|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
องค์ที่๕(๒) : ตัวแทน
ภายในร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดังของห้างสรรพสินค้ากลางใจเมืองหาดใหญ่ผู้กองเซอบีรุสหัวหน้าทีมปฏิบัติการลับของประเทศสหรัฐอเมริกากำลังนั่งจิบกาแฟอยู่เพียงลำพัง เขาเปลี่ยนจากชุดสูทที่ดูเป็นทางการมาใส่เสื้อยืดโปโลสีเนื้อกับกางเกงขาสั้นสีขาวเพื่ออำพรางการทำงานของตน เสียงของเด็กผู้ชายหลายคนที่คุยกันอย่างออกรสดังมารบกวนการสนทนาผ่านอุปกรณ์วิทยุสื่อสารไร้สายของเขาจนต้องจับมันให้แนบกับรูหูอีกครั้งจึงจะสามารถได้ยินเสียงของเจ้าหน้าที่แมค “เป้าหมายเคลื่อนที่ออกจากโรงแรมแล้วเราสองคนกำลังขับรถตามอยู่ครับผู้กอง” “ดีมากตามต่อไปเรื่อยๆเรายังต้องเกาะติดเธออีกหลายวันจนกว่าจะกลับกรุงเทพฯ” ผู้กองแห่งหน่วยสงครามพิเศษพูดผ่านไมล์อันจิ๋วที่ติดอยู่บนคอปกเสื้อซึ่งเป็นอุปกรณ์สื่อสารคลื่นความถี่เฉพาะที่ใช้ร่วมกันทั้งทีม “ผู้กองครับทำไมเราต้องตามเป้าหมายใหม่นี้ด้วยผู้กองยังไม่ได้อธิบายให้พวกผมฟังเลยครับ” เจ้าหน้าที่เจมส์ที่เปลี่ยนมาทำหน้าที่คนขับรถถามแทรกขึ้นมาด้วยความสงสัย “นายยังไม่ต้องสงสัยอะไรในตอนนี้ส่วนเหตุผลฉันจะอธิบายให้พวกนายฟังเองเมื่อกลับไปถึงกรุงเทพฯ” “ครับผมผู้กอง” เจ้าหน้าที่เจมส์รับคำโดยนึกในใจไว้ล่วงหน้าก่อนแล้วว่าคำตอบจะต้องออกมาเป็นเช่นไรแต่อยากจะได้รับคำยืนยันจากปากของหัวหน้าทีมเท่านั้น ข้อมูลที่เขาและแมคได้มาจากช่วงเวลาที่ติดตามดูพฤติกรรมของดร. ทอมสันเขาสองคนคุ้นหน้าเจ้าหล่อนเป็นอย่างดีเห็นอยู่บ่อยๆว่าเจ้าหล่อนเข้าไปหาด็อกเตอร์ทอมสันและเดินทางไปพบจิตแพทย์คนหนึ่งด้วยกันหลายครั้ง การกำหนดเป้าหมายใหม่ให้กับพวกเขาในครั้งนี้จึงตรงกับการคาดการณ์ล่วงหน้าของแมคเนื่องจากเหลือหญิงสาวคนนี้เพียงคนเดียวที่ใกล้ชิดกับดร.ทอมสันมากที่สุดในช่วงระยะเวลาสองอาทิตย์สุดท้ายก่อนที่เขาจะประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก แต่เขายังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมต้นสังกัดจึงคาดการว่าพยานที่รู้แหล่งกบดานของ “จีซัส” จะต้องหาวิธีติดต่อกับเจ้าหล่อนเพราะเขายังขาดเหตุผลเชื่อมโยงระหว่างคนสองคนนี้อยู่ ณ เวลานี้ผู้กองเซอบีรุสไม่ต้องการให้เธอเกิดความสงสัยจึงจำเป็นต้องส่งเจ้าหน้าที่เจมส์และแมคไปติดตามประกบตัวมะลิแทนโดยใช้ให้พวกเขาย้อนกลับไปที่โรงพยาบาลจัสมินฯทันทีที่ส่งตนถึงยังที่พัก “ผู้กองครับเธอเข้าไปเลือกซื้อชุดว่ายน้ำจากร้านขายอุปกรณ์กีฬาซื้อกันทั้ง 3 คนเลยครับ” แมคพูดพร้อมกับใช้กล้องส่องทางไกลอัตโนมัติซูมดูพวกเธอจากในรถซึ่งจอดอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกันกับร้านขายอุปกรณ์กีฬา “หมอหนุ่มที่เป็นคนขับรถก็ซื้อกับเขาด้วย ผมสงสัยว่าพวกเธอกำลังจะไปเที่ยวครับ” “พวกนายเห็นเป้าหมายนำกระเป๋าเดินทางออกจากที่พักหรือเปล่า” “ไม่มีครับ เธอถือออกมาแต่กระเป๋าสะพาย” “งั้นแสดงว่าคงไม่ออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้ อาจจะเป็นตอนกลางคืนหรือพรุ่งนี้เช้าก็ไม่แน่” ผู้กองเซอบีรุสใคร่ครวญอะไรอยู่ครู่หนึ่งและออกคำสั่งกับแมคว่า “แมคนายลงไปเก็บข้อมูลมาพยายามหาจุดหมายปลายทางของคณะให้ได้ เจมส์นายไม่ต้องลงไปพวกหล่อนเคยเห็นหน้านายแล้วอย่าทำให้เป้าหมายไหวตัวทัน” “ครับผม”เจ้าหน้าที่ทั้งสองรับคำพร้อมกัน เจ้าหน้าที่แมคลงจากรถเดินหายเข้าไปในร้านจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาโดยมีเจ้าหน้าที่เจมส์ส่องกล้องเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ในรถพร้อมกับรายงานให้ผู้กองเซอบีรุสทราบทุกระยะเพียง20นาทีหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ผิวหมึกก็เดินออกมาขึ้นรถหยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมารายงานข้อมูลแก่ผู้กองเซอบีรุสพร้อมกับโยนถุงใส่กางเกงว่ายน้ำไปยังเบาะด้านหลัง “เป้าหมายกำลังจะไปเกาะสมุยครับผู้กองออกเดินทางพรุ่งนี้ตอนตีห้าด้วยรถเก๋งคันนี้ไปขึ้นเรือเฟอร์รี่ที่จังหวัดสุราษฎร์ฯจะอยู่ที่นั้น 4 วัน วันอาทิตย์จะเดินทางกลับกรุงเทพฯครับผม” เจ้าหน้าที่เจมส์ตะลึงในข้อมูลที่เพื่อนได้มาจนตาค้างเอ่ยถามด้วยความแปลกใจว่า “แมคนายทำอย่างไรถึงได้ข้อมูลพวกนี้มา เหลือเชื่อจริง ๆ” “เปล่าทำอะไรแค่บอกว่าเป็นนักท่องเที่ยวพึ่งจะบินมาจากอเมริกา อยากถามถึงแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจและก็ถามเขาว่ากำลังจะไปที่ไหนกันก็แค่นั้น” “พวกนายเยี่ยมมากพยายามตามเป้าหมายต่อไปอย่าให้คลาดสายตาและอย่าให้พวกเขาเห็นพวกนาย” ผู้กองเซอบีรุสสั่งลูกทีมของเขาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะลุกออกจากร้าน ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มขมุกขมัวรัตติกาลคืบคลานเข้ามาครอบคลองพื้นที่โดยรอบช้าๆ เสียการจราจรที่แออัดกับเสียงของผู้คนตามร้านริมทางดังเซ็งแซ่จนน่าสับสน หลอดไฟหลากหลายสีสันหน้าร้านค้าเริ่มสว่างไสวประชันกับแสงจันทร์ที่บัดนี้ลอยเด่นเป็นเดือนเสี้ยวอยู่กลางท้องฟ้า ผู้กองเซอบีรุสเดินฝ่าฝูงชนตรงกลับเข้าที่พักด้วยอารมณ์ขุ่นมัวแต่แสยะยิ้มที่มุมปากพูดกันตนเองว่า “เฮ้อ...ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ปิดจ๊อบนี้กันเสียที ถ้าจบงานนี้เมื่อไหร่ไม่เอาอีกแล้วกับงานภาคสนามแบบนี้คอยดูนะพ่อจะหอบเอารางวัลที่ได้ไปเสวยสุขให้เต็มที่เลย”
เดือนเสี้ยวดวงเดียวกันนั้นก็สาดแสงจางๆผ่านกิ่งก้านของต้นจิกลงมากระทบพื้นหน้าเมรุเผาศพวัดมุจลินย์เช่นกัน แสงนวลเย็นตาช่วยขับไล่ความมืดออกไปจากบริเวณนั้นจนสว่างเรือง กลิ่นของดอกไม้ราตรีโชยพัดมาตามกระแสลมเย็นฉ่ำ รอบอาณาเขตของวัดร้างไร้ผู้คนจนจอร์จเสียวสันหลังวูบบรรยากาศสงบสงัดจนเสียงหัวใจเต้นยังดังชัด ชายหนุ่มกำลังเดินตามเจ้าทโมนป่ากลับมาจากห้องอาบน้ำกลางซึ่งอยู่ทางด้านหลังของกุฏิ สายน้ำช่วยบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยจากกิจกรรมตลอดวันได้เป็นอย่างดี จอร์จเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าทโมนน้อยถึงบ่นว่าเบื่อเมื่อเช้านี้ เพราะหลังจากที่เหนื่อยหนักมาจากการซ้อมโขน เจ้าแกละยังต้องรีบทานอาหารและตรงดิ่งกลับมาฝึกมวยไทยกับลุงเกิดต่ออีกซึ่งมันเป็นภาระหนักเกินไปสำหรับเด็กอย่างเจ้าแกละ แต่กับเขาเองกับรู้สึกตื่นเต้นและสนุกไปกับการได้เป็นคู่ซ้อมให้เจ้าทโมนน้อยถึงแม้ว่าตอนแรกจะไม่รู้สึกอยากร่วมด้วยแต่ก็ทนลูกตื้อของน้องชายตัวดีไม่ได้ ที่น่าประหลาดใจเขากับพบว่าการออกแข้งออกขาในท่าทางศิลปะการต่อสู้กับเป็นผลดีสำหรับร่างกายที่ขัดแข็งของเขาและเขาสามารถทำตามท่าทางของแกละได้อย่างง่ายดายราวกับว่ามันเป็นกิจกรรมที่เขาเคยทำอยู่สม่ำเสมอมาก่อนหน้านี้ อาหารเย็นที่แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับร่างกายถูกเติมเต็มจนอิ่มทั้งกายอิ่มทั้งใจ ชายหนุ่มซาบซึ้งถึงไมตรีจิตที่น้องชายกำมะลอแบ่งปันให้จนเต็มตื้น เขาคิดว่าอาหารจากร้านค้าริมทางในตลาดโต้รุ่งแม้มันจะไม่ได้วิเศษอะไรมากมายไปกว่าอาหารพื้นๆทั่วไปแต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติของน้ำใจสำหรับคนยากไร้ขาดที่พึ่งพิงเช่นเขา เมื่อจัดแจงที่หลับที่นอนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงพากันขึ้นไปหาเจ้าของกุฏิตามที่ท่านสั่งกำชับไว้ เมื่อเดินขึ้นมาถึงด้านบนจอร์จเห็นชั้นหนังสือที่วางเรียงรายอยู่เต็มตู้ทั้งสามด้านของกำแพงไม้ซึ่งกั้นระหว่างโถงด้านนอกกับห้องนอนของหลวงพ่อรุ่งก่อนเป็นภาพแรก ส่วนตัวของหลวงพ่อกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่บนอาสนะที่ปูอยู่ในบริเวณพื้นไม้ยกสูงหน้าห้องนอน มีโต๊ะไม้ตัวเตี้ยๆตัวหนึ่งตั้งอยู่ข้างหน้าบนนั้นมีป้านน้ำชาและกาน้ำร้อนวางอยู่ด้วยกัน ท่านออกคำสั่งกับเจ้าแกละทันทีที่ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมาจากการกราบนมัสการ “แกละเอ็งลงไปเอาถ้วยกาแฟจากในตู้เก็บของออกมาล้างเอากาแฟสำเร็จรูปสักสองชุดออกมาด้วยและรอจนกว่าแขกจะมาค่อยเอาขึ้นมาพร้อมกัน” “พึ่งจะหนึ่งทุ่มครึ่งเองเดี๋ยวค่อยลงไปไม่ได้หรือครับหลวงลุง” เจ้าตัวน้อยบ่นกระปอดกระแปดแม้จะทั้งรักทั้งยำเกรงหลวงลุงราวกับหนูกลัวแมวแต่ก็ชอบกระเซ้าเย้าแหย่ให้ถูกเอ็ดอยู่เรื่อยตามประสาคนเหงาหูแล้วเจ้าตัวดีก็โดนเอ็ดสมใจอยาก “เอ็งไม่ต้องมาต่อรอง เขาจะมากันแล้วยังไม่รีบลงไปเตรียมขึ้นมาอีก” จบคำเสียงเครื่องยนต์รถที่ดังแหลกอากาศเข้ามาจากซุ้มประตูวัดก็ทำเอาเจ้าทโมนน้อยผุดลุกขึ้นยืนด้วยความงุนงงกุลีกุจอลงจากกุฏิไปเตรียมของตามที่หลวงลุงสั่งอย่างว่าง่าย จอร์จทำท่าจะลุกตามเจ้าแกละไปแต่ถูกหลวงพ่อรุ่งห้ามไว้เสียก่อนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ประสกไม่ต้องไป อาตมามีเรื่องจะคุยด้วยหน่อยไม่อยากให้เจ้าลิงนั้นมันได้ยิน” “เรื่องอะไรครับหลวงพ่อ” ชายหนุ่มแสดงสีหน้ากังวลเพราะวูบหนึ่งของความคิดเขากลัวว่าท่านจะทราบเรื่องที่ตนหลบหนีจากเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาแล้ว “ไม่ต้องกลัวไปหรอกอาตมาไม่ได้ต้องการจะซักประวัติของโยมแค่อยากจะถามถึงเหตุการณ์เมื่อเช้านี้เท่านั้น...อาตมาอยากรู้ว่าทำไมโยมถึงลุกพรวดพราดขึ้นมาบีบคอเจ้าแกละมันละจากที่อาตมาเห็นโยมกำลังหลับอยู่นี่ปิดตาอยู่ด้วยมิใช่หรือ ฝันถึงใครอยู่หรือเปล่า” จอร์จสะดุ้งไปกับคำถามของหลวงพ่อรุ่งตะลึงงันไปชั่วอึดใจหนึ่งเขาอ้ำอึ้งคิดทบทวนถึงความฝันเมื่อเช้าเพียงชั่วขณะจิตก่อนที่จะเอ่ยคำตอบหลวงพ่อรุ่งว่า “ผม...ผมหลับอยู่ตามที่หลวงพ่อเข้าใจครับ กำลังฝันถึงเรื่องราวในสมัยเด็กที่เป็นสาเหตุให้ผมกลายเป็นเด็กกำพร้า แต่...ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นความทรงจำของผมหรือเป็นแค่ความฝันธรรมดากันแน่ ในฝันผมได้ยินชื่อของเด็กผู้ชายคนหนึ่งเพียงแค่ชื่อก็ทำให้ผมเกิดความรู้สึกโกรธแค้นเขาอย่างรุนแรงจนไม่อาจระงับอารมณ์ไว้ได้ ผมกำลังคิดว่าอยากจะบีบคอเขาให้ตายคามือของผมครับหลวงพ่อ แต่...ผมก็จำไม่ได้ว่าเขาเป็นใครและทำอะไรไว้กับผมบ้าง พอดีแกละดึงผ้าใบออกอารมณ์ที่ค้างคาอยู่ทำให้ผมทำอย่างนั้นไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมมาได้สติก็ตอนที่หลวงพ่อเอาน้ำสาดหน้าผมนั่นแหล่ะครับ” จอร์จหน้าสลดลงไปทันทีเมื่อพูดถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าเขารู้ดีว่าเจ้าแกละเกือบจะตายเพราะน้ำมือของเขาแล้วถ้าไม่ได้หลวงพ่อช่วยให้สติเขาได้ทันเวลา ชายหนุ่มรู้สึกผิดมากยิ่งขึ้นเมื่อหวนกลับไปคิดถึงไมตรีจิตที่เจ้าทโมนน้อยหยิบยื่นให้ตลอดทั้งวันจนสีหน้าหม่นหมอง “โยมความจำเสื่อมมิใช่หรือ ทำไมถึงแค้นคนๆนั้นได้ทั้งๆที่จำอะไรไม่ได้เลยล่ะ” “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับหลวงพ่อ” “ถ้าอย่างนั้นโยมจะไปผูกพยาบาทกับเขาเพื่อประโยชน์อะไร อภัยให้เขาเสียมิดีกว่าหรือ” จอร์จนิ่งเงียบนั่งก้มหน้าอ้ำอึ้งเหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่างแต่ก็ไม่กล้า...จนกระทั่งเขาทนต่อไปไม่ไหวจึงเอ่ยถามหลวงพ่อด้วยกระแสเสียงที่ขาดๆหายๆ “ผมมีเรื่องจะขอคำชี้แนะจากหลวงพ่อจะได้ไหมครับ” “ได้สิโยมมีอะไรก็ถามมา ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงของอาตมา อาตมายินดีช่วย” “คือว่า....คนเราจะเชื่อถือเรื่องราวในความฝันว่าเป็นเรื่องจริงได้ซักกี่มากน้อยกันครับหลวงพ่อ ทุกครั้งที่ผมหลับผมต้องฝันถึงเรื่องราวที่คลับคล้ายคลับคราว่าจะเป็นความทรงจำของผมเมื่อครั้งอดีต แต่เวลาสถานที่และเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้นบางที่ก็ดูเหมือนไม่ใช่ความทรงจำของผม ทั้ง ๆที่ในฝันผมเป็นคนเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นกับตา จับต้องและรู้สึกถึงสัมผัสต่างๆตลอดเวลา มันแจ่มชัดจนผมแยกความจริงหรือความฝันออกจากกันไม่ถูกเลยครับหลวงพ่อ” “อืม....”เมื่อหลวงพ่อรุ่งฟังจนจบถึงกับนั่งนิ่งครุ่นคิดอะไรอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะตอบคำถามกลับไปว่า “ถ้าว่ากันตามหลักพุทธศาสนาแล้วความทรงจำหรือที่เรียกว่าสัญญาเก่าของโยมเหมือนชิ้นส่วนของความทรงจำเล็กๆที่แตกตัวออกมาจากความทรงจำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเวลา สถานที่ บุคคล หรือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถูกหยิบยกขึ้นมาปรุงแต่งเป็นความฝัน มันอาจจะเป็นความจริงหรือไม่จริงก็ได้ และเราก็ไม่อาจเชื่อถือเรื่องราวเหล่านั้นได้ทั้งหมด ความฝันของโยมอาจจะเกิดจากความเจ็บป่วยทางกายที่เป็นอาการความจำเสื่อมอย่างที่พุทธศาสนาเรียกว่า ธาตุกโขภะ (ธาตุกำเริบ) ก็ได้” “แล้วอย่างนี้ อันไหนเชื่อได้อันไหนเชื่อไม่ได้ละครับหลวงพ่อ” “เอาอย่างนี้เดี่ยวเพื่อนอาตมาขึ้นมาเสร็จธุระของเขาแล้วจะให้เขาช่วยรักษาโยมดีไหม” พอสิ้นเสียงหลวงพ่อรุ่งเจ้าทโมนวัดก็ถือถาดใส่ถ้วยกับกาแฟสำเร็จรูปขึ้นบันไดมาพอดี เจ้าแกละเดินนำหน้าแขกขึ้นมาด้วยสองคน จอร์จใช้หลังมือปาดคราบหยดน้ำที่หางตาก่อนที่จะคลานเข่าหลีกทางให้แขกที่มาใหม่เดินข้ามาข้างหน้าของหลวงพ่อรุ่ง เขามองไปยังเจ้าแกละซึ่งกำลังเดินเข่าเข้ามาหาตนก่อนที่จะหันไปพิจารณาแขกทั้งสองคน หนึ่งในนั้นชายหนุ่มจำได้ทันทีว่าคืออาจารย์สัญชัยที่ตนพึ่งจะได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านแต่อีกคนเขาไม่รู้จักแต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าน่าจะเป็นจิตแพทย์ที่ถูกพูดถึงมาตลอดทั้งวัน จากสายตาของชายหนุ่มท่าทางของจิตแพทย์ท่านนี้ดูภูมิฐานไม่แพ้อาจารย์สัญชัยแต่ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งความชรามากกว่าหลวงพ่อรุ่งและอาจารย์โขนอย่างเห็นได้ชัด ผิวขาว หน้าตาคมคาย ตัดผมรองทรงเรียบร้อยและมีเค้าความหล่อของสมัยหนุ่มเสริมบุคลิกให้ดูสง่า เขาใส่เสื้อโปโลสีขาวกับกางเกงผ้าสีดำเนื้อมันเป็นเงาวับรีดจีบเสียคมเห็นเป็นสัน บุคลิกราวกับพระเอกหนังเจ้าสำอางซึ่งตรงกันข้ามกับอาจารย์สัญชัยที่เหมือนพระเอกหนังจอมบู๊เป็นคนละแนว แขกแปลกหน้าถือกระเป๋าเอกสารมาด้วยใบหนึ่ง เขายกมือขึ้นไหว้หลวงพ่อรุ่งและเดินมานั่งขัดสมาธิอยู่ด้านตรงกันข้ามกับชายหนุ่มติดกับอาจารย์สัญชัยที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว อาจารย์โขนชำเลืองมองมาที่จอร์จก่อนจะเอ่ยคำกับหลวงพ่อรุ่งพร้อมกับพนมมือขึ้นไหว้ “กราบนมัสการครับหลวงพ่อ ผมจะมาขออนุญาตยืมตัวพ่อหนุ่มคนนี้ไปช่วยงานคณะโขนซัก3–4วันจะได้ไหมครับ” หลวงพ่อรุ่งขมวดคิ้วหันหน้าไปทางชายหนุ่มพร้อมกับเปรยขึ้นว่า “ยังไงกันละพ่อหนุ่มไปกับเจ้าแกละแค่เดี๋ยวเดียวงานเข้าแล้วหรือเรา” จอร์จยิ้มเขินๆก่อนจะตอบคำท่าน “อาจารย์ขาดคนกะทันหันแกละขอร้องให้ผมช่วยเล่นแทนเกรงอยู่เหมือนกันว่าหลวงพ่อจะไม่อนุญาตครับ” “ทำไมคิดว่าอาตมาจะไม่อนุญาตล่ะ ดีซะอีกวัฒนธรรมเป็นรากแก้วของสังคม ยิ่งมีคนช่วยกันอนุรักษ์มากเท่าไหร่ยิ่งดี” อาจารย์สัญชัยตบเข่าเสียงดังพร้อมพูดว่า “นั่นยังไงข้าว่าแล้วเห็นไหมละพ่อหนุ่ม หลวงพ่ออนุญาตแล้ว อาจารย์บอกแล้วว่าอย่างไรเสียหลวงพ่อของพวกเอ็งต้องอนุญาตแน่นอน เอ้า เอาเอกสารประกอบการแสดงนี่ไปอ่านซะ มีเนื้อเรื่องย่อของรามเกียรติ์อยู่ด้วย เข้าใจเรื่องราวเพิ่มขึ้นอีกนิดเวลาแสดงจะได้สมบทบาท” อาจารย์สัญชัยส่งแผ่นพับที่หน้าปกเป็นรูปหนุมานชูกล่องดวงใจให้จอร์จรับไปคลี่ออกอ่านด้วยความสนใจกับเจ้าทโมนน้องชาย หลวงลุงของเจ้าแกละเห็นว่าเสร็จธุระกับอาจารย์โขนแล้วจึงหันไปทักทายแขกที่มาใหม่ด้วยกันกับอาจารย์สัญชัยต่อ “สวัสดีคุณหมอสบายดีไหมอาตมาไม่ได้เจอกับโยมมาตั้ง 20 กว่าปีแล้วนี่นะ” จิตแพทย์พิเภกผู้เป็นเพื่อนเก่าของหลวงพ่อรุ่งวางถ้วยกาแฟที่เจ้าทโมนน้อยส่งให้ก่อนที่จะหันมาสบตากับท่านและเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงสุภาพ “สบายดีครับหลวงพ่อ” “มีธุระอะไรกับอาตมาหรือเปล่าเห็นอาจารย์สัญชัยบอกว่าโยมอยากเจออาตมา” “มีครับหลวงพ่อ ผมอยากจะมาขอความรู้เรื่องจิตวิญญาณตามแนวพุทธศาสนาครับ” “อ้าว...หมอเป็นจิตแพทย์มิใช่หรือทำไมต้องมาขอความรู้เรื่องจิตกับคนอื่นด้วยล่ะ” “เออ...คือว่า...” จิตแพทย์พิเภกอ้ำอึ้งเมื่อถูกถามจี้ใจดำคิดทบทวนก่อนจะตัดสินใจว่าคงหลีกเลี่ยงการเล่าถึงสาเหตุที่ตนจำเป็นต้องมาขอคำปรึกษาไม่ได้จึงพูดต่อ “เออ.... เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับหลวงพ่อ เมื่อสามวันก่อนผมเดินทางกลับมาเยี่ยมคุณแม่ที่บ้านเดิมบังเอิญได้เจอสมุดบันทึกของคุณพ่อที่ห้องเก็บของ ผมนำมันมาศึกษาดูจึงได้พบกับทฤษฎีอะไรบางอย่างที่มันอธิบายด้วยหลักการทางจิตวิทยาที่ผมเรียนมาไม่ได้ครับ ผมถึงต้องมารบกวนหลวงพ่อนี่แหล่ะ” หลวงพ่อรุ่งทบทวนความจำถึงบิดาของจิตแพทย์พิเภกอยู่อึดใจเดียวแล้วเอ่ยถาม “คุณพ่อของโยมก็เป็นจิตแพทย์เหมือนกันไม่ใช่หรือ ท่านชอบสะสมพระเครื่องอาตมาจำได้ ยังเคยได้รับแจกมาจากท่านองค์หนึ่งเลย ตอนงานศพของท่านอาตมายังไปช่วยงานเลยตอนนั้นพวกเรายังเป็นนักเรียนกันอยู่เลย”หลวงพ่อรุ่งมีสีหน้าฉงนก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า “ทำไมทฤษฎีที่จิตแพทย์เป็นผู้เขียนโยมซึ่งเป็นจิตแพทย์เหมือนกันถึงอ่านไม่เข้าใจละ” หมอพิเภกหยิบสมุดบันทึกหนังสีดำเล่มหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋า บนหน้าปกมีตัวหนังสือจางๆเขียนใส่กระดาษแข็งแปะไว้อ่านว่า“ทฤษฎีหัวใจทศกัณฐ์ โดยจิตแพทย์สุริยัน สุริยะวงศ์” หมอพิเภกส่งมันให้อาจารย์สัญชัยที่นั่งใกล้กว่าตนรับไปประเคนให้หลวงพ่อรุ่ง ท่านรับมันมาเปิดออกอ่านด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษเนื่องจากเนื้อกระดาษด้านในกลายเป็นสีเหลืองและเริ่มกรอบแล้ว ท่านหยิบแว่นสายตาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาสวมก่อนที่จะพลิกไปอ่านทีละหน้าอย่างผ่านๆจนมาหยุดที่ช่วงสุดท้ายของหนังสือซึ่งเป็นบทสรุป ท่านยกหนังสือขึ้นมาใกล้ในระดับสายตามากขึ้นเพื่อเพ่งในแต่ละบรรทัดอย่างละเอียด อ่านอยู่นานเหมือนกับก่อนที่จะปิดมันลงและส่งคืนให้หมอพิเภกพร้อมกับพูดขึ้นว่า “มิน่าล่ะคุณหมอถึงไม่เข้าใจ คุณพ่อของคุณใช้หลักวิชาอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่ทฤษฎีจิตวิทยาของตะวันตกสร้างมันนี้ขึ้นมา” หมอพิเภกได้แต่พยักหน้าเห็นพ้องด้วย เขาหวนกลับไปทบทวนถึงครั้งแรกที่เขาได้อ่านมันเนื้อหาทฤษฎีในนี้ค้านกับหลักวิชาที่เขาเรียนมามากแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนละเรื่องเลยก็ว่าได้แต่ความรู้สึกที่มีต่อคุณพ่อผู้ล่วงลับไปแล้วคอยแย้งกับสามัญสำนึกของตนอยู่ตลอกเวลาว่าคุณพ่อซึ่งเป็นจิตแพทย์ที่เก่งมากมากคนหนึ่งคงไม่สร้างทฤษฎียกเมฆขึ้นมาอย่างแน่นอน ตัวเขาเองต่างหากที่ไม่สามารถทำความเข้าใจกับมันจึงต้องมาขอคำปรึกษาจากผู้อื่นอยู่ที่นี่ “หลวงพ่อมันเป็นทฤษฎีอะไรกันแน่เกี่ยวกับเรื่องหัวใจทศกัณฐ์ด้วยหรือครับ” อาจารย์สัญชัยเอ่ยถามด้วยความสงสัยจนจอร์จและเจ้าแกละที่กำลังอ่านเรื่องย่อหันมามอง “โยมหมอให้อาตมาเล่าให้อาจารย์ฟังได้ไหม” หลวงพ่อรุ่งขออนุญาตจากเจ้าของหนังสือก่อนตามมารยาท “ได้ครับหลวงพ่อ ผมอยากฟังความคิดเห็นของคนอื่นๆครับถึงได้มาในวันนี้” หลวงลุงของเจ้าแกละพูดด้วยท่าทางที่เป็นปรกติและน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำเป็นเอกลักษณ์ว่า “พ่อของหมอพิเภกเชื่อว่า คนเราสามารถมีชีวิตที่เป็นอมตะได้เหมือนทศกัณฐ์” จากคำพูดที่หลวงพ่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเป็นปรกติกับทำให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงกับอาจารย์สัญชัยราวกับโยนประทัดขนาดเล็กลงบนยอดของภูเขาน้ำแข็งจนเกิดปรากฏการณ์หิมะถล่มอย่างฉับพลัน อาจารย์นาฏศิลป์ผู้มีความชำนาญและช่ำชองในการฝึกสอนโขนเป็นพิเศษถึงกับตกใจอึ้งไปอีกอึดใจใหญ่ เมื่อได้สติจึงถามหลวงพ่อรุ่งกลับไปว่า “หลวงพ่อว่าเรื่องอย่างนี้เป็นไปได้หรือครับ” หมอพิเภกคิดจะถามคำถามเดียวกันนี้จึงจ้องหลวงพ่อรุ่งเขม็งเพื่อรอฟังคำตอบ “ให้อาตมาอธิบายตอนนี้พวกโยมก็คงจะไม่เข้าใจหรอกเพราะว่ามันต้องอธิบายกันยืดยาวทีเดียว...เอาอย่างนี้ดีไหมอีกสามวันหลังจากที่อาจารย์เสร็จจากการแสดงโขนที่สมุยแล้ว โยมกับคุณหมอไปหาอาตมาที่“สวนโมกข์”จะได้ไหม วันมะรืนที่อาจารย์ออกเดินทางอาตมาจะไปดักรอที่นั่นก่อน อาตมาจะไปขอความเห็นจากท่านเจ้าอาวาสและไปเตรียมตัวปูพื้นฐานความรู้เรื่องจิตให้กับพวกโยมด้วย เมื่อมีความรู้ตรงกันแล้วเราค่อยมาวิเคราะห์กันว่าทฤษฎีนี้จะเป็นไปได้ไหม” “หลวงพ่อจะสอนอะไรให้ผมสองคนหรือครับ” จิตแพทย์พิเภกถามด้วยความใคร่รู้ “อาตมาจะสอนให้โยมเจริญสติปฏิฐาน 4 ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกโยมจะใช้เป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจกับทฤษฎีนี้แต่ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะไม่ยากเย็นหรือให้เรียนกันมากมายอะไรเอาซักเจ็ดวันก็พอ” หลวงพ่อรุ่งยกน้ำชาขึ้นจิบเพื่อให้เวลาทั้งสองคนตัดสินใจแล้วจึงเอ่ยคำทวงคำตอบออกไปว่า “โยมทั้งสองคนเห็นด้วยกับสิ่งที่อาตมาเสนอนี่ไหม” ในความคิดของจิตแพทย์พิเภกสิ่งที่หลวงพ่อรุ่งเสนอสอดคล้องกับความต้องการของเขาอยู่ก่อนแล้ว ที่บากหน้ามาหาท่านก็เพราะเคยได้ยินคุณแม่พูดถึงหลวงพ่อให้ฟังว่าท่านเปิดสอนการนั่งสมาธิและเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้กับคนในละแวกนี้ ตนเองก็มีเวลาว่างมากพอที่จะไปด้วยอยู่แล้วจึงไม่คิดที่จะปฏิเสธอะไร ส่วนอาจารย์สัญชัยพอได้ยินว่ามันเกี่ยวพันกับวรรณคดีที่เป็นเนื้อเรื่องของการแสดงโขนที่ตนคร่ำหวอดมาตลอดชีวิตจึงไม่คิดที่จะปฏิเสธเช่นกันเพราะกะไว้แล้วว่าหลังจากคุมคณะโขนไปแสดงเสร็จก็จะขอพักผ่อนสักอาทิตย์หนึ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเช่นกัน ทั้งสองคนจึงแทบจะตอบออกมาพร้อมกันว่า “ตกลงครับหลวงพ่อ” “งั้นวันนี้ก็เสร็จธุระของพวกโยมแล้วถึงคราวธุระของอาตมาบ้าง โยมหมออาตมาอยากให้โยมช่วยอะไรหน่อย” “อะไรหรือครับหลวงพ่อ” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่นี่เป็นคนไข้ของโรงพยาบาลจัสมิน เขาความจำเสื่อมอาตมาอยากให้โยมช่วยรักษาเขาหน่อย” หมอพิเภกหันไปมองชายหนุ่มที่หลวงพ่อรุ่งพูดถึงและหันกลับมารับคำ “ได้ครับหลวงพ่อ ผมยินดีเป็นธุระให้แต่วันนี้ผมไม่ได้เตรียมเครื่องมืออะไรมาด้วยเลยจะตรวจร่างกายหรือทำอะไรก็คงทำไม่ได้ ไว้ไปที่สวนโมกข์ผมจะเตรียมของไปด้วยน่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง” หลวงพ่อรุ่งพยักหน้าตอบรับ “ขอบใจโยมที่ช่วยเป็นธุระให้อาตมา เออ...มีอีกเรื่องหนึ่งอาตมาว่าโยมหมอควรรู้ไว้ซะหน่อยถึงจะดี โยมคนนี้เขาเล่าว่าพอตนเองนอนหลับทุกครั้งจะฝันถึงเรื่องเดิมๆ เป็นความฝันที่ต่อเนื่องกันราวกับเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงก่อนที่เขาจะความจำเสื่อม เขาอยากถามโยมหมอว่าความฝันที่เขาฝันถึงทุกครั้งมันใช่ความทรงจำของเขาที่หายไปหรือไม่ โยมหมอคิดว่าอย่างไร” หมอพิเภกนิ่งคิดไปชั่วอึดใจเหมือนว่ากำลังหาถ้อยคำที่จะนำมาใช้อธิบายอะไรบางอย่างให้ทุกคนฟังก่อนจะพูดว่า “ความฝันตามหลักจิตวิทยามันทำหน้าที่หลายอย่างครับหลวงพ่อ ยกตัวอย่างเช่นช่วยรวบรวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันให้เป็นกลุ่มก้อนเพื่อเก็บเป็นข้อมูลในจิตใต้สำนึก บางครั้งก็ช่วยบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าผ่านทางสัญลักษณ์หรือนัยยะบางประการที่ต้องอาศัยการตีความ บางครั้งช่วยเราพิจารณาเหตุการณ์ในอดีต บางครั้งก็ช่วยเราแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน แปลงความเข้มข้นทางอารมณ์ที่รุนแรงให้กลายเป็นความฝันเพื่อบรรเทาความกลัดกลุ้ม เราจะได้ไม่ต้องสะดุ้งตื่นระหว่างการนอนพักผ่อน บางครั้งก็ทำให้เราสมปรารถนาในสิ่งที่หวังซึ้งในโลกแห่งความจริงมันอาจไม่มีทางเป็นไปได้ และบางครั้งความฝันก็เป็นตัวช่วยให้เราฟื้นความทรงจำที่เคยลืมไปแล้วหรือเก็บกดมันเอาไว้ได้เหมือนกันครับ” “คุณหมอครับอย่างนี้ความฝันของฝันมันก็มีโอกาสที่จะเป็นความทรงจำที่หายไปของผมใช่ไหมครับ” “ก็อาจเป็นไปได้ แต่หมอว่าพ่อหนุ่มใจเย็นๆก่อนแล้วลองเล่าความฝันของพ่อหนุ่มให้พวกเราฟังหน่อยสิ” จอร์จพยักหน้าและเริ่มเล่าความฝันทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบให้ทุกคนฟัง แต่เขาข้ามเรื่องของหญิงสาวแสนสวยคนที่มีหน้าตาเหมือนกับผู้หญิงในฝันของเขาไปโดยคิดว่ามันเป็นแค่ความบังเอิญและเขาก็ไม่ได้เล่าถึงสาเหตุที่จำต้องหนีออกมาจากโรงพยาบาลให้ทุกคนฟังด้วยเพราะกลัวว่าตนจะถูกมองว่าเกี่ยวพันกับเรื่องก่อการร้ายจริงๆ เขาหยุดคิดชั่งใจก่อนที่จะเริ่มต้นถามคำถามอีกครั้งด้วยท่าทีที่บ่งบอกถึงความไม่สบายใจที่สังเกตได้จากทางสีหน้า “คุณหมอครับอย่างนี้ความฝันของผมมันเป็นความทรงจำในอดีตหรือเป็นแค่เรื่องราวในความฝันกันแน่ครับผมคิดถึงมันทีไรรู้สึกสับสนและว้าวุ่นใจจนไม่อยากจะหลับอีกเลย เพราะถ้าเรื่องพวกนั้นมันเป็นความจริง ชีวิตของผมที่แล้วมาล้วนมีแต่ความผิดหวังและทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส บางครั้งมันทำให้ผมไม่อยากได้ความทรงจำเหล่านั้นกลับคืนมาอีกเลยครับ” “พ่อหนุ่มตอนนี้ลุงยังบอกไม่ได้หรอกนะว่าความฝันที่พ่อหนุ่มเล่าให้ฟังมันเป็นความทรงจำที่หายไปหรือไม่แต่มันน่าสนใจมากนะ ธรรมชาติของความฝันไม่ว่าจะเกิดขึ้นในระดับไหน ทั้งหลับตื้น หลับลึกหรือในระหว่างช่วงเวลาทั้งสองมันมักจะไม่ประติดประต่อเป็นเรื่องเดียวกันทุกครั้งเหมือนอย่างนี้ ส่วนใหญ่เมื่อตื่นขึ้นมาคนเราจะลืมรายละเอียดต่างๆไปจนหมด แต่พ่อหนุ่มกับจำมันได้ชัดเจนทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น คน สิ่งของ เหตุการณ์หรือสัมผัสต่างๆมันชัดเจนจนแน่ใจได้อย่างหนึ่งว่ามันประทับแน่นอยู่ในสมองของพ่อหนุ่มจนน่าแปลกใจ แต่มันยังมีข้อกังขาอยู่เรื่องหนึ่งคือเรื่องของเวลา ในฝันจากรายละเอียดที่เล่ามามันน่าจะเป็นยุดหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ไม่ใช่เวลาในปัจจุบันนี้... เอาอย่างนี้แล้วกันลุงจะให้สมุดบันทึกความฝัน(dream journal)ไว้เล่มหนึ่ง พ่อหนุ่มต้องเอาไว้ข้างตัวและจดความฝันทุกครั้งที่ตื่นนะทำได้ไหม มันจะได้ช่วยเตือนความจำว่าฝันอะไรไปบ้าง แล้วลุงจะขอดูมันเมื่อเราพบกันอีกครั้งในคราวหน้า” สีหน้าของชายหนุ่มหม่นหมองแววตาดูเศร้าสร้อยจนหลวงพ่อรุ่งเกิดความรู้สึกเวทนา ท่านปรารถนาที่จะช่วยให้เขาพ้นจากความทุกข์ระทมจึงพูดปลอบโยนชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำและเปี่ยมด้วยกระแสเมตตาจิต “โยม...ฟังอาตมาสักนิดนะ คนเราทุกคนล้วนมีความทุกข์เหมือนกันทั้งหมดนั้นแหล่ะ อย่าคิดว่ามีแต่เราคนเดียวที่เป็นทุกข์ โยมก็มีทุกข์ในแบบของโยม อาจารย์สัญหา โยมหมอ เจ้าแกละ หรืออาตมาก็มีทุกข์ในแบบของตนเองเช่นกัน เพราะทุกคนเกิดมาล้วนมีชีวิตที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวมากมายได้ทำอะไรไปด้วยความไม่รู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะมีถูกบ้างผิดบ้างมันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่าลืมว่าความทุกข์เมื่อมันมีเวลาเกิดมันย่อมมีเวลาดับ ถ้าโยมไม่รู้จักปล่อยวางมันเสียบ้างโยมก็เหมือนกับคนที่กำถ่านแดงๆเอาไว้ในมือ เปิดโอกาสให้ความร้อนมันแผดเผาสร้างความทุกข์ให้กับโยมไม่รู้จักจบจักสิ้น ทำไมโยมไม่ลองปล่อยวางมันลงเสียบ้าง” “ใจจริงผมก็อยากจะลืมมันเหมือนกันครับหลวงพ่อ แต่เรื่องที่ผมอยากลืมมักจำได้ขึ้นใจส่วนเรื่องที่ผมอยากจะจำมันลืมทุกทีทำไมไม่รู้” “โยม...อาตมาไม่ได้บอกให้โยมลืมมันนะแต่อาตมาบอกให้โยมปล่อยวางต่างหาก” หลวงพ่อรุ่งยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบแล้วพูดต่อ “โยมเข้าใจผิดแล้วการปล่อยวางกับการลืมมันเป็นคนละเรื่องกัน” “อย่างไรกันแน่ครับหลวงพ่อ” “ยกตัวอย่างเช่นถ่านไฟที่อาตมาสมมติขึ้นมา ถ้าโยมวางทุกข์ที่เป็นอย่างถ่านก้อนนั้นลงและลืมไปว่ามันเป็นสิ่งที่สร้างความทุกข์ให้กับโยม โยมย่อมมีโอกาสหยิบมันขึ้นมาก่อทุกข์ให้โยมอีกจนได้ไม่วันใดก็วันหนึ่งเพราะความไม่รู้ถูกไหม” ชายหนุ่มพยักหน้าแต่สีหน้ายังคงแสดงอาการไม่เข้าใจ “แต่ถ้าโยมจำได้และรู้เท่าทันมันว่ามันเป็นตัวสร้างความทุกข์ให้แก่โยม ทุกๆครั้งที่เห็นมันเอามันมาเป็นบทเรียนเพื่อที่จะไม่หยิบมันขึ้นมาอีกมันจะสร้างทุกข์ให้กับโยมได้อีกไหม” ชายหนุ่มส่ายหน้าแต่ยังคงมีสีหน้าฉงนอยู่เช่นเดิม เขาพยายามใช้ความคิดทำความเข้าใจกับสิ่งที่หลวงพ่อรุ่งพูด เมื่อเริ่มลำดับความเข้าใจได้แล้วจึงเอ่ยถามท่านขึ้นมาว่า “ผมจะต้องทำอย่างไรละครับหลวงพ่อถึงจะได้ไม่ต้องรู้สึกทุกข์ใจอีก” “ไม่ยากเย็นอะไรหรอกแค่ศึกษาให้รู้จักความจริงหรือที่เรียกกันว่าสัจธรรมเท่านั้น เมื่อโยมเข้าใจอย่างท่องแท้โยมก็จะมีความรู้ไปใช้พิจารณาธรรมชาติของมัน เห็นเหตุที่ทำให้เกิดมัน เห็นทางดับมันและชีวิตของโยมก็จะพ้นจากความทุกข์ไปได้เอง” “ผมจะศึกษาหาความจริงได้จากที่ไหนกันล่ะครับหลวงพ่อ” “ไว้เป็นหน้าที่ของอาตมาเถอะจะช่วยโยมให้ถึงที่สุดตราบเท่าที่โยมยังอยู่ด้วยกันที่นี่” หัวใจที่กลัดหนองของชายหนุ่มซึ่งเคยปราศจากสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจบัดนี้ตระหนักรู้แล้วว่าบุคคลผู้เป็นสมณะเพศตรงหน้าเป็นเหมือนเข็มทิศที่เขาสามารถใช้ยึดเหนี่ยวและพาตนเองให้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ได้อย่างแน่นอน จอร์จซาบซึ้งใจในความกรุณาของหลวงพ่อรุ่งจนน้ำตาปริ่มจึงก้มลงกราบเบญจางคประดิษฐ์อย่างนอบน้อม “วันนี้อาตมาต้องขอตัวก่อนนะ นี่มันก็ดึกมากแล้วไว้วันอาทิตย์เราค่อยไปเจอกันที่สวนโมกข์ละกัน” อาจารย์สัญชัยกับจิตแพทย์พิเภกจึงกราบลาหลวงพ่อรุ่งพร้อมๆกันและชวนกันลงจากกุฏิไปขึ้นรถโดยมีเจ้าทโมนน้อยเดินตามลงไปส่ง ไม่นานเจ้าทโมนแกละก็กลับขึ้นมาพร้อมกับหนังสือเล่มใหญ่และสมุดบันทึกขนาดย่อม เจ้าตัวดีคลานเข่าเข้าไปประเคนส่งให้หลวงลุงก่อนจะพูดว่า “หมอพิเภกฝากหนังสือนี่มาให้หลวงลุงครับ เขาบอกว่ามันเป็นฉบับสำเนาของสมุดบันทึกปกดำ ในนี้มีคำถามที่คุณหมออยากให้หลวงลุงช่วยตอบให้แกหน่อย วันอาทิตย์ที่สวนโมกข์คุณหมอจะขอคำตอบจากหลวงลุงอีกครั้งครับ” เจ้าทโมนแกละพูดจบจึงหันกลับไปยื่นสมุดบันทึกขนาดย่อมให้ชายหนุ่มและชวนกันเก็บถ้วยกาแฟลงไปล้างจะได้เข้านอนเสียทีเพราะต่างคนต่างก็เพลียกันเต็มที่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกอารมณ์ปลอดโปร่งขึ้นมากเมื่อได้นอนคุยกันถึงเนื้อเรื่องที่นอกเหนือไปจากตอนที่ใช้แสดงโขน เขารู้สึกติดใจในความสนุกสนานของวรรณคดีเรื่องนี้ คุยไปคุยมาเจ้าแกละก็เปรยให้เขาฟังว่าตนเกิดความอยากรู้เรื่องทฤษฎีที่หลวงพ่อกับจิตแพทย์พิเภกคุยเช่นกัน เจ้าทโมนน้อยคุยจ้อถึงตรงนี้ก็ผ่อยหลับไปโดยที่จอร์จไม่รู้ เขานอนคิดอะไรเพลินอยู่คนเดียวสติของเขาเริ่มเลือนรางก่อนที่จะหลับเขากำลังเพลินกับความคิดในใจโดยถามตนเองว่า “ถ้าคนเรามีชีวิตที่เป็นอมตะได้จริงๆ จะมีความสุขหรือความทุกข์กันแน่นะ ทำไมใครๆถึงอยากเป็นอมตะกันนัก ไม่เข้าใจเลย”
Create Date : 27 พฤษภาคม 2554 |
Last Update : 27 พฤษภาคม 2554 16:38:44 น. |
|
0 comments
|
Counter : 627 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|