|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
องค์ที่ ๑๘ : รังลับ(๑)
องค์ที่ ๑๘ : รังลับ เวลา 18.00 น. ณ โถงหน้าห้องพักของหลวงพ่อรุ่งบนกุฏิชั้นสอง ท่านกำลังสนทนากับหมอพิเภกผ่านโทรศัพท์มือถือของอาจารย์สัญชัยโดยมีเจ้าของเครื่องและเจ้าทโมนแกละนั่งอยู่ด้วย ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงขณะที่อาจารย์โขนกำลังนั่งอ่านหนังสือธรรมมะอยู่ที่ม้าหินอ่อนหน้าแฟลตข้าราชการ เขาได้รับการติดต่อจากหมอพิเภกด้วยโทรศัพท์ชนิดที่คาดไม่ถึง เมื่อได้ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกันจนเป็นที่พอใจแล้ว คุณหมอจึงเล่าเรื่องราวของพวกตนและมะลิซึ่งเกี่ยวพันกับสมุดบันทึกทั้งสองเล่มให้ฟัง เมื่อเล่าจบอาจารย์โขนจึงถูกขอร้องให้นำความเรื่องนี้ไปแจ้งกับหลวงพ่อรุ่งโดยทั้งหมอพิเภกและนักศึกษาหม่อนมีความเห็นตรงกันว่า จะร่วมกันสวดมนต์และทำสมาธิเพื่อส่งกำลังใจไปช่วยจอร์จที่เดินทางไปสู่มหันต์ภัยอันน่ากลัว หม่อนเสนอความคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากอาจารย์โขนและหลวงพ่อรุ่งอีกแรงด้วยเพราะเชื่อสนิทใจว่าพลังใจที่ทุกคนส่งไปให้จะทำให้จอร์จแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง อาจารย์โขนจึงเป็นดั่งคนนำสาร ขณะที่หลวงพ่อรุ่งกำลังฟังรายละเอียดทั้งหมดจากปากของหมอพิเภกอีกครั้งอย่างตั้งใจอาจารย์โขนก็กำลังเล่าเรื่องราวคร่าวๆให้เจ้าทโมนน้อยฟังไปด้วยพร้อมกัน ความรู้สึกผูกพันและเป็นห่วงเป็นไยในตัวชายหนุ่มผู้เป็นดั่งพี่ชายของตนสยบอาการอยู่ไม่สุขของขุนกระบี่น้องชายกำมะลอได้ดีกว่าคำเอ็ดของหลวงลุงเสียอีก เจ้าแกละนั่งนิ่งตั้งใจฟังอาจารย์โขนเล่าเรื่องผิดวิสัยลิงเป็นคนละคน หลวงพ่อรุ่งเมื่อจบจากการสนทนานัดแนะเวลากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงส่งโทรศัพท์กลับคืนไปให้อาจารย์สัญชัยที่เล่าความจบพอดีเช่นกัน เจ้าทโมนแกละตีหน้าขึงจนคิ้วขมวดเพราะรู้ประสามากพอที่จะเข้าใจสถานการณ์คับขันที่เกิดขึ้น ทโมนน้อยเอ่ยคำขอความเห็นจากหลวงลุงผู้ที่มันเคารพรักด้วยน้ำเสียงเจือกระแสวิตก “เราจะช่วยพี่จอร์จได้ยังไงบ้างครับหลวงลุง ถ้าหลวงลุงอยากจะช่วยต้องช่วยพี่เขาได้แน่ จะให้แกละทำอะไรสั่งมาเลยแกละยอมทำตามทุกอย่าง” หลวงพ่อรุ่งอมยิ้มที่มุมปาก ดีใจที่เห็นศิษย์ก้นกุฏิรักใคร่กลมเกลียวกันดีแต่ยังคงนิ่งตรึกตรองบางอย่างอยู่เงียบๆ อาจารย์สัญชัยจึงเอ่ยถามขึ้นบ้างด้วยน้ำเสียงเจือกระแสร้อนใจเช่นกัน “หลวงพ่อสั่งพวกผมมาเลยครับ ผมยินดีให้ความร่วมมือเต็มที่ เพราะพ่อหนุ่มก็เปรียบเสมือนลูกศิษย์ของผมคนหนึ่งเหมือนกัน” หลวงพ่อรุ่งสบตากับอาจารย์โขน ท่านเข้าใจความรู้สึกที่เขามีเฉกเช่นเดียวกับตนดีจึงตัดสินใจสั่งความออกไปว่า “พวกเราคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าสวดมนต์ภาวนาขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยช่วยปกป้องคุ้มครองคนดีอย่าให้มีภัยพาลใดๆมากล้ำกราย เจตนาที่ดี ก่อกรรมดี ย่อมยังผลดีอยู่วันยังค่ำ อาตมาจะพาโยมเข้าไปสวดมนต์ต่อหน้าพระประธานในโบสถ์และจะทำสมาธิร่วมกันเพื่อส่งกำลังใจไปให้โยมจอร์จ อาตมาจะขอเข้าสมาธิจนถึงรุ่งสางโยมละจะร่วมมือกับอาตมาไหม” “ผมไม่แน่ใจว่าจะทำได้ถึงขั้นนั้นหรือเปล่าครับ แต่สัญญาว่าจะทำเต็มความสามารถ ถ้าผมถอนสมาธิออกมาก่อน ผมจะขอนอนเฝ้าหลวงพ่ออยู่ในโบสถ์จนกว่าจะออกมาด้วยกันตอนเช้าละกันครับ” เจ้าแกละก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับทุกคนจึงไม่ยอมที่จะต้องอยู่เฉยๆคนเดียวจึงท้วงขึ้นบ้าง “หลวงลุงจะให้แกละทำอะไรบ้างครับ” “เอ็งไปบอกตาเกิดให้เอากุญแจมาไขประตูโบสถ์ให้ข้าเข้าไปสวดมนต์ เสร็จแล้วเอ็งจะอยู่นั่งสมาธิกับข้าด้วยก็ได้หรือถ้าไม่เอาก็ให้กลับมานอนเฝ้ากุฏินี่ บอกลุงของเอ็งให้ล๊อกกุญแจทางเข้าให้ข้าด้วยแล้วค่อยมาเปิดอีกทีตอนเช้าเข้าใจไหม” “ผมขอนั่งสมาธิด้วยคนถ้าถอนออกมาก่อนจะนอนเฝ้าอยู่ในโบสถ์กับอาจารย์ได้ไหมครับ” หลวงพ่อรุ่งชั่งใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านเห็นเจ้าตัวดีมีความตั้งใจจะนั่งสมาธิด้วยตนเองจึงต้องการให้เจ้าทโมนน้อยยืนยันความตั้งใจอีกครั้ง “เอ็งแน่ใจนะว่าจะยอมทำด้วยอย่างสมัครใจ ข้าไม่ได้บังคับเอ็งนะและที่สำคัญถ้ารู้สึกตัวก่อนห้ามทำเสียงรบกวนพวกข้าเด็ดขาด เอ็งจะทำได้ไหม” “ทำได้ครับหลวงลุงผมสัญญาด้วยเกียรติของขุนกระบี่หนุมานเลย” “ถ้าอย่างนั้นเอ็งไปบอกตาเกิดได้เลยว่าหนึ่งทุ่มให้ไปรอข้าที่หน้าโบสถ์ ตอนนี้ข้าจะไปขออนุญาตท่านเจ้าอาวาสก่อนส่วนเอ็งบอกตาเกิดเสร็จแล้วรีบไปเอาชุดขาวมาให้อาจารย์เปลี่ยนและต้องอาบน้ำให้สะอาดเปลี่ยนชุดขาวด้วยเหมือนกันเข้าใจไหม” “เข้าใจครับหลวงลุง ผมไปเลยนะ” เมื่อพูดจบประโยคเจ้าทโมนแกละก็ลุกพรวดขึ้นยืนอย่างฉับไวพุ่งปรูดราวกับลมกรดลงจากกุฏิไปทำตามคำสั่งของหลวงพ่อรุ่งอย่างรวดเร็ว หลวงพ่อหันมาบอกให้อาจารย์โขนใช้ห้องน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาดและรอให้เจ้าลิงวัดเอาชุดขาวมาให้เปลี่ยนระหว่างที่ตนไปหาท่านเจ้าอาวาส เมื่อทุกคนพร้อมสะอาดทั้งกาย วาจา ใจแล้ว ยามเมื่อไปสวดมนต์ในโบสถ์ต่อหน้ารูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้มีจิตใจที่ตั้งมั่นมีสมาธิเข้มแข็งเพียงพอที่จะอธิษฐานจิตดลบันดาลให้เป็นไปได้อย่างที่ทุกคนหวัง หลวงพ่อรุ่งเป็นคนกำหนดเองว่าจะให้ทุกคนทำพร้อมกันทั้งที่นี่และที่กรุงเทพฯตามเวลาที่นัดหมายไว้
เวลา 19.30 น. เครื่องบินลำเลียง C-130 ของกองทัพอากาศไทยกำลังฝ่าสายฝนร่อนลงบนสนามบินพาณิชย์แห่งหนึ่งใน อ.ลองถั่น จ.เบียนหวา ของประเทศเวียดนาม ทีมของผู้กองเซอบีรุสลงจากเครื่องบินลำนั้นและวิ่งฝ่าละอองฝนผลุบหายเข้าไปในกระโจมหลังของรถบรรทุกหกล้อสีเขียวคันหนึ่ง รถคันนั้นมีตัวอักษรสีขาวที่บ่งบอกต้นสังกัดพิมพ์ไว้ด้วยว่ามันมาจากแผ่นดินแม่ของพวกเขา ภายในกระโจมผ้าใบด้านหลังรถบรรทุกมีกองทหารสังกัดหน่วยกรีนเบเล่ห์ภายใต้การบังคับบัญชาของผู้กองเซอบีรสคอยท่าอยู่แล้วหนึ่งหมู่จำนวนเจ็ดชีวิต พรักพร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยเต็มอัตราศึก มีตั้งแต่ปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติรุ่นใหม่ติดอุปกรณ์เล็งยิงด้วยแสงเลเซอร์ไปจนถึงปืนกลหนักและปืนยิงลูกระเบิดประจำหมู่ ทหารทุกคนอยู่ในชุดคอมมันโดสีดำใส่หมวกเบเล่ห์สีเขียวมีอาร์มสัญลักษณ์ประจำหน่วยกรีนเบเล่ห์อยู่บนศีรษะ แม้แต่จอร์จเองก็อยู่ในชุดยูนิฟอร์มเดียวกันแต่ต่างกันเพียงเขาไม่ได้ใส่หมวกเบเล่ห์เท่านั้น เมื่อทุกคนรวมตัวกันแล้วผู้กองเซอบีรุสจึงเรียกให้ทั้งหมดเข้ามาฟังแผนการตามที่ได้นัดแนะเอาไว้กับแมคเจมส์และจอร์จอีกครั้ง ในขณะที่รถบรรทุกคันดังกล่าวแล่นออกจากสนามบินเพื่อตรงไปยังพื้นที่เป้าหมายฝนก็โปรยเม็ดลงมาสะกดให้บรรยากาศขมุกขมัวหนักขึ้นไปอีก ผู้กองเซอบีรุสจัดแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วนคือทั้งหมดยกเว้นเจ้าหน้าที่แมคกับจอร์จมีหน้าที่ในการบุกเข้าไปให้ถึงห้องควบคุมใหญ่ลึกที่สุดในรังลับเพื่อจับกุมตัวจีซัส ส่วนแมคมีหน้าที่นำจอร์จเข้าไปช่วยมะลิจากห้องขังอีกทางหนึ่งพร้อมกัน เมื่อได้ตัวมะลิแล้วจะกลับมารวมตัวกันที่ห้องของเจ้าจีซัสตามแผนที่วางเอาไว้และล่าถอยกลับออกมาทางเก่าเพื่อหนีด้วยรถคันนี้ ครึ่งชั่วโมงต่อมารถคันดังกล่าวจึงบรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมาราวกับฟ้ากำลังร่ำไห้ ยามรักษาการสองนายของโรงพยาบาลจัสมินฯสาขาลองถั่นไม่ระแคะระคายเลยว่าด้านหลังของรถบรรทุกมีกลุ่มคนซุกซ่อนอยู่ ไม่ยอมออกจากป้อมมาตรวจเลยด้วยซ้ำเนื่องมาจากคนขับรถแจ้งว่าตนนำรถรับเพื่อนทหารที่มาพักรักษาตัวจึงปล่อยให้แล่นเข้าไปในอาณาเขตของโรงพยาบาลได้อย่างง่ายดาย พลขับพารถแล่นผ่านตึกต่างๆไปจนถึงพื้นที่ด้านหลังสุดของโรงพยาบาลที่ติดกับถนนสายเล็กๆ เขานำรถไปจอดเทียบอยู่บนลานดินด้านข้างตัวอาคารชั้นเดียวขนาดไม่ใหญ่นักซึ่งติดกับประตูใช้ขนถ่ายร่างผู้วายชนของอาคารเก็บศพ ทหารแห่งหน่วยกรีนเบเล่ห์ที่อยู่ในสถานะคนขับลงจากรถเดินผ่าบรรยากาศมืดสลัวและพายุฝนเข้าไปในตัวอาคารอย่างท่าทางที่เป็นปรกติธรรมดา ภายในฝ่ายอำนวยการด้านหน้าขณะนี้เลยเวลาทำงานของพนักงานไปแล้วจึงเหลือเพียงยามรักษาการเฝ้าอยู่เพียงแค่สองนาย ทั้งสองคนถูกหลอกให้มาช่วยเปลี่ยนยางและทำให้สลบไปด้วยปืนยิงยาสลบจากฝีมือของคนขับได้อย่างง่ายดาย เมื่อพลขับค้นตัวจนได้พวงกุญแจมาจากเอวของยามคนหนึ่งก็หายเข้าไปในตัวอาคารอย่างรวดเร็ว อึดใจต่อมาเปิดประตูด้านข้างตึกก็ถูกเปิดออกต้อนรับกำลังพลอย่างที่ไม่มีใครทันได้สังเกตเห็นความผิดปรกติใดใด จากสายตาที่แหลมคมของจอร์จกองกำลังหน่วยพิเศษภายใต้การบังคับบัญชาของผู้กองเซอบีรุสทำงานประสานกันรวดเร็วและมีระเบียบวินัยยอดเยี่ยม บ่งบอกถึงฝีมือที่ต่างชั้นกันมากเมื่อเทียบกับกองกำลังเรดฟอร์คแต่เขาไม่แน่ใจนักว่าหมู่เล็กๆที่มีกำลังพลเพียงสิบนายนี้จะสามารถเอาชนะหน่วยไนส์ฟอร์คขององการณ์แบล็คจัสมินได้หรือไม่ ได้แต่ฝากความหวังไว้กับฝีมือของผู้กองเซอบีรุสเพราะคิดว่าคนที่มีความสุขุมเยือกเย็นและประเมินสถานการณ์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำเสมอย่อมไม่ทำอะไรที่ตนไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จ ชายหนุ่มจึงสามารถสลัดความกังวลนั้นทิ้งไปได้ในทันที เมื่อจอร์จก้าวเท้าติดตามพวกของผู้กองเซอบีรุสลงไปจากท้ายรถบรรทุก เขาสำรวจดูภายในตัวอาคารเก็บศพจึงรู้ว่าข้างในนี้ถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆอย่างมีระเบียบ ส่วนที่ติดกับประตูหน้านั้นเป็นฝ่ายอำนวยการที่มีขนาดไม่ใหญ่นักและส่วนที่พวกเขาเข้ามานี้เป็นโถงกว้างขวางที่อยู่หน้าหน้าห้องเก็บศพซึ่งมีขนาดใหญ่กินพื้นที่เกือบจะทั้งหมดของตัวอาคารซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงจำนวนคนที่เข้ามาใช้บริการว่ามากมายขนาดไหน เจ้าหน้าที่แมคเดินนำเขาเข้าไปจนชิดตัวผู้กองเซอบีรุสและยกแขนซ้ายที่ติดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กซึ่งบันทึกข้อมูลแผ่นที่ในนี้ขึ้นมาเทียบดู ผู้กองแห่งหน่วยกรีนเบเล่ห์สั่งให้แมคคำนวณตำแหน่งหาพื้นที่ซึ่งเคยเป็นลานดินหน้าหมู่บ้านเมื่อสมัยสิบกว่าปีก่อนด้วยอุปกรณ์ทันที เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองกดปุ่มโน้นทีนี้ทีอย่างคล่องแคล่วใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็สามารถรายงานกลับมาด้วยเสียงกระซิบว่า “ทางเข้าไม่ได้อยู่ภายในห้องเก็บศพมันน่าจะอยู่ทางปีกอีกด้านหนึ่งของตัวอาคารนี้ครับ” ผู้กองเซอบีรุสพยักหน้าพร้อมกับออกคำสั่งให้แมคนำทุกคนไปยังเป้าหมาย ทั้งหมดเดินผ่านทางสามแพ่งที่สามารถแยกไปสู่ส่วนอำนวยการตรงไปยังด้านตรงข้ามที่มีป้ายบอกทางระบุว่าห้องดองศพ เจ้าหน้าที่เจมส์อ่านป้ายพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอด้วยอารมณ์หวาดวิตกเพราะเขารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมาตั้งแต่รถจอดเทียบยังอาคารหลังนี้ที่ตนไม่ถูกชะตาด้วยเลย ถึงแม้บรรยากาศภายในนี้จะเงียบราวกับเป็นใจให้การปฏิบัติภารกิจพิเศษนี้สำเร็จได้อย่างง่ายดายแต่อีกแง่หนึ่งมันวังเวงเกินไปจนเขาอดที่จะเสียวสันหลังวูบไม่ได้ ถึงกระนั้นเจมส์ก็ยังคงก้าวตามผู้กองเซอบีรุสไปอย่างไม่ยอมทิ้งระยะห่างให้มากนัก แมคพาทุกคนไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้เก่าคร่ำคร่าบานใหญ่ซึ่งมีแม่กุญแจสีดำล็อกปิดตาย เขาหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้คนของหน่วยสนับสนุนมาทำหน้าที่สะเดาะกุญแจแทนตน เมื่อไม่มีอะไรกีดขวางทางของพวกเขาแมคกับมือสะเดาะกุญแจจึงช่วยกันเปิดประตูไม้ออกคนละข้างเพื่อให้ผู้กองและพวกกรูกันเข้าไปตรวจยึดพื้นที่ จอร์จตามทีมของผู้กองเซอบีรุสเข้าไปในห้องดองศพเป็นคนสุดท้าย เขามองสำรวจรอบห้องที่มืดมิดได้ไม่ดีนักจนกระทั้งหนึ่งในหน่วยสนับสนุนกดสวิทซ์เปิดไฟจนสว่างจ้า จอร์จมองสำรวจภายในห้องอีกครั้งจึงเห็นบ่อปูนขนาดใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสอันหนึ่งตั้งเด่นอยู่กลางห้องท่ามกลางพื้นที่โล่ง ความกว้างของขอบทั้งสี่ด้านกว้างกว่าด้านข้างของรถบรรทุกที่เขานั่งมาอยู่หนึ่งเท่าตัวแต่มันสูงจากพื้นดินแค่หนึ่งเมตร พื้นปูนที่ก่อเป็นขอบบ่อกว้างพอที่จะให้คนเดินจากทางลาดขึ้นไปยืนอยู่บนนั้นได้อย่างสบาย ปากบ่อดองถูกปิดไว้ด้วยแผ่นเหล็กขนาดใหญ่ที่หนาและหนักเกินกว่าจะใช้แรงคนยกออกได้ จอร์จมองไปที่กำแพงจึงได้เห็นรอกไฟฟ้าอันใหญ่ห้อยอยู่บนคานเหล็กชิดกำแพงด้านซ้ายและด้านตรงกันข้าม ขณะที่กำแพงด้านขวาเป็นประตูเหล็กม้วนบานมหึมาที่สามารถเปิดให้กว้างพอให้รถบรรทุกผ่านเข้ามาได้ ชายหนุ่มพึ่งจะสำนึกถึงกลิ่นของน้ำยาฟอร์มาลินฉุนกึกที่ตลบอบอวลอยู่ภายในห้องกลิ่นของมันหลุดรอดฝาปิดปากบ่อออกมาได้อย่างไรก็สุดที่จะคาดเดา ผู้กองเซอบีรุสหันไปสบตากับเจ้าหน้าที่แมคเห็นเขาพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยคำยืนยันตำแหน่งว่า “ตรงนี้เคยเป็นลานดินหน้าหมู่บ้านครับผู้กองทางเข้าต้องอยู่ในบริเวณนี้แน่นอน” ผู้กองเซอบีรุสออกคำสั่งให้ทุกคนกระจายกันออกหาร่องรอยของทางเข้า กำลังพลทั้งหมดจึงแยกย้ายกันไปตรวจยังกำแพงรอบด้านแต่ไม่มีใครพบสิ่งผิดสังเกตอะไรเลย จอร์จเดินเข้าไปสำรวจยังทางลาดที่ก่อด้วยปูนด้านที่ตรงกับกำแพงประตูเหล็ก เขาเห็นรอยล้อรถจางๆจึงชี้ให้ผู้กองเซอบีรุสดู พวกเขาช่วยกันตรวจรอยเมื่อพิจารณาดูแล้วผู้กองเซอบีรุสจึงออกคำสั่งให้กองหนุนเลื่อนรอกไฟฟ้ามายกฝาปิดออกจากปากบ่อดองศพ ทันทีที่มันถูกยกลอยและเลื่อนไปจนพ้นขอบบ่อกลิ่นน้ำยาดองศพก็ฟุ้งกระจายออกมาจนฉุนยิ่งไปกว่าเก่าหลายเท่าตัว ร่างของผู้ไร้วิญญาณปรากฏให้ทุกคนเห็นอย่างฉับพลันศพนั้นนอนหงายลอยอยู่ในน้ำยาสีเหลืองอำพันเพียงโดดเดียว จากสภาพน้ำยาที่ใสจนมองทะลุลงไปยังก้นบ่อได้โดยง่ายทำให้สามารถมองเห็นความน่าเกลียดน่ากลัวของศพจนรู้สึกขนผองสยองใจ เจ้าหน้าที่เจมส์รู้สึกเหมือนถูกน้ำที่เย็นจัดรดจนทั่วตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า หน้าถอดสีผงะหงายเดินถอยหลังห่างจากขอบบ่อทิ้งให้ผู้กองเซอบีรุส แมค และจอร์จ ยืนดูอยู่ด้วยกันเพียงแค่สามคน เจ้าหน้าที่ผิวหมึกชี้ให้ผู้กองเซอบีรุสดูศพที่ลอยอยู่บนผิวน้ำยาด้วยความรู้สึกผิดสังเกต “ผู้กองครับ ผมว่ามันผิดปรกติอยู่นะ” “คุณเมอร์ด็อกผมเห็นในมือศพกำเหรียญอะไรบางอย่างอยู่ด้วยครับ” จอร์จชี้ไปที่มือของศพให้ทุกคนดู ผู้กองเซอบีรุสสั่งให้กองหนุนที่ยืนใกล้กับท่อเหล็กซึ่งวางพาดอยู่กับกำแพงให้นำมันมาเขี่ยร่างนั้นให้เข้ามาหาพวกเขา เมื่อร่างนั้นลอยเข้ามาใกล้ๆแมคจึงสังเกตเห็นว่าศพนั้นไม่ใช่ร่างของคนจริงๆแต่เป็นตุ๊กตายางที่ทำจากวัสดุพิเศษที่สร้างเลียนแบบศพของคนด้วยเทคนิคการหล่อหุ่น มันจึงสามารถลอยอยู่บนผิวน้ำยาได้ แมคก้มลงสำรวจทั่วตัวหุ่นอย่างละเอียดจึงเห็นว่าที่มือของหุ่นกำเหรียญโลหะชนิดหนึ่งเอาไว้ด้วยตามที่จอร์จบอก เขาแกะมันออกมาได้อย่างง่ายดายและส่งมันไปให้ผู้กองเซอบีรุสรับไปพิจารนา หลังจากจิ้งจอกเฒ่าตรวจดูแล้วจึงแน่ใจว่ามันเป็นเหรียญดอลลาร์รุ่นเก่าที่ใช้กันอยู่ในช่วงระหว่างปีพ.ศ.1945 (ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง) ขณะนั้นจอร์จที่ยืนอยู่ทางด้านศีรษะของหุ่นยางสังเกตเห็นริมฝีปากของมันเผยอขึ้นเล็กน้อยจนเห็นเป็นช่องเล็กๆคล้ายช่องหยอดเหรียญตู้จ่ายน้ำอัดลมอัตโนมัติจึงชี้บอก จิ้งจอกเฒ่าพิจารณาเหรียญและช่องที่ปากของหุ่นยางอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะตัดสินใจหยอดเหรียญดอลลาร์ลงไปในช่องดังกล่าวท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จ้องเขาอยู่อย่างคาดเดาความคิดไปไม่ถึง ทันทีที่เหรียญผลุบหายเข้าไปในปากของหุ่นยางมันก็ลืมตาขึ้นมาทันทีทำให้เจมส์ที่ก้มลงดูอยู่ไม่ห่างไปนักสะดุ้งตกใจจนล้มก้นกระแทกพื้น ขณะที่เขาลุกพรวดขึ้นยืนก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ปริมาณน้ำยาดองศพในบ่อลดระดับลงอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงห้านาทีก็แห้งขอด หุ่นยางตัวนั้นก็ถูกสายโซ่เหล็กที่ยึดอยู่ทางด้านหลังดึงมันกลับไปนอนแผ่อยู่ตรงกึ่งกลางพื้นบ่อดองจนแนบสนิท เสียงกลไกการทำงานของฟันเฟืองเหล็กกล้าและเสียงชักลอกของกระบอกไฮโดรริกดังขึ้นมาพร้อมๆกับการเคลื่อนไหวตัวของพื้นบ่อดอง มันค่อยๆหงายขึ้นไปช้าๆจนติดอยู่บนผนังด้านบนของอุโมงค์ที่กว้างใหญ่ดูแล้วชวนพิศวง ในอุโมงค์มีทางเดินที่ทำด้วยแผ่นเหล็กหนากำลังยื่นออกมาบรรจบกับปากบ่อด้านในจนกลายเป็นถนนที่สามารถผ่านขึ้นลงเข้าออกได้ ทุกคนในทีมตกตะลึงไปตามๆกันจนยืนตัวแข็งค้าง ผู้กองเซอบีรุสออกคำสั่งอย่างรวดเร็วให้ทั้งหมดเคลื่อนที่เข้าไปในอุโมงค์พร้อมๆกันด้วยความระมัดระวังโดยมีกองหนุนนำหน้าเขาเข้าไปก่อนเพื่อสำรวจพื้นที่ด้วยไฟฉายแรงสูงที่ติดอยู่บนปากกระบอกปืนกลประจำมือ ทางเดินเป็นถนนสีดำลาดเฉียงลงเรื่อยๆราวกับกำลังนำทุกชีวิตลงสู่เมืองใต้พิภพสองข้างกำแพงฉาบปูนไว้จนผนังเรียบสนิทมีดวงไฟเล็กๆให้ความสว่างอยู่เป็นระยะไปตลอดทางเหมือนถนนในอุโมงค์ที่สร้างรอดใต้ทางแยกในเมืองใหญ่ๆทั่วไป กองกำลังของผู้กองเซอบีรุสเคลื่อนที่อย่างระมัดระวังทุกฝีก้าวไปตามทางที่ลาดลงต่ำ ทุกคนพยายามบังคับไม่ให้เกิดเสียงในการเดินอย่างเต็มที่ ซึ่งทางเดินที่ทอดยาวเฉียงทำมุมสามสิบองศากินระยะทางหลายสิบเมตรจวบจนมันไปสุดที่ลานกว้างซึ่งเทพื้นด้วยคอนกรีตขนาดใหญ่ ในนั้นมีรถหลากหลายชนิดทั้ง รถเก๋ง รถตู้ รถกระบะและรถบรรทุกจอดเรียงรายอยู่เต็มบริเวณห้องอันกว้างใหญ่เหมือนลานจอดรถภายในห้างสรรพสินค้าก็ไม่ปาน ปลายสุดของห้องโถงมีประตูเหล็กสีเงินยวงที่มองเพียงครั้งเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นลิฟต์ขนาดมหึมาที่สามารถนำคนลงไปสู่เมืองข้างล่างได้อีกทอดหนึ่ง หน้าลิฟต์ติดแผงควบคุมและปุ่มสัญญาณเตือนภัยเอาไว้ มีคอมมันโดชุดดำติดอาร์มเรดฟอร์คคนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่ ส่วนเพื่อนของมันอีกคนกำลังเดินหันหลังให้กับพวกเขาตรงไปหามันอย่างสบายอารมณ์ ผู้กองเซอบีรุสส่งสัญญาณมือให้ทหารกองหนุนสองนายแยกย้ายกันไปยังกำแพงทั้งสองด้าน เขาออกคำสั่งให้ทั้งคู่จัดการกับยามทั้งสองคน พวกเขาใช้รถที่จอดเรียงรายเป็นแถวบังตัวจากสายตาของยามเพื่อเข้าไปเล่นงานพวกมันในระยะประชิด จอร์จและทุกคนเฝ้าดูเหตุการณ์อย่างลุ้นระทึกและรู้อยู่แก่ใจดีว่าถ้าผิดพลาดไปแม้แค่เพียงก้าวเดียวทำให้พวกมันไหวทันกดสัญญาณเตือนภัยได้ย่อมหมายความว่าทุกชีวิตที่มากับปฏิบัติการครั้งนี้จะต้องตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงทันที แต่กองหนุนทั้งสองก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เสียงจากปากกระบอกปืนเก็บเสียงดังขึ้นแทบจะพร้อมกันแล้วพวกมันทั้งสองคนก็ทรุดฮวบลงไปนอนคว่ำหน้าสิ้นสติอยู่กับพื้นทันทีอย่างเงียบกริบ ผู้กองแห่งหน่วยกรีนเบเล่ห์ส่งสัญญาณมือให้ทุกคนเคลื่อนที่เข้าหาร่างของเหยื่อทั้งสองอย่างระมัดระวัง เมื่อเขาตรวจชีพจรจนแน่ใจแล้วว่าพวกมันถูกส่งไปลงนรกเรียบร้อยแล้ว จึงสั่งให้ทหารกองหนุนคู่เดิมลงลิฟต์ไปก่อนเพื่อเปิดทาง เวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีจึงมีสัญญาณเสียงแจ้งมาทางหูฟังวิทยุไร้สายว่าข้างล่างทางสะดวก ผู้กองเซอบีรุสจึงนำกำลังพลทั้งหมดเข้าลิฟต์เพื่อตามลงไปยังเมืองใต้พิภพ
Create Date : 23 พฤศจิกายน 2554 |
|
2 comments |
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2554 15:48:25 น. |
Counter : 502 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: วาโย (wayoodeb ) 24 พฤศจิกายน 2554 10:14:33 น. |
|
|
|
| |
|
|