|
|||
From Bangkok to... "Maymyo" @ พม่า ก่อนอื่น... กรุณาดูวันที่ที่เริ่มเขียนบล็อกนี้ด้านล่างค่ะ เขียนค้างไว้แล้วก็หยุดไป เรื่องวุ่นวายเยอะแค่ไหนถามใจเธอดู งานถาโถมมากค่ะ ตั้งแต่ช่วงการประชุมอาเซียนปลายปีที่แล้วจนมาโควิด หลายอีเวนท์เหลือเกิน ช่วงโควิดว่าจะอัพบล็อก ติดละครเกาหลีอีก... หมดกัน เข้าเรื่องเลยดีกว่าค่ะ ต่อไปด้านล่างนี้คือที่เขียนไว้แล้วเขียนไม่จบ เลยไม่ได้อัพ แต่ตอนนี้จะตัดจบดื้อๆเลยนี่แหละค่ะ ไม่งั้นอันอื่นก็คงไม่ได้อัพต่อแน่ๆแหละ ช่วงกลาง ก.ค. (เน้นว่าปี 2519) มีวันหยุดเยอะหน่อยเลยปลีกวิเวกไป "มัณฑะเลย์" มาค่ะ เชื่อว่าหลายคนคงไปมัณฑะเลย์กันมาแล้วเนอะ สวยงามจริงจัง เคยไปย่างกุ้งเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นไม่ค่อยสนใจอะไรมากไปกว่าชเวดากองกับความอ่อนช้อยของพระพุทธรูปสไตล์พม่า หลังจากนั้นก็ไม่ได้คิดถึงประเทศนี้อีกจนกระทั่งได้ดูหนังเรื่อง “From Bangkok to Mandalay” หนังเรื่องนี้เข้าฉายนานแล้วแต่เพิ่งได้ดูค่ะ เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก แต่ทำไมเรากลับรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีเสน่ห์ทำให้ยิ้มได้กับความน่ารักในทุกซีนของ ปิ่น กับ โมนาย และที่สุดสำหรับเราเรื่องนี้คือโลเคชั่นการถ่ายทำ อะไรจะสวยขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ พุกาม แต่เรามาสะดุดตรงน้ำตกสูงในป่า เช็คข้อมูลพบว่าอยู่ที่ Maymyo (หรือที่รู้จักกันในนามว่า Pyin Oo Lwin) เราไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาก่อน สนใจขึ้นมาเลย โชคดีที่เมืองนี้มีคนไปเที่ยวเยอะมาก เลยมีข้อมูลค่อนข้างเยอะ น้อยครั้งในชีวิตที่ใช้บริการไกด์ เพื่อนคนนึงบอกว่าติดต่อไกด์ให้เราได้ในราคา 350 เหรียญ รับตั้งแต่สนามบิน อีกวันไปเมย์เมียว อีกวันทัวร์มัณฑะเลย์ อีกวันส่งกลับสนามบิน (เราไป 4 วันค่ะ) รวมน้ำมัน ทางด่วน แต่ไม่รวมค่าเข้าสถานที่ ที่พัก และอาหาร เราไม่เอา เพราะเราไม่ได้อยากได้ไกด์ เราแค่อยากได้คนที่จะพาเราไปถึงสถานที่ที่เราเลือกเท่านั้น เลยกะว่าจะไปตายเอาดาบหน้า เรามาถึงโรงแรมตอนบ่ายด้วยรถแท็กซี่ที่สนามบินมัณฑะเลย์ เรานั่งของเรามาคนเดียวราคา 15,000 จ๊าต (ประมาณ 310 บาท) การหารถไป Maymyo ผิดคาดจากตอนแรกที่เราคิดว่าจะหารถได้ง่ายเหมือนที่ย่างกุ้งครั้งที่แล้ว ที่ย่างกุ้งออกไปนอกถนนก็เจอคนมาถามไปนั่นไปนี่มั้ย ที่นี่ไม่มีค่ะ ก็เลยติดต่อที่โรงแรมนั่นแหละ โรงแรมก็มีทัวร์ของโรงแรมขาย มีไกด์ให้ แอบผิดหวังนิด ไกด์เหรอ ว้า!! งั้นก็ไม่เพียว ไม่เรียล ทุกอย่างจะเหมือนถูกเซ็ตไว้แล้ว แต่ไม่มีทางเลือก ราคาที่เค้าให้มาคือ 60 เหรียญ กำลังนึกอยู่ว่าจะเอายังไงดี... “ถึงน้ำตกเลยครับ” พนักงานบอก ตายตรงนี้แหละ ตกลงไปแบบไม่รู้ตัว เช้าวันต่อมาไกด์รอเราอยู่แล้วตามเวลานัด ไกด์เราชื่อโคยา ก็ทักทายไปตามมารยาท แต่โคยาน่ารักมาก สุภาพ ถ่อมตัว มีความรู้ในสถานที่ต่าง ๆ ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แต่ที่เราทึ่งคือแค่ประโยคเดียวโคยาจับทางเราได้หมดเลย เราบอกตอนเจอกันว่า "พินอูลวินนี่เราไม่อยากไปสวนดอกไม้ แล้วเราไม่ได้อยากเห็นความเป็นพินอูลวิน เราอยากเห็นความเป็นเมย์เมียว คุณเข้าใจเราใช่มั้ย" โคยาพยักหน้า เราแอบคิดในใจว่าเค้าไม่เข้าใจเราหรอกแต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ โคยาขับรถเองค่ะ ขับไปคุยกันไป ก็ตามมารยาทแหละแล้วโคยาก็ทำตามหน้าที่ เราก็นั่งชมวิวทิวเขาไปเรื่อย ๆ เราชอบต้นไม้เขียว ๆ ของที่นี่จริง ๆ แต่ให้ตายเถอะ เราไม่เคยเห็นทางด่วนไหนมีผลไม้ขายถึงรถขนาดนี้มาก่อน และเราเชื่อว่าถ้าใครผ่านจุดนี้ไกด์จะต้องจอดให้คุณชมวิว ฮ่าๆๆ มันงามมาก เราเริ่มอารมณ์ดีมาก และเวลาเราเจอสิ่งที่ถูกใจเวลาออกเดินทางเราปล่อยความสุขออกมาเต็มที่ อาจเป็นตรงนี้ที่โคยาจับทางเราได้ สองชั่วโมง เรามาถึง Pyin Oo Lwin เป็นเมืองที่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปีนะคะ มีบ้านแบบตะวันตกมากมาย บางบ้านเป็นบ้านเก่าสมัยที่อังกฤษมายึดครอง ตอนนี้ก็ยังใช้อยู่ บางหลังอาจเปลี่ยนเป็นโรงแรม สำนักงาน แต่ที่คนรวยพม่ามาซื้อไว้เพื่อใช้เป็นบ้านตากอากาศก็มีค่ะ สินค้าเศรษฐกิจของที่นี่มีสามอย่าง - อย่างแรกแน่นอนเมืองดอกไม้ก็ต้องเป็นดอกไม้ มีดอกไม้สวย ๆ เยอะเลย ส่งไปทั่วพม่าค่ะโดยเฉพาะมัณฑะเลย์ - อย่างที่สองกาแฟค่ะ ที่นี่ปลูกกาแฟด้วย นัยว่าเป็นแหล่งกาแฟที่ดีสุดของพม่า - อย่างที่สามคือเสื้อกันหนาวค่ะ แต่เราจะไม่หยุดที่พินอูลวิน ขับต่อไปเลย ผ่านป้ายโฆษณาที่มีพรีเซนเตอร์หน้าคุ้น ๆ บอกโคยาว่าเหมือนเคยเห็นที่ไหนหว่า นึกขึ้นได้ อ๊ะ!! Sai Sai ที่แสดงในหนังที่ทำให้เรามาที่นี่นี่ โคยาหัวเราะ อ้อ!! Sai Sai แล้วแอบถอนใจเจอลูกค้าไม่ปกติเข้าแล้ว ที่แรกโคยาพาเราไปเข้าถ้ำค่ะ ถ้ำนี้มีชื่อว่า Peik Chin Myaung เป็นถ้ำที่เราว่าค่อนข้างสมบูรณ์นะ ในชีวิตก็ไม่ได้เดินถ้ำเยอะมากนักหรอก แต่ถ้ำนี่เนี่ยเราชอบมาก จะเข้าไปต้องถอดรองเท้าถุงเท้านะคะ ถ้าเจอรูปปั้นพระสงฆ์แล้วมีคนหมอบสักการะแบบนี้ ใช่เลยศิลปะพม่า และถ้าเจออะไรก็แล้วแต่ที่แสงสีเสียงขนาดนี้ ก็พม่าอีกนั่นแหละ คนเยอะแต่ไม่ร้อน กลับเย็น และระบบถ่ายเทอากาศทำได้ดีค่ะ เพราะถ้ำอยูใต้น้ำตก คือมีน้ำตกอยู่แถว ๆ ป่านี่แหละ น้ำตกเลยไหลเข้ามาในถ้ำด้วย บางช่วงเลยเป็นธารน้ำ แต่น้ำใสเย็นมากค่ะ น้ำที่หยดลงมาจากเพดานถ้ำบางช่วงมีเยอะ เค้าก็จะเอาภาชนะมารองไว้ให้ผู้ที่เข้าชมตักดื่มได้ บางช่วงจะแคบ บ้างช่วงเพดานถ้ำค่อนข้างต่ำ ก็ต้องทำตัวผอมตัวเตี้ยเดินกันไป ความงดงามของถ้ำก็เรื่องนึง และความงดงามของพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ตลอดทางก็อีกเรื่องหนึ่งค่ะ เราชอบมาก แต่เราชอบองค์นี้สุด งานละเอียดสวยงามมากค่ะ (คือเราเดินไม่สุดนะคะ ถ้าเดินไปเรื่อย ๆ เราอาจเจออะไรที่งามกว่านี้) ใช้เวลาชื่นชมภายในถ้ำอยู่ไม่นานเท่าไหร่ จริง ๆ อยากเดินต่อ แต่ใจจดจ่ออยู่กับน้ำตก โคยาถามว่าเป็นไงบ้าง เราบอกเราชอบมาก เราไม่นึกว่าจะชอบการเดินชมถ้ำแต่ที่นี่สวยงามจริง ๆ เราชอบธรรมชาติแบบนี้แหละ แต่ก่อนจะไปต่อทานข้าวเที่ยงกันก่อนได้ไหม แวะทานข้าวที่ร้าน December Garden ที่นี่มีแปลงปลูกผักเอง มีสวนดอกไม้เล็ก ๆ และน้ำตกเล็ก ๆ แต่ตอนนี้ไม่สนใจอะไรไปมากกว่าอาหารค่ะ อาหารอร่อยเลยทีเดียวแหละ ชอบสุดเห็นจะเป็นยำใบชา (จานกลม ๆ ด้านซ้ายมือค่ะ) ใส่ถั่วและวัตถุดิบอื่น ๆ เราบอกชอบมาก โคยาบอกว่าเพราะเค้ามีลูกค้าคนไทยเยอะ เค้ารู้ว่าคนไทยชอบอะไร แอบแซวโคยาว่าแต่สำหรับเรานั้นไม่ใช่ชีสทอดจานนี้แน่นอน หึๆๆ โคยาหัวเราะ และบอกต่อว่าพรุ่งนี้ถ้าจะให้เค้าพาเที่ยวมัณฑะเลย์ก็บอกที่โรงแรมได้นะ เค้ายังไม่ได้มีลูกค้า แต่อย่างที่บอก เรากะว่าจะเรียกรถตุ๊ก ๆ ไปเอง ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่ประเด็นอยู่ที่เราไม่ต้องการไปกับ “ไกด์” เลยยังไม่ได้ตอบอะไรโคยาไป อาหารมื้อนี้ 8,900 จ๊าต (ก็ประมาณ 185 บาท อย่างคุ้มอ่ะ) ช่วงระหว่างทานอาหาร เรากับโคยาใช้เวลาทานอาหารนานกว่าที่กะไว้ในตอนแรก เพราะใช้เวลาคุยกันเยอะมาก หลายเรื่องมาก วิถีชีวิต เศรษฐกิจ และอะไรต่อมิอะไร ความเรียลเริ่มเข้ามา สำหรับเราโคยาเริ่มไม่ใช่ “ไกด์” อีกต่อไป แล้วเราก็ชอบแบบนี้มากกว่า ตัดภาพไปที่ขนมอร่อยของร้านนี้เลยดีกว่า ฮ่าๆๆ ซื้อขนมกลับมาด้วยค่ะ เราว่าอร่อยดี เหมือนทานนมข้นหวานปั้นเป็นก้อน ๆ กล่องละ 2,500 จ๊าต (ก็ประมาณ 50 บาทค่ะ) ซื้อมาสามกล่อง พอกลับมาเอาไปฝากเจ้าหน้าที่สถานทูตพม่าที่เราติดต่องานด้วยประจำกล่องนึง เค้าหัวเราะก๊าก หลังอาหารเราไปน้ำตก Pwe Kauk Waterfall หรืออีกชื่อหนึ่งคือ BE Fall (และยังมีอีกชื่อหนึ่งตอนถุกปกครองโดยอังกฤษว่า Hampshire Falls) เอาจริง ๆ เราใช่สายน้ำตกนะแต่เป็นทางผ่านและเหมือนเป็นที่ที่คนพม่าเค้านิยมพาครอบครัวมาเที่ยวกัน แวะซักนิดจะเป็นไรไป ข้องใจกับอาหารอันนี้มาสิบกว่าปี วันนี้ได้รู้ซะทีว่ามันคือ ปยาโจ (Pyajo) เป็นของทอดทานเล่น ครั้งแรกที่เห็นที่ย่างกุ้งเราชอบมาก ไปนั่งดู (แต่ไม่ซื้อ ) เราชอบที่เค้าทอดแล้วใส่ถาดที่เจาะรูที่อยู่ชั้นบน น้ำมันจากของทอดก็จะไหลลงมาที่กะทะด้านล่าง จำได้ว่าทึ่งมาก พอได้เจอวันนี้แล้วยังไง ก็ยังไม่ซื้ออยู่ดี ทานข้าวเที่ยงอย่างอิ่มมาแล้วอ่ะค่ะ ตรงนี้มีน้ำตกสองอันนะคะ รู้สึกเหมือนเมืองนี้เป็นเมืองน้ำตกยังไงไม่รู้ แต่จะว่าไปพม่านี่มีทุกอย่างนะ แร่ธาตุ ธรรมชาติ วัดวา และเอกลักษณ์ที่ยังคงรักษาไว้ จะว่าไปแอบสงสารกามเทพน้อย ๆ อันนี้ แทนที่จะได้ทำหน้าที่ยิงศรปักอกให้คนปิ๊ง ๆ กัน กลายเป็นที่พาดเสื้อผ้าของคนที่มาเล่นน้ำไปแล้ว ฟ้าครึ้มแล้ว เราแวะไหว้เจดีย์ Maha Ant Htoo Kan Thar Pagoda ที่โคยาเล่าว่าตรงนี้มีเศรษฐีบริจาคที่ดินให้สร้างเจดีย์ เพราะเหมือนมีคนขนพระพุทธรูปผ่านมาเพื่อจะขนไปที่จีน แล้วพอมาถึงตรงนี้พระองค์นึงก็ตก เอาเครนมายกขึ้นก็ไม่ขยับ ก็เลยเข้าใจกันว่าท่านอยากประทับอยู่ตรงนี้แหละ เจ้าของที่ก็เลยบริจาคที่เพื่อสร้างวัด ฟัง ๆ ไปก็แอบคิดว่าเรื่องราวการสร้างวัดและประดิษฐานพระพุทธรูปนี่ก็คล้าย ๆ กับทางไทยเหมือนกันเนอะ ด้านในนอกจากพระพุทธรูปแล้วยังมีตู้แสดงเครื่องประดับทองคำและของมีค่าต่าง ๆ ด้วย นัยว่าขุดขึ้นมาได้แถว ๆ นี้แหละ น่าจะมาจากการบริจาคเพิ่อสร้างวัดหรือเปล่านะ แต่ที่โคยาพามาที่นี่ไม่ใช่เพราะตัววัด แต่เป็นวิวตรงนี้ โคยาเริ่มรู้แล้วว่าเราชอบอะไรและไม่สนใจอะไร สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเราอีกอย่างคือทางรถไฟ สถานีรถไฟพินอูลวินยังเปิดให้บริการอยู่ มีนักท่องเที่ยวมาขึ้นรถไฟที่นี่เยอะอยู่โคยาบอก "บางคนก็นั่งแค่สถานีเดียว ไป Gokteik Viaduct เพื่อไปดูทางรถไฟที่สูงและสวยสุดในพม่า บางคนก็ไป Lashio เลย และผมว่าคุณน่าจะชอบถ้าคุณได้ไป" เราหันขวับ เค้าจับทางเราได้หมดแล้วว่าเราชอบอะไร อยากเห็นอะไร เพราะที่เค้าพูดมาน่ะ เราเองก็สนใจหมดเลย จริง ๆ ทางรถไฟนี้เราเคยเห็นในเน็ตแล้วเราก็อยากเห็นมาก แต่ดูเหมือนจะไปยาก โถวว!! มันต้องขึ้นรถไฟขบวนนี้นี่เอง แต่เดี๋ยวนะ... ดูตารางเวลารถไฟอีกที นี่จากมัณฑะเลย์ถึงลาโชเท่านั้นนะไม่ใช่ทรานไซบีเรีย นั่งกันเป็นวันเลยทีเดียว เราถูกใจสิ่งนี้ แบตโทรศัพท์หมดชาร์จแบตได้นะจ๊ะ ข้าม ๆ ไปบ้างก็ได้เนาะไม่ต้องไปทุกที่ โคยาถามย้ำอีกครั้งจะไม่ไปสวนดอกไม้แน่นะ เราบอกเต็มปากเต็มคำว่าไม่ค่ะ เราเข้าใจว่าสวย แล้วที่นี่ชื่อเมืองก็แปลว่า “เมืองดอกไม้” เรารู้ว่าเป็นจุดขายเลย แต่เราไม่ชอบสวนอะไรที่เซ็ต ๆ ขึ้นมา ถ้าให้เลือกระหว่างน้ำตกที่เห็นในหนังนั่นกับสวนดอกไม้ เราเลือกน้ำตกดีกว่า และจากการที่เราสกิ๊ปแพลนเค้าเยอะมาก แต่ขอทำอะไรในแบบที่เราอยากทำ โคยาผู้ใจดีก็โอเค คราวนี้ความเพียวเกิด เพราะในบางอย่างโคยาก็ไม่รู้ นั่งเปิดกูเกิ้ลเสิร์ชกันหน้างานนั่นแหละ น้ำตกที่เราอยากเห็นจริง ๆ ชื่อน้ำตก Dat Taw Gyaint Waterfall (หรือ Anisakan Waterfall ค่ะ) คราวนี้โคยามีให้เลือกสองทาง หนึ่งคือเค้าจะไปจอดรถตรงจุดจอดรถแล้วให้เราเดินลงไปตามทางน้ำตกเอง ซึ่งจะได้ใกล้ชิดน้ำตกมาก แต่จะใช้เวลาเดิน 1 ชั่วโมง ไปกลับก็ 2 ชั่วโมง ไม่ไหวอ่ะ ใครจะเดินก็เดินแต่เราไม่เดิน เลือกอย่างที่สองค่ะ อย่างที่สองคือไปที่ร้านกาแฟนึงแต่จะมีค่าเข้า 1,000 จ๊าต (20 บาท) จะเห็นน้ำตกจากที่ไกล ๆ เรารีบบอกเอาอันนี้แหละ ที่เลือกอันนี้เพราะเค้าบอกว่าที่นี่เป็นที่ปลูกกาแฟที่ดีสุดของพม่า เราจะพลาดการลองชิมไปได้อย่างไร และจากประสบการณ์ที่เดินทางมา การจะดูความสวยงามของทิวทัศน์ซักอย่างคือการมองดูจากที่ไกล การเห็นความยิ่งใหญ่ของภูเขาของเราไม่ใช่การยืนบนยอดเขา และการยืนบนยอดเขาคือการมองความสวยงามของทิวทัศน์ด้านล่าง ระหว่างทางไปน้ำตกฝนเริ่มตกหนักขึ้น หมอกก็มาหนาเลยทันที โคยากังวลว่าจะไม่เห็นน้ำตกเพราะนี่ตือสิ่งที่เราดั้นด้นจากกรุงเทพมหานครมาที่มัณฑะเลย์ แต่เรานี่ร่าเริงมากกับหมอก “เอาน่า... เราเห็นหมอกหนาแค่นี้เราก็โอเคแล้วนะ” เราปลอบโคยาพร้อมกับเปิดกระจกรถเอาหน้าไปสัมผัสความเย็นของสายฝนและไอหมอกให้โคยาเอือมในความเพี้ยน มาถึงร้านพร้อมสายฝนโปรยปราย พนักงานกางร่มอันใหญ่มาต้อนรับถึงรถค่ะ ร้านกาแฟร้านนี้ชื่อ The View Resort & Restaurant ร้านนี้มีที่พักด้วยนะคะ คุยกันจนฝนหยุดและหมอกเริ่มจาง ภาพนี้ปรากฎขึ้นตรงหน้า อีกครั้งที่ความสวยงามของธรรมชาติทำให้เราอิ่มใจ ขากลับผ่านโรงเรียนนายร้อยของพม่าด้วยนะ นักเรียนก็ไม่ต่างกับของไทยนักที่ออกจากโรงเรียนมาก็ต้องใส่ชุดฟอร์มถือกระเป๋าหนัง แต่ที่เราสนใจคือรูปปั้นหน้าโรงเรียนมากกว่า ตอนแรกก็ไม่สนใจถาม ๆ ไปงั้นแหละนั่นใคร พอโคยาบอกกษัตริย์ในอดีตของพม่า คนแรกอโนรธา คนสองบุเรงนอง คนสามอลองพญา เรารีบบอกให้หยุด โคยาก็งงจะหยุดทำไม ไม่หยุดได้ไง คนดังในตำราเรียนที่ทำให้เราปวดหัวกับการนั่งท่องประวัติศาสตร์ไทย ขอดูหน้าให้ชัด ๆ หน่อยเหอะ ตลอดทางขากลับเราคุยกันต่อ โคยาปิดท้ายเมย์เมียวเดย์ทริปของเราด้วยวิวทิวเขาของเส้นทางไปรัฐฉาน... ทำไมเรามีความสุข?? และเมื่อกลับมาถึงโรงแรม สิ่งแรกที่ทำคือวิ่งไปที่รีเซพชั่นถามถึงทัวร์มัณฑะเลย์ว่าราคาเท่าไหร่ เต็มวัน 30 เหรียญ เรารีบตอบตกลงไม่ต้องคิด ซึ่งพอดีโคยาเก็บรถและกำลังจะกลับบ้าน พนักงานเลยเรียกมาคุยเพื่อนัดเวลา แอบเห็นโคยาทำหน้าเหนื่อย อ้าวว!! ก็โคยาบอกเองนะว่าถ้าต้องการให้พาเที่ยวบอกที่โรงแรมได้น่ะ หมายเหตุ - ราคาทัวร์ทั้งหมดนี้เป็นราคาต่อกลุ่มนะคะ กลุ่มนึงไม่เกิน 4 คน ไปกันกี่คนก็หารกันไปค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาให้กำลังใจนะคะ และไล่ดูที่อัพไว้จ้า
โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 23 มิถุนายน 2563 เวลา:19:12:12 น.
|
melody_bangkok
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?] ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่บางครั้งก็มีโลกส่วนตัวสูงมากมาย แต่ในบางครั้งก็พยายามจะยัดเยียดตัวเองเข้าไปในโลกส่วนตัวของคนอื่น... :P ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ... ^^ All Blog
Friends Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
แต่คุณไม่อัพวันที่เป็นวันนี้เลยโหวตให้ไม่ได้
ลองแก้ไขไหมคะ เดี๋ยวกลับมาใหม่ค่ะ
ขอบคุณที่แวะไปส่งกำลังใจด้วยค่ะ