นิยายเรื่องรักยกกำลังสอง แนวโรแมนติกวัยมัธยม ผมไม่สามารถเล่าเนื้อเรื่องย่อได้ เพราะเนื้อหาทุกอย่างจะทำให้คุณลุ้นและเซอร์ไพรส์อยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณชอบอ่านนิยายแนวโรแมนติ และมีปริศนาให้คาดเดาและลุ้นไปกับมัน ลองเข้ามาอ่านเรื่องนี้สิครับ รับประกันความสนุก
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
1 กันยายน 2552

รักยกกำลังสอง บทที่ 11 รุ่งอรุณแห่งคำสัญญา (Dawn of Our Promise)

ในป่าแถบฝั่งตะวันออกของเกาะพวกชาวบ้านได้ยินเสียงฝีเท้าหลายสิบคู่วิ่งฝ่าแนวป่าเข้ามาใกล้ ๆ พอทุกคนหันไปดูก็พบว่าสารวัตรฝ่ายสืบสวนจากในเมืองพาลูกน้องหลายสิบนายมาสมทบ บางนายจูงสุนัขตำรวจมาด้วย บางนายมีปลอกแขนติดตราพยาบาลอยู่ที่ต้นแขนด้านซ้าย

“หัวหน้าหมู่บ้านอยู่มั้ยครับ” สารวัตรที่ท่าทางจะอายุประมาณ 50 ปีเอ่ยถามชาวบ้าน

“รอซักครู่นะครับ” แล้วชาวบ้านก็รีบไปตามหัวหน้าหมู่บ้าน

“สวัสดีครับผู้กอง ขอบคุณนะครับที่มา” หัวหน้าหมู่บ้านทักทาย

“สวัสดีครับหัวหน้าฯ ขอโทษนะครับที่มาช้าไปหน่อย กว่าจะฝ่าพายุมาได้มันกินเวลาพอสมควร ว่าแต่เรื่องมันเป็นไงมาไงครับ” ผู้สารวัตรถาม แล้วหัวหน้าหมู่บ้านก็อธิบายสถานการณ์อย่างละเอียด

“หากันมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วเหรอครับ” แล้วสารวัตรก็หันไปสั่งการลูกน้อง “งั้นพวกคุณรีบแยกย้ายกันหาเลยนะ แต่ละหน่วยเอาอาหารเสริมไปด้วยหล่ะ ผ่านไป 10 กว่าชั่วโมงแล้วผู้ประสบภัยอาจจะอยู่ในภาวะขาดอาหารก็ได้ ส่วนหน่วยพยาบาลก็เตรียมการอยู่ที่นี่แหละ”

“ครับผม!” กลุ่มตำรวจเข้าแถวรับคำสั่งแล้วแยกย้ายกันออกตามหา โดยแต่ละกลุ่มจะพาสุนัขตำรวจไปด้วยเพื่อคอยดมกลิ่นผิดปกติ

“หัวหน้าฯครับ ถ้ามีคนเจ็บให้มาปฐมพยาบาลที่นี่ได้เลยนะครับ”

“ขอบคุณครับ แล้วผมจะบอกทุกคนให้”

ทางฝั่งกลุ่มเรนะที่ออกตามหาพวกเอย์จิมาค่อนคืน ตอนนี้ก็เริ่มพากันหมดแรง เพราะพวกเธอเองก็ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ตอนบ่าย ๆ ของเมื่อวาน แถมยังอดนอนตลอดทั้งคืน ทำให้สติสัมปชัญญะของแต่ละคนเริ่มมาถึงขีดสุด

สภาพของทุกคนตอนนี้เนื้อตัวมอมแมมผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ตามแขนขาของแต่ละคนมีรอยขีดข่วนที่เกิดจากกิ่งไม้ หนาม และวัชพืชต่าง ๆ เต็มไปหมด แผลบางแห่งก็มีเลือดซิบ ๆ ออกมา

แต่เรนะดูจะอาการหนักกว่าเพื่อน เพราะเดิมทีเธอก็เป็นคนค่อนข้างซุ่มซ่ามอยู่แล้ว ระหว่างที่เธอออกตามหาทั้งสอง บางทีเธอก็สะดุดรากไม้ล้มบ้าง โดนกิ่งไม้เกี่ยวเสื้อจนขาดบ้าง ลื่นไถลไปตามพื้นดินที่ลาดชันบ้าง ทำให้ตอนนี้เธอสะบักสะบอมไปทั้งตัว

“ดูเหมือนพวกตำรวจจะมาถึงแล้วนะ” นายะหันไปบอกเพื่อน ๆ เธอหมดแรงจนเริ่มเดินโซเซ

“เอาไงดีพวกเรา กลับไปพักกันก่อนดีมั้ย” คูมิยะเองก็เริ่มยืนไม่ไหวแล้ว เธอต้องเอามือจับต้นไม้เอาไว้เพื่อประคองตัว

“พวกคูมิจังกลับกันไปก่อนเถอะจ๊ะ เดี๋ยวชั้นขอหาต่ออีกนิดนึง” เรนะบอกเพื่อน ๆ ด้วยหน้าตาอิดโรย แต่แววตาเธอยังคงมุ่งมั่น

“แต่เธอจะไหวเหรอ เธอเองก็...” แล้วคูมิยะก็หยุดพูดกลางคัน

“นั่นสิ เรนะจังเป็นไรขึ้นมาเดี๋ยวจะแย่นะ” คารินก็เห็นด้วยกับคูมิยะ

“หนูยังไหวค่ะ ขอหนูหาต่ออีกนิดนะคะ ขอโทษนะคะที่ทำให้ทุกคนต้องลำบากใจ” เรนะก้มหัวขอโทษทุกคน

“มาลำบากจงลำบากใจอะไรกันยะ เราคนกันเองทั้งนั้นจริงมะ ถ้าเธอไหวชั้นก็ไหว” คูมิยะยืดอกสูดลมหายใจเข้าปอดฟอดใหญ่ แล้วพยายามทำหน้าตาสดชื่นที่สุดเท่าที่จะทำได้

“งั้นชั้นไปต่อด้วยคน งานนี้ถึงไหนถึงกัน” นายะเองก็พยายามทำท่าฮึกเหิมเต็มที่

“แต่ว่า...” เรนะเกรงใจเพื่อน ๆ

“ไม่มีต่งมีแต่อะไรทั้งนั้นแหละย่ะ” แล้วคูมิยะก็เอานิ้วดีดหน้าผากเรนะเบา ๆ

“งั้นเราก็ไปด้วยกันทั้ง 4 คนนี่แหละดีมั้ย” คารินยิ้มให้เรนะ

“ขอบคุณนะทุกคน ขอโทษจริง ๆ” เรนะก้มหัวประหลก ๆ

“รีบมาได้แล้ว มัวแต่ขอโทษอยู่นั่นแหละ แล้วเมื่อไหร่จะหาสองคนนั่นเจอซะที” คูมิยะหันกลับมาเรียกเรนะ นายะกับคารินก็ยืนยิ้มรอเธอ

“จ๊ะ ๆ” เรนะยิ้มตอบแล้วรีบวิ่งตามทุกคนไป

ซักพักก็มีฝนตกลงมาปรอย ๆ “ทุกคนจะเป็นยังไงกันบ้างนะ!?!” ทาคายูกิพูดกับตัวเอง เขาเดินตามหาทั้งสองคนตามลำพังจนแทบหมดแรง

อีกด้านหนึ่งฟูจิที่ไปกับคอนจิก็กำลังขูดโคลนที่ติดใต้รองเท้าออก “ให้ตายสิ! พื้นแฉะงี้ยิ่งเดินยากเข้าไปใหญ่” ฟูจิหัวเสีย

“แต่ว่าพวกเอย์จิอาจจะยิ่งลำบากกว่าพวกเราก็ได้นะ” คอนจิพูด

“อื้อ ชั้นรู้น่า ถึงได้รีบหาอยู่นี่ไง ปะไปต่อกันเหอะ”

“ฟ้าใกล้สางแล้วสิ ขอให้ทั้งสองคนไม่เป็นอะไรทีเถอะ” คอนจิเหม่อมองไปที่ขอบฟ้า

หลังจากที่ซึซึกิแยกจากพวกเรนะได้ซักพักเธอก็ไปหาฮาเอดามะ ทั้งสองคนท่าทางเหนื่อยล้ามาก “โทชิน้ำจ๊ะ” เธอส่งกระติดน้ำให้เขา

“ไม่เป็นไรเธอทานก่อนเถอะ” แล้วฮาเอดามะก็เอาผ้าเช็ดหน้าค่อย ๆ เช็ดรอยเปื้อนบนหน้าผากซึซึกิ ระหว่างนั้นเธอก็มองตาเขา

“ทั้งสองคนจะปลอดภัยมั้ยนะ ชั้นไม่อยากให้ทั้งคู่ต้อง...” ซึซึกิพูดเบา ๆ

“ไม่เป็นไรหรอก ชั้นเชื่อว่าทุกคนต้องไม่เป็นไร รวมทั้งเรียวมะกับนามิด้วย” ฮาเอดามะเอามือมาลูบหัวซึซึกิแล้วยิ้มให้จาง ๆ

อีกฟากหนึ่งพ่อของเรียวมะกับพ่อของนามิที่ไปด้วยกันก็กำลังนั่งพัก “เด็กสองคนนั้นจะเป็นอะไรมั้ยนะ” พ่อของนามิพึ่งเปิดปากคุยกับพ่อของเรียวมะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ามาในป่า

“ครับ?” พ่อของเรียวมะตกใจไม่ทันฟัง เพราะไม่คิดว่าเขาจะยอมคุยด้วย

“ผมเป็นห่วงเด็กสองคนนั้น” พ่อของนามิพูดซ้ำอีกที

“ผมก็เหมือนกันครับ ไม่อยากให้เป็นเหมือนอย่าง...” แล้วพ่อของเรียวมะก็ไม่พูดต่อ

“ผมผิดเอง” แล้วพ่อของนามิก็นั่งซึม

“คุณทามากิ” พ่อของเรียวมะเรียกชื่อเขา

“จริง ๆ แล้วที่ผมโทษครอบครัวของคุณก็แค่เพราะอยากโยนความผิดให้คนอื่น ทั้ง ๆ ที่ผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าที่ทั้งคู่หายตัวไปเป็นความผิดของผมเอง” พ่อของนามิน้ำตาคลอแต่พยายามกลั้นเอาไว้

“คุณเองก็คงระแคะระคายเรื่องที่สองคนนั่นคบกันอยู่บ้างใช่มั้ยครับ” พ่อของเรียวมะเองก็ทำหน้าซึม ๆ

“ครับ ผมเองก็พอทราบ ...เป็นเพราะผมบังคับลูกสาวมากเกินไป” แล้วพ่อของนามิก็เอามือที่เปื้อนดินมาปาดน้ำตา

“ผมเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่เรียวมะก็โตแล้ว แต่ยังทำเหมือนกับแกเป็นเด็ก” พ่อของเรียวมะระบายความรู้สึกบ้าง

“ถ้าผมขอได้นะ…” พ่อของนามิหยุดพูดแล้วสะอื้นทีนึง “ถ้าผมขอได้ ผมอยากขอให้แกกลับมา ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรผมก็ยอม” พอพูดจบพ่อของนามิก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“คุณทามากิครับ ผมเองก็คิดเช่นเดียวกับคุณเหมือนกัน” แล้วพ่อของเรียวมะก็ลูบไหล่พ่อของนามิเบา ๆ

ทางฝั่งพวกเรนะพอฝนตกก็ทำให้พื้นกลายเป็นโคลนเฉอะแฉะยิ่งเดินลำบากเข้าไปอีก “ว้าย!” คูมิยะลื่นพรืดเท้าไถลไปกับโคลน เธอล้มก้นกระแทกพื้นอย่างแรง

“คูมิจังเป็นอะไรรึเปล่า ว้าย!” เรนะรีบวิ่งเข้ามาหาแต่เธอก็ลื่นล้มหน้าจุ่มโคลน ทำให้แก้มทั้งสองข้างของเธอเต็มไปด้วยโคลน

นายะกับคารินรีบเข้ามาดูทั้งสองคน “เป็นอะไรรึเปล่าทั้งสองคน” คารินถามทั้งคู่

“หนูไม่เป็นไรคะ แค่เจ็บ ๆ จมูกนิดหน่อย แหะ ๆ” เรนะทำหน้าบ้องแบ๊วเอามือกุมจมูกที่ช้ำนิด ๆ

“หนะ หนูก็ไม่เป็นไร” คูมิยะฝืนตอบทั้ง ๆ ที่เธอรู้สึกเจ็บมาก เธอพยายามจะลุกขึ้น “โอ๊ยย!” เธอร้องแล้วก็ลงไปนั่งกองกับพื้น เธอรู้สึกปวด ๆ บริเวณข้อเท้า

“คูมิจังขาเธอพลิกนี่” นายะค่อย ๆ ยกขาเธอให้เหยียดออกโดยไม่ให้กระเทือนบริเวณข้อเท้า “ดูสิบวมเลย”

ข้อเท้าคูมิยะบวมปูดขึ้นมาเป็นลูกขนาดเท่าฝ่ามือ “ถ้างี้สงสัยจะเดินไม่ไหวนะ รีบกลับไปปฐมพยาบาลกันก่อนเถอะ” คารินบอก

“ขอโทษนะเรนะจัง” คูมิยะหันไปหาเรนะ

“ขอโทษทำไม คูมิจังรีบกลับเถอะจ๊ะ” เรนะบอกคูมิยะ แล้วทุกคนก็ช่วยกันประคองเธอให้ลุกขึ้นยืน แต่เธอยังลงน้ำหนักตรงขาข้างที่เจ็บไม่ได้ นายะกับคารินเลยช่วยหิ้วปีกเธอคนละฝั่ง

“ไหวมั้ยจ๊ะ” เรนะถาม

“อื้อ พอไหว” คูมิยะตอบ

“เอ่อ งั้นพวกรุ่นพี่กลับกันไปก่อนได้มั้ยคะ” เรนะถาม

“เรนะจังไม่กลับด้วยกันเหรอ” คารินถามเธอ

“ขอโทษนะคะ หนูขอหาต่ออีกนิดเดียว เดี๋ยวจะรีบตามไปค่ะ”

“แต่ไปคนเดียวมันอันตรายนะ” นายะเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ นี่ก็ใกล้สว่างแล้วด้วย”

คูมิยะมองหน้าเรนะแล้วก็พูดว่า “เธอนี่น้าเป็นอย่างงี้ทุกที เวลามีใครลำบากก็ชอบไปช่วยโดยไม่นึกถึงตัวเองอยู่เรื่อย”

“ขอโทษจ๊ะ ๆ” เรนะก้มหัวขอโทษประหลก ๆ

“แต่นี่ก็เป็นข้อดีของเธอนี่เนอะ” แล้วคูมิยะก็ยิ้มให้เธอ

“คูมิจัง” เรนะเรียกชื่อเธอเบา ๆ

“แต่เธอต้องสัญญานะว่าจะรีบตามมา ห้ามเป็นอะไรไปเด็ดขาด เข้าใจมั้ย!” คูมิยะทำหน้าดุแล้วยื่นนิ้วก้อยให้เธอ

“จ๊ะชั้นสัญญา” เรนะเกี่ยวก้อยกับเพื่อนแล้วยิ้มให้คูมิยะ เธอคิดในใจว่า “ขอบใจนะจ๊ะคูมิจัง” แล้วนายะกับคารินก็หิ้วปีกคูมิยะกลับไปที่ศาลเจ้า ส่วนเรนะก็ออกตามหาทั้งสองคนตามลำพัง ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็แทบจะไม่มีแรงเหลือ

ทางด้านเอย์จิกับเรกะทั้งคู่ต่างก็ยืนอึ้งอยู่ต่อหน้าแท่นหินที่ตั้งอยู่ภายในถ้ำ “ทาคุมิคุงนี่คือ?” เธอถามทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่แล้วแต่เพราะไม่อยากจะเชื่อตาตัวเอง

เอย์จินิ่งคิดอะไรบางอย่างแล้วก็ตอบว่า “อื้อ นี่คงเป็นสุสานแหละ!?!”

สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าทั้งสองคือสุสานหินที่พบเห็นได้ทั่วไปตามวัดของญี่ปุ่น เพียงแต่อันนี้มาตั้งอยู่ในถ้ำใต้ดินที่ลึกลงมากว่า 20 เมตร ด้านหน้าแท่นหินมีชื่อสลักไว้ตัวโต ๆ ว่าซากามาโต้ โอดะ ข้างใต้ชื่อมีข้อความตัวเล็ก ๆ สลักอยู่ แต่ด้วยความเก่าของมันทำให้ข้อความเลือนรางไปมาก เอย์จิเอามือปัดฝุ่นบนข้อความนั้นแล้วอ่านให้เรกะฟัง

“แต่ซากุระยังผลิบานกลางฤดูวสันต์
ดาวนับพันยังมีจันทร์ให้คลายเหงา
เหล่าสกุณายังบินหาคู่กลับลำเนา
แม้ไม่มีเราแต่รักยังคงมั่นนิรันดร”

“กลอนบทนี้มัน...” เรกะพึมพำกับตัวเองเบา ๆ แล้วหันไปมองแผ่นไม้ที่อยู่ในมือเอย์จิ

เอย์จิหยิบแผ่นไม้ขึ้นมาดูแล้วพูดว่า “ดูจากชื่อแล้วบางทีซากามาโต้ โอดะคงจะเป็นซามูไรตามตำนานหล่ะมั้ง”

“แปลว่าชื่อผู้หญิงบนแผ่นไม้นั่นก็คือมิโกะงั้นเหรอ” เรกะถาม

“คงงั้นแหละ”

“แล้วทำไมอีกด้านถึงเขียนว่าศาลเทพเจ้ามังกรหล่ะ” เรกะถามถึงชื่อที่เขียนอยู่อีกด้านของแผ่นไม้

“แผ่นไม้นี้อาจจะเป็นป้ายชื่อของศาลเจ้าที่หายไปก็ได้ ชั้นเดาว่ามิโกะคงแอบเขียนบทกลอนไว้หลังป้าย เพราะเธอคงรู้ตัวว่าความรักจะไม่สมหวัง”

“แล้วคำกลอนนี่หล่ะ” เรกะถามถึงบทกลอนที่เขียนอยู่บนสุสาน

“ซามูไรน่าจะเป็นคนแต่งขึ้นนะ”

“แต่ตามตำนานบอกว่าซามูไรถูกปล่อยให้ตายกลางทะเลไม่ใช่เหรอ” เรกะสงสัย

“ตามตำนานบอกว่านอกจากมิโกะกับซามูไรแล้วยังมีกลุ่มคนรับใช้อยู่อีกไม่ใช่เหรอ บางทีพวกนั้นอาจจะช่วยชีวิตซามูไรไว้ได้ก็ได้” เอย์จิเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว

“พอซามูไรมาเห็นกลอนบทนั้น เลยแต่งกลอนตอบใช่มะ” เรกะเดาบ้าง

“อื้อ เค้าคงอยากบอกคนรักของเค้าว่า ถึงแม้จะตายจากกันแต่เขาก็ยังคงรักเธอไม่เปลี่ยนแปลง” เอย์จิตอบ

“โรแมนติกจัง” เรกะพูดเบา ๆ

เธอนิ่งไปซักพักแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเหมือนกับกำลังอยู่ในความฝันว่า “ถ้ามีใครรักชั้นแบบนี้บ้างก็คงดีเนอะ”

เอย์จิมองเธอแล้วทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ แล้วเขาก็บอกเธอว่า “เธอต้องได้เจอคน ๆ นั้นแน่”

พอเอย์จิพูดจบ เรกะก็หันไปมองตาเขา แล้วแก้มขาว ๆ ของเธอก็กลายเป็นสีชมพูระเรื่อ เธออยากจะหันหน้าหนีไปมองทางอื่นแต่ก็ไม่สามารถทำได้

ระหว่างที่ทั้งสองสบตากันต่างฝ่ายต่างก็ได้ยินเสียงหัวใจของอีกคน หัวใจของทั้งคู่เต้นเป็นจังหวะเดียวกันราวกับว่าทั้งสองคนใจตรงกัน ทั้งสองยืนสบตากันอยู่นานจนเหมือนกับเวลาจะหยุดอยู่กับที่ แล้วเรกะก็ถามเบา ๆ ว่า “นายคิดอย่างงั้นจริง ๆ เหรอ”

“อื้อ จริง ๆ สิ” เอย์จิมองเธอด้วยใบหน้าจริงจัง

คำตอบของเอย์จิทำให้แก้มเธอแดงมากขึ้น เธอรู้สึกหวิว ๆ เหมือนกับกำลังลอยอยู่บนฟ้า กลิ่นหอมที่เหมือนกับสายลมเย็นสดชื่นจากตัวเอย์จิทำให้ใจเธอเหมือนจะลอยไปไกลแสนไกล สติของเธอเริ่มเลือนราง

เอย์จิเองก็ตกอยู่ในภวังเพราะความน่ารักของเรกะเช่นกัน แววตาที่ลึกซึ้งเหมือนกับมีอะไรซ่อนอยู่ภายในของเธอสะกดหัวใจเขาเหมือนต้องมนต์ หน้าตาที่แสนน่ารักไร้เดียงสากับรูปร่างที่บอบบางนุ่มนิ่มน่าทะนุถนอมทำให้เขาไม่สามารถต่อต้านอะไรได้เลย ริมฝีปากบาง ๆ สีชมพูอ่อน ๆ เหมือนเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้เขาขยับเข้าใกล้เธอทีละนิด ๆ

แล้วทั้งคู่ก็ค่อย ๆ หรี่ตาลงแล้วโน้มตัวเข้าหากันช้า ๆ ไออุ่นจากตัวเอย์จิทำให้เรกะอ่อนระทวย ส่วนกลิ่นหอม ๆ คล้ายเกรฟฟรุ๊ตของเธอก็ทำให้เขาใจละลาย และแล้วใบหน้าของทั้งสองก็ค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้กันทีละนิด ๆ ริมฝีปากของทั้งคู่กำลังจะสัมผัสกัน

เรกะตัวสั่นไปทั้งร่าง เธอเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อให้ใบหน้าเธอสูงระดับเดียวกับเอย์จิ เอย์จิเองก็ยืนตัวเกร็ง แขนเหยียดตรงอยู่ข้างลำตัว เขางอหลังลงเล็กน้อย ริมฝีปากของทั้งคู่ค่อย ๆ สัมผัสกันทีละนิด ๆ พอริมฝีปากของทั้งสองแตะกันได้ครึ่งนึง! เรกะก็ได้สติแล้วรีบผละออกจากตัวเขาทันที เธอหันหน้าหนีเอย์จิแล้วแอบหอบเหมือนคนพึ่งวิ่งมาซัก 10 รอบ หัวใจเธอยังคงเต้นรัวราวกับตีกลอง

เอย์จิเองก็หันไปมองทางอื่น เขาใจเต้นแรงไม่แพ้กัน เขาคิดในใจว่า “เมื่อกี้เราทำอะไรลงไปเนี่ย ไอ้บ้าเอ้ย แบบนี้เรกะก็คิดว่าเราเป็นพวกชอบฉวยโอกาสหน่ะซิ” เขาเสียใจกับการกระทำของตัวเองอย่างมาก

เรกะรีบเปลี่ยนเรื่องคุย เธอหันไปมองที่สุสานแล้วพูดว่า “แล้วทำไมต้องมาสร้างสุสานที่นี่หล่ะ”

เอย์จิตอบโดยไม่กล้าสบตาเธอ “บางทีพวกคนรับใช้คงไม่อยากให้ชาวบ้านรู้หล่ะมั้ง” แล้วทั้งสองก็นิ่งเงียบ ทำให้บรรยากาศภายในถ้ำมีแต่เสียงลมกับเสียงคลื่นที่ซัดมาจากปากทางเข้าเท่านั้น

ซักพักทั้งสองคนก็พูดขึ้นพร้อมกันว่า “ทาคุมิคุง...” / “เรกะ...” ทั้งคู่ต่างหยุดรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ

“นาย...มีอะไร” เรกะถาม

“ไม่เป็นไร เธอพูดก่อนเถอะ”

“นายนี่! ชั้นบอกให้พูดก็พูดมาสิ”

“ดะ ได้ ๆ ชั้นแค่จะบอกว่า คือ ตอนเธอที่รู้สึกตัวเธอตอนแรกหน่ะ เธอเรียกชื่อชั้นใช่มั้ย” เอย์จิไม่กล้าพอที่จะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้

“อะ อื้ม แล้วไง” ดูเหมือนเรกะเองก็ไม่อยากพูดถึงมันเหมือนกัน

“คือ...ต่อไปนี้เธอจะเรียกชื่อชั้นก็ได้นะ...ถ้าไม่รังเกียจ” ประโยคสุดท้ายเขาพูดเพียงเบา ๆ แค่ให้ตัวเองได้ยินเท่านั้น

“งะ งั้นเหรอ เอ่อ เอ เอย์จิคุง” เธอลองเรียกชื่อเขาแต่ตะกุกตะกักเล็กน้อย แล้วเธอก็หัวเราะออกมา

“ทำไมเหรอ” เอย์จิมีสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจ

“ก็ชั้นพึ่งเคยเรียกชื่อนายนี่ มันไม่ค่อยคุ้นหน่ะ คงต้องอีกซักพักแหละ ถึงจะชิน” แล้วเธอก็ยิ้มให้เขาเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อื้อ” เอย์จิตอบ

“เอ เอย์จิคุง” เธอพยายามเรียกซ้ำ แล้วเอย์จิก็หัวเราะออกมา เรกะเลยหัวเราะตาม ทั้งคู่กลับมาทำตัวเป็นปกติอย่างรวดเร็ว จนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้เหมือนกับแค่ทั้งสองคนฝันไป!

“ตลกเนอะ แค่เรียกชื่อแค่นี้ก็ต้องขำด้วย เอาหล่ะต่อไปตาเธอพูดมั่งแระ” เอย์จิพูด

“คือชั้นจะบอกว่า ถ้าพวกเรากลับขึ้นไปได้แล้ว เราไปขอให้พวกชาวบ้านเอาสุสานของซามูไรคนนี้ไปฝังไว้ใกล้ ๆ กับของมิโกะดีมั้ย ชั้นอยากให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันหน่ะ”

“อื้อ อย่างงั้นน่าจะดีกว่านะ”

“แล้วชาวบ้านเค้าจะว่าอะไรมั้ยอะ” เรกะยังกังวล

“ไม่หรอกมั้ง ก็เรื่องมันผ่านมาเป็นร้อย ๆ ปีแล้วนี่”

แล้วเอย์จิก็เอาแผ่นไม้ไปวางไว้ข้าง ๆ สุสานโดยหันคำกลอนออกมาข้างหน้า ให้คำกลอนทั้งสองบทอยู่เคียงข้างกัน แล้วแสงอาทิตย์ยามเช้าก็ค่อย ๆ ส่องผ่านผืนน้ำทะเลเข้ามาในอุโมงค์ ทำให้ทั้งสองเห็นปากทางออกอย่างชัดเจน

เรกะยิ้มให้เอย์จิแล้วจูงมือเขา “งั้นเราออกจากที่นี่กันเถอะ”

“หัวเข่าเธอไม่เป็นไรแล้วเหรอ” เอย์จิยังเป็นห่วง

“อื้อ แค่นี้สบายมาก” เรกะตอบ แล้วทั้งคู่ก็จูงมือกันเดินย้อนแสงออกไปจากอุโมงค์

ขณะเดียวกันภายในป่าทั้งเรนะ ฟูจิ คอนจิ ทาคายูกิ ฮาเอดามะ และซึซึกิที่กระจายกันอยู่คนละทิศละทางต่างก็หันไปมองแสงสีทองยามเช้าที่สาดส่องมา

คูมิยะ นายะ กับคารินที่นั่งอยู่ที่เต็นท์ของหน่วยพยาบาลก็หันไปมองแสงอรุณของวันใหม่เช่นกัน ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีฟ้าอ่อน ๆ ฝนที่โปรยปรายลงมาก็เริ่มหยุดลง ไออุ่นจากแสงอาทิตย์ทำให้ทุกคนค่อย ๆ รู้สึกอบอุ่นขึ้นในหัวใจทีละน้อย ๆ ทำให้ความหวังที่จะตามหาทั้งคู่ให้เจอเริ่มมีมากขึ้น

ด้านเอย์จิกับเรกะพอเดินพ้นอุโมงค์ออกมา ทั้งคู่ก็มายืนอยู่บนพื้นทรายที่มีน้ำทะเลสูงประมาณครึ่งหน้าแข้ง ทั้งสองยืนมองดวงอาทิตย์สีแดงส้มคล้ายไข่แดงกำลังขึ้นจากเส้นขอบฟ้า

ที่ผืนน้ำทะเลก็สะท้อนเงาดวงอาทิตย์เป็นสีเดียวกันราวกับว่ามันกำลังค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากใต้ทะเล ยอดคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งก็สะท้อนแสงอาทิตย์จนเป็นประกายสีทองระยิบระยับ คล้ายกับอัญมณีก้อนเล็ก ๆ นับร้อยกำลังกลิ้งเข้ามาหา

“สวยจัง” เรกะพูดเบา ๆ เธอรู้สึกประทับใจกับภาพที่เห็นอย่างมาก

“นั่นสินะ” เอย์จิเองก็ประทับใจเช่นกัน

แล้วเรกะก็เอามือไพล่หลังไว้แล้วเอี้ยวตัวหันหน้ามาใกล้ ๆ เอย์จิ จมูกทั้งสองเกือบจะชนกัน เธอทำตาบ้องแบ๊วราวกับเด็กไร้เดียงสาแล้วยิ้มอย่างแสนน่ารัก “นายรู้อะไรมั้ย ชั้นหน่ะชอบดูดวงอาทิตย์ขึ้นที่สุดเลยนะ”

“ระ เหรอ” ใบหน้าที่น่ารักบริสุทธิ์ของเธอทำให้เอย์จิถึงกับพูดตะกุกตะกัก

แล้วเธอก็ยืดอกหันหน้าไปรับสายลมยามเช้าที่พัดเข้ามา ผมสีทองของเธอปลิวสยายตามสายลม เธอยิ้มอย่างสดชื่นแล้วเอามือรวบผมไปด้านหลัง เธอเหม่อมองไปสุดขอบฟ้าแล้วพูดว่า “อื้อ โดยเฉพาะดวงอาทิตย์ขึ้นจากทะเลนี่ชั้นชอบที่สุดเลยหล่ะ”

เอย์จิเหลือบไปมองใบหน้าเธอตอนยิ้มรับแสงอรุณแล้วคิดในใจว่า “เรกะตอนนี้อย่างกับนางฟ้าเลย” แล้วเขาก็ฟังเธอพูดต่อ

“นายรู้มั้ย ชั้นหน่ะฝันว่าอยากจะนั่งบอลลูนไปกับคนที่ชอบแล้วขึ้นไปให้สูง ๆ ไปดูดวงอาทิตย์ขึ้นจากบนฟ้า มันคงจะสวยมากเลยนะว่ามั้ย” แล้วเธอก็หันมายิ้มถามเอย์จิ

“นั่นสินะ ต้องสวยมากแน่ ๆ” เอย์จิยิ้มตอบ

ทั้งสองยืนซึมซับความสดชื่นกันซักพักก็หันไปมองด้านหลัง “แล้วเราจะขึ้นไปยังไงกันดีหล่ะ” ด้านหลังของทั้งสองคนเป็นหน้าผาสูงชันกว่า 30 เมตร ผิวของหน้าผาเรียบและตั้งฉากกับพื้นดิน แถมตอนนี้ระดับน้ำก็เริ่มสูงขึ้นจนถึงเอวของทั้งคู่แล้ว ปากทางเข้าถ้ำเองก็เหลือช่องให้เข้าอยู่ไม่ถึงครึ่ง

“หรือว่าเราทั้งคู่จะต้องตายที่นี่” เธอหันไปยิ้มถามเอย์จิ ในแววตาเธอไม่มีความกลัวอยู่เลยแม้แต่น้อย

เอย์จิอึ้งที่เธอสามารถพูดถึงความตายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มได้ เขาถึงกับอุทานเรียกชื่อเธอออกมาเบา ๆ ว่า “เรกะ!”

เรกะหันไปมองพระอาทิตย์แล้วพูดว่า “ก็ดีเหมือนกันเนอะได้ตายหลังจากดูพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยขนาดนี้ ถึงแม้จะไม่ได้อยู่กับคนรักก็เถอะ”

เอย์จิไม่รู้จะตอบว่าอะไร เขาเลยได้แต่เงียบ แล้วเรกะก็พูดต่อว่า “แต่ได้อยู่กับนายก็ไม่เลวนักหรอกนะ” แล้วเธอก็หันมายิ้มให้เขา

แก้มเอย์จิเป็นสีแดงเพราะความน่ารักของเธอ เขาอึ้งไปซักพักแล้วก็ตอบว่า “ขอโทษนะที่ต้องมาอยู่กับคนอย่างชั้น”

พอเรกะได้ฟังก็หัวเราะ “นายนี่ทำเป็นคนแก่ขี้น้อยใจไปได้” แล้วเธอก็เอามือวักน้ำทะเลสาดใส่เขา “นี่แน่ ๆ”

“อะไรเนี่ย!” เอย์จิโวย

เรกะหัวเราะคิกคัก “ก็นายมัวแต่ทำตัวน่าเบื่ออยู่ทำไมหล่ะ”

“ก็เธออยากพูดแบบนั้นก่อนนี่” เอย์จิโวยตอบแล้วก็สาดใส่เธอกลับ ทั้งสองวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน

ซักพักน้ำทะเลก็สูงท่วมปากถ้ำ แต่โชคดีที่จุดที่ทั้งคู่ยืนอยู่สูงกว่าพื้นแถว ๆ นั้น ระดับน้ำเลยยังสูงแค่คอของทั้งสองคน “คงจะจบแค่นี้หล่ะมั้ง” เรกะหันไปสบตาเอย์จิ แล้วเธอก็เอื้อมมือไปขอให้เขากุมมือเธอไว้

ทันใดนั้นเอย์จิก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ แล้วเขาก็พูดว่า “เธอจำเรื่องที่ถามชั้นบนดาดฟ้าได้มั้ย”

“บนดาดฟ้า? ที่โรงเรียนหน่ะเหรอ”

“อื้อ จริง ๆ แล้วความจริงมันก็เป็นอย่างที่เธอสงสัยนั่นแหละ” เอย์จิตอบ

เรกะอึ้งไปพักนึงแล้วถามว่า “งั้นก็แปลว่านายเป็นพวกมีพลังพิเศษงั้นเหรอ”

“จริง ๆ มันก็ไม่เชิงหรอกนะ จะเรียกว่าพลังพิเศษก็ไม่ถูกซะทีเดียว”

“งั้นมันคืออะไรกันหล่ะ” เรกะถาม

“คือเรื่องมันยาวหน่ะ เอาเป็นว่าพวกเราเรียกมันว่าเวทมนตร์...ประมาณนั้น”

“พวกเรา? นายหมายถึงคุณยูริกับครอบครัวนายทุกคนมีเวทมนตร์งั้นเหรอ”

“อื้อ จริง ๆ แล้วตระกูลของเรามีเวทมนตร์กันทุกคนแหละ เท่าที่ชั้นจำความได้คุณปู่ คุณปู่ทวดก็มี” เอย์จิพยายามนึกย้อนไป

“แล้วทำไม... ชั้นหมายถึงทำไมครอบครัวนายถึงได้พิเศษกว่าคนอื่น ๆ หล่ะ” เรกะถามต่อ

“ถ้าจะเรียกว่าพิเศษมันก็ไม่พิเศษหรอกนะ มันออกจะยุ่งยากมากกว่าด้วยซ้ำ ที่ชั้นต้องย้ายโรงเรียนบ่อย ๆ ก็เพราะเรื่องนี้แหละ”

“เพราะมีคนอื่นรู้ความลับของนายงั้นเหรอ”

“มันก็ไม่เชิงอย่างงั้นซะทีเดียวหรอก มันยังมีอย่างอื่นด้วย แต่ถ้าให้เล่ามันก็ยาวหน่ะ”

“แต่ตอนนี้พวกเราอาจจะไม่มีเวลาเหลือให้ทำอะไรอีกแล้วนะ นายรีบ ๆ เล่ามาเถอะก่อนที่...” ตอนนี้ระดับน้ำเริ่มสูงถึงคางของทั้งสองแล้ว

“เอาเป็นว่ามีตำนานสืบทอดกันมาว่า ครอบครัวของเราสืบสายเลือดมาจากคิวบิโนะโยโกะละกัน”

“เค้าเป็นใครเหรอ” เรกะงง

แต่ตอนนี้ระดับน้ำสูงท่วมหัวทั้งคู่แล้ว ทั้งสองคนต้องกุมมือกันลอยคอกลางทะเล แล้วเอย์จิก็ตอบว่า “เดี๋ยวกลับไปแล้วชั้นจะเล่าให้ฟังนะ” ทันใดนั้นเอย์จิก็ดึงตัวเรกะขึ้นมาอุ้มนอนหงายไว้แนบอกเขา มือซ้ายของเขาโอบหลังเรกะไว้ ส่วนมือขวาสอดใต้หัวเข่าของเธอ

“ว้าย! นี่นายจะทำอะไร!?!” เธอตกใจที่จู่ ๆ ก็ถูกกอดอย่างกะทันหันเลยดิ้นไปตามสัญชาตญาณ แต่เธอก็ทำได้เพียงสะบัดขาไปมาให้น้ำกระจายเป็นฟองเท่านั้น

“ชั้นสัญญาแล้วนี่ว่าจะปกป้องเธอ” เอย์จิตอบ พอเรกะเริ่มได้สติก็เอามือเกาะไหล่เขาไว้

“แล้วนายจะทำยังไงต่อ” เธอเงยหน้ามองตาเขาแล้วถามเบา ๆ

ทันใดนั้นน้ำทะเลที่อยู่รอบ ๆ ตัวของทั้งคู่ก็ค่อย ๆ กระจายออกเป็นวงกว้างขึ้น ๆ จนเป็นช่องว่าง เหมือนมีกรวยกระจกคอยป้องกันไม่ให้น้ำทะลักเข้ามา ตอนนี้เอย์จิสามารถยืนบนพื้นได้แล้ว

ซักอึดใจตัวเอย์จิก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นช้า ๆ เขาอุ้มเธอหันหน้าไปทางทะเล เรกะตะลึงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เขาและเธอค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ เธอเอี้ยวตัวก้มไปดูด้านล่างก็เห็นผิวน้ำทะเลอยู่ค่อย ๆ ห่างไกลออกไป เธอหันกลับมามองหน้าเขา แล้วเอย์จิก็พูดว่า “เธอจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับได้มั้ย”

“ชั้นสัญญา ชั้นจะไม่บอกใคร”

เอย์จิยิ้มแล้วก็สะบัดหน้าไปทางทะเล “ดูโน่นสิ!?!”

เรกะหันไปตามที่เขาบอก เธอเห็นดวงอาทิตย์กำลังขึ้นจากผิวน้ำจนเกือบเต็มดวง เธอนอนตะแคงอยู่ในอ้อมกอดของเอย์จิแสงสีทองฉาบตัวทั้งคู่ ผมสีทองของเธอสะท้อนแสงระยิบระยับ ตอนนี้เธอกำลังมองดูดวงอาทิตย์จากที่สูง ๆ อย่างที่เธอเคยฝันไว้

“สวยจัง” เรกะพูดเบา ๆ

เอย์จิยิ้มให้เธอ “เป็นไงมั่ง”

เรกะหันมายิ้มตอบเขา “ขอบใจนะ” แล้วเธอก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “คราวหน้าขอเป็นบนท้องฟ้าได้มั้ย!?!”



Create Date : 01 กันยายน 2552
Last Update : 7 กันยายน 2552 14:00:57 น. 3 comments
Counter : 265 Pageviews.  

 


โดย: นายแจม วันที่: 1 กันยายน 2552 เวลา:22:22:06 น.  

 
มาทักทายให้หัวใจเบิกบานครับ.....สบายดีนะครับ


โดย: ปฐพีหอม วันที่: 4 กันยายน 2552 เวลา:12:21:58 น.  

 
ขอบคุณทุกกำลังใจครับ ถ้ามีคำแนะนำหรือติชมอะไรโพสได้นะครับ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ^^


โดย: ธนสันต์ สนธิศิริ (TonyLaFraga ) วันที่: 4 กันยายน 2552 เวลา:15:35:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

TonyLaFraga
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add TonyLaFraga's blog to your web]