึงไปกระจายขายทั่วภาคใต้ มีรายได้ปีละ 20ล้านบาท
วันๆ ไปทำบุญตรงนั้นตรงนี้
สิ่งที่ต้องเห็นใจหมอโรงพยาบาลรัฐ
ทำไมเขาถึงลาออกมาทำงานฟรีแลนซ์หรืออยู่ประจำโรงพยาบาลเอกชน
ก็เพราะรายได้ที่แตกต่างกันมากๆ หนึ่ง
อีกสาเหตุคือ เวรบังคับ ทำให้ขาดอิสระในการเลือกใช้ชีวิต
ยิ่งยุคหลังๆ หมอจบใหม่เป็นคนเจนเนอเรชั่นวายที่ไม่ยึดติดตำแหน่งหรือความก้าวหน้าในอนาคต
แต่ขอให้มีความสุขในการใช้ชีวิตและการทำงานในปัจจุบัน
ยิ่งเห็นคนไข้เห็นแก่ได้หรือเห็นแก่ตัว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทนทำงานเพื่ออุดมการณ์ที่ปลูกฝังกันมายาวนาน
แต่ที่ทำกันได้ถึงทุกวันนี้
ก็เพราะมีหมอรุ่นพี่รุ่นน้องและมีคนไข้ซื่อๆ ให้รักษาสร้างบรรยากาศการทำงานที่ไม่อยากหนีไปไหน
หมออาชีพที่ได้เงินด้วยและได้บุญด้วย
แม้ว่าผมอาจจะได้ไปรวยจากอาชีพอื่น ผมก็ยังจะทำงานหมอต่อไป
หมอเอ้
ป.ล.1 หมอที่คุมงบบัตรทอง ได้เงินเดือน200,000฿ ค่าเบี้ยประชุมครั้งละ 12,000฿ น่าเป็นที่สุดครับตอนนี้
ป.ล. 2 เวลาแพทย์ถูกคนไข้ฟ้องร้อง ก็เริ่มต้น 2 ล้านบาท มีพี่ของเพื่อนต้องขายคอนโดและรถยนต์ เงินเก็บหมดเครียดกันทั้งบ้าน เพราะตอนที่ศาลตัดสินกำลังเรียนเฉพาะทาง รายได้แค่ 2 หมื่นบาทต่อเดือน (7 ปี ก่อน)
ข้อมูลอ้างอิงบางส่วนจากประกาศรับสมัครแพทย์ในเวปไซต์และสุ่มโทรสอบถามในจังหวัดใหญ่ๆเรตที่สูงมักมาจากความต้องการแพทย์เร่งด่วน
....................
แถม
เมื่อแพทย์และพยาบาลต้องล้มละลายเพราะถูกไล่เบี้ย
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=15-11-2016&group=7&gblog=207
ร่าง พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ... ปัญหา หรือ โอกาส ...
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=11-07-2010&group=7&gblog=61
ToBePharmacist 4กพ.2560
https://www.facebook.com/tobepharm/posts/1228910597199872
นี่เป็นหนึ่งในคำถามที่น้องๆอยากรู้กันมาก แต่ก็เป็นคำถามที่ตอบยากคำถามนึง เพราะมันมีปัจจัยอื่นๆมากวนเยอะ พยายามเขียนเป็นบทความอยู่ แต่ยังมีเอกสารอ้างอิงไม่พอ
เอาคร่าวๆแล้วกันครับ จบใหม่ เฉพาะจบใหม่นะ
1.โรงพยาบาล (รวมค่าทุกอย่าง) 2 หมื่นปลายๆ จนถึง 3 หมื่น แต่ถ้าขยันอยู่เวรก็ถึง 4 หมื่นในบางเดือน
2.ร้านยา (เรทลูกจ้างนะ ไม่ใช่เจ้าของร้าน) 3 หมื่น จนถึง 4 หมื่นต้นๆ แต่ถ้าแหล่งท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 5-7 หมื่น
ถ้าร้านยาเรทเจ้าของร้านก็แล้วแต่ยอดขาย ขายไม่ดีก็ยอดวันละพัน ขายดีขึ้นมาหน่อยก็วันละหมื่น ขายดีมากก็วันละแสน ขายดีโครตๆ+เป็นร้านขายส่งใหญ่ๆก็ยอดวันละล้านได้ (เฉพาะยอดขายนะ ไม่ใช่กำไร)
3.โรงงาน เริ่ม 2 หมื่น จนถึง 4 หมื่นต้นๆ (แต่ส่วนมากจะ 3 หมื่นนิดๆถึงกลางๆ)
4.ดีเทล 3-4 หมื่น ถ้าปิดยอดได้ส่วนมากจะได้เพิ่มอีกเท่านึง ก็คือได้อีก 3-4 หมื่น (ซึ่งถ้าเริ่มทำใหม่ๆ ยอดยังไม่สูงมาก ก็มักจะปิดยอดได้ทุกคนนะ)
ก็น่าจะครอบคลุมสำหรับสายงานหลักๆของเภสัชนะครับ สายงานแปลกๆใหม่ๆอย่าง CRA นี่ไม่ทราบจริงๆครับ ส่วนพวกสายงานราชการอย่าง อย. สสจ. กรมวิทย์ อันนี้ก็ไม่ทราบเช่นกัน (เงินเดือนอ่ะพอทราบ แต่ไม่รู้จริงๆว่า ทำงานจริงมันบวกค่าอะไรไปอีกบ้าง)
คือเงินเดือนนี่มันต้องดูหลายอย่างนะครับ ถ้าจะแบ่งจริงๆ โรงพยาบาลก็มีทั้งรัฐทั้งเอกชน โรงงานก็ทั้งผลิต QC QA ขึ้นทะเบียน RD
นอกจากนี้ต้องดูสวัสดิการ เงื่อนไขการทำงาน สภาวะการทำงาน รวมถึงชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ด้วย ดูแต่เงินเดือนรวมไม่ได้ครับ (บางที่เงินเดือนน้อยแต่โบนัสเยอะนะ) แล้วต้องดูด้วยว่าการเติบโตในระยะยาวเป็นยังไง อย่างเช่น ดูผิวเผินเหมือนร้านยาจะเงินดีสุด แต่ร้านยานี่เงินเดือนแทบไม่ขึ้น พวกร้านเชนต้อง KPI สูงจริงๆถึงจะได้ขึ้นปีละ 1500 ในขณะที่โรงงานขึ้นปีละ 6-12% หรือปีละ 3000 เป็นเรื่องปกติ
โดย: หมอหมู 4 กุมภาพันธ์ 2560 16:23:44 น.
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ
โดย: nokyungnakaa 21 กุมภาพันธ์ 2560 13:50:06 น.
21 พฤษภาคม ·
"ตีแผ่ค่าตอบแทนและชั่วโมงการทำงานของหมอไทย"
...เรื่องจริง ที่คุณอาจไม่เคยรู้
ไหนใครบอกไม่มีนโยบายทำงานเกิน 24 ชั่วโมง
คนทั่วไป มักคิดว่า อาชีพหมอ งานสบาย เงินดี มีเวลาพัก
เพราะดูในละครทีไร ก็ เห็นนั่งชิลๆ ว่างๆ ในห้องแอร์
ไม่ก็ ออกมาพูดว่า "ผมเสียใจด้วยครับ คุณมาช้าเกินไป"
คนส่วนใหญ่ ไม่ค่อยป่วยหนักครับ เวลาไปรพ.ก็ อย่างมากก็ไปตรวจที่ห้องตรวจผู้ป่วยทั่วไป ในเวลา ซึ่ง ก็มักจะเห็นหมอนั่งตรวจสบายๆ ในห้องมีแอร์
เหมือน ทำงาน office มาสายๆ บ่ายก็เลิก
งานง่ายๆ สบายๆ ครับ เด็กๆ ไฝ่ฝัน
แต่เบื้องหลังจริงๆ แล้ว ยังมี
การออกตรวจคนไข้ที่หอผู้ป่วยตั้งแต่ 6-7 โมงเช้า 30-60 เตียง
ต่อมาตรวจ OPD 50-100 คน ต่อวัน
(ที่ใครหลายๆ คนชอบบ่นว่าหมอไปไหนมาช้าจัง)
ตอนบ่าย บางคน อาจจะต้องเข้าห้องผ่าตัด/มีคลินิกพิเศษ
(คือ คลินิกเฉพาะทางใน รพ.นะครับ อย่าดราม่า ว่า ไปรับจ๊อบเปิดคลินิก มันไม่ใช่)
/บางคน เป็นผู้บริหาร มีประชุม/บางคนออกเยี่ยมชุมชน/บางคนไปออกตรวจอนามัย
ตอนเย็น ต้องไปดูผู้ป่วยที่หอผู้ป่วยอีกหรือเรียกว่าราวด์เย็น
กลางคืนอยู่เวร อาจจะดูผู้ป่วยที่หอผู้ป่วย หรือว่า อยู่ห้องฉุกเฉิน
ถึงเช้า ก็มาตรวจคนไข้ต่อ
"การอยู่เวร" คืออยู่ต่อจากทำงานตั้งแต่เช้า จนข้ามคืนไปอีกวัน และทำงานต่อในอีกวัน
เช่น เริ่มทำงานวันจันทร์ 7 โมงเช้าถึงเย็น อยู่เวรต่อถึงเช้าวันอังคาร พอเช้าวันอังคารทำงานต่อ ถึงเย็น เท่ากับ อยู่เวร 1 วัน = ทำงานติดกัน 34 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
ถ้าอยู่เวรติดหลายวัน เช่น ศ ส อา คือเริ่มทำงาน 7 โมง เช้าวันศุกร์ ข้ามคืนวันศุกร์ วันเสาร์ทั้งวัน ข้ามคืนวันเสาร์ วันอาทิตย์ทั้งวัน ข้ามคืนวันอาทิตย์ วันจันทร์ถึงเย็น ประมาณ 82 ชั่วโมงติด
บาง รพ. เวรวอร์ดอยู่ข้ามคืน ไม่มีพัก งีบได้เมื่อว่าง
บาง รพ. เวรฉุกเฉิน คือ 8 ชั่วโมง อาจเป็นเวรบ่าย หรือดึก แต่กลางวันทำงานปกติ วันถัดไปก็ทำงานปกติ
บาง รพ. เวร ก็คือเวรจริงๆ ดูมันทั้งวอร์ด ห้องฉุกเฉิน ห้องคลอด +-ห้องผ่าตัด ดูทั้งคืน ยันเช้า แล้วทำงานต่อ
ทั้งหมดนี้คือไม่ได้มีช่วงพัก ถ้ามีคนไข้ ทำงานตลอด
แล้วแบบนี้ ถ้าพอจะว่าง พอจะงีบได้มั้ยครับ
หรือคุณอยากตรวจกับหมอที่ถ่างตารอ เหมือนต้อนรับคุณ
แบบเซเว่น 24 ชั่วโมง สภาพเบลอๆ มึนๆ
ทีนี้ลองมาดู ชั่วโมงการทำงาน
เคยนั่งดูข่าว ชม. การทำงานเฉลี่ย
-ประเทศพัฒนาแล้ว อยู่ที่ 26 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
-ประเทศไทย อยู่ที่ 56 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
หมอไทย เฉลี่ยการทำงาน
:จ-ศ 7.00-17.00 = 10*5 = 50
:ส-อา 7.00-10.00 = 3*2 = 6
:เวรวันธรรมดา ~2วันต่อสัปดาห์ = 14*2 = 28
:เวร ส-อา ~1วันต่อสัปดาห์ = 21
:เวรห้องฉุกเฉินอีก 2 วันต่อสัปดาห์ =8*2 = 16
เฉลี่ยก็แค่ "121 hrs/wk" สองเท่ากว่าๆ คนทั่วไป
ของค่าเฉลี่ยประเทศไทยเท่านั้นเองครับ 55+
ส่วนค่าตอบแทน เฉลี่ยให้ ประมาณ 60,000 บาทนะครับ จริง ๆ อาจจะมากน้อยกว่านี้แล้วแต่รพ.
60,000 หาร 121*4 = ประมาณ 123 บาท ต่อชั่วโมง
เห็นมั้ยครับว่า ตัวเลขเหมือนจะเยอะ แต่ ตกชั่วโมงหนึ่ง
น้อยมากๆ TT-TT
และการที่ได้เงินมา มันแลกมาด้วย การทำงานในเวลาที่คนอื่นเค้านอน
การที่ไม่ได้หยุดช่วงเทศกาล และการไม่ได้อยู่กับครอบครัว เพราะต้องไปใช้ทุนต่างจังหวัด
(โลกสวย: เหนื่อยนัก ทำไมไม่หยุดละ จะบ่นทำไม เห็นแก่เงินละสิ)
...ไม่ใช่ไม่อยากพักครับ บางครั้งป่วยแทบตาย
หรือคนที่บ้านไม่สบาย แต่ยังไงก็ต้องไปอยู่เวร
เวรที่ต้องอยู่ 15-20 เวรต่อเดือนเนี้ย คือเวรบังคับอยู่นะครับ ไม่ได้เลือกได้
ไม่ใช่เหมือนงาน office วันนี้งานไม่เสร็จ ทำ OT ต่อ วันนี้อยากพักกลับดีกว่า
ไม่ไหวก็ให้คนอื่นอยู่แทนสิ ใครละครับ แต่ละ รพ.หมอไม่ได้มีมากขนาดนั้น
คนนี้เพิ่งอยู่เวรมา คนนั้นกำลังจะอยู่เวรต่อ ให้เค้ามาอยู่แทน เค้าจะไหวมั้ยครับ
เพราะงั้น ถ้ามีธุระด่วน แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้คนอื่นมาอยู่เวรแทน
สรุปก็ต้องอยู่เอง
เห็นแบบนี้แล้ว ใครยังจะบอกว่า งานสบาย เงินดี มีเวลาพัก
ห้ามหลับในเวร ก็ตามสบายครับ
สำหรับบางคน
ปล. โพสต์นี้ของดดราม่า ประเด็น อาชีพอื่นก็งานหนัก เหนื่อย เงินน้อย ไม่มีเวลาพัก เหมือนกัน จะบ่นทำไม อันนี้หมอทราบและเข้าใจดีครับ
แต่ขอพื้นที่ส่วนตัว ชี้แจงเกี่ยวกับวิชาชีพของหมอสักนิด ให้คนนอกที่ยังไม่รู้ จะได้เข้าใจนะครับ
สุดท้ายแล้ว นโยบายมี ห้ามทำงานเกิน 24 ชั่วโมงมีจริงมั้ย อันนี้หมอไม่ทราบจริงๆ ครับ แต่ที่รู้ๆ หมอที่ต้องทำงานเกิน 24 ชั่วโมงมีอยู่จริง และแทบจะส่วนใหญ่ที่ต้องทำแบบนี้ครับ
By Dr.P
ที่มา https://www.facebook.com/easyeasydoctorp/posts/1463297020360264
โดย: หมอหมู 16 กรกฎาคม 2560 19:58:20 น.
https://pantip.com/topic/36950997/
สวัสดีค่ะ
เนื่องจากตอนนี้เป็นหมอที่เรียนเฉพาะทางกำลังจะเรียนจบ จึงได้หาข้อมูลจากรุ่นพี่ๆ เกี่ยวกับที่ทำงานในอนาคต ทั้งรัฐและเอกชน
ทั้งเวลาการทำงานต่อสัปดาห์ ภาระหน้าที่ต่างๆ ที่สำคัญที่สุด คงไม่พ้นเรื่องของค่าตอบแทน
ยิ่งฟังมากขึ้น ก็ยิ่งตกผลึก
ซึ่งมันต่างจาก มายาคติ ที่สังคมมีต่ออาชีพของเรามากค่ะ ที่ว่า
หมอรายได้เดือนละเป็นแสน
ดังจะแจกแจงตามนี้ค่ะ
1. หมอเป็นอาชีพที่ได้เงินเพิ่มตามชั่วโมงที่ทำ ตามเคสที่ทำเพิ่ม (ขอคิดในกรณีของฟูลไทม์ รพ รัฐนะคะ)
แต่ก่อนที่คุณจะได้ส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นมา คุณต้องทำงานในส่วนของ เวลาทำการ ให้เสร็จก่อนค่ะ ซึ่งเยอะมาก
งานในหลายสาขาเฉพาะทาง แทนที่จะสามารถเคลียร์งานส่วนนี้ได้ภายใน 4 โมงเย็นตาม job description ที่เขียนไว้ในกระดาษ
กลับต้องลากยาวไปถึงหกโมง สองทุ่ม หรืออาจดึกกว่านั้น
เลวร้ายที่สุดคือ มีพันธะยาวไปตลอดข้ามคืน ถึงแม้คุณไม่อยู่เวร ก็อาจต้องรับผิดชอบหรือตอบคำถามบางอย่างในเคสที่เป็นของคุณ
เพราะเหตุนี้ หมอหลายคนเลยเลือกที่จะไม่หารายได้เสริม เพราะมันไม่มีแรงหรือเวลาเหลือให้ทำอีกแล้ว
ถามว่า อ้าว แล้วรายได้ที่มาจากการทำเวลาทำการ มันก็เยอะแล้ว เกินแสนแล้ว ใช่หรือไม่
ไม่ใช่ค่ะ ถ้าเป็นหมอของรัฐ สตาร์ทก็หมื่นปลายถึงสองหมื่น ได้ค่าตอบแทน พวกไม่ทำเวช พตส ค่าเวรราชการบ้าง
รวมแล้วส่วนใหญ่หมอรัฐ ทั้งที่จบเฉพาะทาง หรือยังไม่ได้เรียนเฉพาะทาง ถ้าไม่ทำ part time เพิ่ม ได้ประมาณหกหมื่นค่ะ
ลบภาพว่าหมอรับเงินแสนไปได้เลยค่ะ เพราะกลุ่มหมอที่ทำงานรัฐ คือประชากรส่วนใหญ่ (general population) ของสังคมหมอ
และเป็นหมอในอุดมคติ (ideal) ของทัศนคติของคนไทย ว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องเสียลสละ ทำเอกชน คือการกอบโกย
2. อ้าว แต่เห็นว่าพอไปเรียนเฉพาะทาง จบแล้วกลับมาทำงานก็ได้เงินกันเป็นกอบเป็นกำนี่ เห็นว่าหลายแสนเลยด้วย
หยุดมโนค่ะ
ไม่ทราบว่าคนหลายคนได้รับข้อมูลนี้มาจากไหน แต่การเรียนเฉพาะทางต่อ ก็คือการที่ทำให้หมอคนหนึ่ง เข้าไปทำงานในส่วนที่เฉพาะเจาะจงขึ้น และมักจะทำอย่างอื่นที่เคยทำตอนอินเทิร์น (แพทย์ฝึกหัดไม่ได้แล้ว)
ที่สำคัญ ความสามารถในการทำงานของแต่ละสายเฉพาะทาง มันต่างกันมากเหลือเกิน
ในสายงานที่มี การทำหัตถการ ต้องยอมรับว่ามีโอกาสในการทำเงินมากกว่า รวมไปถึงสาขาที่เกี่ยวข้องกับความสวยความงามต่างๆ ด้วย
พูดได้ว่า ถ้าอยากได้ ก็มีศักยภาพพอที่จะไปถึงสิ่งที่แต่ละคนหวังไว้ บ้านหรู คอนโดหรู รถยุโรป ฯลฯ
แต่ในทางกลับกัน อีกหลายสาขาเฉพาะทาง ไม่ได้มีโอกาสดังนั้น
จะเห็นได้ว่า หมอที่เรียนจบเฉพาะทาง กลับมาทำงาน รพ รัฐ กลับได้ค่าตอบแทน ไม่ต่างจากอินเทิร์น
เน้นก็คือ หมอเฉพาะทาง รายได้ไม่ถึงแสนค่ะ
เรียกว่า เรียนไป ก็ไม่ได้เพิ่มเงิน แต่จะมีประโยชน์ในแง่การจำกัดความเสี่ยง คือทำงานในย่านที่ตัวเองถนัดและรอบรู้
โอกาสผิดพลาดน้อยกว่าอินเทิร์น ที่ต้องทำทุกอย่าง (ไม่มีใครรู้ได้ทุกอย่างค่ะ) โอกาสพลาดสูง
บางสาขาเลือกที่จะไปอยู่ในจุดที่สบายใจได้ ในพื้นฐานว่าเงินไม่ต่างจากน้องๆ อินเทิร์นเลย (หรือบางที จนกว่าอินเทิร์นด้วยซ้ำ เพราะเวรน้อยกว่า)
ทั้งนี้เส้นกราฟความแตกต่างของรายได้จะเริ่มเกิดขึ้น เมื่อหมอคนนั้นๆ ออกมาทำพาร์ทไทม์เพิ่ม
หมายความว่า ถ้าทำงานในรพ รัฐ อย่างเดียว ไม่ว่าจะสาขาทำเงิน หรือไม่ทำเงิน ก็มักจะได้เงินไม่ค่อยต่างกัน
แต่ถ้านำเรื่องพาร์ทไทม์มาคำนวณด้วย ความแตกต่างจะเห็นผลชัดเจน
ก็ไม่น่าแปลกใจค่ะ เพราะในสาขาบางสาขา ยังไม่ค่อยมีงานให้ทำพาร์ทไทม์ หรือถ้ามี ค่าตอบแทนต่อเคสมันก็น้อยเหลือเกิน
โอกาสมันต่างกันมากค่ะ
3. อ้าว แล้วทำไมหมอไม่ไปเรียนเฉพาะทางสายที่ทำเงินรวยๆ ล่ะ ไปเรียนสายจนๆ ทำไม
ก็เหมือนอาชีพอื่นๆ ในสังคมค่ะ วิศวกร ก็งานอย่างหนึ่ง ทนาย ก็งานอีกอย่างหนึ่ง
งาน ก็ทำไม่เหมือนกัน ฐานเงินเดือน มีน แม็กซ์ ก็ต่างกัน
ไม่ต่างอะไรกับสายเฉพาะทางของหมอค่ะ เพราะงานในแต่ละสาย มันต่างกันและมีรายละเอียดมาก ไม่สามารถทำแทนกันได้
หมอ med ก็ทำอย่างหนึ่ง จะให้ไปจับมีดผ่าตัด ก็ไม่ได้
หมอศัลย์ ก็อ่านฟิล์มซีทีได้ประมาณนึง อ่านได้คล่องเฉพาะที่เกี่ยวกับฟิลด์ตัวเอง จะให้ไปอ่านทั่วร่างก็ไม่ได้
และแต่ละสาขาก็มี ฐาน มีน แม็กซ์ ของพาร์ทไทม์ หรือเอกชน ต่างกัน (เน้นอีกครั้งค่ะ ว่าถ้าทำงานรัฐ อย่างเดียว สาขาไหน เงินไม่ค่อยต่างกัน)
คนแต่ละคน ก็มีความถนัดคนละแบบ มีความชอบคนละแบบ จะให้ไปเรียนแต่สายที่ทำเงิน ก็คงไม่ได้
และก็จะเสียสมดุลของความสามารถในการป้อนแพทย์เฉพาะทางไปด้วย สายที่งานหนักก็คงไม่มีคนเรียน ประชาชนก็เดือดร้อนอีก
ถึงได้มีการควบคุม ว่าแต่ละสาขา รับแพทย์กี่คน
ก็ไม่ต้องแปลกใจค่ะ ว่าทำไมคนไปสมัครสาขา ทำเงิน มันถึงมากมาย แข่งกันดุเดือดมาก
ก็คงไม่ต่างจากสายอาชีพอื่น ที่แย่งกันเข้าบริษัทใหญ่ๆ เพื่อโอกาสความก้าวหน้าในอนาคตค่ะ
ทุกอย่างคือการแข่งกัน
4. อ่านมาถึงจุดนี้ คงจะพอเห็นภาพแล้วนะคะ ว่าหมอรัฐ ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของสังคมหมอ คืออาชีพหนึ่ง ซึ่งมี การันตี รายได้ ในระดับที่สูงกว่า มีน ของอาชีพทั่วไป
คือ หกหมื่นบาทต่อเดือน
โดยจะมี variation ขึ้นตามสาขาที่เรียน การเลือกที่จะทำพาร์ทไทม์ หรือไม่ทำ และโอกาสและความคุ้มค่าในการทำพาร์ทไทม์ของแต่ละสาขา ต่างกันเช่นใด
อ้าว แล้วหมอเอกชนล่ะ หมอเอกชน (ฟูลไทม์) ได้เงินหลายแสนเลยนะ
หมอเอกชนฟูลไทม์ เป็นสิ่งที่สามารถพูดได้ค่ะ ว่าได้รายได้เกินแสนต่อเดือน และน่าจะเป็นภาพที่คนส่วนใหญ่ในสังคมคิดว่าหมอเป็นด้วย
คือภาพของหมอในกาวน์ขาวยาวๆ อยู่ในตึกรพ สูงๆ แอร์เย็นๆ สภาพแวดล้อมสะอาดสะอ้าน พูดจาครับๆ ค่ะๆ
แต่อนิจจา นั่นคือประชากรส่วนที่น้อยกว่าของสังคมหมอค่ะ
เพราะฉะนั้น รายได้ของหมอเอกชน ไม่สามารถนำมาใช้เป็นตัวแทนของวิชาชีพหมอได้ค่ะ ไม่ว่าจะเอามาเป็นมีน โหมด หรือมีเดียน
ขอให้ลบภาพว่า หมอทุกคนได้เงินแสน ทิ้งไปค่ะ
หมอทุกคนขับรถยุโรป ลืมไปค่ะ
หมอทุกคนมีคอนโดรถไฟฟ้าผ่าน หยุดมโนค่ะ
และเน้นย้ำอีกครั้ง ทุกอย่างมีที่มาที่ไปค่ะ คนที่จะได้ไปทำฟูลไทม์เอกชน ก็ต้องมีโปรไฟล์ที่ดี ต้องทำตัวให้เป็นที่ต้องการของตลาด
ไม่ต่างอะไรกับสายอาชีพอื่น ก็ต้องทำโปรไฟล์ตัวเองให้ดี เกรดต้องได้ มีประสบการณ์ มีการพัฒนาตัวเอง
มีความอดทน ซื่อสัตย์ รับผิดชอบ
ฟังแบบนี้แล้ว มันก็คือ core value เหมือนๆ กันในการประกอบอาชีพอื่น
แล้วมันแตกต่างอะไรกับ career path ของการทำอาชีพอื่นล่ะคะ
ใจความแล้ว ไม่แตกต่างเลยค่ะ เพราะฉะนั้น ขอให้เลิกค่านิยมซะทีว่า อยากรวยให้มาเรียนหมอ
กลับไปบอกลูกๆ หลานๆ คุณว่า ทำอะไร ก็ทำให้ดี รักในอาชีพ พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
รายได้และตำแหน่งของคุณ ก็จะก้าวไปข้างหน้า เหมือนกับอาชีพหมอ ซึ่งมี variation ของรายได้เช่นกัน
แม้ว่า มีนของอาชีพหมอ จะการันตีว่าไม่อดตาย แต่ max มันไม่ต่างค่ะ
มีข้อสังเกตว่า ถ้าเด็กคนหนึ่งมีความสามารถเพียงพอที่จะสอบเข้าคณะแพทย์ได้ ก็แปลว่าคนคนนั้นสามารถเข้าได้ทุกคณะ และจะไปอยู่ในจุดที่สูงมากของสายอาชีพนั้นๆ (อันนี้ยังมีหลายปัจจัยนอกเหนือจากการเรียนหรือการทำคะแนน แต่คะแนนก็พอบอกอะไรได้หลายอย่างค่ะ)
เราเห็นเพื่อนแพทย์หลายคน ที่ตอนสอบเข้าหมอ คราวอายุ 18 หลายคนมีความสามารถด้านอื่นสูงมากๆ เช่น โอลิมปิคเลข หรือฟิสิกส์ JLPT1 เปียโนที่สูงกว่าเกรดแปด ฯลฯ พอเข้ามาเรียน ก็ไม่ได้ใข้ความสามารถส่วนนั้น
หลายคนอยากไปเรียนคณะอื่นด้วยซ้ำแต่ต้องมาเรียนหมอ ก็อดเสียดายแทนไม่ได้ค่ะ
กระทู้นี้พูดเรื่องค่าตอบแทน เรื่องเงิน กับอาชีพหมอ
ขออภัยค่ะหากอ่านแล้วรู้สึกว่าทำไมหมอเห็นแก่เงิน นี่เป็นความเห็นของเราคนเดียวค่ะ
เราแค่อยากให้มองหมอเหมือนเป็นอาชีพหนึ่งในสังคม เป็นฆราวาส เป็นอาชีพทางโลก
ต้องพูดเรื่องค่าตอบแทนได้ค่ะ และต้องมีที่มาที่ไป
ไม่ชอบค่ะถ้าจะต้องยกเรื่องความเสียสละ เพื่อมาบิดเบือนกลไกตลาดที่ควรจะเป็น
ความเสียสละควรจะมีในทุกๆ อาชีพในระดับที่เท่ากันค่ะ บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ภาพของนักบุญที่เสียสละ
เพราะเราก็อยู่ในสังคม เรามีความอยาก มีกิเลส เราก็อยากขับรถดีๆ กินอาหารดีๆ
มีลูกก็อยากให้เรียนโรงเรียนดีๆ ไม่ต่างจากอาชีพอื่นค่ะ
ถ้าไม่ชอบ ก็ขออภัยค่ะ
สมาชิกหมายเลข 921684
โดย: หมอหมู 7 ตุลาคม 2560 14:41:44 น.