|
องค์ที่ ๗(๑) : เป้าหมาย
องค์ที่ ๗ : เป้าหมาย ยามบ่ายคล้อยของวันเดียวกันนั้นมะลิอวดโฉมสะคราญอยู่ในชุดว่ายน้ำวันพีชสีฟ้าคาดเอวด้วยผ้าบาติกลายดอกกล้วยไม้สีขาวพื้นเขียวใบตองอ่อน ผมยาวสลวยปลิวไปตามกระแสลมทะเล เธอกำลังเดินเล่นอยู่บนชายหาดส่วนตัวของโรงแรมห้าดาวในเกาะสมุย เสียงคลื่นซัดฝั่งดังระลอกแล้วระลอกเล่า เปลือกหอยนานาชนิดสะท้อนแสงระยิบระยับแข่งกันอวดความงามอยู่ทั่วไป พื้นทรายที่ละเอียดและอ่อนนุ่มให้ความรู้สึกเหมือนฝ่าเท้ากำลังแทรกตัวผ่านฟองสบู่สีขาว ความงามสง่าแฝงไว้ด้วยความมาดมั่นราวกับเทพธิดาเจ้าสมุทรตรึงทุกสายตาให้จ้องมองตามอิริยาบถที่แช่มช้อยอ่อนหวานของเธอ แต่กระนั้นเจ้าตัวกลับไม่ใยดีต่อสายตารอบข้างเพราะกำลังรำพึงรำพันกับตนเองถึงมนต์เสน่ห์ของท้องทะเลที่ดูเหมือนว่ามันจะช่วยชะล้างอารมณ์หมองเศร้าออกไปจากใจของเธอได้อย่างน่าประหลาด “มาทะเลทีไรจิตใจรู้สึกสงบดีจริงๆ” “มะลิจ๊ะ ไม่รอกันมั่งเลยนะ” มลเดินตรงมาหาเธอหลังจากพูดเป็นเชิงตัดพ้อเพื่อนสาวที่ปลีกตัวออกมาเงียบๆคนเดียว มะลิหันกลับไปมองคนพูดที่อยู่ในชุดว่ายน้ำแบบเดียวกันกับเธอแต่เป็นคนละสี สีชมพู่ช่วยขับให้คนสวมแลดูอ่อนหวานยิ่งขึ้นแม้ผิวจะขาวละเอียดสู้มะลิไม่ได้แต่ผ้าบาติกลายดอกกุหลาบแดงพื้นขาวก็เสริมให้มลดูเด่นชวนมองไม่แพ้กัน ผมยาวยังคงถูกเกล้าเป็นผมม้าอยู่เช่นเดิม “มะลิอยากมาเดินเล่นก่อนนะ ยังไม่อยากลงน้ำ” “นี่แม่สองเทพธิดาไม่เข้ามาหลบแดดในร่มไม้หน่อยหรือเพค่ะ” เสียงแหลมๆของสาวแบงก์ที่ไม่ได้ทำงานธนาคารดังมาจากร่มไม้ด้านหลังติดกำแพงโรงแรม เธอใส่ชุดว่ายน้ำทูพีชแบบนักกีฬาวอลเล่ย์บอลชายหาดสีส้มสะท้อนแสง เส้นผมหยิกหยักศกถูกรวบไปผูกไว้เป็นพวงอยู่ทางด้านหลังทำให้แบงก์ดูเป็นสาวเปรี้ยวอมหวานที่สวยเก๋ไปอีกแบบหนึ่ง “มะลิทาครีมกันแดดแล้วหรือจ๊ะ” มลถามเพื่อนสาวด้วยความเป็นห่วง “ทาเสร็จค่อยลงมานี่แหล่ะเห็นแบงก์ท่าทางจะอีกนานเลยลงเดินเล่นฆ่าเวลา” “แน่สิจ๊ะ พวกหนูๆนะผิวขาวราวกับไข่ปอกก็ไม่ต้องกลัวแดดอะไรกันมากมายนี่จ๊ะ ไอ้เรามันอมน้ำผึ้งไว้แยะไปหน่อยเลยต้องทากันไว้เยอะๆ เดี๋ยวน้ำผึ้งจะกลายเป็นน้ำหมึกก็ขายไม่ออกกันพอดี” แบงก์แจงเหตุผลที่ตนต้องสาระวนอยู่กับเครื่องสำอางถนอมผิวและครีมกันแดดจนทำให้ลงมาช้า สองสาวผิวไข่ปอกอมยิ้มเดินกลับมาหาเพื่อนที่ไม่ยอมห่างเงาไม้อย่างรู้ใจ มลเอ่ยถามมะลิด้วยน้ำเสียงที่เจือความประหม่าจนกระท่อนกระแท่น “มะลิไม่ได้ลงมากับพี่หมอหรือ นึกว่าลงมาด้วยกันเสียอีก” “เปล่าจ๊ะ มะลิลงมาคนเดียวทำไมมลไม่ไปตามพี่หมอลงมาด้วยกันล่ะ” “นางอายไม่อยากแสดงตัวไงล่ะคะ เดี๋ยวความลับที่มีจะไม่ลับทั้งๆที่อยากอวดความงามของตัวเองจะแย่อยู่แล้ว” มลเอื้อมมือไปหยิกเอวเพื่อนสาวพร้อมกับพูดสัพยอก “นี่แน่ะเซี้ยวนักนะคนนี้ ไม่น่าพามาด้วยเลยชักหมั่นไส้แล้วสิ” “อู๊ย...เราล้อเล่นนะมล นั่นพูดถึงก็มาพอดีเลย ท่าจะตายยากนะคนนี้” แบงก์เหลือบไปเห็นหมอคมสันที่ใส่กางเกงว่ายน้ำขาสั้นสีน้ำเงินเข้มมีผ้าขนหนูผืนเล็กพาดคอเดินมาพอดีจึงรีบเบี่ยงเบนความสนใจของเพื่อนสาวเพราะรู้สึกเจ็บ “ไม่รอกันมั่งเลยนะครับสาว ๆ จะไปเล่นน้ำกันเลยหรือเปล่า” “ยังหรอกค่ะพี่หมอ” มลตอบคำแทนเพื่อนๆโดยที่มองสบสายตาหมอหนุ่มเพียงวูบเดียวเพราะรู้สึกเขินอายจนต้องเมินหน้าหนี “งั้นพวกเราไปเดินชมวิวกันซักพักให้แดดน้อยกว่านี้ค่อยกลับมาเล่นน้ำกันดีไหมครับ” “ก็ดีค่ะ มะลิไม่ได้มาเที่ยวนานแล้ว รีบเล่นน้ำเดี๋ยวอีก 2 วันไม่มีอะไรทำก็เบื่อกันพอดี” “พวกเราเดินไปที่แหลมข้างหน้าโน้นกันเถอะครับ” หมอหนุ่มชวนสามสาวเดินเล่นหยอกล้อกันไปตามชายหาดโดยไม่ได้สนใจใยดีกับใครอีก นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมากกำลังพักผ่อนอิริยาบถอยู่ทั่วไปพวกที่ผมดำตาตี่ก็ส่งภาษาจีนมั่งญี่ปุ่นมั่งส่วนพวกนักท่องเที่ยวผมทองก็มีหลากเชื้อชาติหลายภาษาแต่มีอยู่คณะหนึ่งที่แปลกไปจากคนอื่นๆ พวกเขาเดินตามกลุ่มของมะลิไปห่างๆและไม่สนใจทะเลหรือหญิงสาวคนไหนเลย ชายผมทองผิวขาวเดินไปคุยไปกับหนุ่มใหญ่ผมสีน้ำตาลเข้มและเพื่อนผมสีน้ำหมึกที่กำลังยกกล้องถ่ายรูปจับจ้องไปยังเป้าหมายตรงหน้าที่อยู่ห่างกันลิบๆ เขาลดกล้องลงพร้อมกับเอ๋ยคำ “ผู้กองครับ ต้องตามดูกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยไหมครับ” “ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น” “แมคนายทำอย่างไรถึงได้ห้องติดกับพวกหล่อนมา” เจมส์ละสายตาจากเสื้อเชิ้ตรายดอกสีแสบสันกับกางเกงขาสั้นของตนขึ้นมาทำหน้าระรื่นใส่เพื่อนด้วยความพอใจในขณะที่พูด “ฉันให้ทิปพนักงานเป็นพิเศษนิดหน่อย อ้างว่าอยากรู้จักกะพวกหล่อน” “เจมส์นายแยกไปเช่ารถสำหรับวันพรุ่งนี้ไว้ก่อนก็ได้ เอาคนละสีกับรถของเราและมีฟิล์มดำด้วยนะ” “ครับผม” เจ้าหน้าที่เจมส์รับคำสั่งจากผู้กองเซอบีรุสแล้วจึงเดินย้อนกลับไปยังที่พักคนเดียวส่วนแมคทำทีเป็นก้มลงหยิบเปลือกหอยขึ้นมาดูก่อนจะถามหัวหน้าของตนต่อ “ต้องเปลี่ยนรถทุกวันใช่ไหมครับผู้กอง” “แน่นอนเพื่อจะได้ไม่เป็นที่สังเกตไงถ้ารถคันเดียวกันสีเดียวกันขับตามนายทุกวันนายจะระแวงไหมล่ะ” “ครับผมเข้าใจแล้ว” เจ้าหน้าที่แมคเดินผ่านชายชาวอิตาลีผมสีดำคนหนึ่ง เขามองใบหน้าที่กำลังหลับสนิทนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจรู้สึกคุ้นตาจนต้องผ่อนฝีเท้าและหยุดนึกใคร่ครวญอะไรบางอย่างครู่หนึ่งจนผู้กองเซอบีรุสต้องหันกลับไปมอง “แมค...นายรู้จักเขาหรือไง” “ครับผู้กอง เจ้านี่เป็นมาเฟียของแก๊งอิตาลี ผมเคยตามดูมันครั้งหนึ่งเรื่องคดีปล้นธนาคาร ยังไม่ทันจะได้จับกุมก็หนีหายเข้ากลีบเมฆไปเสียก่อน เข้ามาอยู่ในประเทศไทยนี่เองมิน่าละหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ” “ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน เอาไว้ค่อยโทรแจ้งทางหน่วยเหนือเมื่อกลับถึงโรงแรมก็พอ” “ครับผม” เจ้าหน้าที่แมคเดินต่อไปอีกซักพักใหญ่ ๆ ก็เหลียวมองนักท่องเที่ยวคนนั้นทีคนนี้ทีและพูดกับผู้กองเป็นเสียงเกือบจะกระซิบว่า “ผู้กองครับที่นี่มันเหมือนจะกลายเป็นเมืองพักร้อนของบรรดาอาชญากรไปเสียแล้วครับ นั่นแก๊งยากูซ่า นี่แก๊งแดนมังกร โน่นมาเฟียเยอรมัน นี่รัสเซีย และเครือข่ายของแก๊งค้าอาวุธในประเทศเราเยอะแยะเต็มไปหมดเลยครับ โอ้...มันเป็นไปได้ไงนี่” “นายรู้ได้อย่างไร” “ผู้กองคงลืมไปแล้วว่าผมเป็นใคร “แมค แครกเกอร์” คนนี้มือโปรด้านอิเล็กทรอนิคส์ ผมจับคอมฯหาข่าวมากกว่านอนกอดสาวเสียอีกนะครับ ไอ้พวกนี้หนีคดีมาจากประเทศแม่ของตัวเองทั้งนั้น แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาได้ขนาดนี้” ผู้กองเซอบีรุสหยุดเดินอย่างกะทันหันนึกเฉลียวใจถึงคำพูดของลูกทีม เขาใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้สองสามกรณีของเรื่องนี้จึงถามย้ำกับแมคอีกครั้งว่า “นายแน่ใจนะว่าพวกนี้ใช่ทั้งหมด” “แน่ใจครับ ถ้าผู้กองไม่เชื่อตามผมกลับห้องไปเดี๋ยวนี้ก็ยังได้ เอาโน้ตบุ๊กของผมเข้าเว็บของอินเตอร์โปรลิสดูได้เลย พวกนี้มีหมายจับกันทั่วหน้าทีเดียว รู้สึกส่วนใหญ่จะเป็นพวกเชี่ยวชาญด้านการจับตัวประกันเรียกค่าไถ่เสียด้วย” “นายว่ายังไงนะ พวกนี้เชี่ยวชาญเรื่องอะไรนะ”น้ำเสียงของผู้กองเซอบีรุสตื่นเต้นจนแมคสังเกตได้ “จับคนเรียกค่าไถ่ครับมืออาชีพทั้งนั้นด้วย ถ้าจ่ายเงินพวกมันดี ๆ ตัวประกันจะถูกส่งตัวกลับอย่างปรอดภัยทุกรายเพราะพวกนี้มันถือว่าตัวเองเป็นมืออาชีพ งานลักพาตัวเป็นเหมือนธุรกิจการซื้อขายสินค้า ถ้าจ่ายเงินให้มันงามๆและไม่เล่นตลกมันก็จะคืนชีวิตตัวประกันให้ ไม่งั้นจับใครหลังจากนั้น ถ้าได้เงินแต่ไม่ได้คนคืนจะไม่มีใครยอมจ่ายให้พวกมันอีก มีอะไรผิดปรกติหรือเปล่าครับผู้กอง” “อืม...นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญเสียแล้ว แมคนายย้อนกลับไปที่ห้องหาข่าวจากในอินเตอร์เน็ตมาเดี๋ยวนี้เลย ดูสิว่าองค์กรของเจ้าจีซัสมีประกาศออกมาสู่คนในโลกอาชญากรว่าอย่างไรบ้าง ได้เรื่องอะไรแล้วรีบแจ้งฉันทางวิทยุสื่อสารทันทีเข้าใจไหม” แมคสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนั้นก่อนเอ่ยคำ “ทำไมหรือครับผู้กอง” “ฉันสงสัยว่าไอ้พวกมันไม่ได้มารวมตัวกันโดยบังเอิญเสียแล้ว ไปรีบไปด่วนเลยทางนี้ฉันตามต่อเอง” “ครับผู้กอง” เจ้าหน้าที่แมคหมุนตัว180องศาเตรียมจะวิ่งกลับไปยังห้องพักที่โรงแรม ยังไม่ทันจะได้ก้าวเท้าออกไปก็ถูกผู้กองสั่งความอีกว่า “เอาเจ้าใบ้ดำลงมาให้ฉันด้วย รวมทั้งของพวกนายสองคนด้วยนะอย่าลืมละ” “ครับผม” เจ้าหน้าที่แมคตอบรับเสียงกระซิบและออกวิ่งอย่างรวดเร็วโดยไม่มองคนเหล่านั้นอีกเลย เขาแน่ใจอยู่นิดๆว่าตนรู้จักคนพวกนี้เป็นอย่างดีแต่คนพวกนี้ไม่มีใครรู้จักเขาทั้งสามคนแน่นอน เพราะชุดเฉพาะกิจที่เกิดขึ้นนี้เป็นบุคลากรที่ถูกยืมตัวมาจากทางทหาร ไม่ใช่พวกตำรวจที่บรรดาแก็งมาเฟียรู้จักหน้าค่าตากันมาก่อน เขาคิดแล้วก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อยจึงเร่งฝีเท้าวิ่งกลับขึ้นห้องพักจนตัวปลิว. ภายในหอประชุมศูนย์วัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เสียงดนตรีปี่พาทย์จากเครื่องเล่นเทปกำลังบรรเลงเพลงยกรบให้กับการซ้อมโขนองค์ที่1 นักแสดงโขนทุกคนทรงเครื่องเต็มยศยกเว้นจอร์จคนเดียวเท่านั้น เขาใส่ชุดมหาดเล็กสีน้ำเงินเข้ม บนศีรษะสวมหัวโขนพลทหารยักษ์ใบย่อมๆอยู่หมิ่นเหม่เผยให้เห็นใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มลวดลายบนคิ้วและปากให้ดูเหมือนใบหน้าของยักษ์แทบจะจำเค้าหน้าเดิมไม่ได้ ชายหนุ่มยกฉัตรของท้าวทศกัณฑ์ก้าวเยื้องย่างตามพญายักษ์อยู่ทางด้านหลังอย่างตั้งใจ เขาพยายามทำท่าทางสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของอาจารย์สัญชัยให้ได้มากที่สุดจวบจนจบการซ้อมโขนองค์แรก เมื่อได้เวลาพักเขาจึงเดินตามเจ้าแกละที่ทรงเครื่องหนุมานลงไปยังที่นั่งผู้ชม ขณะที่มองกลับขึ้นไปบนเวทีก็เห็นอาจารย์สัญชัยที่พึ่งจะถอดเศียรทศกัณฐ์ออกตะโกนสั่งงานอยู่อย่างเอาจริงเอาจัง “พวกโขนลงไปพักได้ ระบำชุดต่อไปออกมาซ้อมต่อเลย” เมื่อสั่งเสร็จอาจารย์โขนจึงเดินตามลงมานั่งยังที่นั่งผู้ชมแถวแรกสุดเพื่อคอยตรวจดูความสมบูรณ์ของการซ้อมด้วยตนเอง เยื้องจากแถวที่เขานั่งขึ้นไปประมาณสองแถว จอร์จนั่งพักอยู่ทางด้านซ้ายของหนุมานแกละโดยมีนักศึกษาสาวชื่อหม่อนนั่งขนาบอยู่ทางด้านขวา เขาเห็นน้องชายกำมะลอปาดเหงื่อที่เกาะพราวอยู่บนใบหน้าออกทั้งๆที่อากาศภายในห้องประชุมเย็นฉ่ำจึงถามขึ้นว่า “เหนื่อยไหมแกละ พี่เห็นออกท่าออกทางกันใหญ่ยังกับฝูงลิงจริงๆเลย” “เหนื่อยสิพี่แต่ก็สนุกดี เสียอย่างเดียวชุดนี้มันหนักเอาเรื่องอยู่” นักศึกษาสาวผู้เป็นประธานชมรมวรรณศิลป์ส่งผ้าเช็ดหน้าให้เจ้าลิงเผือกพร้อมกับเอ่ยคำ “นี่จ๊ะแกละ พี่ให้ยืมผ้าเช็ดหน้า” “ขอบคุณครับพี่หม่อน” เจ้าทโมนน้อยรับผ้าเช็ดหน้าไปซับเหงื่อที่หน้าผากพร้อมกับชวนนักศึกษาสาวคุย “พี่หนุ่มไม่มาด้วยหรือครับ หายโกรธกันหรือยัง” เจอคำถามแทงใจดำอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้หญิงสาวหน้าสลดลงทันทีจนจอร์จสังเกตเห็น เขารู้ดีว่าเจ้าตัวดียังเด็กเกินกว่าจะรู้ความและเรื่องนี้อาจทำให้นางรำของอาจารย์หน้างอจนเสียโฉมทั้งๆที่กำลังจะถึงคิวซ้อม เขาจึงชวนคุยเพราะอยากจะเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ “คุณหม่อนช่วยเล่าเรื่องรามเกียร์ให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ เคยได้อ่านแต่ในแผ่นพับ มันมีเฉพาะเรื่องย่อตอนที่นำแสดงเท่านั้น ผมอยากรู้เรื่องให้มากกว่านี้อีกหน่อย รู้สึกติดใจในความสนุกของมันนะครับ” หญิงสาวเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับจอร์จบ้างแล้ว เมื่อรู้ว่าเขาเป็นคนที่แกละพามาช่วยแสดงแทนบทของเพื่อนชายตนเองจึงรู้สึกขอบใจเขาอยู่ลึกๆเพราะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าตนเป็นสาเหตุที่ทำให้อาจารย์ขาดตัวแสดงโขนไปในเวลากระชั้นชิดเช่นนี้ ทำให้เธอยินดีที่จะเล่าเนื้อเรื่องรามเกียรติ์ให้ชายหนุ่มฟังอย่างเต็มใจ “ได้ค่ะ เอาแบบคร่าวๆแล้วกันนะค่ะ เพราะเนื้อเรื่องจริงๆมันยาวมาก... พระรามผู้เป็นกษัตริย์แห่งกรุงอโยธยาเป็นร่างอวตารของพระนารายณ์ที่จุติลงมาปราบยุคเข็ญของคนบนโลกมนุษย์ มีน้องชายชื่อพระลักษณ์ และมีมเหสีชื่อนางสีดา ถูกกลั่นแกล้งจากแม่ของน้องชายชื่อพระพรตให้ถูกขับออกจากเมืองที่ตนกำลังจะได้ขึ้นครองราชย์ พระรามต้องออกบำเพ็ญพรตในป่ากำหนดเวลา16ปีจึงจะได้กลับคืนมาครองบัลลังก์ ช่วงเวลาที่ออกมาอยู่ป่ากับพระลักษณ์และนางสีดา มีพญายักษ์ตนหนึ่งชื่อทศกัณฐ์เป็นเจ้าเมืองลงกาได้ข่าวว่านางสีดาเลอโฉมมากอดใจไม่ไหวอยากจะได้มาเป็นของตนจึงคิดอุบายล่อหลอกพระรามกับพระลักษณ์ให้ออกห่างจากนางสีดา และแอบมาลักพาตัวเธอไปไว้ที่เมืองลงกา เมื่อพระรามกลับมาและรู้ความจริงจึงได้ออกเดินทางไปตามชิงตัวภรรยาของตนกลับและปราบยักษ์ใจพาลผู้มีอำนาจ ในตอนแรกมีกันก็กันเพียงแค่สองคนพี่น้องเท่านั้นจนเดินทางมาถึงเมืองของพญาลิงชื่อพาลี....” เสียงอาจารย์สัญชัยเรียกเจ้าทโมนน้อยดังมาจากที่นั่งด้านล่าง ทำให้เจ้าแกละต้องปลีกตัวลงไปซ้อมโขนองค์ที่ 2 ต่อ ก่อนไปยังไม่วายหันกลับมาสั่งชายหนุ่มว่า “พี่ฟังไปคนเดียวก่อนนะเดี๋ยวผมลงไปซ้อมเสร็จจะขึ้นมาฟังด้วยคน องค์ที่ 2 กับที่ 3 ไม่มีบทของพี่นี่ ไปล่ะ” ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และพูดกับนักศึกษาสาว “คุณหม่อนเล่าต่อสิครับกำลังสนุกเชียว” “ได้ค่ะ...พระรามเดินทางผ่านเมืองพญาลิงพาลีกับพญาลิงสุครีพ สุครีพตัวนั้นไงค่ะที่สีชมพูมีชฎาอยู่บนศีรษะนะ...” หญิงสาวชี้นิ้วไปที่พญาลิงสุครีพชุดสีชมพูที่กำลังทำท่าสนทนากับผู้แสดงเป็นพระรามอยู่บนเวที ชายหนุ่มมองตามและพยักหน้า “...ขณะนั้น พญาพาลีกับพญาสุครีพ กำลังทะเลาะกันอยู่เพราะความเข้าใจผิด พญาพาลีขับน้องออกจากเมืองและแย่งเอาภรรยาของน้องไป พระรามเดินทางผ่านมาพอดี ฟังเรื่องราวแล้วรับปากว่าจะช่วยปราบพี่ชายให้ จนเอาชนะพญาพาลีได้ในที่สุด พญาสุครีพจึงได้กลับไปคลองเมืองขีดขินอีกครั้ง พญาสุครีพสำนึกในบุญคุณของพระรามจึงปวารณาตัวเป็นข้าช่วงใช้และยกทัพของตนออกมาช่วยพระรามรบกับพวกยักษ์ เมื่อมีกองทัพลิงช่วย พระรามจึงเดินทางไปปราบญาติวงศ์พงศ์พานของพญายักษ์ทุศีลมาได้เรื่อย ๆ จนเดินทางมาถึงเมืองลงกาที่มีมหาสมุทรใหญ่ขวางทางอยู่ข้างหน้า...” นักศึกษาสาวหยุดเล่า เมื่อเห็นว่าการซ้อมโขนองค์ที่ 2 เสร็จพอดีและพูดกับชายหนุ่มว่า “เดี๋ยวมาเล่าต่อนะค่ะถึงคิวหม่อนซ้อมรำนพรัตน์พอดี” “ตามสบายครับ ผมจะรออยู่ที่นี่แหล่ะ” นักศึกษาสาวเดินสวนกับกระบี่หนุมานที่กลับขึ้นมานั่งพักตรงทางเดิน เจ้าแกละรับขวดน้ำที่ชายหนุ่มส่งให้มาจิบด้วยความกระหายแต่ไม่กล้าดื่มเยอะเพราะเกรงว่าจะปวดเบาจนเป็นเหตุให้เกิดเรื่องยุ่งเนื่องจากชุดที่ตนใส่อยู่ไม่มีซิป เจ้าทโมนเผือกหันมาถามชายหนุ่มด้วยเสียงหอบๆ “เล่า...ถึงไหนแล้วพี่จอร์จ” “พระรามเดินทางมาจนถึงเมืองลงกาแต่มีมหาสมุทรใหญ่ขวางอยู่” “อ๋อ... ตอนจองถนน แสดงว่าพี่หม่อนข้ามตอนรบกับพวกญาติโกโหติกายักษ์บ้าอำนาจมาหมดเลยละสิ น่าเสียดายจังนี่ไม่มีเวลาหรอกนะ อันที่จริงมีแต่ตอนมันๆทั้งนั้น มีทั้งของไทยของต่างประเทศ หลากหลายสำนวนหลายเชื้อชาติเลยนะ” “เอ๊ะ...มีด้วยหรือ” “มีสิพี่ อย่าว่าแต่รามเกียรติ์ของไทยเลยมีอีกหลายสำนวนและหลายเรื่องที่ได้อิทธิพลมาจากต้นฉบับ รามายณะของประเทศอินเดียเหมือนๆกัน ของจีนก็มีเรื่องไซอิ๋วไงพี่รู้จักไหม อาจารย์สัญชัยเล่าให้ฟังว่า เรื่องรามายณะนี่มีอิทธิพลต่อวรรณกรรมระดับโลกหลายๆเรื่องที่เดียวนะ ยกตัวอย่างเช่นสองเรื่องที่กล่าวมาแล้ว และยังมีกระจายอยู่เกือบทุกประเทศทางเอเชียนี้เลย” “อ๊ะ พี่หม่อนซ้อมเสร็จพอดี ตาผมลงไปซ้อมองค์ที่ 3 แล้ว เมื่อกี้หนุมานออกจากฝ่ายพระรามกำลังจะไปสวามิภักษ์กับฝ่ายยักษ์ผมไปล่ะ” นักศึกษาสาวซ้อมเสร็จ เดินกลับขึ้นมาพักยังที่นั่งเดิม รับขวดน้ำของตนที่จอร์จส่งมาให้และจิบก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงหอบไม่แพ้กัน “น้องแกละ...เล่าตอนต่อจากของหม่อนให้ฟังหรือยังค่ะ...ถึงไหนแล้ว” “แกละไม่ได้เล่าต่อหรอกครับ เราคุยกันเรื่องอื่นนะ” “อย่างงั้นเดี๋ยวหม่อนเล่าต่อให้ฟังเอง...” นักศึกษาสาวนั่งพักหายใจอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มเล่าต่อ “เมื่อพระรามเดินทางมาจนถึงมหาสมุทรที่กั้นระหว่างเมืองลงกากับต่างเมือง พระรามได้รับคำชี้แนะจากยักษ์พิเภกให้ใช้พวกลิงขนหินมาถมทะเลสร้างถนนเพื่อไปต่อ......” “เดี๋ยวครับ คุณหม่อนบอกว่า ยักษ์พิเภกช่วยฝ่ายพระรามหรือครับ” ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นชื่อจนอดสงสัยไม่ได้ “ค่ะ...พิเภกเป็นน้องของทศกัณฐ์ เคยท้วงเรื่องที่พี่ชายทำผิดศีลธรรมหลายครั้งจนตัวเองต้องถูกขับออกจากเมืองลงกา ยักษ์ที่ดีก็มีค่ะพิเภกก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ตัวเองเป็นโหรจึงทราบว่าพระรามเป็นพระนารายณ์อวตารลงมาปราบยักษ์เลยมาขอเข้าพวกด้วย” “อืม เข้าใจล่ะ เล่าต่อสิครับกำลังตื่นเต้นเลย” “ได้ค่ะ...พอพระรามข้ามไปเมืองลงกาก็ได้เปิดฉากรบกับทศกัณฐ์จนพญายักษ์หมดพวกพ้องไปหลายตน จำต้องออกมารบเอง สองทัพผลัดกันแพ้ผลัดชนะแต่พระรามก็ปราบทศกัณฐ์ไม่สำเร็จซะทีเพราะพญายักษ์มีอำนาจมาก ฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่ตาย พระรามแผลงศรไปตัดหัวตัดแขนตัดขาจนขาดก็ยังไม่ตาย นี่คือตอนที่อาจารย์หยิบขึ้นมาแสดงอยู่นี่ไงล่ะค่ะ” ชายหนุ่มถามแทรกขึ้นมาว่า “เมื่อกี้แกละบอกว่าหนุมานไปเข้ากับพวกยักษ์นี่ เหมือนกับพิเภกที่แปรพักตร์หรือเปล่าครับ” “ไม่เหมือนกันค่ะเพราะหนุมานไม่ได้แปรพักตร์จริงๆ เมื่อสักครู่เห็นน้องแกละแสดงองค์ที่ 2 หรือเปล่าค่ะ” “เห็นครับ เคยดูตอนซ้อมหลายครั้งแล้ว” “องค์ที่ 2 เป็นตอนที่พระรามทราบความจริงจากพิเภกว่าทศกัณฐ์ถอดดวงใจตัวเองได้และเอาไปฝากไว้ที่ฤษีโคบุตรซึ่งเป็นอาจารย์ของตน หนุมานจึงขันอาสาไปชิงกล่องดวงใจมาให้อย่างไรล่ะค่ะ” “อ๊ะใช่สิ ผมลืมไปเลย เมื่อคืนอ่านเรื่องย่อตรงนี้แล้วแต่พึ่งจะมาต่อกันติดได้นี่แหล่ะ องค์ที่ 3 หนุมานแกล้งแปรพักตร์ไปเข้ากับฝ่ายยักษ์เพื่อหลอกเอากล่องดวงใจกลับไปให้พระรามใช่ไหมครับ” “ใช่ค่ะ ดูที่เวทีสิค่ะน้องแกละที่แสดงเป็นหนุมานได้กล่องดวงใจพอดีเลย” ชายหนุ่มมองตามมือของเธอลงไปเห็นหนุมานแสดงอาการดีอกดีใจชูกล่องดวงใจขึ้นและหายเข้าหลังฉากไปพอดีเป็นอันจบการซ้อมองค์นี้ จอร์จเห็นอาจารย์สัญชัยลงจากเวทีมานั่งพักเพื่อชมการรำชุดสุดท้ายดูจากอาการนั่งหอบที่ตนเห็นเขาทราบทันทีว่าตัวเองยังเหนื่อยไม่เท่าหนึ่งในสิบของอาจารย์โขนเลยด้วยซ้ำ เกิดความรู้สึกชื่นชมในตัวอาจารย์สอนศิลปะผู้นี้อย่างสุดใจ เสียงของนักศึกษาสาวเรียกสติของจอร์จให้กลับมาฟังเธออีกครั้ง “พี่จอร์จ จะฟังต่อไหมค่ะเห็นว่าอ่านมาจากแผ่นพับแล้วนี่ค่ะ” “ฟังครับฟัง คุณหม่อนเล่าต่อเลยเดี๋ยวองค์ที่ 4 ผมต้องลงไปซ้อมด้วยเหมือนกัน” “ได้ค่ะ หนุมานเมื่อชิงกล่องดวงใจได้สำเร็จก็เอากลับมาถวายแก่พระราม ตอนศึกครั้งสุดท้ายพระรามแผลงศรไปปักที่หัวใจของพญายักษ์พร้อมกับให้หนุมานทำลายกล่องดวงใจไปด้วยในเวลาเดียวกัน พญายักษ์ทศกัณฐ์จึงถึงที่ตายพ่ายแพ้ไปในที่สุดอย่างไรล่ะค่ะ” “อืม.....สนุกมากครับ นี่แค่ฟังเรื่องย่อๆเองนะนี่ ชักจะติดใจเสียแล้วเรื่องนี้ ตอนสุดท้ายพระรามได้นางสีดาคืนมาหรือเปล่าครับ” “ได้คืนค่ะแต่ไม่ใช่ตอนสุดท้ายนะค่ะ ยังมีเรื่องราวต่อจากนี้ไปอีกยาวเลย” “หรือครับ ยาวดีจัง ถ้ามีเวลาจะต้องมาหาอ่านมั่งท่าจะดี” “จริง ๆ แล้ว รามยณะของเดิมไม่ยาวเท่าของรามเกียรติ์ของเราหรอกค่ะ และของเราก็มีอะไรๆหลายอย่างที่แตกต่างและต่อเติมออกไปมากเหมือนกัน” “หรือครับมีอะไรบ้างครับที่รามเกียรติ์ไม่เหมือนกับรามยณะ” ยังไม่ทันที่เสียงของเจ้าหล่อนจะหลุดออกมาจากปากการซ้อมรำชุดสุดท้ายก็ได้เสร็จสิ้นลง อาจารย์สัญชัยจึงเรียกตัวโขนทั้งหมดให้ขึ้นเวทีเพื่อซ้อมการแสดงองค์ที่4 ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกับหันมาพูดกับนักศึกษาสาวว่า “เดี๋ยวเรามาคุยกันต่อนะครับ ผมอยากฟังต่อคุณหม่อนรังเกียจไหมครับที่จะช่วยอธิบายให้ผมฟัง” “ไม่รังเกียจหรอกค่ะพี่จอร์จลงไปซ้อมก่อนเถอะเดี๋ยวเสร็จแล้วค่อยคุยกันต่อ” “ขอบคุณครับ” จอร์จกล่าวจบก็เดินลงไปร่วมซ้อมกับคณะโขนที่บนเวที โขนองค์ที่4แสดงในตอนศึกสุดท้ายที่ทศกัณฐ์จะต้องถูกพระรามฆ่าตาย เจ้าน้องชายกำมะลอของจอร์จได้รับบทเด่นที่สุดในตอนนี้ ชายหนุ่มมองกระบี่ศรีหนุมานชูกล่องดวงใจให้ยักษ์ทศกัณฐ์เห็นและบทพากย์ก็ร้องว่า “ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรชัยศรี เห็นยักษามาใกล้ได้ที จึ่งเหาะลงตรงที่ท่ามกลาง กระทืบเท้าคึกคักพยักหน้า ทำเหลือกตาอ้าปากถากถาง หลอนหลอกตะคอกขู่เกาคาง ยืนขวางหน้ารถทศกัณฐ์ ฯ ชูกล่องดวงใจขึ้นให้เห็น หัวร่อล้อเล่นแล้วเย้ยหยัน เหวยเจ้าลงกาใจอาธรรม์ ครั้งนี้ชีวันจะบรรลัย นี่กล่องของใครเราได้มา อสุรารู้จักมั่งหรือไม่ เขม้นมองป้องหน้าอยู่ว่าไร ไม่แผลงอิทธิฤทธิ์ไกรให้คึกคัก”
จอร์จถือฉัตรกางให้ท้าวทศกัณฐ์อยู่ทางด้านข้างราชรถจึงสามารถสังเกตอากัปกิริยาของเจ้าแกละที่แสดงเป็นหนุมานได้อย่างใกล้ชิด จากการเฝ้าดูโขนซ้อมมาหลายครั้ง เขาพอจะจับเคล็ดวิธีการดูโขนให้สนุกรู้เรื่องได้บ้างบางข้อเช่นกิริยาท่าทางที่ตัวแสดงใช้ล้วนมาจากท่าทางของคนจริงๆในอารมณ์นั้นๆ เรื่องราวและคำพูดของตัวละครก็มีการพากย์ให้ฟังอยู่เป็นระยะ ฟังเพลินดูแล้วสนุกดีไม่หยอก ไม่นานหลังจากที่เขากลับเข้ามาหลังม่านพร้อมกับราชรถ อาจารย์สัญชัยที่แสดงเป็นยักษ์ทศกัณฐ์ก็ถูกศรของพระรามจนล้มตัวนอนตายอยู่กับพื้นซึ่งเป็นฉากจบขององค์นี้พอดี อาจารย์โขนลุกขึ้นมาถอดหัวท้าวทศกัณฐ์ออกและพูดกับทุกคนว่า “ขอบใจทุกคนมากนะ พรุ่งนี้เราจะซ้อมกันครั้งสุดท้าย เป็นการซ้อมใหญ่ครบทั้งชุดพร้อมฉากของจริง ขอให้ทุกคนตั้งใจซ้อมกันอย่างเต็มที่ วันมะรืนเราจะออกเดินทางไปแสดงกันแล้วอย่าลืมเตรียมตัวกันให้พร้อม เอาละวันนี้เลิกซ้อมได้” พวกนักศึกษาที่ซ้อมการแสดงชุดของตัวเองเสร็จก่อนได้เปลี่ยนชุดผลัดผ้ามายืนคอยช่วยพวกโขนถอดเครื่องทรงอยู่บนลานหินขัดด้านนอกห้องประชุม ต่างจับกลุ่มกันสองคนบ้างสามคนบ้าง ห่างกันเป็นระยะๆ การถอดหรือใส่ชุดการแสดงโขนทำได้ยากมาก ยากเกินกว่าที่คนเพียงคนเดียวจะทำได้จึงต้องช่วยๆกันเช่นนี้ จอร์จใส่ชุดพลทหารยักษ์ซึ่งเป็นเสื้อกับกางเกงธรรมดาแบบชุดทหารเลวในละครจักรๆวงศ์ๆจึงเปลี่ยนชุดได้ง่ายและเร็วกว่าเจ้าทโมนน้อยมาก เมื่อเสร็จจากของตนแล้วจึงหันมาช่วยหม่อนถอดชุดให้เจ้าแกละซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆกับกลุ่มนักศึกษาที่ช่วยกันถอดชุดทศกัณฐ์ให้อาจารย์สัญชัย ชายหนุ่มยังไม่ได้รับคำตอบจากน้องหม่อนจึงเอ่ยทวงขึ้นเพื่อคุยฆ่าเวลาขณะที่ช่วยกันเลาะด้ายที่เย็บผนึกชุดหนุมานให้เข้ารูปกับร่างของเจ้าแกละออกว่า “คุณหม่อนยังไม่ได้ตอบผมเลย รามเกียรติ์กับรามายณะต่างกันอย่างไรครับ” “อ๋อ...ค่ะ ในความคิดของหม่อนมันมีหลายอย่างนะค่ะที่ต่างกัน อย่างเช่นตอนสุวรรณมัจฉา หรืออีกหลายๆตอนที่รามเกียรติ์มีแต่ในรามยณะไม่มี ตอนที่เรานำมาแสดงโขนนี่ก็เหมือนกันค่ะ ในเรื่องรามยณะไม่ได้มีการถอดดวงใจมาใส่กล่องนะค่ะ มีแค่ให้พระอคัสตยะมุนีมาบอกมนต์ “อาทิตย์หฤทัย” ให้พระรามบริกรรมก่อนที่จะสังหารทศกัณฐ์เท่านั้น แล้วพระรามก็ยิงศรใส่หัวใจของทศกัณฐ์เลย หม่อนเคยอ่านเทียบทั้ง 2 ฉบับดูแล้วยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมมันถึงต่างกันได้ขนาดนี้ไม่รู้ว่าของไทยเราได้โครงเรื่องตอนนี้มาจากที่ไหน” อาจารย์สัญชัยที่กำลังถอดชุดทศกัณฐ์อยู่ใกล้ๆได้ยินการสนทนาเมื่อครู่อย่างชัดเจน อันที่จริงคำถามนี้ตนพอจะตอบให้ได้เพราะเคยอ่านหนังสือชื่อ“บ่อเกิดรามเกียรติ์”ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมาก่อนแล้วจึงปรารถนาจะให้ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่บรรดาลูกศิษย์ของตนเลยพูดโพล่งขึ้นว่า “เรื่องนี้อาจารย์รู้นะมาเดี่ยวอาจารย์จะอธิบายให้ฟัง” เสียงพูดของอาจารย์สัญชัยดึงความสนใจของทั้งสามคนไปทางเขาทันที เจ้าทโมนน้อยเดินดิ่งข้าไปหาท่านโดยที่มีชายหนุ่มและนักศึกษาหม่อนคลานตามไปช่วยเลาะตะเข็บด้ายที่เหลือออกจากชุดให้ “เรื่องกล่องดวงใจของทศกัณฐ์ในรามเกียรติ์ได้เค้าโครงเรื่องมาจาก รามยณะของฤษีวาลมิกินั่นแหล่ะแต่ผสมเข้ากับเกร็ดเนื้อเรื่องของทศกัณฐ์ในกัณฑ์แถมที่มีชื่อว่าอุตรกัณฑ์ซึ่งเป็นฝีมือการแต่งของกวีท่านอื่น นักศึกษาโบราณคดีและนักปราชญ์ของทางตะวันตกเชื่อว่าอุตรกัณฑ์ถูกแต่งขึ้นมาภายหลังแล้วค่อยเอามารวมเป็นต้นฉบับเดียวกัน” เจ้าแกละถามเสียงแจ๋วออกไปทันทีที่อาจารย์โขนหยุดพักหายใจ “ในกัณฑ์แถมมีกล่องดวงใจอย่างของเราด้วยหรือเปล่าครับอาจารย์” “มีกล่องแต่ของเขาไม่ได้เป็นการทอดดวงใจไปใส่กล่องแต่เป็นกล่องใส่มนต์ชื่อ สหัสนาม ” “กล่องใส่อะไรนะคะ”หม่อนหยุดมือทันทีเพราะรู้สึกแปลกใจจนต้องเอ๋ยถาม “ใส่มนต์ชื่อสหัสนามที่ทศกัณฐ์เคยได้รับพรมาจากพระพรหมเพื่อแลกกับชีวิตของพระจันทร์เมื่อครั้งพญายักษ์ขึ้นไปถ้ารบจนชนะที่โลกพระจันทร์โน้น ตัวมนต์อธิบายไว้ว่าถ้าทศกัณฐ์ถูกยิงศรใส่หัวใจให้สาธยายมนต์บทนี้จะทำให้รอดตายได้ครั้งหนึ่ง” “อย่างนี้ใกล้เคียงกับกล่องดวงใจของเรานะสิคะ แต่ทำไมจากมนต์กลายเป็นดวงใจไปได้นะแปลกจริงๆ” “เรื่องนี้อาจารย์เองก็ไม่รู้เหมือนกัน ในหนังสือบ่อเกิดรามเกียรติ์ที่เคยอ่านก็ไม่ได้บอกเอาไว้” “สหัสนามแปลว่าอะไรครับอาจารย์” จอร์จเอ่ยถามขึ้นบ้าง “แปลว่ามีชื่อพันชื่อนะหรืออาจจะแปลว่ามีดวงจิตนับพันก็ได้” “แกละก็ยังคิดว่ามันไม่เห็นจะเกี่ยวกับหัวใจตรงไหนเลยครับอาจารย์” “อาจารย์คะหม่อนว่ามันเกี่ยวนะ มนต์ที่ชื่ออาทิตย์หฤทัยก็มีคำว่าใจอยู่ด้วย น่าคิดจังว่าทำไม คนโบราณเขาถึงเชื่อคล้ายๆกันว่าหัวใจมีความสำคัญกว่าอวัยวะส่วนอื่นๆรวมทั้งสมองด้วย” “อืมเป็นคำถามที่ดี นั่นสิทำไมถึงต้องเจาะจงทำลายที่หัวใจของทศกัณฐ์ด้วยนะ” “อาจารย์สงสัยเหมือนหนูเลยใช่ไหมคะ พระรามแผลงศรไปตัดหัวทศกัณฐ์จนขาดไปตั้งสิบหัวแต่ไม่ยักจะตายแต่มาตายกับศรที่ยิงเข้าสู่หัวใจแค่ดอกเดียว ถ้าตามหลักความจริงน่าจะตายตั้งแต่โดนศรตัดหัวแล้วนี่ค่ะ” “ก็มันเป็นแค่นิทานนะสิครับ แกละว่าไม่ต้องหัวหลอกแค่ถูกตัดแขนก็เสียเลือดตายได้แล้ว” “ที่ว่ามานั้นก็จริงแต่ที่พี่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับแนวความคิดเรื่องการให้ความสำคัญกับหัวใจนี้ยังไงก็ไม่รู้ เหมือนเคยอ่านเจอจากที่ไหนสักแห่งว่าอะไรน้า...” นักศึกษาสาวลำพึงรำพันเหมือนกำลังพูดกับตัวเองอยู่อึดใจใหญ่ๆคิดไม่ออกจึงนิ่งเงียบไปเสียดื้อๆเป็นขณะเดียวกับที่จอร์จเลาะด้ายที่เย็บอยู่บนเสื้อสีขาวแทนตัวท่อนบนของหนุมานออกจนเสร็จซึ่งเท่ากับว่าจบกรรมวิธีการถอดชุดโขนแล้ว เจ้าทโมนแกละเห็นว่าต่างคนต่างนิ่งไปเพราะกำลังจมอยู่กับความคิดของตนเองรวมไปถึงพี่จอร์จที่พลอยนิ่งงันไปกับเขาด้วย ความเหนื่อยผนวกเข้ากับความหิวทำให้เจ้าตัวน้อยอยากจะกินช้างเข้าไปทั้งตัวจึงหันไปพูดกับจอร์จว่า “พี่จอร์จเรากลับกันเถอะแกละหิวข้าวจะแย่แล้วไปกินช้าง เอ้ย...กินข้าวที่โต้รุ่งกันก่อนค่อยกลับวัดนะ” “ดีเหมือนกันพี่ก็ชักหิวตะหงิด ๆขึ้นมาแล้ว มาพี่ช่วยขนชุดไปคืนในห้องประชุมให้” จอร์จกับเจ้าทโมนแกละไหว้ลาอาจารย์สัญชัยก่อนจะหันกลับมาบอกลานักศึกษาสาว พวกเขาช่วยกันขนชุดโขนเข้าไปคืนฝ่ายดูแลชุดการแสดงทางด้านใน สองศรีพี่น้องเดินหยอกล้อกันไปตลอดทางบ่ายหัวออกไปที่ประตูหน้ามหาวิทยาลัย อาจารย์สัญชัยสั่งงานพวกดูแลอุปกรณ์และประธานชมรมนาฏศิลป์เสร็จจึงเดินกลับมาขึ้นรถของตนในห้วงแห่งความคิดคำนึงของเขายังคงวนเวียนอยู่กับคำถามของนักศึกษาสาว เขาเองก็เช่นกันรู้สึกคุ้นๆกับแนวความคิดเรื่องการให้ความสำคัญกับหัวใจมากกว่าสิ่งอื่นใดนี้เช่นกันแต่ก็คิดไม่ออก แถมยังมีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวสมองด้วยในขณะนี้จึงได้แต่ถามตัวเองในใจว่า “หัวใจทศกัณฐ์มันไปเกี่ยวอะไรกับทฤษฎีของคุณพ่อหมอพิเภกได้อย่างไรกันแน่นะ”
* พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว , บทละครเรื่องรามเกียรติ์และบ่อเกิดรามเกียรติ์ ,7,(โสภณการพิมพ์ : ศิลปาบรรณาคาร ,๒๕๔๔),๔๙๗ .
Create Date : 13 มิถุนายน 2554 |
|
0 comments |
Last Update : 17 มิถุนายน 2554 11:41:14 น. |
Counter : 666 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|