นิยายเรื่องรักยกกำลังสอง แนวโรแมนติกวัยมัธยม ผมไม่สามารถเล่าเนื้อเรื่องย่อได้ เพราะเนื้อหาทุกอย่างจะทำให้คุณลุ้นและเซอร์ไพรส์อยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณชอบอ่านนิยายแนวโรแมนติ และมีปริศนาให้คาดเดาและลุ้นไปกับมัน ลองเข้ามาอ่านเรื่องนี้สิครับ รับประกันความสนุก
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
2 มิถุนายน 2553

รักยกกำลังสอง บทที่ 22 พายุหิมะรัตติกาล (Darkness Storm)

หมู่เมฆดำทะมึนเคลื่อนปกคลุมท้องฟ้าจนมืดมิด พวกมันส่งเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า บางก้อนก็ฟาดสายฟ้าลงมาจนพื้นเบื้องล่างสว่างวาบ ใต้แนวเมฆก็มีพายุหิมะโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง จนต้นไม้นับร้อยหักโค่นไปเพราะแรงลม เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ต่างพากันรีบกลับเข้ารังของตน ราวกับมีสัญชาติญาณรับรู้ได้ว่ารัตติกาลนี้จะมีสิ่งน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้น

บนทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็งยังมีร่างบอบบางของเด็กสาวคนหนึ่งนอนสลบอยู่ หิมะที่ตกลงมาค่อย ๆ ทับถมบนตัวเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ร่างกายเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง แต่จู่ ๆ ก็มีเสียง ๆ หนึ่งแว่วเข้าหูเธอ “เรกะะะะ ๆ !!!” เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับดังมาจากที่ ๆ ห่างไกล แต่เธอกลับรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างบอกไม่ถูก เสียงนั้นแว่วเข้าหูเรื่อย ๆ จนเธอรู้สึกตัวตื่น

“อื้มมม” เธอลุกขึ้นแล้วพยายามรวบรวมสติ แต่พอหายงัวเงียเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น “ที่นี่ที่ไหน!?! แล้วคูมิจังหล่ะ!!!”

เด็กสาวลองหยิกแก้มตัวเองดูว่าฝันอยู่รึเปล่า แต่พอรู้ว่าไม่ใช่ฝันความกลัวก็เริ่มเข้าครอบงำ การต้องอยู่ลำพังท่ามกลางความมืดทำให้เธอเริ่มจินตนาการถึงสิ่งที่ไม่อยากนึกถึง!!! “คูมิจังงง นายะจังงงง รุ่นพี่คะะะะะ ทุกคนนนน ...เอย์จิคุงงงงงง” เด็กสาวร้องเรียกหาเพื่อนแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา และแล้วน้ำใส ๆ ก็เริ่มคลอที่เบ้าตา

เรกะพยายามเรียกความเข้มแข็งในตัวให้กลับคืนมา เธออดทนกลั้นน้ำตาอยู่พักนึง จึงลุกขึ้นหาทางกลับไปหาเพื่อน ๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่เธอคิดว่าก็ยังดีกว่านอนรอความตายอยู่ตรงนี้ ทว่าเนื่องจากหิมะตกหนักมาก ทำให้ทัศนวิสัยเกือบจะเป็นศูนย์ เธอจึงไม่มีทางเลือกต้องค่อย ๆ เอามือยื่นเข้าไปในพายุหิมะคอยคลำทางแล้วเดินไปช้า ๆ

“อ๊าคคคคค กี๊สสสสสส” จู่ ๆ เสียงหมาหอนก็ดังขึ้น แต่มันฟังดูคล้ายเสียงกรีดร้องมากกว่า แล้วพอเสียงหนึ่งเงียบลงเสียงอื่นก็หอนรับต่อกันเป็นทอด ๆ เรกะเริ่มสงสัยแล้วว่าใช่เสียงหมาแน่เหรอ แต่เธอก็อยากให้มันเป็นหมามากกว่าเสียงของอย่างอื่นที่เธอไม่รู้จัก

อากาศเริ่มเย็นลงจนหายใจเข้าไปแล้วแสบปอด เรกะจึงต้องเอามือคอยอังจมูกไว้ให้อุ่น และตอนนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงประหลาดมาจากข้างหลัง มันคล้ายเสียงฝีเท้าคนเดิน แต่มันใกล้มากซะจนถ้ามีใครกำลังเดินอยู่จริง คน ๆ ก็ต้องแทบจะยืนติดอยู่กับหลังของเธอเลย

“หรือว่ามีใครมาตามหาเรา!?!” แล้วเรกะก็รีบหันขวับไปดู แต่ก็ไม่เห็นใคร แล้วเสียงนั้นก็เงียบหายไป เรกะทำหน้างง ๆ แล้วพูดว่า “หูฝาดไปเหรอ” แต่พอเธอเดินต่อเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง แล้วพอเธอหยุดมันก็หยุดตาม เรกะจึงเริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี

ทันใดนั้นก็มีลมชื้น ๆ ปนกลิ่นเหม็นสาบเป่าลงที่หลังคอของเธอ มันคล้ายกับมีใครยืนหายใจรดอยู่ข้างหลัง แต่ลมหายใจนั้นไม่อุ่นเหมือนของคนปกติ แต่มันกลับเย็นชื้น ๆ และเหม็นเหมือนกลิ่นเน่าอะไรซักอย่าง เรกะขนลุกซู่ขึ้นทันที!!! เธอทนไม่ไหวต้องรีบวิ่งฝ่าพายุหิมะออกไปโดยไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น

แต่เสียงฝีเท้านั้นก็เร็วขึ้นเช่นกัน มันไล่หลังเธอไปติด ๆ เรกะหลับหูหลับตาวิ่งไม่คิดชีวิต จนในที่สุดก็มีเสียงดัง “พลั่ก!?! โอ้ยยยยยย” เธอร้องเสียงหลงเพราะชนกับบางอย่างเข้าอย่างจัง เรกะกำลังจะหงายหลังหัวฟาดพื้น แต่โชคดีที่มีมือมาฉุดเธอเอาไว้ก่อน “เรกะ!!” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง พอเธอรู้ว่าคนที่เธอวิ่งชนคือใคร หัวใจเธอก็อุ่นขึ้นทันที “เอย์จิคุง!?!”

พอเห็นหน้าเอย์จิเธอก็รู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด ความเย็นเฉียบเมื่อกี้ค่อย ๆ คลายลง ร่างกายค่อย ๆ อุ่นขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบจะเป็นปกติ เรี่ยวแรงที่หายไปก็เริ่มกลับคืนมา

“เธอเป็นไงมั่ง? เจ็บรึเปล่า?” เอย์จิถามด้วยความเป็นห่วง

“ชั้นไม่เป็นไร นายมาตามหาชั้นเหรอ” เรกะทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ด้วยความตื้นตัน

“ไม่เป็นไรใช่มั้ย ทุกคนเป็นห่วงเธอมากนะ รีบกลับกันเถอะ”

“ขอบใจนะ” เรกะขอบคุณเขา แล้วเอย์จิก็กุมมือนำทางเธอไป

ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินไปนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง “นาย เอ่อ” เรกะอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ

“มีอะไรเหรอ” เขาหันมามองเธอแล้วทำหน้างง ๆ

เรกะพยายามจะถาม แต่มันเหมือนกับมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอเธอ เธอต้องกลืนน้ำลายหลายอึกกว่าจะพูดออกมาได้ “นายได้ยินเสียงอะไรมั้ย?”

“ไม่นี่!?! เสียงอะไรเหรอ”

“เสียงเหมือนคนเดิน...มาจากข้างหลังหน่ะ” เธอพูดเบา ๆ เหมือนกับกลัวมันจะได้ยิน

เอย์จิชะเง้อไปดูข้างหลังเธอ แต่เขาก็ไม่เห็นอะไร “ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่”

เมื่อเสียงนั้นใกล้เข้ามามากขึ้น ลมหายใจเย็นชื้น ๆ ก็รดลงมาที่หลังคอเธออีกครั้ง “นาย…ไม่เห็นอะไรแน่เหรอ” เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“ไม่เห็นมีเลย” เอย์จิส่ายหน้า “เธอโอเครึเปล่า?”

“ไม่รู้!!!” เรกะส่ายหัวแต่ไม่กล้าเงยหน้าเหมือนกับกำลังกลัวอะไรบางอย่าง

ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนมีมือมาจับที่ต้นคอ “ว้ายยยย” เธอสะดุ้งโหยง แล้วลมหายใจเหม็นเน่าก็เปลี่ยนมารดที่กกหูเธอแทน “หนีเร็ว!!!” เรกะทนไม่ไหวรีบดึงเขาหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

“เดี๋ยวซี่!!!” เอย์จิตั้งตัวไม่ทัน

ระหว่างที่กำลังวิ่งไปเรกะก็ได้กลิ่นคาวคล้ายเลือดโชยมาจากด้านหลัง แล้วหิมะสีขาวที่พัดไล่หลังเธอมาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง!!! ทันใดนั้นเธอก็สะดุดกับอะไรบางอย่างจนล้มคะมำ แล้วเจ้าสิ่งนั้นก็กลิ้งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ มันมีลักษณะกลม ๆ ขนาดพอ ๆ กับลูกฟุตบอล แต่พอมองดูดี ๆ ก็พบว่ามันคือศีรษะของเอย์จิที่ตกอยู่บนพื้น!!!

เรกะหน้าซีดขนลุกชัน เธอรีบหันกลับไปหาเอย์จิทันที แล้วเธอก็พบว่ามือของเอย์จิที่เธอกุมอยู่เหลือเพียงท่อนแขนยาวถึงข้อศอกเท่านั้น ส่วนชิ้นส่วนอื่น ๆ ของเขาก็กระจัดกระจายอยู่บนพื้น

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด” เรกะร้องสุดเสียง เธอพยายามสะบัดมือของเอย์จิทิ้งแต่ก็สะบัดไม่หลุด มันนั้นยังกุมแน่นราวกับว่าไม่ยอมปล่อยเธอไป เรกะพยายามอยู่นานจนต้องยอมแพ้ ปล่อยให้มือของเอย์จิกุมมือเธอต่อไป และแล้วเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น!!!

มันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมกลิ่นเหม็นเน่าที่รุนแรงขึ้นเป็นทวีคูณ เรกะเริ่มเห็นเท้าเปลือยเปล่าขาวซีดค่อย ๆ ก้าวออกมาจากในหิมะ เธอพยายามลุกขึ้นจะวิ่งหนี แต่ก็มีใครบางคนมาฉุดขาเธอไว้ แล้วเธอก็ได้เสียงพูดว่า “เรกะอย่าทิ้งชั้นนนน” พอหันไปดูก็เห็นแขนอีกข้างของเอย์จิกำลังฉุดขาของเธออยู่ ส่วนหัวของเอย์จิที่ขาดไปแล้วก็กำลังจ้องเขม็งมาที่เธอ

เรกะตกใจจนช็อก เธออยากจะกรีดร้องแต่ก็ทำไม่ได้ ร่างกายของเธอไม่สามารถขยับได้แม้แต่ปลายก้อย สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้มีเพียงนั่งรอความตายอย่างสิ้นหวัง และแล้วใบหน้าขาวซีดก็โผล่ออกมา!!!

หญิงสาวในชุดกิโมโนสีขาวเดินออกมาจากพายุหิมะ ใบหน้าที่เรียวยาวสวยคมดูเผิน ๆ เหมือนกับผู้หญิงทั่วไป แต่แก้มที่ขาวซีด ดวงตาขาวโพลนไร้ลูกตาดำ และเลือดที่ไหลเป็นทางจากเบ้าตาทั้งสอง ทำให้มั่นใจได้ว่ามันไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน นางปีศาจถือมีดเปื้อนเลือดด้ามใหญ่ตรงเข้ามาหาเรกะ ที่ปลายแหลมของมีดยังคงมีเลือดของเอย์จิหยดติ๋ง ๆ อยู่ มันนั่งลงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วก็แสยะยิ้มเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคม

เรกะนั่งน้ำตาไหลพรากหายใจหอบอย่างแรง หน้าอกเธอกระตุกคล้ายกับคนกำลังจะหัวใจวาย นางปีศาจไม่ปล่อยให้เธอทรมานอยู่นาน มันจ้วงมีดเข้าไปในอกเธอทันที!!! พอปักจนมิดมันก็ชักกลับออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วเลือดสด ๆ ก็พุ่งกระฉูดออกมา แล้วนางปีศาจก็เอามีดฟันฉับเข้าที่คอเรียวระหงของเธอจนขาดสะบั้น!!!

“ไม่ม่ม่ม่ม่ม่ม่ม่!!!” เรนะละเมอร้องลั่นห้อง เธอผวาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองนอนเหงื่อออกท่วมตัว เธอนั่งหอบอยู่พักนึงจึงลุกขึ้นไปเปิดไฟ พอหันไปดูนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาตี 2 “ฝันอะไรกันนะเรา!?!”

แต่ความฝันเมื่อกี๊ทำให้เธอกระวนกระวายจนหลับไม่ลง เธอรีบโทรหาพี่สาวฝาแฝดทันที แต่ก็มีเพียงเสียงตอบกลับมาว่ามือถือของพี่สาวเธออยู่นอกเขตให้บริการเท่านั้น เรนะได้แต่กระสับกระส่ายแต่ไม่รู้จะทำยังไง สุดท้ายเธอก็ปิดไฟนอน แต่เธอก็ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ตลอดทั้งคืน

“เรกะะะะะ!!! ได้ยินชั้นมั้ยยยยย!!!” เสียงเด็กหนุ่มดังมาจากทะเลสาบ เขาออกตามหาเพื่อนสาวท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเหน็บมากว่าชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววใด ๆ เขาพยายามเดินเพ่งสายตามองฝ่าพายุหิมะ จนในที่สุดเขาก็เห็นเงาใครบางคนนอนอยู่บนพื้นน้ำแข็ง!?!

เอย์จิรีบวิ่งไปที่นั่นทันที พอเริ่มเข้าไปใกล้เขาก็เห็นร่างนั้นชัดขึ้น ร่างเด็กสาวผิวขาวผมทองที่นอนสลบไสลไม่รู้สึกตัวอยู่บนลานน้ำแข็ง “เรกะ!” เขาร้องเรียกเธอ แต่ทันใดนั้นร่างเด็กสาวก็อันตรธานหายไปราวกับหมอกควัน???

เอย์จิยืนงงหันมองซ้ายมองขวาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น “เมื่อกี้เราตาฝาดงั้นเหรอ” เขาถามตัวเองในใจแล้วเอามือขยี้ตา ทันใดนั้นพื้นน้ำแข็งที่เขายืนอยู่ก็ค่อย ๆ แตกร้าวและพังถล่มลง “อ๊ะะะะ” เอย์จิร่วงตามลงไปทันที

ภายใต้แผ่นน้ำแข็งนั้นยังคงเป็นน้ำเย็นเฉียบที่แม้แต่ปลายังไม่สามารถว่ายอยู่ได้ เอย์จิที่ตกลงไปก็ถูกน้ำจำนวนมหาศาลไหลทะลักเข้ามาบีบอัดเขาทุกอณูของร่างกาย ความเย็นเฉียบนั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บไปทั้งตัวราวกับถูกมีดแหลมทิ่มแทงนับร้อยเล่ม

เอย์จิพยายามถีบตัวกระเสือกกระสนขึ้นจากน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ก็มีมือจำนวนมากมาฉุดขาเขาเอาไว้!?! และพอก้มลงดูเขาก็เห็นซากศพหลายสิบศพกำลังยื่นมือมาดึงเขาให้จมลึกลงไปมากขึ้น ๆ เอย์จิพยายามทั้งถีบทั้งสะบัดแต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดจากศพพวกนี้ได้ เขาจมน้ำอยู่นานเกินไปจนสุดที่จะกลั้นหายใจเอาไว้ได้ และแล้วน้ำเย็นเฉียบก็ทะลักเข้าไปทั้งทางปากทางจมูก มันทำให้เขาเจ็บปวดราวกับปอดกำลังจะฉีกขาด

ตอนนี้เขารู้สึกชาไปทั้งตัวจนไม่สามารถบังคับร่างกายตัวเองได้ เขายอมจำนนและค่อย ๆ จมลงสู่ก้นทะเลสาบช้า ๆ เปลือกตาทั้งสองก็ค่อย ๆ หรี่ลงอย่างหมดหวัง แต่ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะขาดหายไปนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนเห็นเด็กผู้หญิงผมทองยื่นมือมาฉุดเขา แต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นความจริงหรือความฝัน เขาทำได้เพียงพูดในใจว่า “เรกะ...” และแล้วสติสัมปชัญญะของเขาก็ขาดหายไป

ที่หมู่บ้านพวกชาวบ้านพากันตะโกนโหวกเหวกโวยวายกันอย่างชุลมุน ปกติกลางดึกแบบนี้ในหมู่บ้านจะปิดไฟนอนกันเงียบกริบ แต่คืนนี้เกือบทุกบ้านเปิดไฟสว่างจ้า ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะมีก็แต่เด็ก ๆ ที่นอนหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

“เจอมั้ย?” ผู้ใหญ่บ้านหันไปถามกลุ่มที่ออกค้นหาเด็กนักเรียนที่หายตัวไป

“หาจนทั่วแล้วแต่ไม่เจอเลยครับผู้ใหญ่” ตัวแทนชาวบ้านตอบ

“แล้วกลุ่มมาเอดะกลับมารึยัง” ผู้ใหญ่บ้านถามถึงกลุ่มอื่น ๆ ที่ออกตามหาเช่นกัน

“ยังเลยครับ พวกมาเอดะไปทางป่าท้ายหมู่บ้าน คงอีกซักพักกว่าจะกลับ” ตัวแทนชาวบ้านตอบ

“ไม่เป็นไร ยังไงก็ช่วยตามต่อไปนะ เราต้องหาพวกเด็ก ๆ จนกว่าจะเจอนะ เข้าใจมั้ย” ผู้ใหญ่บ้านกำชับหนักแน่น

“ครับ!” แล้วพวกชาวบ้านก็แยกย้ายกันตามหาเรกะต่อ

“ทำไงดีคะรุ่นพี่” คูมิยะกระวนกระวายหันไปถามทาคายูกิแต่เขาก็ไม่ตอบอะไร ตอนนี้ทุกคนต่างก็มารวมตัวกันรอฟังข่าวของเรกะอยู่หน้าบ้านป้าโทยามะ

“มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ” ป้าโทยามะที่อยู่เป็นเพื่อนเด็ก ๆ ก็เป็นห่วงไม่แพ้กัน

“แล้วก็พายุนี่อีก หิมะไม่เคยตกมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วแท้ ๆ ทำไมจู่ ๆ มาตกเอาตอนนี้นะ” ลุงชาวประมงสงสัย

“ถ้าไม่เกิดอะไรร้ายแรงขึ้นก็ดีหรอก” ผู้ใหญ่บ้านทำหน้าเครียดพูดเป็นลาง แต่คนอื่น ๆ ก็พากันเงียบ

ภายในถ้ำที่มืดมิดเสียงประหลาดดังแว่วเข้าหูเด็กสาวที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ “ตื่นเร็ว!?!”

“ใครหน่ะ” เรกะงัวเงียตอบแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น

“เธอต้องรีบตื่นเดี๋ยวนี้นะ” เสียงนั้นกระซิบบอกเธอ

“ไม่ได้! ชั้นลืมตาไม่ขึ้น!?!” เปลือกตาเธอหนักอึ้งเหมือนกับมีใครเอาหินมาทับไว้

“ถ้าไม่รีบตื่นหล่ะก็เธอจะ…” แล้วเสียงกระซิบนั้นก็เงียบหายไป

อีกด้านหนึ่งเอย์จิสะดุ้งตื่นขึ้นแล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่บนผิวของทะเลาสาบน้ำแข็ง เขามองไปรอบ ๆ อย่างสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก ล่าสุดที่เขาจำได้ก็คือเขาจมลงไปยังก้นทะเลสาบ แต่เสื้อผ้าของเขากลับแห้งสนิท แถมรอบ ๆ ก็ไม่มีแม้แต่รอยแตกร้าวหรือหลุมบนผิวทะเลสาบเลย แล้วระหว่างที่เขากำลังสับสนอยู่นั้นเองก็มีเสียง “เมี๊ยว!!!” ดังขึ้นจากด้านหลัง???

เอย์จิรีบขวับไปดูทันที แล้วเขาก็เห็นลูกแมวตัวหนึ่งนั่งอยู่ มันมีขนสีดำขลับไปทั้งตัวยกเว้นที่เท้าทั้ง 4 ข้างจะเป็นสีขาวทำให้ดูคล้ายกับลูกแมวใส่ถุงเท้า แต่ที่น่าประหลาดก็คือตาข้างหนึ่งของมันเป็นสีฟ้าส่วนอีกข้างกลับเป็นสีน้ำตาล “เมี้ยว!” เจ้าเหมียวร้องทักแล้วทำตาวาวยิ้มให้อย่างน่ารัก แล้วมันก็ทำออดอ้อนแก้มมาไซร้มือเขาอย่างอารมณ์ดี

เอย์จิเองก็ได้แต่งงว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาถามตัวเองในใจว่า “ทำไมถึงมีแมวมาอยู่แถวนี้นะ”

พอพักจนหายมึนแล้วเอย์จิก็จะออกตามหาเรกะต่อ แต่เจ้าแมวก็เดินตามเขาต้อย ๆ เขาเลยหันไปโบกมือไล่มันว่า “กลับบ้านไปซะไป๊!” แต่เจ้าเหมียวไม่สนใจ มันกลับยิ้มอย่างน่ารักน่าชังใส่เขา เอย์จิเลยได้แต่ถอนหายใจดัง “เฮ้อ!” แล้วหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวก็เดินฝ่าพายุหิมะไปด้วยกัน

“เรกะะะะะ!!!” เอย์จิเดินไปตะโกนเรียกเธอไปจนมาถึงอีกฝั่งของทะเลสาบ ทันใดนั้นเขาก็ร้องดัง “โอ้ยยย!” เพราะเขาดันเดินไปชนกับแท่งเหล็กท่อนหนึ่ง แก้มของเขาถูกผิวโลหะเย็นเฉียบกัดจนฉีกเป็นแผลเลือดออกซิบ ๆ แล้วจู่ ๆ พายุหิมะก็เบาลงจนทำให้เขาสามารถมองเห็นรอบ ๆ ได้ “นี่มัน!?!”

ท่อนเหล็กที่ฉีกแก้มเขาที่แท้ก็คือรั้วของคฤหาสน์เศรษฐีที่ชาวบ้านเล่าให้ฟังเมื่อหัวค่ำนั่นเอง เขาเพ่งมองลอดลูกกรงเข้าไปก็พบว่าตัวคฤหาสน์เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวและซากปรักหักพัก ซึ่งทั้งหมดบ่งบอกถึงความเก่าแก่ของสถานที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี

ระหว่างที่มองสำรวจอยู่นั้นเองเขาก็เห็นเรกะยืนอยู่ริมหน้าต่างชั้นล่างของตัวตึก “เรกะ!!!” เอย์จิตะโกนเรียกเธอ แต่เธอก็เดินหายลับเข้าไปในห้องที่มืดมิดทันที เอย์จิไม่รอช้า เขารีบปีนรั้วตามเข้าไปโดยมีเจ้าเหมียววิ่งตามไปด้วย

พอไปถึงหน้าตึกเขาก็ลองผลักประตูเข้าไปดูปรากฏว่าประตูไม่ได้ล็อค เขากับเจ้าเหมียวจึงเดินเข้าไปข้างใน แต่ทันทีที่เขาก้าวข้ามพ้นแนวประตูไปบานประตูก็หมุนปิดเองคล้ายกับมีคนผลัก “ตึงงงง!!!” เสียงบานประตูปิดกระแทกกับวงกบดังสนั่นหวั่นไหว เอย์จิหันไปพยายามบิดลูกบิดเปิดประตูออกแต่ก็เปิดไม่ได้ มันถูกล็อคแน่นราวกับถูกใครเชื่อมเอาไว้

ทันใดนั้นก็มีเสียงรัว ๆ ดัง “ตึงงงงงๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!” มันเป็นเสียงของประตูและหน้าต่างของคฤหาสน์ทุกบานหมุนปิดติด ๆ กัน จนทำให้ตอนนี้ทั่วทั้งคฤหาสน์กลายสภาพเป็นห้องปิดตายที่ไม่อนุญาตแม้จะให้แสงจะลอดผ่านได้

ตอนนี้เอย์จิกับเจ้าเหมียวถูกขังอยู่ภายในห้องที่มืดมิด แต่เอย์จิก็ไม่รู้สึกกลัวเท่าไหร่นัก ตรงกันข้ามเขากลับเป็นห่วงเรกะมากกว่า และพอสายตาเริ่มจะชินกับความมืดเขาก็ออกเดินตามหาเธอ แต่แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นเงาตะคุ่ม ๆ คล้ายคนยืนอยู่ข้าง ๆ เงานั้นสูงเกือบสองเมตร เอย์จิตกใจจนผงะถอยหลัง แต่ก็ทำให้เขาถอยมาชนกับใครอีกคนที่ด้านหลังอย่างจัง

“เคล้งงงงๆๆๆ!!” เสียงคล้ายโลหะหลายชิ้นตกกระทบพื้นดังก้องไปทั่วห้อง เอย์จิหันไปดูจึงรู้ว่าที่เขาชนนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นชุดเกราะอัศวินยุโรปที่ประดับไว้ในคฤหาสน์ต่างหาก เขาลองเอามือไปจับ ๆ ดูก็โดนส่วนที่น่าจะเป็นหมวกอัศวิน แต่ชั่วแวบนึงเขาก็เห็นเหมือนมีศีรษะคนเละ ๆ อยู่ใต้หมวกใบนั้น เขารีบชักมือกลับทันที!!! แต่พอหันไปดูอีกทีก็เห็นเป็นแค่หมวกเปล่า ๆ เท่านั้น

พอเขาลุกขึ้นสังเกตดี ๆ ก็พบว่ารอบ ๆ ห้องมีชุดเกราะแบบเดียวกันตั้งเรียงรายไว้นับสิบตัว “เมี๊ยว!” แล้วเสียงเจ้าเหมียวก็ดังขึ้น มันร้องเรียกเขาอยู่ตรงผนังห้อง พอเอย์จิเข้าไปใกล้ก็เห็นตะเกียงแบบแขวนติดผนังที่มีเทียนไขปักอยู่ ข้างใต้ก็มีไม้ขีดไฟโบราณวางอยู่ด้วย เขาจึงหยิบขึ้นมาจุด

แต่พอเทียนไขติดไฟแล้วเอย์จิก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง เพราะเขาเหลือบไปเห็นคนจ้องมาที่เขาอย่างเกรี้ยวกราด สายตาที่ดุร้ายนั้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่พอดูดี ๆ ก็พบว่ามันเป็นรูปถ่ายโบราณที่แขวนติดอยู่กับผนังนั่นเอง ที่กรอบไม้มีอักษรภาษาอังกฤษสลักไว้ใต้รูปว่า {*บารอน อ็อตม่า ฟอร์เฟวเดอร์ ที่ 3**} แล้วพอเขามองไปรอบ ๆ ก็เห็นรูปถ่ายอีกหลายสิบกรอบถูกแขวนเรียงรายอยู่รอบผนังห้อง

“คงเป็นภาพครอบครัวของเจ้าของคฤหาสน์หล่ะมั้ง” เอย์จิก้มลงพูดกับเจ้าเหมียว แต่ทันทีที่เขาพูดจบตะเกียงดวงอื่น ๆ ในห้องก็ถูกจุดติดขึ้นพร้อม ๆ กัน เอย์จิจึงเพิ่งรู้ตัวว่ามีใครบางคนยืนอยู่ที่กลางห้อง???

“เรกะ!?!” เขาเรียกแล้วมองเธออย่างตกตะลึง เพราะภาพที่เขาเห็นคือเรกะยืนเปลือยกายอยู่กลางห้องโถง โดยไม่มีเสื้อผ้าปกปิดผิวขาวเนียนแม้แต่ชิ้นเดียว!?!

ขณะเดียวกันในหมู่บ้านพวกคูมิยะกำลังรอข่าวอยู่ในบ้านป้าโทยามะอย่างกระวนกระวาย “หรือว่าเรกะจังจะถูกปีศาจหิมะเอาตัวไปจริง ๆ!!!” คารินเริ่มปากพล่อย คนอื่น ๆ ก็เลยได้แต่เบือนหน้าหนี

แต่ทาคายูกินั่งนิ่งทำสมาธิคิดทบทวนเรื่องราวเกิดขึ้นแล้วหันไปถามทุกคนว่า “พวกเราจะตามทาคุมิคุงไปกันมั้ย”

“จะ จะตามไป งะ งั้นเหรอครับ” คอนจิถามเสียงสั่น

“แล้วพ่อหนุ่มคนนั้นไปทางไหนหล่ะจ๊ะ” ป้าโทยามะถามพวกเด็ก ๆ

“ทาคุมิคุงเค้าไปทางโน้นค่ะ” คูมิยะชี้ตรงไปในทะเลสาบตามทิศทางที่เอย์จิวิ่งไป แต่เธอไม่รู้ว่าปลายทางนั้นมีอะไรอยู่

“ไม่ได้นะ!!!” ผู้ใหญ่บ้านพูดเสียงดัง “ห้ามตามไปเด็ดขาด” เขาทำหน้าดุแต่กลับซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้ในแววตา

“ตะ แต่ว่าพวกเพื่อน ๆ หนูอาจจะอยู่ที่นั่นนะคะ” คูมิยะขอร้อง แต่ผู้ใหญ่บ้านก็ยังยืนกรานไม่ให้ไป

“ทำไมหล่ะครับ” ทาคายูกิถามเหตุผล

ผู้ใหญ่บ้านก็ได้แต่เงียบ ส่วนชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็เอาแต่หลบตาพวกเขา พวกเด็ก ๆ เลยได้แต่มองหน้ากันงง ๆ ลุงชาวประมงก็เลยพูดขึ้นว่า “เพราะที่นั่นมีคฤหาสน์อยู่หน่ะสิ!!!”

“คฤหาสน์ที่ว่าคือที่ลุง ๆ เล่าให้ฟังหน่ะเหรอครับ” ฟูจิถามให้แน่ใจ ลุงชาวประมงก็พยักหน้ายืนยัน

“เอ๋!!! งั้นแปลว่าทาคุมิคุงก็กำลังตรงไปที่นั่นเหรอคะ?” คารินถามด้วยน้ำเสียงตกใจ พวกชาวบ้านก็ได้แต่ก้มหน้าเงียบ

“งั้นยิ่งต้องรีบตามไปนะครับ ก่อนจะเกิดอะไรขึ้น” ทาคายูกิบอกพวกผู้ใหญ่

“ไม่ได้!!! ถ้าพวกเธอตามไปแล้วเกิดอะไรขึ้นมาด้วย จะไม่ยิ่งแย่กันไปใหญ่เรอะ” ผู้ใหญ่บ้านสั่งห้าม

“แล้วทาคุมิคุงหล่ะคะ ถ้าเกิดอะไรกับเค้า...” คูมิยะขอร้อง เพื่อน ๆ เธอก็ร่วมขอร้องด้วย

“ใจเย็นก่อนนะจ๊ะเด็ก ๆ ทางเราให้คนไปแจ้งตำรวจแล้ว อีกซักพักก็คงมาถึงแหละ ถ้ายังไงรอก่อนดีกว่านะ” ป้าโทยามะบอกทุกคน พวกทาคายูกิจึงได้แต่ต้องนั่งรออย่างกระวนกระวายใจ

ห้องโถงในคฤหาสน์ตอนนี้สว่างไสวไปด้วยแสงจากตะเกียงที่แขวนเรียงรายอยู่ตามผนัง ทำให้สามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน บนพื้นห้องมีพรมแดงที่มีฝุ่นจับหนาปูลาดจากประตูทางเข้าขึ้นไปยังบันไดหลักที่ตั้งตระหง่านอยู่ฝั่งตรงข้าม บนชั้นลอยของบันไดมีรูปภาพของขุนนางอังกฤษเจ้าของคฤหาสน์ขนาดเท่าตัวจริงติดอยู่กับกำแพง

ชายแก่ในภาพไว้เคราเฟิ้ม ทั้งผมทั้งเคราเป็นสีเทาซึ่งบ่งบอกถึงอายุได้เป็นอย่างดี เขาแต่งกายอยู่ในชุดหรูหราภูมิฐานคล้ายขุนนางฝรั่งที่เคยเห็นในหนัง ใบหน้าของเขาดูเงียบขรึม แต่ก็ชวนให้รู้สึกน่ายำเกรงราวกับว่าขุนนางคนนี้กำลังยืนจ้องลงมาจากบนบันไดอย่างเย่อหยิ่ง

บนเพดานห้องก็มีแชนเดอเลีย**ขนาดใหญ่ที่ทำจากแก้วเจียระไนเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 2 เมตรแขวนอยู่ มันส่องประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับร้อยดวงแขวนอยู่บนหลังคา รอบ ๆ ห้องก็มีชุดเกราะอัศวินและรูปภาพของครอบครัวขุนนางเรียงรายอยู่เป็นระยะ ๆ และที่ใต้แชนเดอเลียนั้นเองเด็กสาวคนหนึ่งยืนเปลือยกายอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเหน็บ
(**โคมไฟขนาดใหญ่ที่ตกแต่งแล้วแขวนไว้บนเพดานคฤหาสน์หรือในงานเลี้ยง)

“เรกะ!?!” เอย์จิได้แต่เรียกชื่อเธอแล้วยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูก

เด็กสาวค่อย ๆ อ้าแขนขึ้นแล้วบอกกับเขาว่า “เอย์จิคุงกอดชั้นที” เอย์จิที่ได้ยินที่เธอขอร้องก็ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปตามคำเชิญชวนของเธอราวกับถูกมนต์สะกด

“เมี๊ยว ๆๆๆ!!!” เจ้าเหมียวที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยายามร้องเตือน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย

เอย์จิอ้าแขนจะสวมกอดเธอตามคำสั่ง แต่พอเขาถูกเจ้าเหมียวขม้ำเข้าที่น่อง เขาก็สะดุ้งแล้วรู้สึกตัวได้สติ “นี่เธอทำบ้าอะไร!!!” เอย์จิตะคอกใส่เรกะแล้วถอดเสื้อแจ็กเก็ตออกมาสวมให้เธอ “เดี๋ยวก็หนาวตายหรอก”

แต่เรกะไม่สนใจ เธอขยับตัวเข้าไปกอดเขาอย่างแนบชิด ไออุ่น กลิ่นหอม และสัมผัสที่นุ่มนวลทำให้เอย์จิค่อย ๆ เคลิ้มทีละน้อย ๆ แล้วเธอก็เอามือไปประคองแก้มเขาอย่างแผ่วเบาและดึงเข้ามาจูบอย่างร้อนแรง ตอนนี้เอย์จิได้แต่ปล่อยตัวปล่อยใจจูบตอบเธออย่างดูดดื่ม

“เมี๊ยว ๆๆๆ!!!” เจ้าเหมียวพยายามทั้งกัดทั้งขบขาเขา แต่เอย์จิก็ไม่ได้สติ

พอเอย์จิเผลอเรกะก็แอบยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ แล้วร่างขาวอมชมพูนั้นก็จางหายไปเหมือนกับครั้งก่อน ทันใดนั้นแชนเดอเลียหนักกว่าหนึ่งตันก็หล่นใส่หัวเอย์จิทันที!!!

“โครมมมม!!!” เสียงโคมไฟขนาดยักษ์หล่นกระแทกพื้นดังสนั่นหวั่นไหว แรงกระแทกทำให้มันแตกกระจายกลายเป็นเศษแก้วชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที แล้วแรงสั่นสะเทือนก็ทำให้ฝุ่นในห้องที่สะสมมานานฟุ้งกระจายจนมองอะไรไม่เห็น

แต่พอทุกอย่างเริ่มสงบลงก็พบเอย์จินอนหมอบอยู่ตรงมุมห้องโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนใด ๆ จะมีก็แต่แขนเสื้อข้างหนึ่งของเขาที่ยืดจนเกือบขาดเพราะถูกเจ้าเหมียวเอาปากงับไว้ เอย์จิที่เพิ่งรู้สึกตัวก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบ ๆ อย่างประหลาดใจ

เขาหันมองมาที่เจ้าเหมียวแล้วพูดว่า “นายช่วยชั้นไว้เหรอ” แล้วเขาก็เอามือลูบหัวมันอย่างเอ็นดู “ขอบใจนะ”

ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างออกมาจากตัวเจ้าเหมียว แสงนั้นสว่างจ้าจนแสบตา เอย์จิต้องพยายามหรี่ตามองเข้าไปแต่ก็เห็นได้เพียงลาง ๆ สิ่งที่เขาเห็นคือเส้นขอบร่างของแมวตัวน้อยนั้นค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น ๆ จนมีลักษณะคล้ายกับรูปร่างของมนุษย์ แล้วเด็กสาวคนหนึ่งก็เดินออกมาจากในแสงนั่น เธอมีผมสีทอง ผิวขาวซีด ตาข้างหนึ่งสีฟ้า ส่วนอีกข้างเป็นสีน้ำตาล รูปหน้าที่สวยคมไม่เหมือนชาวญี่ปุ่นนั้นเอย์จิจำได้เป็นอย่างดี

“ละ ลิลิธ!?!”

ที่บ้านป้าโทยามะคูมิยะเดินไปเดินมาไม่หยุดเหมือนหนูติดจั่นรอฟังข่าวเรกะกับเอย์จิ ส่วนพวกทาคายูกิก็ออกไปช่วยชาวบ้านตามหาเพื่อน ๆ ได้ซักชั่วโมงนึงแล้ว “เฮ้อ!” คูมิยะถอนหายใจแล้วก็เดินวนไปวนมา ซักพักเธอก็หยุดแล้วถอนหายใจอีกครั้ง “เฮ้อ!” แล้วเธอก็เดินต่อ

“คูมิจังนั่งก่อนดีมั้ย” นายะพูดพร้อมขยับเก้าอี้ให้เพื่อน

แต่คูมิยะไม่ตอบอะไร เธอได้แต่ถอนหายใจดัง “เฮ้อ!” แล้วก็เดินวนไปวนมาต่อ

“นี่คูมิจัง! เธอเดินไปเดินมาจนพี่เวียนหัวแล้วนะ นั่งก่อนเถอะ ถึงเดินอยู่อย่างงี้ก็ไม่ทำให้สองคนนั่นกลับมาเร็วขึ้นหรอก” คารินโวยวาย

“จะให้หนูทนรอเฉย ๆ ได้ไงหล่ะคะ นี่พวกรุ่นพี่ก็ออกไปตั้งนานแล้ว” คูมิยะเถียงกลับ

“น่า ๆ ใจเย็นก่อน เดี๋ยวพวกเค้ากลับมาก็เห็นเองแหละ” นายะรีบปรามเพื่อน

“แล้วทำไมตำรวจไม่มาซักทีนะ ช้าจริง!” คูมิยะเริ่มฉุน ซักพักเธอก็ทนไม่ไหวเลยพูดขึ้นว่า “ไม่รงไม่รอมันแล้ว” แล้วเธอก็กระแทกประตูเดินออกไปจากห้อง

“เดี๋ยวซี่คูมิจัง! จะไปไหนหน่ะ” นายะรีบตามเพื่อนไป

“ชั้นก็จะไปตามหาพวกนั้นหน่ะซิ! มาด้วยกันมั้ย?”

“กุกกัก ๆๆ!?!” ทันใดนั้นสาว ๆ ก็ได้ยินเสียงคนเดินมาตามระเบียง พอพวกเธอหันไปดูก็เห็นคุณปู่หูตึงเดินงัวเงียออกมาจากห้อง “อ้าว! งานเลี้ยงยังไม่เลิกอีกเรอะ นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว หัดเกรงใจคนเฒ่าคนแก่บ้างได้มั้ย” คุณปู่โวยวายโดยไม่สนใจรอบข้าง

คูมิยะกับนายะก็ได้แต่มองหน้ากันแล้วทำท่าเซ็ง ๆ “ไม่ได้รู้เล้ยว่าคนอื่นเค้าวุ่นวายกันแค่ไหน” คูมิยะแอบบ่น

แต่ทันใดนั้นคูมิยะก็ฉุกใจคิดอะไรบางอย่างออก เธอรีบเดินเข้าไปหาคุณปู่ทันที นายะก็ได้แต่มองตามเธอไปแล้วทำหน้างง ๆ “คุณปู่ขา” คูมิยะออดอ้อน

“มีอะไรเรอะหลาน ๆ”

“คุณปู่รู้ทางไปคฤหาสน์ที่ลุง ๆ ป้า ๆ เล่าให้หนูฟังมั้ยคะ” คูมิยะเริ่มนวดไหล่เอาใจคุณปู่ นายะได้ฟังที่เพื่อนพูดก็ทำหน้าตกใจ คารินที่เดินออกมาทันได้ยินพอดีก็ตกใจเช่นกัน

“คฤหาสน์นั่นหน่ะเรอะ ทำไมจะไม่รู้หล่ะ สมัยหนุ่ม ๆ ปู่ไปที่นั่นบ่อยจะตาย” คูมิยะทำหน้าดีใจแล้วทุบไหล่คุณปู่ให้แรงขึ้น คุณปู่ก็ทำตาปรือ ๆ แล้วพึมพำว่า “ตรงนั้นแหละตรงนั้น ลงมาหน่อย ๆ อืม ๆ นั่นแหละ อืม ๆ”

พอคุณปู่เคลิ้ม คูมิยะก็ทำเสียงอ่อนเสียงหวานอ้อนว่า “งั้นคุณปู่ช่วยบอกทางให้หนูหน่อยสิคะ”

“แต่ที่นั่นมันร้างไปนานแล้วไม่ใช่เรอะ หลานจะไปทำไมกันหล่ะ”

คูมิยะพยายามหาข้ออ้างอยู่แต่ยังคิดไม่ออก คารินเลยพุ่งเข้ามาแล้วช่วยบีบนวดบริเวณเอวคุณปู่แล้วพูดว่า “แหมก็คุณปู่บอกว่าที่นั่นมีสมบัติอยู่ใช่มั้ยคะ” คุณปู่ก็ทำหน้าเคลิ้มพยักหน้าหงึก ๆ “พวกเราเลยจะไปหาสมบัติกันไง” พอคารินพูดจบคูมิยะกับนายะก็หันมามองเธอตาเขียวปั๊ด

“เอาน่า ๆ ให้พี่จัดการเอง” คารินหันมาส่งซิกบอกน้อง ๆ

“แม่หนูไม่กลัวคำสาปเรอะ”

คารินแกล้งทำหน้าเหมือนมีลับลมคมในแล้วกระซิบข้างหูคุณปู่ว่า “คุณปู่อย่าไปบอกใครนะคะ จริง ๆ แล้วพวกหนูเป็นเอ็กโซซิสค่ะ”

“เอ็กอะไรนะ เอกสิทธิ์งั้นเหรอ” คุณปู่ทำหน้างง ๆ

คารินเลยล้วงเอาเครื่องรางของขลังจำนวนมากที่เธอพกติดตัวอยู่ตลอดเวลาออกมาโชว์แล้วพูดว่า “เอ็กโซซิสค่ะ ที่เป็นนักปราบผีไงคะ”

“อ๋อ เอ็กโซซิสนั่นเอง เอ็กโซซิสอ๋อ ๆๆ” คุณปู่หัวเราะกลบเกลื่อนทำเป็นรู้จัก

คูมิยะเห็นแล้วก็ทำหน้าเจื่อน ๆ หันไปกระซิบกับนายะว่า “นี่รุ่นพี่เค้าพกของพวกนี้ติดตัวประจำเลยเหรอ” นายะเองก็ได้แต่ส่ายหน้าเซ็ง ๆ

“แล้วตกลงคฤหาสน์นั่นไปทางไหนอะคะ” คารินถามคุณปู่

“ก็เดินออกไปทางท้ายหมู่บ้านนี่แหละ เดินไปตามทางในป่า พอเจอทางแยกก็เลี้ยวซ้ายเลาะทะเลสาบไปหน่อยก็ถึงแล้ว” คุณปู่ทำหน้าเพลินกับการนวดที่หลาน ๆ ทำให้

“ขอบคุณมากค่ะคุณปู่!” คูมิยะรีบก้มหัวขอบคุณ แล้วทั้งสามก็ย่องไปดูลู่ทางหลบหนีทางหลังบ้าน

“ระวังตัวด้วยเน้อ” คุณปู่ยิ้มโบกมืออวยพรให้แบบไม่รู้เรื่องรู้ราว

ขณะเดียวกันในห้องโถงเอย์จิก็กำลังนั่งอึ้งกับสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาเห็น “ลิลิธ…จัง ใช่มะ?” เด็กน้อยผมทองก็พยักหน้าหงึก ๆ เอย์จิก็เลยถามแบบอึ้ง ๆ ว่า “แล้ว ทำไม…”

แต่ลิลิธไม่ตอบคำถามเอย์จิ เธอกลับถามเขาว่า “พี่ชายมาตามหาพี่สาวเหรอคะ”

เอย์จิได้ยินที่ลิลิธพูดก็ทำตาโต เขารีบถามเธอว่า “ลิลิธจังรู้เหรอว่าเรกะอยู่ไหน” ลิลิธก็พยักหน้าตอบ เอย์จิเลยถามต่อว่า “งั้นเธอพาชั้นไปได้มั้ย”

แต่คราวนี้ลิลิธไม่พยักหน้า เธอพูดแต่เพียงว่า “พี่ชายตามหนูมาได้มั้ยคะ”

“ได้สิ” เอย์จิจึงรีบลุกตามเธอไปทันที

ลิลิธพาเอย์จิขึ้นบันไดไปชั้นสอง พอเอย์จิเดินผ่านรูปตรงชั้นลอยเขาก็หันไปอ่านข้อความที่เขียนไว้ใต้รูป “บารอน เกฮาร์ท ฟอร์เฟวเดอร์”

“ท่านพ่อของหนูเองค่ะ” ลิลิธหันมาบอกกับเขา

“งั้นก็แปลว่าเธอเป็น…”

ลิลิธพยักหน้าแล้วตอบว่า “หนูเป็นลูกสาวคนเล็กของท่านค่ะ ท่านแม่ของหนูเป็นคนญี่ปุ่น” แล้วลิลิธก็ชี้ให้ดูรูปคุณแม่ของเธอที่แขวนอยู่ชั้นล่าง ใกล้ ๆ กันนั้นก็มีรูปที่ลิลิธถ่ายคู่กับชายหนุ่มชาวต่างชาติอายุราว ๆ 25 ปี ในภาพนั้นทั้งสองดูรักกันราวพี่ชายกับน้องสาว

เอย์จิคิดในใจว่า “เพราะอย่างงี้หล่ะมั้ง ตาสองข้างของเธอถึงมีสีไม่เหมือนกัน”

แล้วลิลิธก็เล่าต่อว่า “หนูตายวันเดียวกับที่ทุกคนโดนทำร้ายค่ะ!?!”

“โดนใครทำร้ายเหรอ” เอย์จิปากไวถามเธอด้วยความอยากรู้ แต่ลิลิธได้แต่ทำหน้าเศร้า ๆ โดยไม่ตอบอะไร

เอย์จิรู้ตัวทันทีว่าพูดผิด เขาก็เลยบอกเธอว่า “ขอโทษนะ ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องเล่าก็ได้” ลิลิธฟังแล้วก็มองหน้าเอย์จิอย่างงง ๆ และไร้เดียงสา เอย์จิก็เลยยิ้มตอบเธอว่า “ก็คนเราถ้าจะมีบางเรื่องที่ไม่อยากพูด มันก็ไม่แปลกอะไรใช่มะ” ลิลิธเลยยิ้มออก

แล้วเอย์จิก็ถามเธอว่า “เอ่อ แล้วทำไมเธอถึงไม่… คือเค้าเรียกกันว่าไงนะ???”

“ไปสู่สุขคติหน่ะเหรอคะ” ลิลิธช่วยต่อให้

“อื้อ ใช่ ๆ ประมาณนั้นแหละ”

ลิลิธเลยเล่าว่า “ทุกคนที่อยู่ที่นี่ไม่สามารถไปไหนได้ พวกเค้าถูกความแค้นและความเกลียดชังครอบงำจิตใจ จนแม้แต่จะออกไปจากบ้านหลังนี้ยังทำไมได้เลยค่ะ” น้ำเสียงตอนท้ายของเธอฟังดูเศร้ามาก

“แต่วันก่อนลิลิธจังก็ไปช่วยพวกพี่ไม่ใช่เหรอ”

“คนที่ตายที่นี่มีแต่หนูกับ…” ลิลิธทิ้งช่วงไปพักนึงแล้วจึงเล่าต่อ “ที่ออกไปข้างนอกได้ แต่หนูก็ออกไปได้เฉพาะบางวันเท่านั้นค่ะ”

เอย์จิมองหน้าเด็กน้อยแล้วคิดในใจว่า “ทำไมนะวิญญาณดวงนี้ถึงมีชะตากรรมที่โหดร้ายแบบนี้ ต้องมาจบชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยและก็ไม่สามารถไปสู่สุขคติได้ ไม่รู้ว่าเธอต้องทนทุกข์มานานแค่ไหน แล้วหลังจากนี้อีกหล่ะ! เธอต้องทนไปอีกนานเท่าไหร่?” ในตอนนั้นเองเขาก็มีความคิดว่าถ้าหากมีทางไหนที่สามารถช่วยเธอและคนอื่น ๆ ได้ เขาก็ยินดีจะช่วยเต็มที่

เอย์จิเห็นลิลิธทำหน้าซึม ๆ เลยพยายามพูดให้เธอร่าเริงขึ้น “แต่ก็ขอบใจมากนะ ถ้าวันนั้นไม่ได้ลิลิธจังช่วยไว้ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไง” ลิลิธเงยหน้ามองเขาเหมือนน้องสาวมองพี่ชาย แล้วเอย์จิก็ยิ้มให้แล้วบอกว่า “เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ถ้าเธอไม่ช่วยชั้นไว้ชั้นก็คงไม่รอดแล้ว ขอบใจมากนะ” แล้วเขาก็ลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน ลิลิธจึงยิ้มออก

ทั้งสองเดินไปคุยไปจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องที่อยู่สุดระเบียง พอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าห้องนี้ตกแต่งเหมือนห้องผู้ชาย แต่ที่น่าแปลกคือบนโต๊ะกลับมีอุปกรณ์ต่าง ๆ วางระเกะระกะอยู่เต็มไปหมด ทั้งหลอดทดลอง ทั้งเข็มฉีดยา ทั้งเครื่องมือแปลก ๆ เอย์จิดูแล้วรู้สึกเหมือนกับว่าเขายืนอยู่กลางห้องแล็บมากกว่า

แล้วลิลิธก็หยิบหนังสือเล่มหนา ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะให้เอย์จิ เขาเปิดดูก็พบว่ามันเป็นสมุดบันทึกอะไรซักอย่างที่กลางเล่มมีแผนที่เก่า ๆ พับสอดเอาไว้ เอย์จิกางแผนที่ดูก็พบว่านี่เป็นแผนที่ที่เขียนบอกทางในพื้นที่แถบนี้ ทั้งหมู่บ้าน ทั้งทะเลสาบ ทั้งภูเขา ทั้งหมดเหมือนกับในปัจจุบันไม่ผิดเพี้ยน

เขาหันไปถามลิลิธว่า “ให้พี่ทำไมเหรอ???”

ลิลิธจึงชี้ตำแหน่งบนแผนที่ให้เขา เอย์จิดูแล้วก็พบว่ามันเป็นถ้ำที่ต้องปีนขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วเดินอ้อมไปทางด้านหลัง “เรกะอยู่ในถ้ำนี้เหรอ?” เอย์จิหันไปถาม ลิลิธก็พยักหน้าตอบ

ในตอนนั้นเองจดหมายฉบับหนึ่งก็หล่นลงมาจากสมุดบันทึก มันถูกสอดไว้หน้าท้าย ๆ ของสมุด เอย์จิหยิบขึ้นมาดูก็เห็นจ่าหน้าซองเขียนว่า {*ถึงเอ็ดเวิร์ดที่รัก**} พอเขาเปิดซองออกดูก็เห็นจดหมายและรูปถ่ายใบหนึ่งอยู่ข้างใน ที่ด้านหลังรูปเขียนว่า

รักเธอตลอดไป
มิยูกิ

เอย์จิพลิกดูด้านหน้าก็เห็นรูปหญิงสาวชาวญี่ปุ่น 2 คนยืนกอดคอชายหนุ่มที่อยู่ตรงกลาง ทั้งสามคนอายุราว ๆ 25 ปี เขาจำได้ว่าชายหนุ่มชาวต่างชาติคนนี้เป็นคนเดียวกับที่อยู่ในรูปคู่กับลิลิธที่ห้องโถง พอเอย์จิดูหน้าหญิงสาวคนทางขวาชัด ๆ เขาก็จำได้ทันที ว่าเธอคนนี้คือผู้หญิงใส่ชุดสีขาวที่เคยพบตรงชายป่าข้างสถานีเมื่อตอนที่มาถึง

เขาคิดในใจว่า “หรือนี่จะเป็นปีศาจหิมะที่ชาวบ้านเค้าลือกัน!?!”

แล้วเขาก็มองหน้าหญิงสาวอีกคนที่อยู่ในภาพ เธอมีหน้าตาน่ารักอ่อนหวาน แววตาเธอสดใสราวกับอัญมณีที่ส่องประกายระยิบระยับ ผมสีน้ำตาลยาวที่ถักเปียนั้นทำให้เธอดูน่ารักน่าทะนุถนอมอย่างมาก แล้วเอย์จิก็มองหน้าชายหนุ่มชาวต่างชาติที่ยืนอยู่ตรงกลาง เขามีผมสีทอง ตาสีฟ้า จมูกโด่ง ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาแบบฝรั่ง ในภาพนั้นทั้งสามคนกอดคอกันยิ้มอย่างอย่างมีความสุข

แล้วเขาก็หันไปถามลิลิธว่า “เอ็ดเวิร์ดนี่เป็นใครเหรอ” ทันทีที่เอย์จิพูดจบคฤหาสน์ทั้งหลังก็สั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว

ลิลิธเองก็ทำหน้าตกอกตกใจมาก “พี่ชายรีบหนีเถอะค่ะ!!!” แล้วเธอก็จูงมือเอย์จิวิ่งออกจากห้องไป

ที่หมู่บ้านขณะที่คูมิยะกับคารินกำลังจะหนีออกไปนั้น คูมิยะก็หันไปเห็นนายะกำลังทำอะไรอยู่คนเดียว “นายะจังมัวทำไรอยู่!?!” เธอเร่งเพื่อน

“เขียนบอกรุ่นพี่หน่ะ เดี๋ยวพวกเค้าจะเป็นห่วง” พอเขียนเสร็จเธอก็วางกระดาษไว้บนโต๊ะแล้วเอาดินสอทับไว้ แต่พอทั้งสามปิดประตูดินสอก็กลิ้งหล่น แล้วกระดาษก็ปลิวลงมาอยู่ใต้ตู้

ในขณะที่พวกคูมิยะก้าวออกทางหลังบ้าน พวกทาคายูกิก็กลับมาจากออกตามหาเรกะพอดี “คูมิจัง! นายะจัง!” ฟูจิตะโกนเรียกเพื่อนจากนอกบ้าน แล้วพอพวกผู้ชายเดินเข้าไปข้างใน พวกเขาก็พบว่าสามสาวไม่อยู่ในห้องซะแล้ว “อ้าวไปไหนกันหล่ะ???”

“ป้าครับพวกผู้หญิงไปไหนกันเหรอครับ” ทาคายูกิเดินไปถามป้าโทยามะ

“อ้าว!?! เอ๋!?! ไม่ได้อยู่ในห้องเหรอ” ป้าโทยามะทำหน้าเหรอหรา

“ไม่อยู่ครับ”

“ดูทั่วรึยัง ห้องน้ำหล่ะ” แล้วป้าโทยามะกับพวกฟูจิก็แยกย้ายกันหาในบ้าน แต่ก็ไม่เจอ ป้าเลยชะโงกหน้าตะโกนถามพวกชาวบ้านที่อยู่ข้างนอก “อ้าวนี่! มีใครเห็นพวกเด็ก ๆ บ้างมั้ย”

“เด็กไหนป้า? พวกที่มาจากโตเกียวเหรอ” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนถามกลับมา

“เอ้อ! เพื่อนของพวกหนูนี่หน่ะ”

“เฮ้ยพวกแก! มีใครเห็นพวกเด็กผู้หญิงที่มาจากโตเกียวบ้าง” พวกชาวบ้านพากันหันไปถามคนข้าง ๆ แต่ทุกคนก็พากันส่ายหน้า

“เอ๋!?! แล้วหายไปไหนกันนะ” ป้าโทยามะทำหน้าสงสัย

“หรือว่าจะ จะถูกปีศาจหิมะเอาตัวไป” คอนจิเริ่มหลอนอีกครั้ง

“บ้าน่า!!!” ฟูจิหันมาเสียงดังใส่เพื่อน

“ใจเย็นก่อน! พวกนั้นอาจจะออกไปตามหาเรกะจังก็ได้” ทาคายูกิพยายามมองโลกแง่ดี

“ผมก็ว่าน่าจะเป็นอย่างงั้นแหละครับ” ฟูจิพูดโดยที่ไม่ได้ทันสังเกตเห็นกระดาษโน้ตที่ตกอยู่ใกล้ ๆ เท้าเขา

ที่คฤหาสน์แรงสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหวทำให้ทั้งพื้น ทั้งผนัง และหลังคาถล่มไล่ลงมาเป็นแนว โดยเริ่มตั้งแต่ห้องนอนของเอ็ดเวิร์ดที่เอย์จิกับลิลิธเข้าไปเมื่อกี๊ ทั้งสองจูงมือกันวิ่งหนีสุดแรงเกิด เพราะพื้นทางเดินที่พวกเขายืนอยู่ถล่มไล่หลังลงมาอย่างรวดเร็วจนใกล้จะทันพวกเขาเต็มที หลุมที่เกิดจากพื้นถล่มนั้นลึกจนมองไม่เห็นก้น และภายในก็มืดมิดราวกับว่ามันเชื่อมต่อไปยังขุมนรก

พอทั้งสองวิ่งไปจนเกือบจะถึงบันไดกลางที่เชื่อมไปยังห้องโถงชั้นหนึ่ง เอย์จิก็หันไปเหลือบดูในหลุมด้วยความคาใจ แล้วเขาก็เห็นซากศพจำนวนมากยื่นมือขาวซีดชูชะเง้อขึ้นมาจากความมืด พวกมันทำท่าหิวโหยเหมือนกับต้องการจะกินใครก็ตามที่ตกลงไปในนั้น เอย์จิเห็นแล้วก็ขนลุกซู่ และเพราะเขามัวแต่หันไปดู พื้นทางเดินจึงถล่มไล่มาทันเขา เอย์จิหล่นพรวดลงไปทันที!!!

แต่โชคดีที่ลิลิธเอื้อมมือไปฉุดเขาได้ทัน เขาจึงหล่นลงไปแค่ครึ่งตัวเท่านั้น เด็กสาวเอามืออีกข้างยึดราวบันไดให้แน่นแล้วพยายามดึงตัวเอย์จิขึ้น แต่เหล่าวิญญาณกระหายเลือดไม่รอช้า พวกมันรีบเอื้อมมือไปจะคว้าขาเขาให้ได้ แต่เอย์จิทั้งสะบัดทั้งดีดตัว พวกมันจึงได้แต่เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาเท่านั้น

ลิลิธดึงเอย์จิสุดแรง จนในที่สุดเขาก็ดีดตัวพรวดขึ้นมาจากปากหลุมได้ แต่ระเบียงก็ยังไม่หยุดถล่ม เอย์จิไม่รอช้า เขารีบพุ่งกระโจนไปหาเด็กน้อยทันที แล้วเมื่อตัวเขาพ้นแนวระเบียง ชั้นสองทั้งชั้นก็ถล่มจนหมดพอดี

แล้วทั้งคู่ก็พากันลงบันไดไปชั้นล่าง แต่ระหว่างที่เดินผ่านชั้นลอยเอย์จิก็สังเกตเห็นว่ารูปบารอนที่ตั้งตระหง่านอยู่นั้นมีบางอย่างต่างไปจากเดิม เขารู้สึกว่าใบหน้าของขุนนางฝรั่งดูเปลี่ยนไปจากที่เคยเคร่งขรึมน่าเกรงขาม กลับกลายเป็นเกรี้ยวกราดดุร้ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เอย์จิยืนเหม่อมองแล้วพูดเบา ๆ ว่า “คงคิดไปเองมั้ง!?!” ทันใดนั้นร่างบารอนเจ้าของคฤหาสน์ก็พุ่งออกมาจากในรูปภาพ แล้วกลายสภาพเป็นอสูรกายขนาดมหึมาพุ่งเข้าชนเอย์จิอย่างแรงจนกระเด็นไปกระแทกกับผนังชั้นล่าง!!!

“ท่านพ่อออออออ!!!” ลิลิธกรีดร้องสุดเสียง

เจ้าปีศาจตัวโตจนเกือบจะทะลุหลังคาบ้าน ขาแต่ละข้างของมันใหญ่พอ ๆ กับเสาคอนกรีต!!! เล็บเท้าทั้ง 4 ข้างคมกริบกรีดพื้นห้องเป็นรอยลึก ดวงตาดุร้ายของมันเป็นสีแดงเพลิงครุกรุ่น หัวของมันดูคล้ายสิงโตแต่มีเขางอกออกมาถึง 13 เขา!!! คอของมันยาวกว่า 2 เมตร เขี้ยวของมันทั้งยาวทั้งแหลมคมพร้อมขย้ำทุกสิ่งที่ขวางหน้า หางของมันเรียวยาวคล้ายงู พอมันสะบัดหางทีนึง ผนังทั้งแถบก็พังถล่มลงมาไม่มีชิ้นดี!!!

เอย์จิได้แต่นอนจุกอยู่บนพื้น ตอนนี้เขาไม่สามารถขยับไปไหนได้อีกแล้ว เจ้าอสูรกายชูคอแล้วคำรามดัง “โฮกกกกกกกก!!!” ลั่นคฤหาสน์ ลิลิธเลยอาศัยจังหวะที่มันเผลอแอบคลานเข้าไปหาเอย์จิ แต่ก่อนที่เด็กน้อยจะไปถึงตัวเขา เจ้าปีศาจก็เอาเท้ามหึมาเหยียบร่างเธอจนแทบจมลงไปในพื้น “ไม่ม่ม่ม่ม่ม่ม่ม่ม่” เอย์จิร้องลั่นบ้าน

แต่ลิลิธพยายามเปล่งเสียงบอกกับเขาอย่างแผ่วเบาว่า “พี่ชายคะ…รีบหนีไป”

เอย์จิมองเธอแล้วก็น้ำตาไหลพราก เขาพยายามกระเสือกกระสนคลานเข้าไปจะฉุดเธอออกมา แต่เจ้าปีศาจก็เอาฟันแหลมคมของมันขย้ำเข้ากลางลำตัวของลิลิธจนจมเขี้ยว แล้วเชิดหัวขึ้นไปทำให้ร่างของเด็กน้อยลอยขึ้นไม่ต่างกับตุ๊กตา เอย์จิที่เห็นเหตุการณ์ต่อหน้าต่อตาก็ได้แต่ช็อกจนทำอะไรไม่ถูก ในที่สุดตัวของลิลิธก็ขาดออกเป็นสองท่อน โดยตั้งแต่ส่วนหน้าอกจนถึงศีรษะถูกเหวี่ยงหล่นลงมาตกตรงหน้าเอย์จิพอดี

“ลิลิธธธธธธ” เอย์จิร้องสุดเสียงโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วร่างของลิลิธก็ค่อย ๆ สลายกลายเป็นฝุ่นทีละน้อย ๆ

แต่ก่อนที่เธอจะสลายไปหมดลิลิธก็พูดกับเอย์จิเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ขอโทษค่ะพี่ชาย ที่หนูช่วยอะไรไม่ได้เลย พี่ชายหนีไปให้ได้นะคะ แล้วระวังด้วยในถ้ำที่พี่สาวอยู่มี...” ลิลิธยังไม่ทันพูดจบร่างเธอก็สลายไปจนหมด

พอดวงวิญญาณของลิลิธสลายไป สติสัมปชัญญะของเอย์จิก็ขาดผึงทันที!!! ใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ แววตาเปลี่ยนเป็นดุร้ายคล้ายสัตว์ป่า แล้วเปลวเพลิงสีดำก็ลุกท่วมตัวเขา เขากัดฟันดังกรอด ๆ ด้วยความแค้น ส่วนเจ้าอสูรกายก็พุ่งเข้ามาหมายจะขย้ำร่างของเขาที่นอนกองอยู่กับพื้น

“กรรนนนนนน!!!” เอย์จิขู่คำรามเหมือนไม่ใช่คน

ส่วนเจ้าปีศาจก็คำรามกลับดัง “โฮกกกกก!!!”

แล้วทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง “บรึ้มมม!!!” พร้อมกับแสงสว่างจ้าจนทำให้ทุกอย่างขาวโพลนมองอะไรไม่เห็น

ซักพักคูมิยะ นายะ และคารินก็มาถึงสถานที่ที่น่าจะเป็นคฤหาสน์ของเศรษฐี แต่ทั้งสามคนก็ได้แต่ยืนงง เพราะที่นั่นมีแต่หลุมขนาดใหญ่กว้างกว่า 50 เมตร แต่ไม่มีร่องรอยของคฤหาสน์หรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ อยู่เลย สาว ๆ ชะเง้อมองลงไปในหลุมก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด

“ไม่เห็นมีคฤหาสน์เลย” คารินพูดกับน้อง ๆ

“หรือว่าเราจะหลงทาง” คูมิยะสงสัย

“แต่ไม่น่านะ ที่คุณปู่บอกก็มีแค่ทางเส้นเดียวตรงมาที่นี่ไม่ใช่เหรอ” นายะพูด

“หรือไม่คุณปู่นั่นก็มั่วนิ่ม!!! ไม่น่าไปเชื่อแกเล้ยยยย รู้งี้ถามคนอื่นดีกว่า” คูมิยะบ่น

“ดูนั่นสิ!” คารินชี้ไปตรงที่มีร่างคนที่นอนข้าง ๆ หลุม

“นั่นทาคุมิคุงนี่!” คูมิยะร้องอย่างตกใจแล้วทั้งสามก็รีบวิ่งไปหาเอย์จิทันที

เอย์จิสะลึมสะลือได้ยินเสียงแว่วเข้าหูว่า “ทาคุมิคุง ๆๆๆ” พอเขาลืมตาขึ้นก็เห็นเพื่อนสาว 3 คนนั่งล้อมรอบเขาอยู่ “พวกเธอ! ทำไม…” เอย์จิพูดไม่ทันจะจบ คารินก็พุ่งเข้ามากอดเขาเต็มรัก ทำให้จมูกของเขาซุกอัดอยู่กับหน้าอกของเธอ

“ทาคุมิคุงงงง ไม่เป็นไรใช่มั้ย เจ็บตรงไหนรึเปล่า” คารินยังเอาหน้าอกของเธอเบียดอยู่กับหน้าของเอย์จิ

“อึก ๆๆ อุ้นอี้ (รุ่นพี่)” เอย์จิเริ่มหายใจไม่ออก เขาเอามือตะกายอากาศเหมือนคนกำลังจมน้ำ

“รุ่นพี่คะ ถ้าทาคุมิคุงจะเป็นอะไรไปก็เพราะรุ่นพี่นี่แหละค่ะ” คูมิยะสะกิดให้หล่อนรู้สึกตัว

“อ้าว ขอโทษทีจ้า แหะ ๆๆ” แล้วคารินก็คลายรัดออก เอย์จิจึงรอดตาย “แหมก็คนเค้าเป็นห่วงนี่” แล้วเธอก็ทำหน้าแอ๊บแบ๊ว

“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น! ทำไมนายมานอนอยู่ตรงนี้? หาเรกะจังเจอมั้ย?” คูมิยะยิงคำถามใส่เป็นชุด

เอย์จิหันมองรอบ ๆ แล้วทำหน้างง ๆ เขาเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เขานึกออกถึงแค่ตอนที่ลิลิธถูกปีศาจทำร้าย แต่หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้เลย พอเขาเห็นหลุมที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็คิดในใจว่า “นี่มันอะไรกัน? แล้วคฤหาสน์หล่ะ? หรือว่าเราฝันไป!?!” แต่พอเขาเห็นของที่อยู่ในมือตัวเอง เขาก็มั่นใจทันทีว่าไม่ได้ฝัน เพราะมันคือสมุดบันทึกที่ลิลิธหยิบให้เขา!!!

เอย์จิกางแผนที่ออกดูแล้วลุกขึ้นเดินไปตามทางที่เขียนไว้ คูมิยะเลยถามว่า “ตกลงว่าไง?”

“เรารีบไปกันเถอะ” เอย์จิบอกเพื่อน ๆ

“อ้าวแล้วนี่จะไปไหน?” คูมิยะสงสัย

“ไปหาเรกะไง”

“นายรู้แล้วเหรอว่าเรกะจังอยู่ไหน”

“รู้แล้ว ถึงจะไม่มั่นใจก็เถอะ” สามสาวฟังแล้วก็พากันทำหน้างง ๆ เอย์จิเลยบอกว่า “เรื่องมันยาว เดินไปคุยกันไปละกัน” พวกเธอจึงยอมตามเขาไปอย่างว่าง่าย

ระหว่างเดินไปเอย์จิก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พอพวกผู้หญิงรู้ว่าแท้จริงแล้วลิลิธเป็นวิญญาณที่สิงอยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น พวกเธอก็ลังเลอยู่ว่าจะเชื่อดีไม่เชื่อดี แต่เพราะรู้ว่าเอย์จิไม่ใช่คนประเภทที่จะพูดอะไรพล่อย ๆ ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ และในที่นี้คนที่เป็นห่วงเรกะมากที่สุดก็น่าจะเป็นเขานี่แหละ พวกเธอจึงยอมเชื่อแล้วก็พากันเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลิลิธ

แล้วเอย์จิก็ชี้ตำแหน่งของถ้ำให้ทุกคนดู “ถ้าจะขึ้นไปบนยอดก็คงต้องนั่งกระเช้าอันนั้นแหละ ไม่รู้ว่าใช้ได้เปล่า!?!”

“ถ้ายังไงพวกเราลองไปดูก่อนละกัน” คูมิยะพูด แล้วทุกคนก็เดินไปยังตีนเขาที่มีกระเช้า

ระหว่างนั้นที่หมู่บ้านคอนจิเริ่มหิวจนท้องร้องจ๊อก ๆ เขาก้ม ๆ เงย ๆ หาของกินที่อยู่ในตู้แล้วก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งตกอยู่บนพื้น “เอ๋! นี่อะไรอะ???”

“มีอะไรเหรอไอ้อ้วน” ฟูจิถามเพื่อน

คอนจิพลิกกระดาษดูแล้วก็ร้องออกมาว่า “นี่มันโน้ตของพวกคูมิจังนี่!” พอฟูจิได้ยินดังนั้น เขาก็รีบฉกกระดาษโน้ตไปจากมือเพื่อนทันที

“มีอะไรเหรอ” ทาคายูกิที่เพิ่งคุยกับผู้ใหญ่บ้านเสร็จก็เข้ามาถาม

“พวกคูมิจังเขียนนี่ทิ้งไว้ครับ” ฟูจิตอบ

“ไหน! เขียนว่าไง?” ทาคายูกิรีบหยิบกระดาษโน้ตมาอ่าน ในนั้นเขียนไว้ว่า {*รุ่นพี่คะพวกหนูไปตามหาเรกะที่คฤหาสน์นะคะ**}

“แล้วจะทำไงดี!?!” ทาคายูกิเห็นข้อความแล้วก็หันไปถามน้อง ๆ

ผู้ใหญ่บ้านกับป้าโทยามะได้ยินเสียงเลยเข้ามาถาม “เกิดอะไรขึ้น!?!”

ฟูจิก็ตอบพวกผู้ใหญ่ว่า “พวกผู้หญิงเค้าไปตามหาเรกะจังที่คฤหาสน์ครับ”

“หา!!!” ผู้ใหญ่บ้านกับป้าโทยามะร้องออกมาเกือบจะพร้อมกัน

“แล้วเราตามพวกนั้นไปกันมั้ย” ทาคายูกิถามน้อง ๆ

“จะ จะ จะเอาจริง ๆ เหรอ” คอนจิกล้า ๆ กลัว ๆ

“ทำไม! นี่แกกลัวผีจนขึ้นสมองแล้วเรอะ!” ฟูจิหันไปว่าเพื่อน

“ปะ ปะ เปล่า” คอนจิปากสั่นมือสั่น เขาพยายามรวบรวมความกล้าจนในที่สุดก็ฮึดขึ้นมาได้ “เอาวะ! งานนี้เป็นไงเป็นกัน!!!”

“งั้นเรารีบตามไปกันเถอะ” ทาคายูกิบอกน้อง ๆ

แต่ผู้ใหญ่บ้านก็ขัดขึ้นมาซะก่อน “เดี๋ยวก่อน! จะไปไหนกัน!?!”

“ไปที่คฤหาสน์ครับ ช่วยกรุณาบอกทางพวกผมหน่อยครับ” ทาคายูกิทำหน้าจริงจัง

“ไม่ได้นะ! มันอันตราย!!!” ป้าโทยามะห้ามพวกเด็ก ๆ

“แต่เพื่อนพวกเราไปที่นั่นกัน 5 คนแล้วนะครับ” ฟูจิเถียง คอนจิก็พยักหน้าหงึก ๆ

“พวกผมทิ้งเพื่อนไม่ได้หรอกครับ” ทาคายูกิพูดจาหนักแน่น

ผู้ใหญ่บ้านมองตาพวกเขาแล้วถามว่า “เอาจริงเรอะ!?!”

“ครับ” ทาคายูกิกับฟูจิตอบพร้อมกัน

“พวกเธอไม่กลัวจะเกิดอันตรายเรอะ” ผู้ใหญ่บ้านถามย้ำ

“ไม่ครับ!!!” ทาคายูกิตอบหนักแน่น ฟูจิก็เหมือนกัน ส่วนคอนจิถึงแม้จะตัวสั่นเพราะความกลัวแต่ก็กัดฟันเอากับพวกเพื่อน ๆ ด้วย

“ถ้างั้นก็ไปกัน!?!” ผู้ใหญ่บ้านบอกแล้วทำท่าจะเดินนำไป

“เอ๋! ว่าไงนะครับ!?!” พวกเด็ก ๆ พากันทำหน้าตกใจ

“ชั้นจะพาพวกเธอไปเอง” ผู้ใหญ่บ้านตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

“ผู้ใหญ่! เอาจริงเหรอ!?!” ป้าโทยามะตกใจหน้าซีด

“คุณลุงแค่บอกทางผมมาก็ได้ครับ” ทาคายูกิเกรงใจ

“ไม่ได้หรอก! เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้วจะให้ชั้นปล่อยเด็ก ๆ ไปเสี่ยงอันตรายกันเองได้ยังไง”

“แต่ว่าผู้ใหญ่…” ป้าโทยามะอยากจะห้ามแต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง แล้วพอลุงชาวประมงกับสามีป้าเดินเข้ามารู้เรื่องก็พากันตกใจ

“ถ้าชั้นบอกทางให้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งพวกเธอไปเสี่ยงอันตรายนั่นแหละ ถ้าอย่างนั้นชั้นไปด้วยดีกว่า”

ขณะเดียวกันเอย์จิกับพวกผู้หญิงก็เดินฝ่าพายุหิมะที่โหมกระหน่ำมาจนถึงตีนเขาทางขึ้นกระเช้า “ดูนั่นสิ!” นายะตาไวเหลือบไปเห็นเด็กสาวผมทองท่าทางคล้ายเรกะอยู่บนบันไดเตรียมขึ้นกระเช้า

“เรกะจังนี่!!!” คูมิยะร้องออกมา

“เรกะจังงงงงง” สามสาวพากันตะโกนเรียกเธอ แต่เรกะก็เหมือนจะไม่ได้ยิน เอย์จิพยายามมองหน้าเธอให้ชัดว่าใช่รึเปล่า เพราะเขาก็เคยโดนหลอกมาแล้ว แต่พอมองเห็นหน้าชัด ๆ เขาก็คิดว่าใช่เรกะตัวจริง

เรกะเปิดประตูแล้วกำลังจะก้าวขึ้นกระเช้า คูมิยะกลัวไม่ทันจึงรีบวิ่งตามไป คนอื่น ๆ ก็เลยตามไปด้วย พอเรกะเห็นพวกคูมิยะขึ้นบันไดมา เธอก็แอบยิ้มที่มุมปากแล้วขึ้นกระเช้าไป!!! ทุกคนรีบวิ่งกันสุดชีวิตแต่ก็ไม่ทัน จึงต้องขึ้นกระเช้าหลังถัดไปแทน

“เรกะจังงงง!!!” คูมิยะเปิดหน้าต่างกระเช้าตะโกนเรียกเพื่อน แต่เรกะก็นั่งนิ่งไม่สนใจ

พอกระเช้าเลื่อนไปถึงครึ่งทางพวกเขาก็อยู่สูงกว่าพื้นดินเกือบ 100 เมตร พายุที่โหมเข้าใส่ก็ทำให้กระเช้าแกว่งไปมาอย่างรุนแรง พวกที่นั่งอยู่ข้างในก็เซหัวทิ่มหัวตำจนเกือบตกกระเช้า และแล้วเรกะก็เปิดหน้าต่างหันมาหาพวกเขา แต่พอเห็นหน้าเธอทุกคนก็ได้แต่อึ้ง เพราะเธอค่อย ๆ แสยะยิ้มออกกว้างจนปากฉีกถึงใบหู แล้วศีรษะของเธอก็หลุดหล่นไปยังพื้นเบื้องล่าง สามสาวก็เลยพากันช็อกตัวแข็งทื่อ

ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง “ครืนนนนนน!!!” มาจากบนยอดเขา เอย์จิมองขึ้นไปก็เห็นหิมะจำนวนมหาศาลกำลังถล่มซัดลงมา “หาที่เกาะเร็ว!!!” เขาหันไปเตือนเพื่อนแต่ก็ไม่ทันแล้ว!!!

“ตู้มมมม!!!” เสียงหิมะกระแทกกระเช้าดังลั่น!!! ลวดสลิงแขวนกระเช้าขาดผึง!!!ทันที กระเช้าที่พวกเอย์จิอยู่ถูกซัดกระเด็นกระดอนกลิ้งเป็นลูกฟุตบอล แล้วหิมะจำนวนมหาศาลก็ถล่มลงมาใส่จนทั้งตู้ถูกฝังอยู่ใต้หิมะ!?!

ขณะเดียวกันที่บ้านป้าโทยามะพอทาคายูกิเปิดประตูออกมา เสียง “ครืนนนน!!!” ก็ดังข้ามทะเลสาบตรงมายังหมู่บ้าน พวกชาวบ้านต่างพากันตกตะลึง “คุณพระช่วย!!!” ผู้ใหญ่บ้านถึงกับอุทานออกมา ทั้งทาคายูกิ ฟูจิ และคอนจิต่างก็ตกใจตาค้าง!!!

“หนีเร็ว!!!” ผู้ใหญ่บ้านบอกทุกคน แต่ก็สายไปซะแล้ว!!! คลื่นหิมะขนาดมหึมาซัดข้ามทะเลสาบถาโถมเข้าใส่หมู่บ้านด้วยความเร็วและรุนแรงเกินกว่าจะหนีพ้น เสียง “ตูมมมมม!!!” ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วหุบเขา แล้วทั้งหมู่บ้านก็จมลงใต้หิมะโดยไม่มีใครหนีรอดแม้แต่คนเดียว!!!



Create Date : 02 มิถุนายน 2553
Last Update : 2 มิถุนายน 2553 20:07:28 น. 0 comments
Counter : 313 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

TonyLaFraga
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add TonyLaFraga's blog to your web]