นิยายเรื่องรักยกกำลังสอง แนวโรแมนติกวัยมัธยม ผมไม่สามารถเล่าเนื้อเรื่องย่อได้ เพราะเนื้อหาทุกอย่างจะทำให้คุณลุ้นและเซอร์ไพรส์อยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณชอบอ่านนิยายแนวโรแมนติ และมีปริศนาให้คาดเดาและลุ้นไปกับมัน ลองเข้ามาอ่านเรื่องนี้สิครับ รับประกันความสนุก
<<
ธันวาคม 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
16 ธันวาคม 2552

รักยกกำลังสอง บทที่ 18 เที่ยวชมเทศกาลยามราตรี (Tour the Night Festival) ตอน 2

ทันใดนั้นก็มีเสียงเพลงดังขึ้น “ame ni nureta hoho wa namida no nioi ga shita” เรกะรีบหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า พอกดดูก็เห็นคูมิยะโทรเข้ามา “คูมิจังมีอะไรเหรอ”

พอเธอรับสาย คูมิยะก็ว้ากใส่ทันที “เรกะ! หล่อนปีนออกนอกโรงเรียนไปทำไมยะ”

“คูมิจัง ชั้นออกไปตามเอย์จิหน่ะ”

“หา! หมอนั่นหนีออกไปเหรอ” คูมิยะตกใจซ้ำซ้อน ด้านนายะก็พยายามเอาหูไปแนบมือถือเพื่อน แต่เพราะเธอตัวเล็กมากเลยต้องคอยกระโดดชะเง้อฟังได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง

“ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน” เรกะตอบ

“อ้าว เธอไม่ได้เห็นหมอนั่นปีนออกไปเหรอ”

“เปล่าอะ”

“งั้นเธอปีนออกไปหาพระแสงอะไรยะะะะ” คูมิยะตะโกนใส่โทรศัพท์จนเรกะหูแทบแตก

“โอ้ยยยยย จะตะโกนทำไมเนี่ย” เรกะร้อง

“อยากหาเรื่องใส่ตัวรึไง อยู่ ๆ ปีนออกนอกโรงเรียนเนี่ย” คูมิยะยังไม่หยุดโวยวาย

“ใจเย็น ๆ คนอื่นมองกันใหญ่แล้ว” นายะพยายามบอกให้เพื่อนเพลา ๆ เสียงลง

“ชั้นรู้สึกว่าเอย์จิอยู่ข้างนอกหน่ะ”

“รู้สึก!?! นี่เธอจะบ้าไปแล้วเรอะ เพราะแค่นี้ก็เลยปีนออกไปเนี่ยนะ”

“อื้อ” เรกะตอบห้วน ๆ

“กรรม!!! นี่หล่อนรีบกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะยะ”

“ขอโทษนะคูมิจัง เดี๋ยวชั้นกลับไป” เรกะตอบเบา ๆ แล้วเธอก็วางสาย

“อ้าว เดี๋ยวซิ ฮัลโหล ๆ”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” นายะถาม

“ก็ยัยนั่นหน่ะซิวางสายไปแล้ว ไว้กลับมานะ แม่จะลงทัณฑ์ซะให้เข็ดเลย ฮึ่ม!!!” คูมิยะฉุนแล้วบีบมือเสียงดังกร๊อบ ๆ ส่วนนายะก็ได้แต่เป็นห่วง

แล้วเรกะก็วิ่งไปจนถึงถนนใหญ่ เธอมองซ้ายมองขวาแต่ก็หาเอย์จิไม่เห็น เธอเลยตัดสินใจวิ่งไปตามทางเลียบชายหาดย้อนกลับไปที่บ้าน พอวิ่งไปได้ซักพักเธอก็เห็นเอย์จิยืนอยู่ตรงฟุตบาทริมหาดมิสึ บริเวณนั้นเป็นสถานที่ซึ่งเขาได้พบกับหนึ่งในพี่น้องฮิเมะเป็นครั้งแรกและตกหลุมรักเธอที่นั่น

“เอย์จิ!!!” เรกะหอบแฮก ๆ แต่ยังไม่วายทำหน้าดุ

“คะ ครับ” เอย์จิตอบอย่างกลัว ๆ

“ทำไมนายโดดเรียนออกมาแบบนี้ยะ”

“ขะ ขอโทษครับ คือผมรู้สึกติดใจบางอย่างกับที่นี่ครับ”

“ตรงนี้หน่ะเหรอ” เรกะงงว่าที่ตรงนี้มีอะไรพิเศษ

“ครับ”

“อืม แล้วนายนึกอะไรออกมั่งมะ”

“ยังเลยครับ”

“นี่! นายเลิกพูดสุภาพกับชั้นซะทีเหอะ ถึงนายจะจำอะไรไม่ได้แต่ชั้นก็เป็นเพื่อนนายนะ ทุกคนก็ด้วย” เรกะพูดอย่างหงุดหงิด

“ขอ ขอโทษครับ”

“ไม่เอา! พูดใหม่!” เรกะดุเหมือนคุณครูดุนักเรียน

“ขอ ขอโทษ…นะ” เอย์จิพยายามพูดออกมา

“ดีมาก แล้วต่อไปนี้นายห้ามพูดสุภาพอีกเข้าใจมั้ย กับทุกคนเลยนะ”

“ขะ เข้าใจครับ เอ่อ เข้าใจแล้ว”

ต่างฝ่ายต่างก็เงียบกันไปพักนึง เอย์จิมองไปรอบ ๆ แล้วพยายามนึกให้ออก ส่วนเรกะก็ชำเลืองมองเขาเป็นระยะ ๆ แล้วเรกะก็ถามว่า “เป็นไงมั่ง”

“ยังเลย ผม...เอ่อ...ชั้นคุ้น ๆ แค่ว่าเคยเจอใครซักคนที่นี่หน่ะ”

“ใครงั้นเหรอ” จู่ ๆ เรกะก็นึกถึงหน้าน้องสาวเธอขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“ไม่รู้สิ แต่น่าจะเป็นคนสำคัญนะ”

“งั้นเหรอ แล้วนายจะเอาไง อยู่แถวนี้ต่อมั้ยหรือจะกลับเลย”

“ชั้นยังไม่อยากกลับไปโรงเรียนหน่ะ” เรกะฟังแล้วก็ทำหน้าสงสัยว่าเพราะอะไร เอย์จิเลยอธิบายว่า “คือชั้นอยากจะไปที่นึงก่อนหน่ะ”

“ที่ไหนหล่ะ”

“ตรงที่ตึกเยอะ ๆ ทางโน้นหน่ะ มีสวนสาธารณะอยู่ใช่มะ ชั้นอยากไปที่นั่นดูหน่ะ”

“สวนเพนกวิ้นหน่ะเหรอ นายเคยไปด้วยเหรอ”

“ไม่รู้สิ ก็ชั้นความจำเสื่อมนี่” เอย์จิตอบแบบซื่อ ๆ

“นี่นายกวนประสาทชั้นรึไงยะ” เรกะทำเสียงแข็งใส่ แต่แก้มเธอแดงก่ำเพราะปล่อยเพิ่งปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ

“ชั้นกวนตรงไหนเหรอ” เอย์จิยังไม่รู้ตัว

“เออ ๆๆ ช่างเถอะ ถ้าจะไปสวนเพนกวิ้นก็ไปขึ้นรถตรงนั้นกัน” แล้วเธอก็พาเอย์จิไป ระหว่างรอรถเมล์เธอก็นึกขึ้นได้ว่าต้องโทรไปบอกเพื่อน ๆ “ฮัลโหล คูมิจังเหรอ”

“เรกะจังตอนนี้อยู่ไหนเนี่ย” คูมิยะกับเพื่อน ๆ ต่างก็เป็นห่วงเธอมาก ทาคายูกิกับคารินก็อยู่ข้าง ๆ ด้วย

“ชั้นเจอเอย์จิคุงแล้ว แต่พวกเรายังไม่กลับโรงเรียนนะ หมอนั่นบอกว่าอยากไป…” ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบโทรศัพท์เธอก็แบตหมดซะก่อน “ตู๊ดๆๆ”

“เรกะจัง ๆ” คูมิยะเรียกเพื่อนแต่สายก็ตัดไปซะแล้ว

“เป็นไงมั่งคูมิจัง” เรนะถาม

“เรกะจังบอกว่าเจอตัวทาคุมิคุงแล้ว แต่เห็นบอกว่าจะไปไหนกันไม่รู้”

นายะค่อย ๆ ชำเลืองมองเรนะโดยไม่ให้เธอรู้ตัว เธอกลัวว่าเพื่อนจะไม่สบายใจที่เอย์จิไปกับพี่สาวฝาแฝดกันสองต่อสอง แต่เรนะกลับยิ้มแล้วบอกว่า “พี่เค้าคงจะช่วยพาเอย์จิคุงไปที่ต่าง ๆ มั้งจ๊ะ”

“นั่นสิ ถ้างั้นพอเลิกเรียนแล้วเราค่อยไปหาพวกนั้นละกัน ตอนนี้กลับไปห้องกันก่อนเถอะ” ทาคายูกิบอกน้อง ๆ ในฐานะพี่ใหญ่

“แล้วเรื่องเรกะจังหล่ะจะว่าไง” คูมิยะหันไปถามนายะที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับเรกะ แต่นายะก็ได้แต่ส่ายหน้าไม่รู้จะทำยังไง

“เอางี้สิ บอกอาจารย์ว่าเอย์จิหายตัวไป แล้วพวกเราก็ช่วยกันหา แต่เรกะจังเป็นคนหาเอย์จิเจอ ก็เลยพาหมอนั่นกลับโรงพยาบาลดีมะ” คอนจิเสนอไอเดีย

“อืม ก็ดีเหมือนกันนะ อาจารย์น่าจะเข้าใจแหละ และพวกเราก็ไม่ได้โกหกด้วย” ทาคายูกิพูด คนอื่น ๆ ก็เห็นด้วย

“หลังเลิกเรียนถ้าจะไปหาทาคุมิคุง ก็โทรบอกพี่ด้วยนะ” คารินบอกน้อง ๆ พวกสาว ๆ ก็รับคำแล้วพากันแยกย้ายกลับห้องเรียน

ด้านเรกะพอไปถึงสวนก็เดินนำเอย์จิเข้าไปข้างในจนถึงรูปปั้นเพนกวิ้นใจที่อยู่ใจกลาง “นายเคยมาที่นี่ด้วยเหรอ”

“ไม่รู้สิ ก็ชั้นความจำเสื่อมอยู่นี่”

“นี่นาย! จะกวนกันมากเกินไปแล้วนะ” เรกะเริ่มยั๊วะ

“อ้าว ขอโทษ ๆ ก็ชั้นพูดความจริงนี่”

“แล้วไอ้การพูดจายียวนนี่มันอะไรกันยะ”

“อ้าว ก็เธอบอกให้ชั้นเลิกพูดสุภาพไม่ใช่เหรอ”

“ชั้นบอกให้เลิกพูดสุภาพ แต่ไม่ได้บอกให้พูดจากวน…(เซ็นเซอร์)ย่ะ” พอเรกะว้ากจบเอย์จิก็ทำหน้าเฉย ๆ เดินมองโน่นมองนี่ไปเรื่อยอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร เลยยิ่งทำให้เธอหมั่นไส้เขามากขึ้นอีกหลายเท่า

“ชั้นรู้สึกคุ้น ๆ นะ คงเคยมาที่นี่แหละ”

“งั้นเหรอ แสดงว่าความจำนายใกล้กลับมาแล้วสิ”

“ถ้างั้นก็ดีสิ”

“แล้วมีตรงไหนสะกิดใจมั้ย”

“อืม ก็ไม่มีสะกิดใจหรอกนะ แต่ถ้าจะถามว่าตรงไหนที่รู้สึกคุ้น ๆ ก็คงตรงนั้นแหละ” เอย์จิชี้ไปที่เรือพายให้เช่า

“นายอยากพายเรือเหรอ”

“อื้อ เธอจะมาด้วยกันมั้ยหล่ะ”

“อื้อ เอาสิ” เรกะตอบไปโดยไม่ทันคิด แต่พอเธอกับเขากำลังจะลงเรือด้วยกัน เธอก็รู้สึกถึงจิตสังหารแห่งการนินทาที่ส่งมาจากสายตาหลายคู่รอบ ๆ สวน

“อุ๋ยตัวเอง เด็กสองคนนั้นโดดเรียนมาเดทกันแหละ” “เด็กสมัยนี้มันแก่แดดหน่ะ ที่รักอย่าไปสนใจเลยจ๊ะ สนใจเค้าดีกว่า เอ้าอ้ามมม” เสียงหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่พลอดรักกันอยู่ใต้ต้นไม้นินทาพวกเธอ

“ต๊าย พ่อดูโน่นสิเด็กสมัยนี้ไม่ไหวเลย ไม่ยอมร่ำยอมเรียนหนีตามกันมากลางวันแสก” “นั่นสิลูกเต้าเหล่าใคร มาทั้งชุดนักเรียนเลย ถ้าเป็นลูกเป็นหลานนะจะตีไม่เลี้ยงเลย” พ่อแม่คู่หนึ่งที่พาลูกน้อยมาพักผ่อนในสวนนินทาพวกเธอ

นอกจากนี้เรกะก็ยังได้ยินเสียงซุบซิบ ๆ จากอีกหลาย ๆ มุมของสวน เธอเลยหยุดเดินไม่กล้าลงเรือไปกับเอย์จิ “มีอะไรเหรอ” เอย์จิหันมาถาม

“อะ อะ เอ่อ คือมันออกจะ...” เรกะตะกุกตะกัก เธอมองไปรอบ ๆ เห็นหนุ่มสาวหลายคู่พากันพายเรือกระหนุงกระหนิงกันรอบ ๆ สวน แก้มของเธอเริ่มมีสีชมพูจาง ๆ “คือ แบบว่า คนอื่นเค้าจะเข้าใจผิด...รึเปล่า” เธอพูดเบาจนเอย์จิฟังไม่ถนัด

“ว่าไงนะ” เอย์จิถามซ้ำ

“ปะ ปะ เปล่า คือ...”

เอย์จิเห็นเธอทำท่าไม่อยากไปก็เลยบอกว่า “ถ้างั้นเธอนั่งรอที่นี่นะ” แล้วเขาก็หันหลังเดินไปขึ้นเรือ

“ดะ เดี๋ยวก่อนสิ ชั้นไปด้วย” เรกะรีบวิ่งตามเขา แก้มเธอตอนนี้เป็นสีแดงก่ำ

สุดท้ายทั้งสองก็ขึ้นมาบนเรือด้วยกัน แล้วเอย์จิก็เริ่มพาย “ไหนว่าไม่อยากมาไง” เขาถามตรงประเด็นแทงใจเธออย่างจัง

“ชั้นไม่ได้บอกว่าไม่อยากมาซะหน่อย” เรกะปฏิเสธหน้าแดง

“เหรอ เห็นทำท่าทางเหมือนไม่อยากนั่งเรือ อ๋อรู้แระ! เธอว่ายน้ำไม่เป็นใช่มะ” เอย์จิทำหน้ายิ้มเยาะ

“ชั้นว่ายเป็นย่ะ แต่ที่ชั้นไม่อยากลงก็เพราะ…” พอเธอรู้ตัวว่ากำลังจะพูดอะไรออกไปก็รีบเอามือปิดปากตัวเองทันที

“ทำไมเหรอ” เอย์จิสงสัย

“เปล่า ไม่มีอะไร”

“ไม่มีได้ไง ก็เมื่อกี้เธอยังพูดอยู่เลย” เขาทำสายตาคาดคั้นให้เธอพูดออกมา

“ไม่ต้องมามองชั้นแบบนั้นเลยนะ” เรกะทำฉุนกลบเกลื่อนแล้วหลบตาเขา พอเธอค่อย ๆ ชำเลืองดูหน้าเขาก็ยังเห็นเขาทำสายตาเหมือนเดิม เธอเลยตอบเสียงอ่อยว่า “ก็ชั้นอายนี่”

“อะไรนะ” เอย์จิพยายามเงี่ยหูฟัง

“ก็ชั้นอายนี่” เธอพูดเสียงดังกว่าเมื่อกี้หน่อยนึง

“ก็ชั้นอะไรนะ” เอย์จิยังถามต่อเหมือนจะแกล้งกัน

“ชั้นบอกว่าก็ชั้นอายนี่!!!” เธอโพล่งออกมาดังซะจนได้ยินกันทั่วทั้งสวน คนอื่น ๆ พากันหันมามองทั้งคู่กันเป็นตาเดียว เรกะเลยทำตัวลีบหดลงเหลือนิดเดียว แก้มกับใบหูเธอตอนนี้เป็นสีแดงก่ำ

เอย์จิเลยค่อย ๆ พายเรือออกไปตรงที่ ๆ ห่างไกลผู้คน แล้วเขาก็ถามว่า “เธออายอะไรเหรอ”

พอเธอฟังที่เอย์จิถามก็จี๊ดขึ้นสมองทันที ตอนนี้ทั้งหัวเธอเป็นสีแดงก่ำไปหมดแล้ว “ใครจะไปบอกนายกันย้าาาาา” เธอโวยวายจนเรือสั่นโคลงเคลง

“เบา ๆๆๆ เดี๋ยวเรือล่ม” เอย์จิต้องคอยประคองเรือไว้ไม่ให้พลิกคว่ำ แต่เรือโคลงจนเรกะทรงตัวไม่อยู่ เธอกำลังจะร่วงตกเรือ ทันใดนั้นเอย์จิรีบพุ่งตัวไปกอดเธอไว้ ทั้งคู่เลยพากันล้มคะมำราบไปบนเรือ

สภาพตอนนี้เอย์จินอนคว่ำกดทับเรกะที่นอนหงายอยู่บนเรือ ทั้งคู่สบตากันโดยไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา เรือเริ่มโคลงน้อยลง แล้วเอย์จิก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น “ขอโทษนะ เจ็บมั้ย”

“ไม่ ไม่เป็นไร” เรกะตอบแล้วเธอก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นตาม

แล้วเอย์จิก็พายเรือไปเรื่อย ๆ จนถึงอุโมงค์ต้นไม้ พอเรือกำลังจะลอดอุโมงค์เขาก็บอกว่า “ชั้นรู้สึกคุ้น ๆ ที่นี่นะ”

“งั้นเหรอ แสดงว่านายเคยมาพายเรือเล่นที่นี่จริง ๆ หล่ะสิ”

“ก็คงงั้นมั้ง”

เรกะมองหน้าเขาแล้วพูดว่า “ชักอยากรู้แล้วสิว่ามากับใคร”

ฝ่ายเอย์จิก็สบตาเธอตอบแล้วบอกว่า “ชั้นเองก็อยากนึกให้ออกเหมือนกันแหละ”

“งั้นเหรอ” เรกะเลยทำเป็นชมทิวทัศน์รอบ ๆ ข้าง แต่ใจเธอกลับนึกถึงหน้าน้องสาว ทั้งสองนั่งเรือไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลับถึงท่า เรกะก็ถามว่า “แล้วนึกออกมั้ยว่าคน ๆ นั้นหน้าตายังไง”

“หน้าตาเหรอ อืมมม” เอย์จิพยายามนึก “น่าจะเป็นผู้หญิงนะ ตัวเล็ก ๆ พอ ๆ กับเธอนี่แหละ ส่วนหน้าตาก็...” แล้วเขาก็หันมามองหน้าเธอ

“ไม่ต้องมามองชั้นเลย ชั้นไม่เคยมาที่นี่กับนายย่ะ” เรกะรีบตัดบท เธอมีอาการเขิน ๆ เล็กน้อย

“เปล่า ๆ ชั้นไม่ได้หมายความว่างั้น” พอถึงฝั่งเอย์จิก็ผูกเรือแล้วก้าวขึ้นไปบนฝั่ง เขาหันมายิ้มให้แล้วยื่นมือมาให้จับ

เรกะนิ่งคิดอะไรอยู่เล็กน้อยแล้วตัดสินใจไม่ยอมจับมือเขา และเธอก็ก้าวขาขึ้นฝั่ง เอย์จิเลยได้แต่ทำหน้าเก้อ ๆ แล้วเธอก็ถามว่า “แล้วนายอยากไปไหนต่อหล่ะ”

“คือชั้นอยากจะไปที่ ๆ นึงหน่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันที่ไหน”

“อ้าว หมายความว่าไงอะ”

“คือในเมืองนี้ไม่มีที่ ๆ เหมือนกับตกลงมาใช่มะ”

“อะไรของนายอะ พูดให้มันเข้าใจหน่อยซิ”

“คือชั้นหมายถึงตกลงมาจากที่สูง ๆ อะไรประมาณนี้อะ”

“นายหมายถึงบันจี้จั๊มป์เหรอ”

เอย์จิมองหน้าเธอแล้วพูดแบบไม่มั่นใจว่า “เมืองนี้คงไม่มีใช่มะ”

เรกะถอนหายใจดังเฮ้อแล้วตอบว่า “มี! นายจะไปมั้ยหล่ะ”

“มีเหรอ!?!”

“อื้อ ไปมั้ยหล่ะ” เรกะรอฟังคำตอบ

“ไม่รบกวนเธอนะ”

“โอ๊ยยย นายไม่ต้องกลัวจะรบกวนหรอก ถ้ารบกวนมันก็รบกวนมาตั้งแต่แรกแล้ว”

“ขอโทษ ๆ งั้นไปละกัน เผื่อจะนึกอะไรออก”

“งั้นก็ไปขึ้นรถทางโน้น” แล้วเธอก็เดินนำไป ระหว่างที่ทั้งสองนั่งรถเมล์เรกะก็คิดในใจว่าสิ่งที่จะทำให้ความจำเอย์จิกลับมาคงจะเป็นความทรงจำระหว่างเขากับน้องสาวเธอละมั้ง แล้วเธอก็ทำหน้าซึมนิด ๆ

ซักพักทั้งสองก็มาถึงสวนสนุก Precious Memory ที่พวกเธอเคยมาเมื่อหลายเดือนก่อน “โอ้โห! เมืองนี้มีสวนสนุกใหญ่ขนาดนี้ด้วยเหรอ” เอย์จิท่าทางตื่นเต้นเหมือนเพิ่งเคยมา

“อื้อ ที่นี่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้เลยนะ”

“แล้วชั้นเคยมารึเปล่า”

“เคยครั้งนึง”

“แล้วชั้นมากับใครเหรอ”

“มากับทุกคนหน่ะแหละ มากัน 7 คน”

“เหรอ!?! คงจะมันน่าดู อยากนึกออกเร็ว ๆ จัง”

พอเข้าไปข้างในเรกะก็เดินนำเอย์จิไปที่ลานเช่ารถ “ที่นี่มันต้องขับรถเที่ยวนะ”

“เหรอ ไฮโซจัง”

เจ้าหน้าที่สวนสนุกจัดรถแบบนั่งสองคนให้พวกเธอ เรกะไม่กล้าสบตาเจ้าหน้าที่ เธอคิดในใจว่า “เค้าจะเข้าใจผิดคิดว่าพวกเรามาเดทกันรึเปล่านะ” แล้วเธอก็หน้าแดงนิด ๆ

“เอาไงให้ชั้นขับมั้ย” เอย์จิหันไปถาม

“ตะ ตามใจนายละกัน” เธอไม่กล้าเงยหน้าตอบเพราะกลัวสายตาคนอื่น ๆ ที่มองมา

เอย์จิให้เธอพาเขาไปยังหอคอยบันจี้จั๊ม พอไปถึงเขาก็ถามว่า “เธอจะเล่นด้วยกันมั้ย”

เรกะนึกไปถึงตอนที่เอย์จิขึ้นไปกับเรนะในวันนั้น เธอเลยตอบว่า “ไม่หล่ะ นายเล่นเถอะ ชั้นรออยู่ที่นี่แหละ”

เอย์จินิ่งเงียบมองหน้าเธอแล้วถามว่า “เธอกลัวความสูงเหรอ”

เรกะฟังแล้วฉุนขึ้นมาทันที “ไม่ได้กลัวย่ะ แต่ชั้นไม่อยากเล่น” เมื่อกี้ก็ทีนึงแล้วที่เขาเข้าใจผิดว่าเธอว่ายน้ำไม่เป็น เธอคิดในใจว่า “ตาบ้า ไม่ได้รู้ซะบ้างเล้ยว่าคนเค้ารู้สึกยังไง”

“อ้าวทำไมหล่ะ อุตส่าห์เสียตังแล้ว”

“บอกว่าไม่ก็ไม่สิ ชั้นไม่มีอารมณ์ นายรีบไปได้แล้ว” แล้วเธอก็ดันเอย์จิไปเข้าแถว

“งั้นเดี๋ยวชั้นมานะ”

ระหว่างที่เอย์จิกำลังเตรียมตัวโดดลงมาจากข้างบน เรกะก็นึกภาพที่เอย์จิกอดกับเรนะแล้วโดดลงมาด้วยกัน แล้วเธอก็พูดกับตัวเองว่า “ถ้ามีคนโดดพร้อมกับหมอนั่นเหมือนตอนนั้นจะช่วยให้ความจำกลับคืนมารึเปล่านะ” แล้วเอย์จิก็โดดลงมา เธอเลยรีบไปรอที่ท่าเรือ

“เป็นไงมั่งสนุกมั้ย” เธอเอาผ้าขนหนูไปช่วยเช็ดหัวเช็ดตัวเขาที่เปียกปอน

“อื้อ! สุด ๆ เลย แต่น้ำเย็นไปหน่อย” เอย์จิตอบเสียงสั่น

“ก็นี่มันหน้าหนาวนี่ อะ” แล้วเธอก็ยื่นโกโก้ร้อน ๆ ให้เขาดื่ม

“ขอบใจนะ”

เขานั่งผิงฮีทเตอร์ซดโกโก้ซักพักก็หายหนาว “แล้วเราจะไปไหนต่อกันดี”

“นายอยากเล่นอะไรหล่ะ”

“แล้วแต่เธออะ อุตส่าห์เสียตังซื้อบัตรเป็นเพื่อนชั้น”

“ขอบใจนะ” ทั้งคู่ก็เลยพากันขับรถไปตามเครื่องเล่นต่าง ๆ

ทางด้านพวกคูมิยะพอเลิกเรียนก็พากันมารวมตัวที่หน้าตึก “เป็นไงโทรติดมั้ย” นายะถาม

แต่โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าของเรกะก็นิ่งเงียบสนิท เสียงที่ได้ยินกลับมายังโทรศัพท์ของคูมิยะก็มีแต่ “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”

“ไม่ติดอะสงสัยปิดเครื่อง ยัยเรกะนี่นะไม่คิดบ้างเล้ยว่าคนเค้าเป็นห่วง” คูมิยะเริ่มหงุดหงิด

“สงสัยจะพาเจ้าเอย์จิไปสวีวี่วีหล่ะมั้ง” ฟูจิหยอก

“จะบ้าเรอะ พูดอะไรดูสถานการณ์มั่ง” คูมิยะโวยใส่

“ล้อเล่นน่า ล้อเล่น” ฟูจิรีบยอม

“มือถือพี่เค้าแบตหมดมั้งจ๊ะ เห็นบ่น ๆ มาหลายวันแล้วว่าแบตเสื่อมจะซื้อใหม่”

“งั้นเหรอ แล้วพวกเราเอาไงดีอะ” นายะถาม

“คงไม่เป็นไรมั้งจ๊ะ เอย์จิคุงเค้าไปกับพี่นี่ เดี๋ยวเย็น ๆ ก็คงกลับแหละ”

“งั้นลองไปรอที่ร้าน Amusesbouche ดูมะ เผื่อจะอยู่ที่นั่น” คูมิยะเสนอ

“ดีเหมือนกันเนอะ จะได้ถือโอกาสหาไรอร่อย ๆ กินด้วย” คอนจิยิ้มแฉ่ง

“นี่ ๆ พวกเราไปหาเอย์จิมันนะ ไม่ใช่ไปหาอะไรกิน” ฟูจิเตือนไม่ให้หลงประเด็น

“เอาน่า ๆ ก็เหมือนกันแหละ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวไง อิอิ” คอนจิน้ำลายไหลเยิ้ม แล้วทุกคนก็พากันไปที่ร้าน Amusesbouche

ที่สวนสนุกเอย์จิกับเรกะตระเวนกันเล่นเครื่องเล่นกันจนหนำใจ แล้วทั้งสองก็มานั่งพักเหนื่อยที่เมืองเทพนิยาย “มันน่าดูเลยนะวันนี้” เรกะหัวเราะอย่างร่าเริง พอได้เล่นเครื่องเล่นต่าง ๆ เธอเลยอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

“ก็สนุกนะแต่ชั้นไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเธอชอบไอ้เครื่องหวาดเสียวพวกนั้นไปได้ยังไง” พอเอย์จิพูดจบ เรกะก็หันมามองเขาแล้วอมยิ้ม “ทะ ทำไมเหรอ” เอย์จิเห็นรอยยิ้มที่น่ารักของเธอเลยเขินนิด ๆ

“ก็ก่อนความจำเสื่อมนายก็กลัวไอ้พวกนี้เหมือนกันหน่ะสิ นี่ชั้นยังแอบหวังว่าพอความจำเสื่อมแล้วจะหายกลัวซะอีกนะ” แล้วเธอก็ทำท่าเหมือนเขาไม่ได้เรื่องเล้ย

“เฮอะ! ไอ้เรื่องแบบนี้มันแล้วแต่คนนะ ไม่เกี่ยวกับความจำซักหน่อย”

“อาจจะเกี่ยวก็ได้นะ ก็คราวนี้หน้าตานายแย่กว่าตอนนั้นตั้งเยอะ 555” เรกะนึกถึงเมื่อตอนนั้นแล้วก็ขำ

“นี่เธอ! คนกลัวไอ้พวกนี้นี่มันผิดตรงไหน” เอย์จิว๊ากใส่

“ผิดสิ! ผิดตรงที่นายเป็นผู้ชายนี่แหละ 555”

“เธอนั่นแหละเป็นผู้หญิงแท้ ๆ กลับชอบเล่นของพวกนี้ ไม่อ่อนหวานเอาซะเลย”

คำพูดของเอย์จิสะกิดใจเรกะอย่างจัง เธอทำซึม ๆ หันหน้าหนีแล้วพูดว่า “ใช่สิ ก็ชั้นมันไม่อ่อนหวานอย่างที่นายชอบนี่” แล้วเธอก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้

เอย์จิรู้ตัวว่าเขาพูดแรงเกินไปจึงรีบขอโทษ “เอ่อ ขอโทษนะ ชั้นไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น” แต่เรกะก็ยังไม่หันกลับมา แล้วเธอก็ทำท่าเหมือนเอามือปาดน้ำตา เอย์จิเลยบอกว่า “ขอโทษนะ ชั้นผิดไปแล้ว ยกโทษให้ชั้นเถอะ จะให้ชั้นทำอะไรก็ยอม”

เธอตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ ว่า “นายไม่ต้องขอโทษหรอก ชั้นรู้ตัวเองดี ชั้นมันไม่น่ารักมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่อย่างงั้น เธอน่ารักจะตาย” ตอนนี้เอย์จิรู้สึกสำนึกผิดอย่างมาก

ทันใดนั้นเรกะก็หันกลับมาแล้วแลบลิ้นใส่เขา “แบร่!?! ซะเมื่อไหร่หล่ะ 555” เอย์จิเลยถึงกับช็อกตาค้าง “อารายจ๊ะ ๆ เอย์จิคุง เมื่อกี้บอกว่าใครน่ารักเหรอ”

“เธอ!!!” เขาอึ้งจนพูดไม่ออก

“แหม ๆๆ ชั้นก็รู้ตัวเองอยู่แล้วหล่ะว่าน่ารัก เอย์จิคุงไม่ต้องยืนยันก็ได้นะ” เรกะได้ทีทำยิ้มหน้าทะเล้นตอกย้ำเขาอย่างผู้ชนะ เอย์จิทั้งแค้นทั้งเจ็บใจที่หลงมารยาเธอเข้าเต็มเปา

“นี่เธอหลอกชั้นเหรอ” เอย์จิโวยวายใหญ่

“อะไร! นายอยากพูดจาไม่ดีเองทำไมหล่ะ แล้วเมื่อกี้สัญญาอะไรไว้อย่าลืมซะหล่ะ”

“ละ ละ แล้วเธอจะให้ชั้นทำอะไร” เขาถามเสียงอ่อย

“นั่นสิทำอะไรดีน้าให้สมกับที่ทำร้ายจิตใจชั้นเมื่อกี้ หุหุหุ หน้าที่นาย ๆ ก็คิดมาสิ” เรกะสวมบทยัยตัวร้ายเต็มพิกัด

“งะ งั้นชั้นไปซื้อน้ำให้ละกัน”

“ตาบ้า ชั้นเพิ่งกินมาเมื่อกี้ไงยะ”

“งะ งั้นเธออยากกินอะไรหล่ะ”

“นี่เห็นชั้นเป็นหมูรึไง ทำอะไรที่มันเข้าท่ากว่านี้หน่อยสิ”

“งะ งั้น เอาไรดีหล่ะ” เอย์จิหันรีหันขวางเงอะ ๆ งะ ๆ

เรกะเลยบอกว่า “เอางี้ละกัน ถือว่านายติดหนี้ชั้นอยู่ครั้งหนึ่งนะ”

“เอางั้นเหรอ”

“อื้อ ไว้ชั้นนึกก่อนว่าจะให้ทำอะไรดีโอเคมั้ย”

“เอางั้นก็ได้”

แล้วเรกะก็ทำหน้าเป็นยัยตัวร้ายแล้วเอานิ้วมาจิ้ม ๆ ที่หน้าผากเอย์จิ “คราวนี้แหละจะใช้งานเยี่ยงทาสให้สะใจไปเลย แล้วห้ามความจำเสื่อมหนีหนี้ซะหล่ะ หึหึหึ”

เอย์จิหัวสั่นหัวคลอนตามแรงนิ้วของเธอ “ดะ ได้ ๆ ชั้นสัญญาถึงชั้นจะความจำเสื่อมอีก ก็จะไม่ลืมหนี้ที่ติดเธอ”

“ดีมาก! นายสัญญาแล้วนะ งั้นเดี๋ยวเราไปเล่นนั่นกัน” แล้วเรกะก็ชี้ไปที่เครื่องเล่นชิ้นถัดไป

เอย์จิมองไปตามนิ้วของเธอแล้วพูดว่า “ชิงช้าสวรรค์เหรอ”

“อื้อ แต่บอกไว้ก่อนนะที่ชั้นชวนนายขึ้นเพราะแค่อยากดูวิวเท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรนอกเหนือจากนี้ เข้าใจมั้ย!!!”

“คร้าบ ๆ เข้าใจแล้วคร้าบ” แล้วทั้งคู่ก็พากันขับรถไปที่นั่น

ระหว่างที่รอกระเช้าเอย์จิก็ทำท่าทางเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก เรกะเลยถามว่า “มีอะไรเหรอ”

“คือชั้นรู้สึกเหมือนเคยมาที่นี่มาก่อนหน่ะ” เอย์จิตอบ เรกะเลยนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

ย้อนกลับไปตอนที่เอย์จิมาเที่ยวสวนสนุกกับพวกเรกะเป็นครั้งแรก พอใกล้จะถึงคิวเรกะก็บ่น “พวกคูมิจังทำไมช้าจัง” เรนะก็พลอยทำหน้ากังวล “งั้นเดี๋ยวชั้นไปตามเอง” เรกะบอกเอยจิกับเรนะ

“แต่เดี๋ยวจะถึงคิวเราแล้วนะคะพี่” เรนะบอกพี่สาว

“เอาน่าเดี๋ยวพี่ก็กลับมาแลว ถ้ามาไม่ทันพวกเธอก็ขึ้นไปกันก่อนละกัน” เรกะบอก

“เชิญคร๊าบบบ” เสียงเจ้าหน้าที่เรียกให้ขึ้นกระเช้าชิงช้า

“งั้นนายขึ้นเป็นเพื่อนเรนะไปก่อนนะเดี๋ยวชั้นมา” แลวเรกะก็ดันเอยจิกับเรนะเข้ากระเช้าไปอย่างฉุกละหุก

“พี่คะ!!!” เรนะเรียกพี่สาวที่กำลังปิดประตูกระเช้า

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่มา” เรกะยิ้มส่งน้องสาวแลวกระเช้าก็เลื่อนขึ้นไป

ตัดกลับมาที่ปัจจุบันเอย์จิเรียกเรกะที่กำลังยืนเหม่ออยู่ “เรกะ ๆ” เขาเขย่าแขนเธอเบา ๆ

“เอ๋! อะไรนะ” เธอสะดุ้งตัวลอย

“เป็นอะไรของเธอ ฝันกลางวันรึไง”

“เปล่า ๆ ชั้น…คือว่า…ไม่มีอะไร”

“แปลกแฮะ ฝันกลางวันได้ด้วย”

“ไม่ได้ฝันย่ะ!!!” แล้วเธอก็ตีไหล่เขาแก้เขินหนึ่งที

ซักพักเอย์จิก็บอกว่า “ชั้นรู้สึกเหมือนเคยขึ้นไอ้นี่กับใครมาก่อนนะ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก”

“อืม นายเคยขึ้นแล้ว” เรกะตอบเนือย ๆ

“เหรอ แล้วชั้นขึ้นกับใครอะ”

เธอนิ่งคิดอะไรอยู่ซักพักแล้วตอบว่า “ไม่รู้สิ ชั้นจำไม่ได้อะ” แล้วกระเช้าว่างเปล่าก็วนมารับทั้งคู่พอดี

หลังจากขึ้นชิงช้าไปเรกะก็รู้สึกผิดที่โกหกเอย์จิและรู้สึกผิดต่อน้องสาวเธอด้วย “ทำไมเราถึงพูดแบบนั้นไปนะ” เธอเกิดความสับสนขึ้นในหัวใจตัวเอง

กระเช้าของทั้งคู่ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ พระอาทิตย์ก็เริ่มจะลับขอบฟ้า เอย์จิหันไปมองพระอาทิตย์อัสดงแล้วร้องว่า “โอ้โห สวยจัง”

“อื้อ” เรกะตอบแบบคนเหม่อลอย เธอเอาแต่คิดเรื่องที่เธอโกหกเมื่อกี้

“เรกะ!” เอย์จิเรียกเธอด้วยใบหน้าขึงขังจนเธอรู้สึกตัว “เธอเป็นอะไรรึเปล่า ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็บอกชั้นได้นะ ถึงชั้นจะไม่ใช่คนปกติก็ตาม แต่ถ้าชั้นช่วยได้ชั้นก็ยินดีนะ” เอย์จิทำหน้าจริงจัง

แต่เรกะฟังแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ “คิก ๆๆ”

“งะ ชั้นพูดอะไรผิดเหรอ” เอย์จิเริ่มเสียความมั่นใจ

“ก็นายอยากทำหน้าขึงขังแล้วพูดว่านายไม่ใช่คนปกติทำไมหล่ะ คิก ๆ”

“คือที่ชั้นอยากจะบอกเธอหน่ะมันไม่ใช่เรื่องนั้น” เอย์จิหน้าแดงแป๊ด

“จ้า ๆ รู้แล้ว ๆ พ่อคนไม่ปกติ 555” เรกะยังหัวเราะไม่เลิก พอเธอตั้งสติได้ก็หันมายิ้มให้เขา “ขอบใจนะ” รอยยิ้มที่ซ่อนความน่ารักสดใสเอาไว้ทำให้เอย์จิถึงกับใจเต้นตึ้กตั้ก

พอเรกะรู้สึกดีขึ้น เธอก็หันไปชมอาทิตย์อัสดงอย่างสบายใจ “สวยดีเนอะ” เธอพูดเบา ๆ พอให้เขาได้ยิน ตอนนี้แสงสีทองสุดท้ายของดวงอาทิตย์ส่องสะท้อนกับผมสีทองปลิวไสวของเธอจนเป็นประกายระยิบระยับ

“อย่างกะนางฟ้าเลย” เอย์จิพึมพำ เขาเหมือนถูกสะกดให้ตกอยู่ในภวังค์

พอกระเช้าหมุนลงจากยอดพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าพอดี บรรยากาศรอบข้างถูกความมืดเข้าครอบงำอย่างรวดเร็ว “อื้มมมม แค่นี้ก็คุ้มแระที่มา” เรกะเดินลงมาแล้วบิดขี้เกียจ

“ขอบใจนะ” เอย์จิยิ้มให้เธอ

“อะไรของนาย” เรกะรีบทำเสียงแข็งทันทีที่เห็นเอย์จิทำท่าแปลก ๆ

“ก็ที่เธออุตส่าห์พาชั้นมาไง”

“อ๋อ บอกแล้วว่าไม่ต้องคิดมาก แต่ที่สำคัญอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับชั้นหล่ะ”

“ไม่ลืมหรอกน่า เพียงแต่” เอย์จิทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแล้วก็หยุด

“เพียงแต่อะไร” เรกะคะยั้นคะยอให้เขาพูดให้จบ

“เปล่า ๆ จะบอกว่าถ้าเธอยิ้มบ่อยขึ้นชั้นว่าจะน่ารักขึ้นอีกเยอะเลย”

แก้มเรกะแดงแป๊ดขึ้นมาทันที “จะยิ้มไม่ยิ้มมันก็เรื่องของชั้นย่ะ ชั้นพอใจจะยิ้มให้คนที่ชั้นอยากยิ้มให้เท่านั้น” พอพูดจบเธอก็รีบเดินหนีไปแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ตาบ้า”

ขณะเดียวกันที่ร้าน Amusesbouche พวกคูมิยะก็นั่งกินเค้กกันอยู่อย่างเอร็ดอร่อย “เหรอจ๊ะ เอย์จิไปกับเรกะจังเหรอ” ยูริถาม

“ค่ะ พวกหนูติดต่อไม่ได้ก็เลยมารอที่นี่” คูมิยะตอบ

“คือมือถือของพี่เค้าคงแบตหมดหน่ะค่ะ”

“งั้นเหรอจ๊ะ แต่ไปกับเรกะจังคงไม่เป็นไรมั้ง พี่ว่าอีกเดี๋ยวก็คงกลับ ไม่แน่บางทีป่านนี้ทั้งคู่อาจจะกลับไปบ้านแล้วก็ได้” ยูริเดา

“แต่ถ้ากลับไปแล้วก็น่าจะโทรบอกกันมั่งนะคะ หนอยยัยเรกะพรุ่งนี้ถ้าเจอนะแม่จะลงทัณฑ์ซะให้เข็ด” คูมิยะบีบมือกรอด ๆ เพื่อนคนอื่น ๆ ก็ได้แต่ทำหน้าแหะ ๆ

“งั้นพวกเราก็กลับกันก่อนมั้ย” ฟูจิถาม

“อื้อ ไว้พรุ่งนี้เจอตัวที่โรงเรียนค่อยคิดบัญชี” คูมิยะยังไม่หายแค้น

“เดี๋ยว ๆ งั้นชั้นสั่งเค้กกลับไปกินบ้านก่อน” คอนจิลุกลี้ลุกลน

“นี่นาย กินเข้าไปตั้งเยอะยังไม่พออีกรึไง” ฟูจิมองจานของหวานหลายใบที่เป็นผลงานของเพื่อน

“แหม ชั้นซื้อไปฝากแม่หน่ะฝากแม่”

“งั้นพวกหนูกลับกันก่อนนะคะ ไม่แน่บางทีพี่อาจจะกำลังเข้าบ้านก็ได้” เรนะบอกยูริ

“งั้นก็โชคดีนะจ๊ะทุกคน” ยูริออกมาส่งหน้าร้าน แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

ทางด้านสวนสนุกทั้งสองเดินเล่นกันซักพักแล้วเอย์จิก็ถามว่า “แล้วเราจะกลับกันเลยมั้ย”

“กลับเลยก็ได้ มืดแล้วนี่” ทั้งคู่ก็เลยพากันขับรถมาที่ทางออก ระหว่างทางทั้งสองขับผ่านหอคอยบันจี้จั๊ม เรกะชำเลืองมองเอย์จิแล้วคิดในใจว่า “ถ้าเราขึ้นไปโดดพร้อมกันแล้วความจำกลับมาก็ถือว่าคุ้มนะ” แต่เธอก็ส่ายหน้าทันที “แต่ไม่อะ จะให้กอดกับหมอนี่หน่ะเหรอ ตายซะยังจะดีกว่า”

“เป็นอะไรไปเหรอ” เอย์จิหันมาถาม

“ไม่เกี่ยวกับนายย่ะ ขับรถต่อไปเลย” เอย์จิก็เลยก้มหน้าก้มตาขับรถไปอย่างไม่มีหือมีอือ

แต่ก่อนจะถึงทางออกทั้งคู่ก็ผ่านหน้าปราสาทที่มีขบวนพาเหรดกำลังแสดงอยู่ “โฮ้โห!!! มีโชว์ด้วยเหรอ พวกเราไปดู...” เขากำลังจะชวนเธอแต่ก็นึกได้ว่าตอนนี้มืดแล้วก็เลยไม่กล้า

“นายอยากดูงั้นเหรอ” เอย์จิก็พยักหน้าหงึก ๆ เรกะครุ่นคิดอะไรนิดนึงแล้วก็บอกว่า “งั้นก็ได้ แต่ขอชั้นโทรบอกที่บ้านก่อนนะ” เอย์จิเลยยิ้มออกแล้วเขาก็เลี้ยวรถไปจอดข้างตู้โทรศัพท์ทันที

“สวัสดีค่ะบ้านฮิเมะค่ะ” แม่ของเรกะรับโทรศัพท์

“แม่คะ นี่หนูนะ”

“อ้าวเรกะจังอยู่ไหนหล่ะลูก”

“หนูอยู่กับเอย์จิที่สวนสนุกค่ะ คือหนูพาหมอนี่มาเผื่อเค้าจะนึกอะไรออก”

“งั้นเหรอ หนูไปกับน้องเหรอจ๊ะ”

“เปล่าค่ะ น้องอยู่โรงเรียน หนูอยู่กับเอย์จิแค่สองคน คือมันมีเรื่องนิดหน่อยหน่ะค่ะแม่ เดี๋ยวกลับไปหนูค่อยเล่าให้ฟังได้มั้ยคะ”

“งั้นเหรอ…เอางั้นก็ได้จ้ะ แล้วหนูมีอะไรให้แม่ช่วยรึเปล่า”

“ไม่เป็นไรค่ะทุกอย่างโอเค หนูจะบอกว่าเดี๋ยววันนี้ขอกลับมืดนิดนึงได้มั้ยคะ คือตอนนี้หนูยังอยู่ที่สวนสนุกอยู่เลย”

“งั้นเหรอจ๊ะ ให้คุณพ่อไปรับมั้ย”

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณพ่อทำงานมาเหนื่อย ๆ หนูกลับเองได้”

“กลับได้แน่นะจ๊ะ ถ้ามีอะไรก็โทรมานะ”

“ค่ะคุณแม่ รักคุณแม่นะคะ”

“จ้าแม่ก็รักลูกจ๊ะ” แล้วเรกะก็วายสาย

“เป็นไงมั่ง” เอย์จิยืนรออยู่นอกตู้โทรศัพท์

เรกะชูนิ้วเป็นรูปตัวโอแล้วยิ้มบอกว่า “ทุกอย่างโอเค”

แล้วทั้งคู่ก็ไปดูโชว์พาเหรดอย่างเพลิดเพลินจนเกือบ 3 ทุ่ม “โหยเลิกดึกเหมือนกันนะ ที่บ้านเธอจะว่าอะไรมั้ยอะ”

“ไม่หรอกก็ชั้นโทรบอกคุณแม่แล้วนี่ ว่าแต่เป็นไงสนุกมั้ย”

“อื้อ สนุกมากเลย ขอบใจนะที่พาชั้นมา” เขายิ้มให้แทนคำขอบคุณ

เธอรู้สึกเขินนิด ๆ เลยเปลี่ยนเรื่องพูดว่า “ปะ งั้นเราก็กลับกันเถอะ”

พอนั่งรถเมล์มาถึงในเมืองทั้งคู่ก็ตกตะลึงกับภาพที่เห็น เพราะตามตึกรามบ้านช่องมีไฟประดับประดาไว้อย่างสว่างไสวสวยงาม “โอ้โห มีงานอะไรกันเหรอ”

“อ๋อ นึกออกแล้ว อาทิตย์นี้เค้ามีเทศกาลไหว้ตายายกันนี่” เรกะเพิ่งนึกออก

“ไหว้ตายายคืออะไรเหรอ”

“เป็นเทศกาลประจำเมืองเราหน่ะ ก็คล้าย ๆ กับไหว้บรรพบุรุษแหละ มีปีละครั้ง”

“มิน่าไฟสวยจัง” เอย์จิมองไฟสีต่าง ๆ ที่ประดับประดาอย่างเพลิดเพลิน พอทั้งคู่ลงรถเรกะก็นึกอะไรออกแล้วหันมายิ้มให้เอย์จิ “อะไรเหรอ” เอย์จิถามเธอ

“นายเคยนั่งรถรางมั้ย”

“ไม่รู้สิก็ชั้นความจำเสื่อมอยู่นี่” เอย์จิแกล้งตอบ (คราวนี้ตั้งใจกวนของจริง)

“นี่นาย! เอาหล่ะจะเคยไม่เคยก็เรื่องของนาย เราไปนั่งรถรางดูไฟกัน” เธอชวนกึ่งบังคับ

“แต่นี่มันดึกแล้วนะ”

“ไหน ๆ ก็ดึกอยู่แล้ว กลับดึกอีกซักหน่อยจะเป็นไรไป งานนี้เค้าจัดแค่ปีละครั้งเองนะ” เรกะยืนกราน เอย์จิไม่อยากขัดใจเธอเลยตอบตกลง แล้วทั้งสองก็เดินไปที่สถานี

พอใกล้ถึงสถานีเรกะก็เห็นรถรางกำลังจะออก ถ้าขึ้นไม่ทันก็ต้องรอจนกว่าจะวนกลับมาครบรอบอีกครั้ง เธอเลยหันไปจูงมือเอย์จิแล้วรีบวิ่งไป “เร็วเข้ารถจะออกแล้ว” สองหนุ่มสาวพากันวิ่งฝ่าลมหนาวยามค่ำคืน เส้นผมของหญิงสาวที่ปลิวไสวมาข้างหลังส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ จนแทบจะทำให้เขาเคลิ้มไป

พอทั้งสองวิ่งไปถึงรถรางก็เริ่มเคลื่อนขบวนออกตัวช้า ๆ ดัง “กระฉึกกระฉัก ๆ” เรกะรีบกระโดดขึ้นโบกี้สุดท้ายได้ทันแล้วหันมายื่นมือให้เอย์จิ รถรางก็ค่อย ๆ เพิ่มความเร็วมากขึ้นจนทำให้ผมสีทองของเธอปลิวไสว เธอยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า “รีบขึ้นมาเร็ว” ใบหน้าเธอตอนนี้ทำให้เอย์จิรู้สึกหวิว ๆ พิกล ใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำอย่างบอกไม่ถูก

ก่อนที่รถรางจะวิ่งลับไปเขาก็รีบจับมือเธอแน่น เธอพยายามฉุดเขาขึ้นมา แล้วทั้งสองก็ขึ้นไปบนรถได้สำเร็จ พอรถเริ่มออกวิ่งทั้งคู่ก็พากันหาที่นั่ง แต่แล้วทั้งสองก็พบว่าทั้งโบกี้ไม่มีใครเลยนอกจากเขาและเธอแค่สองคน

พอได้ที่นั่งเอย์จิก็ชี้ให้เรกะดูไฟ “ดูโน่นสิ สวยเนอะ”

“อื้อสวยจัง อ๊ะโน่นก็สวยนะ” เรกะชี้ให้เขาดูบ้าง

เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงหน้าหนาวพอตกกลางคืนอากาศก็เลยเริ่มเย็น ซักพักเรกะก็ค่อย ๆ เขยิบเข้าไปนั่งเบียดเอย์จิ เอย์จิเลยหันมาทำหน้างงเล็กน้อย เธอสบตาเขาแล้วก็หันหน้าหนีไปทางอื่นแล้วพูดทั้ง ๆ ที่แก้มเป็นสีชมพูว่า “เดี๋ยวนายจะเป็นหวัดไปซะก่อน” ตอนนี้ลำตัวทั้งคู่แนบชิดกันจนรู้สึกอุ่นขึ้นมาก

“ขอบใจนะ” แล้วเอย์จิก็จะเอามือไปกุมมือเธอไว้แต่เขาก็ไม่กล้า ก็เลยทำได้แค่เอาหลังมือไปแนบกับหลังมือเธอเท่านั้น

เรกะเองพอเอย์จิเอาหลังมือมาแนบกับหลังมือของเธอ เธอก็หันมามองหน้าเขาโดยไม่ได้ชักมือหนี ทั้งสองสบตากันชั่วระยะหนึ่ง แก้มทั้งคู่มีเลือดฝาดขึ้นจนเห็นได้ชัด แล้วทั้งสองคนก็พากันหันเหความสนใจไปที่ไฟตามตึกต่าง ๆ แทน ทั้งสองนั่งรถรางชมไฟจนเกือบ 5 ทุ่ม แล้วในเมืองก็เริ่มมีการจุดพลุฉลองเสียงดัง “ปุ้ง ๆๆๆ”

“โอ้โห!!!” เอย์จิหันไปดูพลุโดยที่แขนของเขายังแนบอยู่กับแขนของเธอ

“สวยจังเนอะ” เรกะก็หันไปมองบนฟ้าโดยที่เธอก็ไม่ได้ขยับเปลี่ยนท่านั่งเช่นกัน

ซักพักรถรางก็วนกลับมาถึงสถานีเอย์จิกับเรกะก็ลุกขึ้นเตรียมตัวจะลง ทันใดนั้นก็มีแมวอ้วนสีน้ำตาลอ่อนวิ่งตัดหน้า ทำให้คนขับต้องเบรกดังเอี๊ยด โชคดีที่เอย์จิเอามือจับราวไว้ได้ทัน แต่เรกะตั้งตัวไม่ติด เธอถลาเข้าไปชนเขาอย่างแรง

“โอ๊ยยย เจ็บบบ” เรกะหลับตาปี๊

“เป็นไงมั่ง” เอย์จิค่อย ๆ ขยับเอาหลังตัวเองพิงขอบที่นั่งไว้แล้วเอามือข้างหนึ่งมาลูบหัวบริเวณที่เธอปวด ส่วนอีกมือประคองหลังเธอไว้

“เจ็บหน่ะสิถามได้! ขับรถภาษาอะ...” พอเรกะลืมตาขึ้นเธอก็พบว่าเธอเสมือนอยู่ในอ้อมกอดของเขา ร่างของเธอซบกับเขาอย่างแนบชิด แขนทั้งสองข้างพาดผ่านลำตัวไปด้านหลังเขา เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ขณะที่เอย์จิก็ค่อย ๆ ก้มหน้าลงมาเช่นกัน!?!

ภายใต้ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยไฟสวยงามประดับประดา บนท้องฟ้ามีดอกไม้หลากสีแข่งกันส่องประกายผลิช่อออกดอกเป็นสีต่าง ๆ สว่างไสว ผู้คนมากมายพากันเหม่อมองไปบนท้องฟ้ายามราตรี ถึงจะดึกมากแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครละสายตาไปจากดาวหลากสีประดับฟ้า เสียงดินปืนปนเสียงฝูงชนดังอื้ออึงจนทำให้ไม่มีใครสนใจสองหนุ่มสาวบนรถราง ราวกับว่าค่ำคืนนี้มีเพียงเขาและเธอเท่านั้น

บนรถรางโบกี้สุดท้ายหนุ่มสาวสองคนสบตากันด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยความไร้เดียงสาและหวาดหวั่น แต่ยิ่งใกล้กันมากเท่าไหร่ความหวั่นใจก็ยิ่งแปรเปลี่ยนเป็นความโหยหา ราวกับแมลงเม่าไม่รู้เดียงสาไม่อาจฝืนความเย้ายวนของกองไฟ ลมหายใจจากหัวใจสองดวงส่งผ่านไออุ่นถึงกันและกันจนสามารถแปรเปลี่ยนราตรีอันเหน็บหนาวให้กลายเป็นค่ำคืนแห่งความทรงจำ

ในอ้อมกอดแห่งความบังเอิญเสียงหัวใจของหญิงสาวดังราวกับกลองระรัว ไออุ่นจากร่างของชายหนุ่มแผ่ปกคลุมจนเธออ่อนระทวย เธอไม่สามารถทรงตัวให้ยืนอยู่ได้ จึงต้องจำใจทิ้งน้ำหนักลงไปที่ร่างของเขา แต่ก่อนที่เธอจะไถลลงไปกองกับพื้น ชายหนุ่มรีบเอาแขนโอบรัดเอวคอดกิ่วของเธอไว้ราวกับไม่ต้องการให้เธอไปไหน

“ปล่อย” เรกะพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาและแหบ

“เธอยืนขึ้นสิ” เอย์จิบอกเธอด้วยน้ำเสียงคล้ายกัน แต่เธอก็ไม่สามารถพยุงตัวขึ้นได้

“ปุ้ง ๆๆๆ” เสียงพลุยังกระหน่ำยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นชุด ๆ

“เอย์จิ…ปล่อย!!!”

“เรกะ!?!”

พอลมหนาวพัดมากลิ่นหอมคล้ายเกรฟฟรุตก็ฟุ้งกระจาย ทำให้สติของเอย์จิเริ่มล่องลอย ราวกับมีแม่เหล็กดึงดูดหญิงสาวเริ่มเอามือโอบหลังชายหนุ่มแน่นขึ้น ชายหนุ่มก็โอบเอวหญิงสาวไว้แน่นไม่แพ้กัน ใบหน้าของทั้งสองเขยิบเข้าใกล้กันทีละน้อย ๆ ทั้งสองทำตาปรือ ปลายจมูกค่อย ๆ สัมผัสกันอย่างนุ่มนวล ฝ่ายหญิงเอาเล็บจิกหลังของฝ่ายชายไว้ราวกับพยายามจะขัดขืนเป็นครั้งสุดท้ายแต่ก็ไม่เป็นผล ริมฝีปากของทั้งคู่ค่อย ๆ เผยอขึ้นและกำลังจะสัมผัสกัน

“ปุ้ง!!!” ทันใดนั้นเสียงพลุลูกใหญ่ก็ดังขึ้นจนได้ยินทั่วทั้งเมือง ท้องฟ้าถูกดอกไม้สีขาวดอกใหญ่สว่างปกคลุม เรกะกับเอย์จิได้สติรีบผละตัวออกจากกันอย่างรวดเร็ว ต่างฝ่ายต่างหันหน้าไปคนละทางแล้วหอบกระเส่า ทั้งสองนิ่งเงียบปล่อยให้เวลาผ่านไปเกือบ 10 นาที

“เรกะ” เอย์จิเรียกเธอ

“มีอะไร” เรกะหันมาแต่ยังไม่กล้ามองเขาเต็มตานัก

“ยังเจ็บอยู่มั้ย”

“ไม่แล้วหล่ะ” เรกะตอบแล้วเงียบ

ซักพักพลุดอกสุดท้ายถูกส่งขึ้นไปส่องสว่างบนท้องฟ้า ชาวบ้านที่ออกมาดูก็ปรบมือถูกใจแล้วทยอยกันกลับบ้าน พอทั้งสองเริ่มปรับอารมณ์กลับมาเป็นปกติได้ก็พากันลงจากรถรางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเอย์จิก็ถามเธอว่า “กลับกันรึยัง”

“อื้อ” เรกะยิ้มให้เขา เอย์จิเห็นแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ “มีไร” เรกะทำเสียงดุเพราะเห็นเขาทำท่าแปลก ๆ

“เปล่า คือพอเธอยิ้มแล้วน่ารักดีหน่ะ”

“บ้า!”

“ไหนว่าจะยิ้มให้เฉพาะคนที่อยากยิ้มไง หรือว่า…” เอย์จิทำหน้าทะเล้น

“บ้าสิ นายคนไม่ปกติแล้วยังหลงตัวเองอีก ชั้นแค่ดีใจที่จะได้กลับบ้านย่ะ” แล้วเรกะก็เดินนำเขาไปอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยว! รอก่อนสิ” เอย์จิรีบวิ่งตามหล่อนไป

เรกะเลยวิ่งหนีแล้วหันมาตะโกนว่า “มัวแต่ช้าเดี๋ยวก็ทิ้งไว้ซะเลยนี่ 555+”



Create Date : 16 ธันวาคม 2552
Last Update : 14 มกราคม 2553 10:51:14 น. 0 comments
Counter : 251 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

TonyLaFraga
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add TonyLaFraga's blog to your web]