Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
28 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 
องค์ที่ ๑๒(๑) : อำพราง

องค์ที่ ๑๒ : อำพราง
ภายในห้องพักพิเศษเตียงเดียวของโรงพยาบาลเอกชนที่ตั้งอยู่บนถนนพระรามสอง จอร์จเดินไปที่ประตูระเบียงใช้มือดึงเชือกสายพานเลื่อนม่านให้เปิดออกตามคำขอของหมอพิเภก เขาครึ่งหลับครึ่งตื่นเดินกลับไปกลับมาระหว่างห้องของท่านและนักศึกษาหม่อนเพื่อเฝ้าดูอาการทั้งสองจนฟ้าสาง นักศึกษาสาวรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อนเที่ยงและได้ทราบเรื่องราวจากปากของเขาจึงเดินขึ้นมาเยี่ยมคุณลุงหมอด้วยกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เธอขอตัวออกไปโทรศัพท์กลับไปแจ้งทางบ้านว่าตนติดธุระจำเป็นอยู่ที่กรุงเทพฯอีกหลายวันจึงจะเดินทางกลับบ้าน ส่วนหมอพิเภกพึ่งจะตื่นขึ้นมาไม่นาน ท่านรับประทานอาหารกลางวันที่นางพยาบาลจัดให้อย่างรวดเร็วเพราะต้องการอ่านสมุดบันทึกเล่มนั้นต่อให้จบ จอร์จเห็นคุณลุงหมอปลอดภัยดีแล้วคิดว่าถึงเวลาที่ตนจะต้องไปพบกับมะลิเสียที เขาจึงเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงและเอ่ยคำขึ้นว่า
“คุณลุงหมอครับ ผมขออนุญาตยืมรถไปทำธุระหน่อยได้ไหมครับ”
หมอพิเภกเงยหน้าจากสมุดบันทึกขึ้นมาสบตาจอร์จและถามกลับมาแทนคำตอบ
“พ่อหนุ่มจะไปไหนหรือ”
“ผมจะไปหาเพื่อนที่โรงพยาบาลจัสมินฯครับ”
“เอ๊ะ...ความจำพ่อหนุ่มกลับมาแล้วหรือ เพื่อนชื่อว่าอะไรโทรศัพท์ไปหาเขาไม่ดีกว่าหรือ ลุงว่ามันจะไม่ปลอดภัยนะ”
“ยังครับคุณลุง เธอชื่อมะลิครับเป็นพยาบาลอยู่ที่ รพ.จัสมินฯ เรื่องความปลอดภัยคุณลุงหมอไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะหาทางปลอมตัวเข้าไปเองรับรองว่าไม่มีใครจำหน้าได้แน่นอนครับ”
“เพื่อนพ่อหนุ่มหน้าตาเป็นอย่างไรทำงานอยู่แผนกไหน”
หมอพิเภกถามด้วยสีหน้าฉงนเพราะรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้มาก
“เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากผิวขาวผมยาวทำงานอยู่แผนกอายุรกรรมชั้นห้าชื่อจริงชื่อว่า มะลิวัลย์ พันปทีป ครับ”
“พ่อหนุ่มทำไมรู้จักกับหนูมะลิได้ละไหนเคยบอกกับลุงว่าจำใครไม่ได้เลยมิใช่หรือ”
“เออ...” จอร์จอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจเล่าเรื่องราวในความฝันที่เกี่ยวข้องกับมะลิทั้งหมดให้คุณลุงหมอฟัง เรื่องราวที่สมจริงในความฝันซึ้งเขาเป็นจารชนของกองทหารเวียดกงที่ถูกส่งเข้าไปปะปนเป็นสายในค่ายทหารของประเทศสหรัฐอเมริกาจนได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อมะลิ เธอมีหน้าตาเหมือนกับมะลิมากราวกับว่าเป็นคนๆเดียวกัน เขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผู้หญิงชื่อมะลิถูกฆ่าตายและตนอุ้มร่างของเธอหนีมาตกลงไปในแม่น้ำ จอร์จเล่ามาถึงตอนนี้หมอพิเภกเลยถามแทรกขึ้นมาว่า
“เดี๋ยวก่อน เราจำรายละเอียดในความฝันได้ชัดเจนมากขนาดนี้เลยหรือ ตอนนี้ยังจำมันได้อยู่อีกไหม”
“ยังจำได้แม่นยำทุกฉากทุกตอนและทุกรายละเอียดทีเดียวครับ ชัดเจนราวกับว่าผมเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ทั้งภาพ เสียง สัมผัสและอารมณ์ต่าง ๆ แม้แต่ศิลปะการป้องกันตัวที่ผมใช้ก็เป็นส่วนหนึ่งในความฝันของผมเหมือนกันครับ ในฝันผมเป็นจารชนที่ถูกส่งไปฝึกกับหน่วยรบพิเศษของสหภาพโซเวียตได้เรียนวิชาการต่อสู้แขนงต่างๆทั้งมวยปล้ำมวยสากลและมวยไทย การอ่านและเขียนภาษาไทยผมก็ได้รับการสอนจากครูฝึกพิเศษที่เป็นคนไทยเหมือนกัน แต่ถ้าผมหยุดฝันแค่นั้นคงไม่แปลกอะไร”
“อ๊ะ ทำไมหรือพ่อหนุ่มเราฝันต่อไปว่าอย่างไร”
จอร์จเล่าความฝันให้หมอพิเภกฟังต่อไปอีกว่าหลังจากเรื่องราวในความฝันดำเนินมาจนถึงเหตุการณ์ที่เขาตกแม่น้ำและถูกช่วยชีวิตโดยทหาร เขาถูกส่งตัวกลับไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเล่าถึงคืนวันนั้นที่ตรอกแคบๆในมหานครนิวยอร์กให้หมอพิเภกฟังอย่างละเอียด เล่าถึงสภาวะอารมณ์ที่รุนแรงหลังจากดูข่าวในโทรทัศน์ได้อย่างสมจริง อธิบายว่ามันเหมือนมีไฟกองใหญ่สุมอยู่ข้างในอกคอยแผดเผาอวัยวะภายในอยู่ตลอดเวลา และยังเล่าต่อไปอีกด้วยว่าเห็นตนเองในความฝันทำทุกวิธีทางตั้งแต่ฆ่าคน ค้าของผิดกฎหมาย และมาจบที่การขายอาวุธสงครามเพื่อเลื่อนสถานะของตนเองมาเป็นเจ้าพ่อแห่งวงการค้าความตายจนสำเร็จ เขาบอกได้อย่างละเอียดว่าตนเองในความฝันใช้เวลาเป็น10ปีเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินและอำนาจที่จะสามารถนำมาใช้แก้แค้นชายที่ชื่อ เหงี่ยน วัน กว็อก ได้ด้วยวิธีไหนและเรื่องราวการแก้แค้นนี้จบลงเช่นไรในท้ายที่สุด...” เมื่อเล่าถึงตรงนี้สีหน้าของจอร์จก็หมองเศร้าลงทันทีเพราะเกิดอารมณ์ที่หลากหลายประสมประเสปนเปกันจนรู้สึกหดหู่ใจ เขานิ่งงันไปชั่วอึดใจก่อนจะเล่าต่อว่า “...หลังจากที่เขาแก้แค้นสำเร็จจึงได้เดินทางจากประเทศสหรัฐอเมริกามาที่กรุงเทพฯเพื่อตามหาสามีภรรยาคู่หนึ่งโดยใช้วิธีการนำเงินทุนที่ได้จากธุรกิจขายอาวุธสงครามมาก่อตั้งโรงพยาบาลจัสมินฯเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการตามหาคนคู่นั้น พอจอร์จเล่าถึงตรงนี้คุณหมอพิเภกที่นั่งฟังอยู่ก็ตกใจจนอุทานออกมาพร้อมกับถามว่า
“เดี่ยว...พ่อหนุ่มบอกว่าอย่างไรนะ ในฝันเราเป็นคนสร้างรพ.จัสมินฯ ขึ้นมาหรือ”
“ครับผมฝันว่าอย่างนั้นจริงๆ เพราะสาเหตุนี้ผมจึงต้องไปพบกับมะลิให้ได้ ในความฝันของผมหญิงสาวที่ชื่อมะลิมีหน้าตาเหมือนกับผู้หญิงคนนี้อย่างกับเป็นฝาแฝดกันที่เดียวครับ ผมต้องการจะถามคุณมะลิว่าเธอมีพี่น้องหรือญาติสนิทที่หน้าตาเหมือนกับเธอบ้างหรือเปล่า ถ้ามะลิในความฝันของผมมีตัวตนอยู่จริง ผมจะได้หาทางสืบเรื่องราวต่อไปว่าผมเป็นใครกันแน่และทำไมถึงมีความทรงจำเหล่านั้นอยู่ในหัวสมองของผมครับ”
“อืม...แปลกมากเลยนะพ่อหนุ่ม เรื่องของเธอมันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ลุงรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ เหมือนจะนึกอะไรออกแต่ยังบอกไม่ได้” ในความรู้สึกของหมอพิเภกเขาสังหรณ์ใจว่าเรื่องราวทั้งหมดอาจเกี่ยวพันกับสมุดบันทึกเล่มที่เขาวางอยู่บนตักแต่ไม่กล้าสรุปอะไรออกไปให้จอร์จฟัง เพราะตนยังอ่านมันไม่จบ ยังเหลืออีกครึ่งเล่มที่เป็นส่วนของการสรุปเนื้อหาโครงการและบันทึกประจำวันตั้งแต่วันแรกที่เปิดเผยเนื้อหานี้ในงานสัมมนาทางวิชาการ หมอพิเภกที่กำลังใช้ความคิดอย่างหนักหน่วงนิ่งงันไปจนจอร์จพูดขึ้นมาอีกว่า
“คุณลุงหมอครับ ผมมีอะไรบางอย่างจะสารภาพครับ”
“มีอะไรก็บอกมาเลยไม่ต้องเกรงใจ”
“คือว่า... ผมเคยเห็นสมุดบันทึกเล่มนี้มาก่อนแล้วครับ”
จอร์จพูดพร้อมกับจ้องไปยังสมุดบันทึกปกหนังสีขาวที่วางอยู่บนตักของหมอพิเภก
“ว่าไงนะเราเคยเห็นมันมาก่อนหรือ เห็นที่ไหน”
“ในความฝันของผมครับ ตอนแรกที่เห็นคุณลุงหมอถือมันมา ผมก็รู้สึกคุ้นตาแต่พึ่งจะมานึกออกเดียวนี้เอง ผมเคยเห็นมันมาแล้วในความฝัน ช่วงเวลาที่ผมดำเนินการตามหาสามีภรรยาคู่นั้นผมเคยไปร่วมงานสัมมนาวิชาการหลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งผมไปร่วมงานที่เจ้าของโครงการมีสมุดบันทึกเล่มนี้อยู่ด้วยครับ”
“จริงหรือพ่อหนุ่มนั้นมันเรื่องตั้งแต่เมื่อ 20 กว่าปีก่อนเชียวนะสมัยที่พ่อของลุงยังมีชีวิตอยู่เรื่องมันชักจะยังไงๆชอบกลเสียแล้ว เอาอย่างนี้ละกันพ่อหนุ่มไปหาหนูมะลิที่ รพ.จัสมินฯก่อน ช่วงเวลานี้ลุงจะอ่านสมุดบันทึกเล่มนี้ให้จบมันอาจจะทำให้ลุงช่วยอะไรเราได้บ้าง”
“ตกลงครับผมจะรีบไปรีบกลับ”
“ฝากขอโทษหนูมะลิด้วยนะที่ลุงไปตามนัดไม่ได้และถ้ามีใครนอกเหนือจากหนูมะลิถามว่าลุงอยู่ที่ไหน พ่อหนุ่มคงเข้าใจนะว่าลุงไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน”
“ผมทราบดีครับ”
หมอพิเภกสั่งจบหันไปหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมานับธนบัตรหลายฉบับส่งไปให้จอร์จโดยกำชับให้เขาใช้มันซื้อของที่จำเป็นเพราะทราบดีว่าชายหนุ่มไม่มีเงินติดตัวเลยซักบาทเดียว เขาลำบากใจมากที่จะรับแต่ปฏิเสธน้ำใจนั้นไม่ลงเนื่องจากตนมีความจำเป็นต้องใช้มันซื้อของหลายอย่างจึงรับมาแต่โดยดี คุณลุงหมอกำชับให้เขาระมัดระวังตัวให้ดีที่สุดเพราะการไปรพ.จัสมินฯในจังหวะเวลานี้จัดว่าเป็นการเสี่ยงอันตรายมากเอาการแต่ก็เข้าใจความจำเป็นของเขาดีจึงไม่คัดค้านอะไร เมื่อชายหนุ่มออกจากห้องไปไม่นานหม่อนจึงกลับเข้ามาอีกครั้ง เธอตั้งใจไว้ว่าจะอยู่เป็นเพื่อนดูแลหมอพิเภกซัก 3-4 วันเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงค่อยปลีกตัวกลับบ้านของตน เมื่อหม่อนกลับเข้ามาไม่เห็นจอร์จจึงถามถึง คุณหมอตัดสินใจเล่าเรื่องราวของจอร์จให้หม่อนฟังเพราะคิดว่าเขาคงไม่ว่าอะไร เมื่อเล่าจบจึงได้ขอแรงให้หม่อนทำหน้าที่โทรศัพท์ไปแจ้งความกับทางตำรวจแทนตนโดยกำชับไม่ให้เธอพูดถึงจอร์จ หลังจากที่หม่อนออกจากห้องไปแล้ว หมอพิเภกก็หยิบสมุดบันทึกเล่นนั้นขึ้นมาอ่านอย่างร้อนใจเพราะเขาคิดว่ามันน่าจะได้เงื่อนงำที่อธิบายถึงสาเหตุซึ่งทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆเหล่านี้จากมันได้

เวลาบ่ายแก่ๆแสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงสาดทะลุหน้าต่างกระจกเข้ามาสะท้อนเป็นเงาอยู่บนประตูลิฟต์ชั้นห้าของโรงพยาบาลจัสมินฯสาขาใหญ่ หญิงสาวที่อยู่ในชุดพยาบาลแสนสวยคนหนึ่งกำลังยืนเอามือเท้าขอบหน้าต่างเพื่อรับลมด้วยสีหน้าแฝงความกังวลใจ มะลิชอบกระแสลมอุ่นๆที่โชยมาปะทะผิวหน้ามากเพราะมันทำให้เกิดความรู้สึกปลอดโปร่งใจและช่วยผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดในยามนี้ของเธอได้เป็นอย่างดี ขณะที่เธอหลับตาลงภาพของท้องทะเลสีครามกับท้องฟ้าสีฟ้าสดใสของเกาะสมุยก็ผุดขึ้นมาในจินตนาการอย่างไม่ตั้งใจ พลันความคิดของเธอก็กระหวัดกลับไปหาเหตุการณ์ในคืนวันนั้นที่ไปชมการแสดงโขนเองโดยอัตโนมัติ มะลิเฝ้าถามใจตนเองมาหลายครั้งแล้วว่าทำไมจึงลืมเลือนสัมผัสที่อบอุ่นกับแววตาใสกระจ่างของเขาคนนั้นไม่ลงเสียที และทุกครั้งที่เธอรู้สึกเครียดเสี้ยวลึกๆข้างในจิตใจถึงก่อเกิดความรู้สึกต้องการที่จะได้เจอกับเขาอีกซักครั้งเสมอ ในขณะที่มะลิกำลังใจลอยยืนหลับตาหันหลังให้กับประตูลิฟต์อยู่นั้นประตูอลูมิเนียมสีเงินขัดเป็นมันเงาก็เลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆ ชายชราใส่แว่นกันแดดสีดำผมยาวสีขาวไว้หนวดเครารุงรังก็เดินโขยกเขยกใช้ไม้เท้าหัวพญานาคยันพื้นก้าวออกมาจากลิฟต์ เขาจ้องมองมะลิทางด้านหลังอย่างชั่งใจก่อนที่จะเดินอ้อมมาทางด้านข้างและเอ่ยคำด้วยเสียงที่แหบพร่ากับเธอว่า
“ขอโทษครับคุณพยาบาลลุงขอถามอะไรหน่อยจะได้ไหม”
มะลิสะดุ้งตกใจหันหน้ากลับมาสบตาพร้อมกับกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ได้สิคะคุณลุง”
“คนไข้ที่เป็นอัมพาตนอนหลับอย่างเดียวมาตั้งนานแล้ว เอ...ชื่ออะไรน้า...ที่อยู่ห้องพิเศษเตียงเดียวไม่ค่อยมีใครมาเยี่ยมนะอยู่ห้องไหน”
มะลินิ่งคิดทบทวนอยู่อึดใจหนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “ใช่คุณโมรีรึเปล่าคะคุณลุง”
“อ๋อ...นั่นเหล่ะ ตอนนี้มีคนเฝ้าเธออยู่หรือเปล่า ลุงมาเยี่ยมเธอแต่ไม่อยากคุยกับคนอื่น ลุงขี้รำคาญนะ”
“ยังไม่มีใครมาเลยค่ะ คุณลุงตามหนูมากับทางนี้เลย” มะลิผายมือออกอย่างนิ่มนวลและเดินนำชายแก่ผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลเลี้ยวขวาไปจนถึงหน้าประตูห้องริมสุดที่ติดกับหน้าต่างข้างตึก เธอเปิดประตูเข้าไปก่อนเพื่อตรวจความเรียบร้อยอย่างรู้งาน ชายชราเดินตามเข้ามาในห้องช้าๆตรงเข้าหาเตียงคนไข้ขณะที่มะลิหันหลังให้กับเขาและง่วนอยู่กับการจัดผ้าห่มคลุมร่างของหญิงชราคนนั้นพลันต้องตกใจอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงที่นุ่มนวลของชายหนุ่มเอ่ยทักทายมาจากทางด้านหลังอย่างกะทันหัน
“สวัสดีครับคุณมะลิ”
หญิงสาวหันขวับกลับไปมองทางต้นเสียงด้วยความพิศวง มะลิเห็นชายชราคนนั้นถอดแว่นกันแดดและดึงหนวดเคราของตนออกได้อย่างน่าประหลาด เธอมองเห็นเค้าหน้าของชายหนุ่มไม่ชัดนักเพราะข้างในห้องพักไม่ได้เปิดไฟเอาไว้เลยแต่แววตาคู่นั้นที่สุกสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวกับทำให้เธอจดจำเขาได้ทันทีในวินาทีแรกที่ทั้งคู่สบตากันเธออุทานออกมาเบาๆและพูดว่า
“คุณที่เคยช่วยฉันไว้เมื่อคืนวันนั้นนี่ทำไมคุณถึงรู้จักชื่อฉันด้วยล่ะ ฉันแน่ใจว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนี่คะ”
“พวกเราเคยเจอกันครั้งหนึ่งแล้วที่โรงพยาบาลจัสมินฯสาขาหาดใหญ่จำได้ไหมครับ เพื่อนคุณเรียกชื่อคุณออกจะดังในตอนนั้น”
ในความคิดของจอร์จยังไม่อยากจู่โจมหรือกล่าวถึงความฝันนั้นเร็วเกินไปนักเพราะมันยากที่จะอธิบายให้คนที่เพิ่งรู้จักกันเข้าใจได้จึงต้องยกข้ออ้างที่สมเหตุสมผลขึ้นมาแทน มะลิพยักหน้าตอบรับอย่างเข้าใจแต่ในหัวกับเกิดคำถามใหม่ประดังกันขึ้นมามากมายจนสีหน้าบอกความฉงนใจไม่เปลี่ยนแปลง
“ฉันจำได้ค่ะแต่ทำไมคุณต้องปลอมตัวมาหาฉันด้วยละ”
จอร์จเดินไปนั่งที่โซฟาติดหนวดเครากลับเข้าที่ก่อนจะแนะนำตัวและเล่าเรื่องเมื่อคืนให้มะลิฟังอย่างละเอียดเขาแจ้งเธอด้วยว่าหมอพิเภกฝากคำขอโทษมาถึงเธอด้วย ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันถึงเรื่องราวของคุณหมอพิเภกอยู่ในห้องผู้กองเซอบีรุสเพิ่งจะวางสายจากการติดต่อกับลูกทีมของตนโดยแมคแจ้งเขาขึ้นมาว่าจุดสัญญาณของมะลิหายเข้าไปในห้องๆหนึ่งนานจนผิดสังเกต ผู้กองเซอบีรุสที่อยู่ใกล้เป้าหมายมากที่สุดจึงคิดที่จะออกไปตรวจดูความปลอดภัยของเธอ เขาเกิดความรู้สึกกังวลมากตั้งแต่ได้รับรายงานจากแมคเมื่อเช้าแล้วว่าวันนี้บรรดาลูกสมุนของแก็ง จอมอุ้มทั้งสองมีพฤติกรรมเคลื่อนไหวที่ผิดปรกติ พวกมันทุกคนเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดคนไข้ของโรงพยาบาลมาเป็นชุดปรกติแล้วแต่ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ภายในโรงพยาบาลนี้ตลอดทั้งวัน และเจมส์ยังรายงานเสริมขึ้นมาอีกด้วยว่าเขาเห็นรถตู้สีขาวท่าทางมีพิรุธจำนวนสามคันเข้ามาจอดเทียบอยู่ด้านข้างตึกหลังนี้โดยมีคนขับเฝ้าอยู่ที่รถตลอดเวลาด้วยผู้กองแห่งหน่วยสงครามพิเศษเร่งฝีเท้าไปสู่ห้องที่แมคแจ้งตำแหน่งไว้อย่างรวดเร็ว เมื่อถึงประตูห้องเขาพยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนภายในห้องและแอบมองผ่านกระจกที่ประตูหน้าห้องด้วยความระมัดระวัง เขานิ่งฟังอยู่นานก่อนจะตัดสินใจใช้มือซ้ายกำลูกบิดประตูเอาไว้พร้อมกับใช้มือขวาจับด้ามปืนสั้นติดที่เก็บเสียงที่แอบอยู่ข้างเอวไว้อย่างมั่นเหมาะรอคอยจังหวะที่จะเข้าไปในห้อง
ภายในห้องจอร์จได้อธิบายถึงสาเหตุที่ตนจำเป็นต้องปลอมตัวมาให้มะลิฟังจนเธอเข้าใจและกำลังปรึกษากันว่าจะไปเยี่ยมคุณหมอพิเภกด้วยรถคันไหนดีระหว่างรถของเธอกับคันที่เขาขับมา เสียงบิดลูกบิดประตูห้องเบาๆจนมะลิไม่รู้สึกตัวก็ดังขึ้นทำให้จอร์จหยุดบทสนทนาลงอย่างกะทันหันลุกขึ้นยืนและหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวมไว้ทันทีซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่ผู้กองเซอบีรุสเปิดประตูพุ่งพรวดเข้ามาในห้องชักปืนสั้นจ่อมาที่เขาเขม็ง ชายหนุ่มจึงทำท่าทางราวกับว่าเป็นคนแก่ที่กำลังตกใจเอาสองมือกุมหน้าอกมือไม้สั่นและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่ากับมะลิ
“โอ๊ย... แม่หนูเกิดอะไรขึ้น โรงพยาบาลนี้มีผู้ร้ายมาดักปล้นลุงด้วยหรือ”
มะลิตกใจไม่แพ้กันจนเผลอเอามือปิดปากตนไว้ เมื่อเห็นแล้วว่าเป็นใครจึงถอนหายใจออกอย่างโล่งออกพร้อมกับถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆว่า
“คุณเมอร์ด็อกนี่มันอะไรกันคะ”
ผู้กองเซอบีรุสเว้นระยะห่างจากจุดที่เขาคิดว่าตนอยู่นอกรัศมีความยาวของไม้เท้าหัวพญานาคในมือของชายแก่อย่างระแวดระวังและจ่อปากกระบอกปืนมาทางจอร์จเช่นเดิมพร้อมกับตอบคำถามมะลิด้วยน้ำเสียงเข้ม
“ผมสงสัยว่าเขาจะเป็นพวกเดียวกับแก๊งอาชญากรข้างล่างคุณมะลิถอยออกมายืนข้างหลังผมเร็วครับ”
“คุณเข้าใจผิดแล้วเขาเป็นคนๆเดียวกับผู้ชายที่เคยช่วยฉันไว้เมื่อวันที่ไปดูโขนยังไงละคะ ไม่ใช่พวกแก็งอาชญากร”
จอร์จฟังทั้งสองคนคุยกันรู้สึกแปลกใจที่มะลิพูดถึงพวกอาชญากรแต่ก็ตีสีหน้านิ่งสงบพร้อมกับคิดหาวิธีพลิกสถานการณ์ไปด้วยในตัวผู้กองเซอบีรุสพูดขึ้นโดยหันไปทางมะลิว่า
“ทำไมเขาต้องปลอมตัวมาด้วย พวกคุณเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ เขามาแจ้งข่าวเรื่องจิตแพทย์ที่ฉันไปหาเมื่อวานถูกคนลอบทำร้ายและกำลังเข้ารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล พวกเขาสงสัยว่าผู้อำนวยการของที่นี่จะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยปลอมตัวให้พ้นจากสายตาของท่าน ผอ.จาคอฟสกี้ค่ะ”
“จริงหรือครับ งั้นเขาคงไม่ใช่แก็งอาชญากร ผมขอโทษด้วย...” ผู้กองเซอบีรุสลดปืนลงช้าๆ “...คุณช่วยถอดหนวดเคราและวิกผมออกให้ผมได้รู้จักตัวจริงของคุณหน่อยได้ไหมครับ”
จอร์จเกิดความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแต่ไม่เฉลียวคิดเลยว่าตนกำลังคุยอยู่กับเจ้าหน้าที่ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่เดินทางมารับตัวเขาจึงถอดอุปกรณ์ปลอมตัวออกตามคำขอ เมื่อผู้กองเซอบีรุสเห็นใบหน้าของชายหนุ่มชัดเจนเขาจำได้ทันทีว่านี่คือเป้าหมายหลักที่ตนกำลังต้องการตัวจึงยกปืนขึ้นเล็งมายังจอร์จอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นไปตามที่ผู้กองเซอบีรุสคิดเพราะจอร์จใช้ปลายไม้เท้าแทงเข้าใส่ข้อมือของเขาได้ในพริบตาเป็นเหตุให้ปืนกระเด็นหลุดจากมือตกลงไปที่พื้นทันที เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงเสี้ยวของวินาทีแม้แต่มะลิเองก็ยังมองตามไม่ทัน จอร์จพุ่งพรวดไปยืนบังทางที่ปืนกระเด็นไปได้ก่อนที่ผู้กองเซอบีรุสจะขยับตัว ทั้งสองตั้งท่าเตรียมตัวเข้าปะทะกันราวกับเสือดำหนุ่มผู้ปราดเปรียวกับจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่แค้นเคืองกันมาช้านาน พวกเขาจ้องตาคุมเชิงกันอยู่เพียงแค่อึดใจเดียวจังหวะที่ทั้งคู่กำลังจะพุ่งเข้าใส่กันร่างบางๆของมะลิที่ได้สติก็พรวดเข้าไปแทรกกลางยืนขวางสมรภูมิเดือดนั้นได้เสียก่อน เธอหันหลังเอาตัวบังชายหนุ่มไว้พร้อมกับกางแขนทั้งสองข้างออกห้ามผู้กองเซอบีรุสและเอ่ยถามเขาว่า
“อะไรกันอีกละคะคุณเมอร์ด็อกทำไมต้องสู้กันด้วย”
“คุณมะลิหลบออกมาเสียเถอะครับ ผมต้องการจับตัวเขาให้ได้ คนๆนี้ล่ะครับที่เป็นผู้รอดชีวิตจากเครื่องบินของโรงพยาบาลจัสมินฯตก”
มะลิได้ฟังเหตุผลของผู้กองเซอบีรุสถึงกับตกตะลึงตัวแข็งค้าง ในความคิดของเธอแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกเกิดความกริ่งเกรงกลัวว่าจอร์จอาจจะมาแก้แค้นตนตามที่เจ้าหน้าที่แมคกล่าวอ้าง ส่วนฝ่ายหลังยกเหตุผลมาโต้แย้งได้ทันกันว่าถ้าเขาคิดจะแก้แค้นจริงทำไมต้องช่วยเธอไว้ในเหตุการณ์เมื่อคืนวันนั้นด้วย ขณะที่ความกลัวกำลังต่อสู้อยู่กับเหตุผลสิ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจทำอะไรลงไปกลับกลายเป็นอารมณ์ส่วนลึกที่สุดของหัวใจเฉกเช่นผู้หญิงธรรมดาทั่วไปเลือก มะลิยังคงยืนบังร่างของจอร์จไว้ตามเดิมพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“คุณเมอร์ด๊อกบอกกับฉันว่าที่ต้องการจับกุมตัวเขาเพราะเขาอาจเป็นอันตรายต่อฉันและต้องการให้เขาบอกความจริงเรื่องแหล่งกบดานของมิสเตอร์เจ.เค.คิลเลอร์มิใช่หรือคะ ทำไมไม่ลองคุยกันดีๆก่อนละคะ ไม่เห็นจำเป็นต้องสู้กันเลยนี่ เขาอาจจะยอมให้ความร่วมมือกับคุณก็ได้และฉันคิดว่าเขาคงไม่ได้มาเพราะประสงค์ร้ายกับฉันหรอก”
จอร์จฟังสิ่งที่มะลิพูดจึงพอจะจับสาเหตุที่ชายแปลกหน้าผู้นี้จ้องจะจับตัวเขาได้เลยพูดขึ้นว่า
“เขาบอกคุณหรือครับว่าผมต้องการจะทำร้ายคุณ ผมไม่เคยคิดจะทำอย่างนั้นเลยนะ”
จอร์จพูดกับมะลิที่หันกลับมาสบตาเขาอย่างนุ่มนวล
“ถ้าผมคิดร้ายคุณจริงผมจะเข้าไปช่วยคุณในวันนั้นทำไมและเหตุผลที่ผมต้องการมาพบคุณเพราะความจำเป็นในการตามหาตัวตนของผมเท่านั้น ผมมีอาการความจำเสื่อมครับ”
ผู้กองเซอบีรุสได้ยินคำพูดของจอร์จที่บอกว่าตนความจำเสื่อมเสี้ยวหนึ่งของใบหน้านั้นแอบยิ้มหยันที่มุมปากก่อนที่จะกลบเกลื่อนมันด้วยการทำทีเป็นลดมือลงจากท่าการ์ดเตรียมต่อสู้ จอร์จเห็นท่าตั้งการ์ดนั้นรู้สึกคุ้นตาตนมากอย่างบอกไม่ถูกแต่ก็คิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อนกำลังจะใช้ความคิดนึกย้อนไปถึงคนที่เขาเคยปะทะฝีมือด้วยเพื่อเทียบดูว่ามันเหมือนกับใครก็จำต้องละความคิดนั้นเสียด้วยคำถามที่ผู้กองเซอบีรุสเอ่ยออกมาว่า
“คุณความจำเสื่อมจริงหรือครับ เริ่มมีอาการตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่เหตุการณ์เครื่องบินตกครับ ผมจำเรื่องราวก่อนหน้านั้นไม่ได้เลย”
ผู้กองเซอบีรุสเอามือเท้าเอวส่ายหน้าและสบถด้วยความหัวเสีย เขาหันมามองทางชายหนุ่มอีกครั้ง “อย่างนี้พวกผมก็คว้าน้ำเหลวกันพอดีแล้วจะไปหาเบาะแสของเจ้าจีซัสได้จากที่ไหนกันล่ะทีนี้ คุณมีวิธีเรียกความทรงจำกลับคืนมาบ้างหรือเปล่า เคยไปพบจิตแพทย์ไหมครับ”
จอร์จก้มลงหยิบปืนยื่นกลับไปให้ผู้กองเซอบีรุสเพื่อแสดงความจริงใจและพูดว่า
“เราเปลี่ยนที่คุยกันดีไหมครับคนป่วยจะได้พักผ่อนด้วย”
“งั้นเชิญคุณสองคนไปที่ห้องของผมเลยตามมาทางนี้”
จอร์จเดินตามหลังมะลิออกไปจากห้องเป็นคนสุดท้าย เขากระซิบให้มะลิแกล้งพยุงตนที่อยู่ในคราบของคนแก่ให้ทุกคนเห็นและเดินตรงไปยังห้องของผู้กองเซอบีรุสโดยที่นางพยาบาลบนชั้นนี้ไม่มีใครเอะใจเลยว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เกือบจะมีศึกปะทะฝีมือคู่เอกเกิดขึ้นแล้ว ทันทีที่เข้ามาอยู่ภายในห้องของผู้กองเซอบีรุสมะลิจึงเป็นคนอธิบายถึงเรื่องราวที่ชายหนุ่มตกเป็นเป้าหมายของคนทั้งสองฝ่ายคือรัฐบาลสหรัฐฯกับองค์กรแบล็คจัสมินให้เขาฟังโดยแทบจะถอดความมาจากบทสนทนาในรถวันนั้นทีเดียว
เมื่อจอร์จได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเกิดความรู้สึกสงสารมะลิขึ้นมาอย่างจับใจที่ต้องตกอยู่ท่ามกลางอันตรายจากพวกแก๊งอาชญากรรมทั้งสองมาตลอดอาทิตย์ยิ่งได้ใกล้ชิดและได้รู้จักเรื่องราวของเธอเพิ่มขึ้นเท่าไร ยิ่งทำให้ความรู้สึกของเขาแจ่มชัดมากขึ้นเรื่อยๆจนแทบจะระงับมันไว้ไม่อยู่ ความห่วงใยและความต้องการที่จะเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองเธอถูกถ่ายทอดจากข้างในหัวใจผ่านดวงตาของเขาไปสู่ตาคู่งามของเธอตลอดเวลาที่ทั้งสองสบตากัน มะลิคิดในใจตนเองว่า “เอ๊ะนี่เราเป็นอะไรไปนี่ ทำไมถึงต้องพูดตะกุกตะกักด้วยนะ บ้าจริงเชียว เราไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนนี่” มะลิหน้าแดงรู้สึกอายจนสองแก้มมีเลือดฝาดวิ่งให้ผล่าน จำต้องหลบตาเขาอีกครั้งทันทีที่เล่าจบ ผู้กองเซอบีรุสถามทำลายบรรยากาศขึ้นมาว่า
“คุณจะให้ความร่วมมือกับทางเราได้ไหมครับ”
“ผมยินดีช่วยคุณเมอร์ด๊อกเต็มที่ถ้าความทรงจำของผมกลับคืนมา ผมคงจะบอกถึงสถานที่ที่คุณต้องการได้”
“ผมในนามของประเทศสหรัฐอเมริกาขอขอบคุณล่วงหน้า เรื่องความทรงจำของคุณผมคิดว่าไม่นานคงจะกลับคืนมาอย่างแน่นอน ทีมของผมจะช่วยคุณเต็มที่คุณพอจะมีเบาะแสอะไรที่จะใช้เพื่อรื้อฟื้นมันบ้างหรือเปล่า”
ชายหนุ่มพยักหน้าและเริ่มเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความฝันที่มีผู้หญิงหน้าตาเหมือนมะลิให้ทั้งสองคนฟังอย่างคร่าวๆ เขาเล่าพร้อมกับหันหน้าไปสบตากับมะลิเป็นระยะ ทุกครั้งที่ตาของทั้งสองจ้องประสานกันหญิงสาวหน้าแดงด้วยความขวยเขินก้มหน้าหลบตาจนแม้แต่ผู้กองเซอบีรุสเองก็ยังมองออก เมื่อเล่าจบจอร์จจึงหันหน้ามาสบตากับมะลิอีกครั้งเขาเห็นเลือดฝาดที่ผุดขึ้นมาแต่งแต้มอยู่บนแกล้มสุกปลั่งของเธอ มันช่วยเพิ่มความงามให้กับมะลิมากจนหัวใจของเขารู้สึกเหมือนว่ามันกำลังจะหลอมละลายอยู่รอมร่อ เขาถามมะลิด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า
“คุณมีพี่น้องหรือญาติสนิทที่หน้าตาเหมือนกันราวกับฝาแฝดบ้างไหมครับ”
ใจจริงมะลิอยากจะลุกขึ้นเดินหนีเขาไปให้รู้แล้วรู้รอด ทั้งๆที่รู้สึกติดใจในความฝันที่เขาเล่าให้ฟังอยู่ก็ตาม แต่เธอก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเพียงได้ใกล้ชิดกันไม่นานกลับทำให้เธอเกือบจะควบคุมจิตใจของตนเองไว้ไม่ได้เช่นนี้ ความรู้สึกที่รุ่มร้อนจนหัวใจเต้นไม่เป็นสำ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มะลิตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงขาดๆหายๆว่า
“เท่าที่จำได้...ไม่มีค่ะ... แต่ถ้าจะให้แน่ใจต้องลองถามคุณพ่อคุณแม่ของฉันที่บ้านดูอีกที”
“งั้นเดี๋ยวเสร็จจากไปเยี่ยมคุณลุงหมอ ผมขอตามไปส่งคุณที่บ้านได้ไหมครับ จะได้ไปเรียนถามพวกท่านด้วยตนเอง”
มะลิไม่ทันได้ตอบว่ากระไรเพราะในห้วงแห่งความคิดคำนึงกำลังเกิดความว้าวุ่นกระวนกระวายใจเมื่อรู้ว่าเขาต้องการจะไปส่งตนที่บ้าน ผู้กองเซอบีรุสเอ่ยแทรกขึ้นมาว่า
“จริงสิพูดถึงเรื่องจะออกไปจากที่นี่ ผมว่าเราคงออกไปจากที่นี่ไม่ได้ง่ายๆครับ”
“จริงหรือค่ะคุณเมอร์ด็อก”
“จริงครับ พวกข้างล่างมีการเคลื่อนไหวกันอย่างผิดสังเกตราวกับรู้ว่าคุณมาที่นี่แล้ว”
จอร์จนั่งทบทวนเหตุการณ์ตอนที่เขาเข้ามาในสภาพนี้อีกครั้งแต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดสังเกตจากกลุ่มผู้ชายที่ผู้กองเซอบีรุสบอกลักษณะเลย ไม่เห็นมีใครสนใจใยดีเขาด้วยซ้ำ จอร์จใช้เวลาคิดเพียงอึดใจหนึ่งเพื่อหาสาเหตุเมื่อนึกออกจึงพูดโพล่งขึ้นว่า
“ผมรู้แล้วเมื่อวานตอนที่ผมมาที่นี่กับคุณหมอพิเภกตอนเดินกลับไปขึ้นรถที่หน้าตึก ผมสวนทางกับผู้ชายคนหนึ่งเขาจ้องมองผมตาไม่กะพริบตาที่เดียวอาจจะเป็นคนของพวกมันก็ได้ครับ”
“อืม... เป็นไปได้ครับ”
“ถ้าพวกนั้นดักจับตัวเราอยู่อย่างนี้เราจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไรกันละคะคุณเมอร์ด็อก”
ผู้กองเซอบีรุสเดินกลับไปกลับมาใช้ความคิดอย่างถี่ถ้วนหยิบหูฟังโทรศัพท์ไร้สายขึ้นมาสวมก่อนที่จะเดินออกไปยืนคุยกับลูกทีมอยู่ที่ระเบียงข้างหลังห้อง เขาปรึกษากับลูกน้องและเช็ครายละเอียดถึงตำแหน่งต่างๆที่มีคนของทั้งสองแก๊งเฝ้าดูอยู่จนแน่ใจและได้แผนการที่จะใช้หลบสายตาพวกนั้นแล้วจึงนัดแนะกับคนของเขาอยู่ครู่ใหญ่ๆ เช็คเวลาที่แน่นอนและทบทวนแผนอีกครั้งก่อนที่จะเปิดประตูก้าวเข้ามาให้ห้องฉีกยิ้มอย่างมีเลศนัยและพูดขึ้นว่า
“ผมมีวิธีที่จะพาพวกเราทุกคนออกจากที่นี่แล้ว แต่อาจจะต้องใช้ฝีมือปลอมตัวของคุณจอร์จช่วยด้วยครับ”



Create Date : 28 กรกฎาคม 2554
Last Update : 7 กันยายน 2554 11:12:46 น. 0 comments
Counter : 659 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wayoodeb
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




 
      
Friends' blogs
[Add wayoodeb's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.