นิยายเรื่องรักยกกำลังสอง แนวโรแมนติกวัยมัธยม ผมไม่สามารถเล่าเนื้อเรื่องย่อได้ เพราะเนื้อหาทุกอย่างจะทำให้คุณลุ้นและเซอร์ไพรส์อยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณชอบอ่านนิยายแนวโรแมนติ และมีปริศนาให้คาดเดาและลุ้นไปกับมัน ลองเข้ามาอ่านเรื่องนี้สิครับ รับประกันความสนุก
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
27 กันยายน 2552

รักยกกำลังสอง บทที่ 14 ภาพวาดกับสมุดบันทึก (Picture and Note)

ระหว่างที่กำลังเรียนคาบสุดท้ายของวัน เรนะก็แอบเขียนข้อความใส่สมุดแล้วส่งให้เอย์จิ {*เอย์จิคุงเย็นนี้ไปช่วยงานที่ร้านรึเปล่าจ๊ะ**}

เอย์จิคิดในใจว่า “ลายมือน่ารักจัง” แล้วก็เขาเขียนตอบว่า {*เปล่า คุณพ่อให้ชั้นหายปวดตาก่อน ทำไมเหรอ?**}

แล้วเรนะก็แอบเขียนต่อโดยไม่ให้อาจารย์สังเกตเห็น {*เย็นนี้ชั้นกับพวกคูมิจังจะไปซื้อของ เอย์จิคุงไปด้วยกันมั้ยจ๊ะ**}

{*จะไปซื้ออะไรกันเหรอ?**}

{*ชั้นจะไปซื้อของขวัญหน่ะจ๊ะ**} พอเอย์จิอ่านประโยคนี้ เค้าก็สงสัยว่าเรนะจะซื้อของขวัญให้ใคร

{*คือชั้นก็ดู ๆ ไว้บ้างแล้วหล่ะแต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจ เลยอยากจะให้เอย์จิคุงไปช่วยเลือกจะได้มั้ยจ๊ะ**}

เอย์จิสงสัยว่าที่เรนะให้เขาไปช่วยเลือกเพราะขวัญชิ้นนั้นเป็นของสำหรับผู้ชายหรือเปล่า เขาคิดในใจว่า “หรือว่าเรนะจะชื้อของขวัญไปให้คุณพ่อ แต่ถ้าไม่ใช่หล่ะ!?!”

จริง ๆ เขาเองก็อยากไปกับเธอด้วย แต่เขานึกขึ้นได้ว่าเย็นนี้นัดกับเรกะไว้แล้ว พอเขากำลังจะเขียนตอบเธอ อาจารย์ที่สอนอยู่หน้าห้องก็พูดขึ้นมาว่า “ทาคุมิคุงอ่านให้เพื่อนฟังหน่อยสิจ๊ะ!!!”

“ครับ ๆ” เอย์จิรีบลุกขึ้นยืนหน้าตาเลิ่กลั่ก เขาไม่รู้ว่าอาจารย์สอนถึงไหนแล้ว เรนะเลยแอบกระซิบเบา ๆ ว่า “หน้า 5 บรรทัดที่ 7 จ๊ะ” เขาจึงรอดตัวไป

พอเอย์จินั่งลงก็เห็นข้อความลายมือของเรนะเขียนอยู่ที่สมุดของเขาว่า {*งั้นเดี๋ยวเลิกเรียนค่อยคุยกันนะจ๊ะ^^**}

พอเลิกเรียนคูมิยะก็เดินมาหาเรนะที่โต๊ะ “เรนะจังตกลงว่าไง”

“เย็นนี้เอย์จิคุงเค้าไม่ต้องไปที่ร้านจ๊ะ” เรนะตอบ

“เหรอ ดีเลยงั้นพวกเราก็ไปด้วยกันหมดเลยนะ” คูมิยะดีใจที่จะได้ไปด้วยกันทุกคน แต่เอย์จิตกใจนิด ๆ เขายังไม่ทันบอกเพื่อน ๆ เลยว่าเย็นนี้เขาไม่ว่าง จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่อยากให้เรนะรู้ว่าเขานัดกับเรกะไว้สองต่อสอง

“ไปด้วยกันนะจ๊ะ” เรนะอ้อน ดูเหมือนเธออยากให้เขาไปด้วยอย่างมาก

“เอ่อ เอ่อ คือ” พอมองหน้าเธอ เขาก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง

“แล้วพวกเรกะจังหล่ะ” คอนจิถามคูมิยะ

“นัดกันไว้แล้วที่หน้าตึก เดี๋ยวก็คงมาพร้อมนายะจังแหละ” คูมิยะตอบ

พอฟังที่คูมิยะพูด เอย์จิเลยเข้าใจว่าเรกะก็คงจะไปกับทุกคนด้วย เขาเลยรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องปฏิเสธเรนะ “อื้องั้นชั้นไปด้วยละกัน”

“ขอบใจนะจ๊ะ” เรนะท่าทางดีใจมาก

“จะไปซื้อของกันเหรอ งั้นขอพวกชั้นไปด้วยได้มั้ย” นาโอมิขอไปด้วย

“เอาสิไปด้วยกันเยอะ ๆ สนุกดีออก” คูมิยะยิ้มตอบ

“แล้วมีนาโอะจังคนเดียวเหรอ” ฟูจิหันไปถาม

“เปล่าหรอก ฮิโรมิคุงกับนางาเสะจังก็ไปด้วยหน่ะ” แล้วฮิโรมิกับนางาเสะก็หันมาพยักหน้า

ระหว่างที่เพื่อน ๆ กำลังตกลงกัน เรนะก็หันมาถามเอย์จิ “ยังปวดอยู่มั้ยจ๊ะ”

“หายปวดแล้วหล่ะ เพราะเธอช่วยใส่ยาให้เลยหายเร็วหน่ะ”

“ดีจัง” เรนะดีใจราวกับว่าเธอเป็นคนหายดีซะเอง “แต่เดี๋ยวช้อปปิ้งเสร็จต้องรีบกลับไปนอนพักนะจ๊ะ” เธอทำท่าเหมือนเป็นผู้ปกครองของเอย์จิ

“อื้อ กลับไปแล้วชั้นจะรีบนอนเลย” ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของเรนะทำให้เขารู้สึกดีมาก แต่เขาก็ยังมีบางอย่างคาใจเลยถามเธอว่า “ว่าแต่เธอจะไปซื้ออะไรหล่ะ”

“ชั้นกะจะซื้อกระเป๋าสตางค์หน่ะจ๊ะ แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหนดี” เรนะตอบยิ้ม ๆ ทำให้เอย์จิยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร

“งั้นไปกันเลยมั้ย” คูมิยะถามทุกคน

“อื้อ รีบไปก็ดีจะได้ไม่ต้องกลับมืด” คอนจิตอบ คนอื่น ๆ ก็เห็นด้วย

พอทุกคนมายืนรอที่หน้าตึก เอย์จิก็เห็นนายะเดินมา โดยมีเรกะทำหน้าหงอยตามมาข้างหลัง “กำลังรออยู่เลยนายะจัง เรกะจัง” คูมิยะทักทายเพื่อน

“โทษที ๆ พอดีอาจารย์เซงาวะปล่อยช้าไปหน่อยหน่ะ” นายะตอบ

“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราก็เพิ่งลงมาเมื่อกี้เองจ๊ะ” เรนะบอกเพื่อน

แล้วเรกะก็แอบมากระซิบกับเอย์จิว่า “ทำไงดีอะ”

“อ้าวเธอไม่ได้นัดกับพวกสึสึโมะไว้เหรอ” เอย์จิงง

“เปล่า ชั้นก็เพิ่งรู้เมื่อกี้นี้แหละ นายช่วยทำอะไรซักอย่างสิ” เรกะขอร้อง

เอย์จิทำหน้าลำบากใจ “ชั้นก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน” ระหว่างที่ทั้งสองคนแอบคุยกันอยู่ เรนะก็หันมาชำเลืองมองทั้งคู่แล้วทำหน้าสงสัย

“งั้นพวกเรารีบไปขึ้นรถกันเถอะ” คูมิยะบอกทุกคน

ระหว่างเดินผ่านสนามหน้าโรงเรียน เรกะกับเอย์จิก็เดินรั้งท้ายกันอยู่แค่สองคน “นายใช้เวทมนตร์ได้ไม่ใช่เหรอ ทำอะไรซักอย่างสิ” เรกะกระซิบบอก

“เวทมนตร์แบบนั้นมีที่ไหนกันหล่ะ”

“งั้นเหรอ” เรกะทำหน้าผิดหวัง

เอย์จิเลยถามเธอว่า “งั้นบอกความจริงทุกคนดีมั้ยว่าเราสองคนนัดกันไว้แล้ว”

“บ้าสิ! ขืนบอกไปละเป็นเรื่องแน่” เรกะทำตาดุใส่เขา

พอพวกคูมิยะไปถึงหน้าโรงเรียน รถเมล์ก็กำลังมาพอดี “อ้าวสองคนนั่นมัวทำอะไรกันอยู่ เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก”

เรกะทำหน้าหงอย ๆ หันมามองเอย์จิแล้วหันกลับไปบอกเพื่อน ๆ ว่า “โทษที ๆ”

พอพูดจบเรกะก็กำลังจะวิ่งไปหาทุกคน ทันใดนั้นเอย์จิก็ฉุดมือเธอไว้จนชะงัก เธอหันมามองตาเขาเหมือนกับจะถามว่า ‘ทำไม’ แล้วเอย์จิก็บอกเพื่อน ๆ ว่า “เอ่อ โทษทีนะ พวกเรานึกขึ้นได้ว่ามีธุระหน่ะ พวกเธอไปกันก่อนละกัน เดี๋ยวพวกเรารีบตามไป”

“เอ๋!” คูมิยะอุทาน ส่วนเรนะและคนอื่น ๆ ก็พากันประหลาดใจ

“เอย์จิคุง” เรกะตกใจจนเธอเรียกชื่อเขาเบา ๆ

“อ้าว นายไม่ไปด้วยกันเหรอ” ฟูจิตะโกนถาม

“เดี๋ยวพวกชั้นตามไป พวกนายไปกันก่อนเถอะ” เอย์จิตอบ

ซักพักรถเมล์ก็มาจอดที่หน้าประตู เรนะหันไปมองหน้าเอย์จิ แล้วเขาก็พูดกับเธอเบา ๆ พร้อมทำท่าทางให้พอรู้กันแค่สองคนว่า “ขอโทษนะ”

เรนะเลยยิ้มให้เขาแล้วตอบกลับไปให้พอรู้กันว่า “ไม่เป็นไรจ๊ะ” แล้วเธอก็หันไปบอกเพื่อน ๆ ว่า “งั้นพวกเราไปกันก่อนเถอะจ๊ะ เดี๋ยวพี่กับเอย์จิคุงก็ตามมาเองแหละ”

“อ้าว!” คูมิยะยังงง ๆ

“เรนะ” เรกะหน้าซีดเหมือนกับกลัวอะไรบางอย่าง

“งั้นพวกหนูไปรอที่ห้างก่อนนะคะ” เรนะยิ้มให้พี่สาวแล้วทำหน้าเหมือนจะบอกว่าไม่ต้องคิดมากนะคะ

“ตะ แต่ว่า” เรกะรู้สึกผิด

“แล้วรีบตามมานะคะพี่ เอย์จิคุงก็ด้วยนะจ๊ะ” เรนะยิ้มให้ทั้งสองคน

“อื้อ” เอย์จิยิ้มตอบ แต่เรกะรู้สึกกลัวสายตาของเพื่อน ๆ เธอทำท่าจะเปลี่ยนใจ เอย์จิเห็นดังนั้นเลยรีบจูงมือเธอวิ่งกลับเข้าไปในโรงเรียน “ดะ เดี๋ยวก่อน!” เธอตกใจไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้ต่อหน้าทุกคน

คูมิยะยังยืนอึ้งอยู่ “เอาน่า พวกเค้าบอกว่าจะตามมาก็ตามมาสิ” แล้วนายะก็ดันคูมิยะขึ้นรถจนได้ คนอื่น ๆ ก็พากันขึ้นตาม

เรนะที่มองตามทั้งสองคนวิ่งจูงมือกันไปก็เอามือกุมอกแล้วคิดในใจว่า “ทำไมนะ เรารู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้”

“เดี๋ยว! นายจะพาชั้นไปไหน” เรกะที่โดนลากอยู่ถามกึ่งหอบ แล้วเอย์จิก็พาเธอมาที่หลังตึก “นายทำแบบนี้ได้ไง!” เธอยังไม่หายตกใจ

“แต่เธอก็ไม่อยากไปไม่ใช่เหรอ” เอย์จิถามกลับ

“ก็ใช่ แต่คนอื่นเค้าจะคิดยัง...” เรกะยังพูดไม่ทันขาดคำ เอย์จิก็เอามือนึงโอบหลังอีกมือช้อนใต้ข้อพับอุ้มเธอขึ้น แล้วทั้งคู่ก็ลอยขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว “ว้าย!” เธอยังไม่ทันตั้งตัวเลยดิ้นไปดิ้นมาอยู่ในอกของเขา

“อย่าดิ้นสิ เดี๋ยวหล่นนะ”

ทั้งสองคนลอยสูงขึ้นไปพ้นแนวม่านเมฆ สายลมแรงบนท้องฟ้าพัดเข้าหาจนผมสีทองปลิวไสว ลมเย็น ๆ ที่กระทบผิวหนังทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายและใจเย็นลง แล้วเธอก็ตั้งสติได้ เธอถามด้วยน้ำเสียงอายนิด ๆ “นายจะพาชั้นไปไหน”

“เดี๋ยวถึงก็รู้เองแหละ” เอย์จิตอบแล้วบอกว่า “ลองหันไปดูข้างล่างสิ” เรกะเอี้ยวตัวหันไปดูตามที่เขาบอก แล้วเธอก็พบว่าตึกรามบ้านช่องเหลือขนาดเล็กเท่ามด ภาพเมืองที่เห็นตอนนี้เหมือนกับภาพที่ถ่ายจากเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์

เอย์จิพาเธอบินฝ่าก้อนเมฆไปลูกแล้วลูกเล่า “ลมเย็นจังนะ” เรกะหันมาคุยกับเขา “ชั้นไม่คิดมาก่อนเลยนะว่าบนนี้จะรู้สึกดีแบบนี้” เหมือนกับว่าตอนนี้เธอลืมเรื่องที่เกิดขึ้นที่หน้าโรงเรียนไปหมดแล้ว

“แล้วนายไม่กลัวใครเห็นเหรอ” เธอหันมาถามเอย์จิ

เอย์จิยิ้มตอบว่า “ไม่มีใครเห็นหรอก เราอยู่สูงจะตาย”

“เหรอ แต่ทีหลังนายห้ามทำแบบนี้อีกนะ”

“ทำแบบไหนเหรอ”

เรกะหน้าแดงนิด ๆ แล้วตอบเบา ๆ ว่า “ก็ที่นายถือวิสาสะอุ้มชั้นแบบนี้ไง”

เอย์จิขำแล้วพูดว่า “ไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าเธอจะอายกับเค้าด้วย”

พอได้ฟังเธอก็หน้าแดงแป๊ดแล้วเอามือทุบเอย์จิเป็นการใหญ่ “ใครว่าชั้นอายกันยะ”

“โอ้ย ๆ เบา ๆ เดี๋ยวหล่น ๆ” เอย์จิร้อง

เรกะเลยหยุดแล้วถามว่า “ถ้านายปล่อยแล้วชั้นจะตกลงไปเหรอ”

“ก็ใช่หน่ะสิ เมื่อกี้เกือบจะหลุดมืออยู่แล้วรู้มั้ย” พอได้ฟังดังนั้นเรกะเลยรีบเอามือคล้องคอเอย์จิไว้จนแน่น แต่มันก็ทำให้แก้มกับหน้าอกเธอเบียดอยู่กับตัวของเขา สัมผัสนุ่ม ๆ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่คุ้นเคยทำให้เขาใจเต้นรัว

“ก็แล้วทำไมนายไม่ทำ... เอ่อ ไม่ใช้เวทมนตร์ทำให้ชั้นลอยด้วยหล่ะ”

“คือชั้นใช้เวทมนตร์สองอย่างพร้อมกันไม่ได้หน่ะ”

เรกะยังทำหน้างง เขาเลยอธิบายต่อว่า “เวทมนตร์ที่ทำให้บินได้กับทำให้ของลอยมันคนละบทกันหน่ะ”

“ถ้างั้นที่ขึ้นมาจากหน้าผาตอนนั้นนายก็แค่ทำให้ตัวลอยแล้วอุ้มชั้นไว้งั้นเหรอ”

“อื้อ ตัวเธอหนักมากเลยหล่ะ” เอย์จิแกล้งแหย่

“ตาบ้า! ถ้าหนักนักละก็ปล่อยชั้นลงเดี๋ยวนี้เลยนะ” เรกะโวยวายแล้วดิ้นทำท่าเหมือนจะลง

“555+ ชั้นล้อเล่นหน่ะล้อเล่น ตัวเธอก็เบาเหมือนเรนะแหละ”

“นายเคยอุ้มเรนะแล้วเหรอ”

เอย์จิเพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดอะไรที่ไม่ควรออกไป เขาก็เลยกลบเกลื่อนไปว่า “ก็ตอนอยู่ในป่านั่นไง”

“อ๋อ ตอนนั้นเอง” เรกะพูดกับตัวเองเบา ๆ แล้วเธอก็บอกว่า “ต่อไปนี้นายห้ามอุ้มชั้นตามใจชอบอีกนะ”

“อื้อ” แล้วเอย์จิก็พาเธอร่อนลงในสวนหลังบ้านอย่างนุ่มนวล

ที่ห้างโคโรคาคุเซ็นเตอร์ระหว่างที่เรนะกำลังเลือกซื้อของอยู่กับเพื่อน ๆ เธอก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงผมสีทองยืนหันหลังให้อยู่อีกฝั่งของเคาท์เตอร์ เธอรีบวิ่งไปหาผู้หญิงคนนั้นแล้วพูดว่า “พี่คะทำไมมาเร็ว...!”

ผู้หญิงคนนั้นพอหันกลับมาเห็นเรนะ เธอก็ตกใจนิด ๆ ส่วนเรนะที่เห็นหน้าเธอชัด ๆ ก็พูดว่า “ขอโทษค่ะ หนูทักคนผิดหน่ะค่ะ” เรนะรีบก้มหัวขอโทษ

ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาคล้ายเรกะมาก ต่างกันตรงที่เธอไว้ผมบ็อบสีทอง และใส่แว่นทรงวงรีไม่มีกรอบ เธอดูอายุมากกว่าเรกะ 4-5 ปี และตัวก็สูงกว่าเรกะเล็กน้อย พอเรนะขอโทษ เธอก็อึ้งไปเล็กน้อยแล้วก็ยิ้มตอบว่า “เหรอจ๊ะ พี่หน้าเหมือนพี่สาวหนูขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ค่ะ เอ๋! ทำไมถึงทราบหล่ะคะว่าหนูมีพี่สาว” เรนะงง

เธอคนนั้นยิ้มแล้วตอบว่า “อ้าว ก็เมื่อกี้หนูตะโกนเรียกพี่สาวฝาแฝดไม่ใช่เหรอจ๊ะ”

“อ๋อ ค่ะ” แต่เรนะยังไม่หายสงสัย “เอ่อ ขอโทษนะคะ ทำไมคุณถึงรู้ว่า...”

“รู้ว่าหนูกับพี่สาวเป็นฝาแฝดกันใช่มั้ย” เธอพูดต่อให้แล้วก็หัวเราะคิกคัก “แหม หนูเองก็หน้าคล้ายชั้นเหมือนกันนี่ ใครจะไปคิดว่าโลกนี้มีคนหน้าตาคล้ายกันตั้งสามคน...แล้วหนูมาคนเดียวเหรอจ๊ะ” หญิงสาวถามมั่ง

“เปล่าค่ะ หนูมากับเพื่อน ๆ ค่ะ” เรนะตอบแล้วหันไปมองหาพวกคูมิยะแต่ก็ไม่เห็น เธอคิดว่าคงจะพากันไปซื้อของที่แผนกอื่นแล้ว

“แล้วหนูมาซื้ออะไรเหรอจ๊ะ”

“คือหนูจะซื้อของขวัญวันเกิดให้พี่หน่ะค่ะ”

“วันเกิด!?! อ๋อใช่ ๆ นี่ใกล้จะถึงแล้วนี่” หญิงสาวพูดเบา ๆ

“อะไรเหรอคะ” เรนะฟังไม่ถนัด

“อ๋อ เปล่าจ๊ะชั้นแค่นึกอะไรออกนิดหน่อยหน่ะ ว่าแต่หนูจะซื้ออะไรให้พี่สาวหล่ะ”

“ตอนแรกกะจะซื้อกระเป๋าหน่ะค่ะแต่ก็ยังไม่เจอที่ถูกใจ หนูเลยดู ๆ อย่างอื่นแทนค่ะ”

“งั้นให้ชั้นช่วยหนูเลือกได้มั้ย”

“จะดีเหรอคะ”

“หนูรังเกียจเหรอ” เธอถามยิ้ม ๆ

“เปล่าค่ะ หนูแค่เกรงใจคุณ”

“เรียกชั้นว่าไอกะก็ได้ แล้วหนูหล่ะ”

“หนูชื่อเรนะค่ะ”

“งั้นเราไปดูพวกกิ๊ฟช็อปกันดีมั้ย”

“ค่ะ” แล้วเรนะก็เดินตามไอกะไป

ทางด้านเอย์จิ หลังจากเขาพาเรกะร่อนลงที่สวน เขาก็พาเธอเข้าไปในบ้าน “บ้านนายไม่มีคนอยู่เหรอ”

“อื้อ ก็ทุกคนอยู่ที่ร้านกันหมดนี่ กว่าจะกลับก็ดึก ๆ แหละ”

“แล้วทำไมนายต้องพาชั้นมาที่นี่ด้วยหล่ะ”

“ก็คิดว่าคุยกันที่นี่น่าจะง่ายกว่าหน่ะ” เอย์จิตอบ แล้วเขาก็พาเธอเข้าไปในห้องตัวเอง แต่เรกะกลับหยุดรออยู่หน้าประตู “อ้าวทำไมหล่ะ” เอย์จิหันไปถามพลางเก็บของแล้วจัดเบาะให้เธอนั่ง

“นี่นายคงไม่คิดจะพาชั้นมาทำมิดีมิร้ายใช่มั้ย” เธอไม่กล้าเข้าไป

“เฮ้อ” เอย์จิถอนหายใจ “นี่เธอ! ถ้าชั้นจะทำก็คงทำตั้งแต่เข้ามาในบ้านแล้วหล่ะ”

“ก็จริงเนอะ” เธอเลยกล้าเข้ามาข้างใน “เอาหล่ะงั้นก็เล่ามาซะทีสิ”

“จะให้เริ่มจากตรงไหนดีหล่ะ” เอย์จิถาม

“อ้าวนี่นายไม่ได้เตรียมมาหรอกเหรอ”

“เธอจะให้ชั้นซ้อมหน้ากระจกก่อนรอบนึงรึไง ชั้นไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังด้วยซ้ำ”

“งั้นก็ต่อจากคราวก่อนละกัน ที่ว่าคิวบิอะไรนั่นหน่ะ”

“คิวบิโนะโยโกะ” เอย์จิย้ำ

“เออ ๆ แล้วคิวบิโนะโยโกะที่ว่านี่คือใครกันหล่ะ”

“คิวบิโนะโยโกะเป็นชื่อของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางในตำนานหน่ะ”

“เอ๋! จะบอกว่านายเป็นลูกหลานของปีศาจจิ้งจอกงั้นเหรอ”

เอย์จิเลยหันไปหยิบกล่องไม้โบราณที่แกะสลักอย่างสวยงามออกมาจากตู้ พอเปิดฝากล่องออกข้างในก็มีม้วนคัมภีร์โบราณที่ทำจากหนังสัตว์ที่วาดลวดลายไว้บนด้านหลัง พอแกะม้วนคัมภีร์ออกด้านในก็เป็นภาพวาดพู่กันสไตล์ญี่ปุ่นโบราณเป็นรูปหญิงสาวผมดำยาวใส่กิโมโน เธอสวยแบบกุลสตรีญี่ปุ่น เธอยิ้มนิด ๆ ดูท่าทางมีความสุขมาก

“นั่นรูปใครหน่ะสวยจัง”

“คนในรูปนี้ชื่อว่าทามาโมะ มาเอะเป็นสนมของจักรพรรดิโทบะในสมัยเฮอัน เธอเป็นบรรพบุรุษของชั้นเอง”

“บรรพบุรุษของนายเหรอ แล้วเธอเกี่ยวอะไรกับจิ้งจอกเก้าหางหล่ะ” เรกะงง

เอย์จิเลยเล่าให้ฟังว่า “ตามตำนานขององเมียวจิ (นักพรตญี่ปุ่นในศาสนาชินโต) บอกว่าปีศาจจิ้งจอกเก้าหางแปลงกายเป็นหญิงชื่อว่าทามาโมะ มาเอะ แล้วแฝงตัวเข้าไปเป็นสนมของจักรพรรดิ แต่ตำนานที่สืบทอดมาในตระกูลของชั้นบอกว่า จริง ๆ แล้วทามาโมะเป็นคนทรงผู้มีพลังเวทมนตร์ที่เรียกสัตว์ปีศาจออกมาได้”

“แล้วสัตว์ตัวที่ว่าก็คือจิ้งจอกเก้าหางงั้นเหรอ”

“อื้อ แต่ผู้คนเข้าใจผิดไปเอง ทามาโมะ มาเอะเลยถูกเรียกว่าคิวบิโนะโยโกะ”

แล้วเอย์จิก็หยิบสมุดบันทึกโบราณเล่มนึงออกมา “สมุดบันทึกเก่าจัง” เรกะสังเกต

“นี่เป็นสมุดบันทึกของคนรักของทามาโมะหน่ะ ภาพวาดเมื่อกี้ก็ด้วย”

“ภาพนั่นแฟนของคุณทามาโมะเป็นคนวาดเหรอ เหมือนแจ๊คกับโรสในเรื่องไททานิคเลยเนอะ แสดงว่าคุณทามาโมะกับแฟนคงจะรักกันมากเลยสินะ”

“ทำไมถึงคิดอย่างงั้นหล่ะ”

“ก็เธอดูมีความสุขออกซะขนาดนั้นนี่ ถ้าคนที่ชั้นรักวาดภาพให้ชั้นแบบนี้ ชั้นก็คงรู้สึกไม่ต่างกันหรอก” เธอพูดเบา ๆ

“งั้นเหรอ” เอย์จิมองเธอแบบไม่ค่อยเข้าใจ

“ว่าแต่นายบอกว่าเธอเป็นสนมของจักรพรรดิไม่ใช่เหรอ”

“พอดูบันทึกนี่ก็จะเข้าใจเองแหละ” เอย์จิบอก

แล้วเขาก็อ่านให้เธอฟัง “ข้าชื่อคามาชิโยะ ซาโนะสุเกะเป็นขุนนางในสมัยพระจักรพรรดิโทบะ ข้าบันทึกเรื่องราวของทามาโมะ มาเอะคนรักของข้า โดยหวังว่าเหล่าผู้คนที่เข้าใจผิดและรุมประณามเธอ จะเข้าใจเธอในทางที่ถูกและล้างมลทินให้เธอ เพื่อให้วิญญาณของเธอได้ไปสู่สุขคติ แม้จะเป็นเพียงส่วนน้อยก็ตาม”

“ทามาโมะ มาเอะเป็นลูกสาวขุนนางเช่นเดียวกับข้า เราสนิทกันตั้งแต่ยังเล็ก เธอมีรูปโฉมงดงามและเฉลียวฉลาดมาก เธอเดินทางไปศึกษาในสำนักนักพรตหญิงที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศจีน ด้วยพรสวรรค์ที่มีทำให้เธอเป็นลูกศิษย์คนโปรดของเหล่าอาจารย์ จนเป็นที่คาดหมายว่าเธอจะได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก”

“ทั้งสวยทั้งเก่งคล้ายคุณยูริเลยเนอะ” เรกะฟังแล้วนึกถึงพี่สาวเอย์จิ

“อืมก็มีส่วนนะ” แล้วเอย์จิก็อ่านต่อ “พอเธอสำเร็จการศึกษาก็เดินทางกลับมาญี่ปุ่น แล้วใช้ความรู้ความสามารถช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากจนเป็นที่ชื่นชมของชาวบ้าน ด้วยความเฉลียวฉลาด ความงามที่โดดเด่น และคำชื่นชมจากทั่วทุกสารทิศทำให้ชื่อเสียงของเธอเลื่องลือไปถึงหูขององค์จักรพรรดิ แล้วในที่สุดเธอก็ถูกนำตัวเข้าวัง”

“เธอถูกบังคับให้ไปเป็นสนมงั้นเหรอ” เรกะทำหน้าผิดหวัง

“อื้อ ก็ประมาณนั้นแหละ” เอย์จิตอบแล้วก็อ่านต่อ “มาเอะปฏิเสธคำเชิญครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เธอโดนเหล่าขุนนางข่มขู่ว่าถ้าไม่ยอมก็จะทำร้ายครอบครัวของเธอและของข้าผู้เป็นคนรัก เธอจึงจำใจยอม องค์จักรพรรดิจึงทรงเข้าพระทัยผิดว่าเธอมาเป็นสนมด้วยความสมัครใจ”

“ในตอนนั้นข้าตั้งใจจะไปกราบทูลความจริงให้พระองค์ทราบ แต่อมาตย์ที่ใกล้ชิดพระองค์ได้ส่งข้าไปรบที่ชายแดน ข้าต้องฝืนทนดูคนรักตกเป็นของคนอื่นโดยที่ไม่สามารถปกป้องเธอได้เลย”

“ต่ำช้าที่สุด!” เรกะโพล่งออกมา “พวกนี้คิดว่าผู้หญิงเป็นอะไรกัน”

“สมัยก่อนมันก็เป็นแบบนี้แหละ แต่อย่างน้อยสมัยนี้ก็ไม่มีแล้ว” เอย์จิพูดให้เธอใจเย็นลงแล้วก็อ่านต่อไป “ด้วยความสวยและความสามารถของเธอ เพียงไม่นานเธอก็กลายเป็นสนมคนโปรด แต่ในวังเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ยิ่งเป็นที่โปรดปราณมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งโดนเกลียดชังมากขึ้นเป็นทวีคูณ”

“หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ขึ้นหลายอย่าง บ้างก็เกิดโรคระบาด บ้างก็เกิดเหตุอาเพศ เหล่าขุนนางต่างก็กล่าวโทษว่าเป็นเพราะเธอใช้เวทมนตร์คาถาเพื่อหวังจะครอบครองราชสมบัติ ด้วยคำยุแหย่ต่าง ๆ นาๆ ทำให้เธอถูกตัดสินประหารชีวิต ในตอนนั้นพอข้าได้ข่าวก็รีบกลับจากชายแดนแล้วพาเธอหนีออกจากวัง”

“แต่เคราะห์กรรมของพวกเรายังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านั้น เหล่าขุนนางก็พากันส่งทหารตามล่าพวกเราแต่ก็หาไม่พบ เพราะเธอมีคาถาอาคม แต่ถึงกระนั้นพวกเราก็ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เป็นเวลาหลายปี แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ข้ากับนางก็มีความสุข พวกเราได้อยู่ด้วยกันอย่างที่เคยฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว”

“เธอมักพูดให้กำลังใจข้าเสมอว่าทุกสิ่งในโลกล้วนถูกพระเจ้ากำหนดไว้แล้ว และพระองค์ทรงเชื่อว่าพวกเราจะฝ่าฟันอุปสรรค์เหล่านั้นไปได้ พระองค์จึงประทานอุปสรรค์มาให้พวกเรา ข้ากับภรรยาก็ใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง เพื่อรอวันที่ทุกสิ่งจะผ่านพ้นไป”

“และแล้วเธอก็ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคน แต่ด้วยความขัดสน เราจึงตกลงใจจะนำลูกไปฝากไว้กับท่านแม่ของข้า หลังจากที่ข้ากับลูกเดินทางกลับถึงบ้าน เหล่าขุนนางก็ส่งนักพรตออกตามหา ข้ารีบกลับมาหาเธอให้เร็วที่สุดแต่ก็สายเกินไป สุดท้ายเธอก็โดนประหารที่ทุ่งนาสึ โดยที่ข้าไม่สามารถแม้แต่จะมาดูใจเธอเป็นครั้งสุดท้าย”

“ถ้าใครที่ได้อ่านแล้วเชื่อในสิ่งที่ข้าเขียนถึงหญิงผู้เป็นที่รัก ขอได้โปรดช่วยล้างมลทินให้เธอด้วย ไม่ว่าหลังจากนี้ประวัติศาสตร์จะบันทึกไว้ว่าอย่างไร ทามาโมะ มาเอะที่ข้ารักก็จะเป็นทามาโมะ มาเอะคนเดิมที่อยู่ในใจข้าตลอดไป (คามาชิโยะ ซาโนะสุเกะ)” พอเอย์จิเล่าจบ เรกะก็ได้แต่ทำหน้าเศร้า ๆ

ทางด้านเรนะกับไอกะที่กำลังเลือกซื้อของในร้านกิ๊ฟช็อปอยู่นั้น เธอก็สังเกตเห็นสร้อยข้อมือลายลูกแมวสีชมพูอ่อนที่ข้อมือไอกะ เธอเลยพูดว่า “สร้อยน่ารักจังเลยค่ะ”

“อะไรนะจ๊ะ อ๋อ สร้อยนี้เป็นของขวัญวันเกิดที่พี่ได้จากน้องสาวหน่ะ” ไอกะเล่า

“คุณไอกะก็มีน้องสาวด้วยเหรอคะ” เรนะทำท่าตื่นเต้น

“จ๊ะ เป็นน้องสาวจอมทะเล้นมากเลย”

“หนูอยากให้สร้อยแบบนี้กับพี่สาวมั่งจัง” เรนะบอก

“งั้นก็เอาไปสิจ๊ะ” ไอกะถอดสร้อยให้เรนะอย่างไม่ลังเล

“เอ๋!! ไม่ได้หรอกค่ะ สร้อยนี่เป็นของสำคัญของคุณไอกะนี่คะ” เรนะรีบปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ น้องสาวพี่เค้าต้องเข้าใจแน่ ๆ” ไอกะยิ้มนิด ๆ

“แต่ว่า...” เรนะทำท่าเกรงใจ

“งั้นเอางี้ดีมั้ย เธอก็ซื้อสร้อยเส้นใหม่ให้พี่แทนสิจ๊ะ” ไอกะเสนอ

“จะดีเหรอคะ” เรนะไม่ค่อยมั่นใจ

“จ๊ะ” ไอกะยิ้ม แล้วเธอกับเรนะก็ช่วยกันเลือกสร้อยเส้นใหม่

พอพนักงานเอาสร้อยเส้นเก่าไปใส่กล่องของขวัญเสร็จ ไอกะก็ส่งให้เรนะแล้วพูดเบา ๆ ว่า “หลังจ*น*พ*อาจจ*ท*ห*เธอเสียใจ แต่อยากห*เธอร*ว*พ*ขอโทษน*”

“อะไรนะคะ” เรนะจับใจความไม่ได้เพราะมีเสียงประชาสัมพันธ์ของทางห้างมาแทรก

แล้วเรนะก็ได้ยินเสียงคูมิยะเรียกจากนอกร้าน “เรนะจัง”

พอเรนะหันไปหาเพื่อน ไอกะก็พูดเบา ๆ ว่า “สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะ”

“อยู่นี่จ้าคูมิจัง” เรนะรีบโบกมือเรียกเพื่อน “คุณไอกะคะนี่เพื่อนหนูที่มาด้วยกันค่ะ” แต่พอเรนะหันกลับไปก็พบว่าไอกะหายตัวไปแล้ว “คุณไอกะ” เรนะพยายามมองหาเธอแต่ก็ไม่พบ

“ซื้ออะไรเหรอเรนะจัง” คูมิยะถาม

“ของขวัญหน่ะจ๊ะ” เรนะยังหันรีหันขวางมองหาไอกะอยู่

“หาอะไรเหรอเรนะจัง” นายะเห็นท่าทางของเธอผิดปกติ

“คุณไอกะ เอ่อ ผู้หญิงผมบ็อบสีทองหน่ะจ๊ะ เมื่อกี้เค้ายังอยู่แถวนี้อยู่เลย พวกคูมิจังเห็นมั่งมั้ย” เรนะถาม

“ชั้นไม่ทันสังเกตหน่ะ” คูมิยะตอบ นายะก็ส่ายหัว

“ไปกันเถอะทุกคนรออยู่ที่โต๊ะแล้ว” แล้วคูมิยะก็พาเรนะไปที่ฟาสต์ฟู้ด แต่เธอก็ยังคงเหลียวซ้ายแลขวามองหาไอกะ

ทางด้านเอย์จิพอคุยกันจนคอแห้ง เขาก็ยกชามาเสิร์ฟให้เรกะ แล้วเธอก็ถามต่อว่า “ตกลงนายใช้เวทมนตร์ได้ทีละอย่างเหรอ”

“อื้อ ต้องรอจนกว่าผลของเวทมนตร์บทแรกจะหมดไปซะก่อน ชั้นถึงจะใช้บทอื่นได้”

“แต่ชั้นไม่เห็นนายท่อง...เอ่อร่ายมนต์เลยนี่”

“เธอนี่ท่าทางจะอ่านการ์ตูนเยอะไปนะ” เอย์จิแซว

“ทำไมยะ ชั้นเห็นที่ไหน ๆ เค้าก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น แล้วของนายหล่ะทำแบบไหน” เรกะทำหน้าดุ

“จริง ๆ แล้วเวทมนตร์เป็นสิ่งที่ใช้ด้วยใจนะ สำคัญที่ความมุ่งมั่น ไม่ใช่ว่าแค่พูดตามบทแล้วใคร ๆ ก็ใช้ได้ ท่องมนต์หน่ะแค่ร่ายในใจก็พอ”

“งั้นเหรอ แล้วนายทำอะไรได้บ้างหล่ะ”

“ก็แล้วแต่บทอะนะ ถ้าบทยาก ๆ ชั้นก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ถ้าเป็นพวกควบคุมสิ่งของให้เคลื่อนที่อะไรพวกนี้ก็ถือว่าค่อนข้างง่ายละนะ”

“แล้วพวกเวทมนตร์ยาก ๆ หล่ะ”

“อืม ก็พวกหายตัว ทำนายอนาคต หรือสะกดจิตคนอะไรพวกนี้ถือว่ายากมาก ชั้นยังไม่เคยทำได้เลย”

“เหรอ ๆ” เรกะเริ่มตื่นเต้น “แล้วพวกเสกของเสกไรงี้หล่ะ”

“เสกของนี่ก็ค่อนข้างยากนะ ชั้นเองก็ทำได้แค่บางครั้ง แบบว่าต้องจินตนาการถึงสิ่งของชิ้นนั้น ๆ ในใจหน่ะ ยิ่งชัดเจนเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสสำเร็จสูง แต่ของก็จะอยู่ไม่นานนะ พอหมดเวลามันก็จะหายไป”

“ว้า นายนี่ไม่ได้เรื่องเลย โน่นก็ทำไม่ได้ นี่ก็ทำไม่ได้” เรกะแกล้งหยอกมั่ง

“แล้วเธอคิดว่ามันง่ายนักเหรอไง เวทมนตร์มันไม่ใช่อะไรที่สะดวกสบายเหมือนในการ์ตูนหรอกนะ” เอย์จิเริ่มฉุน

ระหว่างที่สองคนคุยกันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว “อ้าวนี่จะ 6 โมงแล้วเหรอ” เรกะเพิ่งรู้ตัวว่าลืมนัดกับเพื่อน ๆ ไปซะสนิท

“เอาไงดี เธอจะไปหาพวกนั้นมั้ย” เอย์จิถาม

แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือของเรกะก็ดังขึ้น “ฮัลโหล พี่คะนี่หนูนะ”

พอรู้ว่าเรนะโทรมา เอย์จิก็ทำตัวให้เงียบที่สุด เพราะไม่อยากให้เธอรู้ว่าตอนนี้เขากำลังอยู่กับเรกะในห้องของตัวเองสองต่อสอง เรกะก็ตะกุกตะกักตอบว่า “อะ อื้อเป็นไงบ้าง เธออยู่ไหนกัน”

“พวกหนูกำลังจะกลับกันแล้วค่ะ แล้วพี่หล่ะคะ”

“อะ เอ่อ คือพี่ พวกพี่เพิ่งออกมาจากโรงเรียนหน่ะ พวกเธอจะกลับกันแล้วเหรอ” เรกะโกหกน้องสาวไป

“ค่ะ”

“ขอโทษนะที่พี่ไปไม่ทัน”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วพี่หล่ะคะเป็นไงมั่ง”

“โอเคดีจ้า ไม่มีปัญหาอะไร งั้นเราไปเจอกันที่บ้านเลยนะ เธอกลับบ้านดี ๆ หล่ะ”

“ค่ะ พี่ก็กลับบ้านดี ๆ นะคะ” แล้วเรนะก็วางสายไป

“สงสัยชั้นต้องกลับแล้วหล่ะ จริง ๆ ยังมีเรื่องอยากถามอีกเยอะเลย” เรกะหันไปบอกเอย์จิ

“อื้อ ไว้ว่าง ๆ ค่อยคุยกันก็ได้ งั้นเดี๋ยวชั้นไปส่ง” เอย์จิอาสา

“ไม่เป็นไรชั้นกลับเองได้”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก นี่ก็เริ่มมืดแล้วด้วย” เอย์จิยืนกรานจะไปส่งให้ได้

“งั้นก็ขอบใจนะ”

พอเอย์จิส่งเรกะกลับถึงบ้านแล้ว เขาก็เดินย้อนกลับมาที่ปากซอย ระหว่างทางก็เจอเรนะเดินสวนมาพอดี “อ้าวเอย์จิคุง” เธอมองหน้าเขา แต่ในใจยังนึกถึงเรื่องเมื่อตอนเย็น

“โทษทีนะที่ชั้นไม่ได้ตามไป” เอย์จิขอโทษ

“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ” เรนะยิ้มตอบเขา

“เอย์จิคุงมาส่งพี่เหรอจ๊ะ”

“อื้อ เพิ่งถึงบ้านเมื่อกี้เอง เป็นไงมั่งได้ของรึเปล่า”

“ได้จ๊ะนี่ไง” แล้วเรนะก็โชว์ถุงใส่กล่องของขวัญที่ห่อมาอย่างเรียบร้อย

“งั้นชั้นช่วยถือนะ” แล้วเอย์จิก็ช่วยถือกระเป๋านักเรียนให้เธอ

“แล้วกระเป๋าของเอย์จิคุงหล่ะจ๊ะ” เรนะสงสัยว่าทำไมเขามาตัวเปล่า

“อ๋อ เมื่อกี้ชั้นเจอพี่กำลังขับรถกลับบ้านพอดีหน่ะ เลยฝากเค้าไปแล้ว”

“เหรอจ๊ะ” ทั้งสองเดินไปเงียบ ๆ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่กล้าคุยกัน ถึงเรนะอยากจะถามเรื่องเมื่อเย็น แต่เธอก็ไม่กล้า

“เอ่อ เรนะ…” เอย์จิเลยตัดสินใจถามก่อน

“อะไรเหรอจ๊ะ” เรนะหันมามอง

“คือ ชั้นถามอะไรหน่อยได้มั้ย แต่ถ้ามันไม่ควรชั้นก็ขอโทษนะ”

เรนะทำตาแป๋ว “อะไรเหรอ ถามมาสิจ๊ะ”

“คือของขวัญหน่ะ เอ่อ คือ...พอจะบอกได้มั้ยว่าซื้อให้ใครเหรอ” เอย์จิกลั้นใจถาม

พอฟังเอย์จิพูดจบ เรนะก็หัวเราะคิกคัก “แหมเอย์จิคุงละก็ทำเป็นซีเรียสไปได้ ชั้นซื้อให้พี่เป็นของขวัญวันเกิดหน่ะจ๊ะ มะรืนนี้พวกเราจะจัดงานเลี้ยงกันที่บ้าน ยังไงเอย์จิคุงมาด้วยกันนะจ๊ะ” เรนะชวน

เอย์จิได้ฟังก็ยิ้มออก “อ้าววันเกิดเรกะเหรอ งั้นก็เป็นวันเกิดเธอด้วยหน่ะสิ” เรนะยิ้มรับ เอย์จิเลยพูดต่อว่า “งั้นเดี๋ยวชั้นต้องรีบเตรียมของขวัญบ้างแล้ว”

“ขอบใจนะจ๊ะ”

“เอ่อ งั้นชั้นขอถามเอย์จิคุงมั่งได้มั้ย” เรนะทำหน้าเหมือนจะกังวลใจอะไรบางอย่าง

“ได้สิ”

“แต่ไม่รู้ว่าจะดีรึเปล่านะจ๊ะ”

“ว่าแต่ชั้น เธอเองก็ซีเรียสเหมือนกันนั่นแหละ”

“ขะ ขอ ขอโทษจ๊ะ” เรนะรีบก้มหัวขอโทษ

“ถามมาเถอะ ถ้าเป็นเธอละก็ ชั้นยินดีตอบทุกอย่างแหละ”

“คือว่า เอ่อ คือวันนี้ตอนเย็นเอย์จิคุงกับพี่มีธุระอะไรกันเหรอ” พอถามเสร็จเรนะกลับคิดในใจว่าเธอไม่น่าถามออกไปเล้ย

เอย์จิอึ้งเล็กน้อยแล้วก็ตอบว่า “คือเรกะเค้ามาถามเรื่องชมรมหน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

“จ๊ะ ๆ” เรนะตอนนี้กำลังโทษตัวเองว่าดันถามอะไรไม่เข้าเรื่องออกไป เธอเลยไม่อยากรู้คำตอบแล้ว

ซักพักทั้งคู่ก็เดินไปถึงบ้าน “งั้นชั้นเข้าบ้านก่อนนะจ๊ะ” เรนะหันมาบ๊ายบายเอย์จิ

“อื้อ ฝันดีนะ” เอย์จิตอบ

“เอย์จิคุงก็ฝันดีเหมือนกันนะจ๊ะ” เธอยิ้มให้เขา

พอเรนะกลับเข้าบ้านไปแล้วเอย์จิก็เดินกลับ ระหว่างทางเขาไปพบชายแก่คนนึงกำลังข้ามถนน เขาเลยรีบเข้าไปช่วย “ขอบใจนะพ่อหนุ่ม” ชายแก่คนนี้รูปร่างอ้วนพุงพลุ้ย ผมขาวโพลน ใส่แว่นกรอบสี่เหลี่ยม ไว้เคราสีขาว มือข้างหนึ่งถือไม้เท้า ลักษณะดูคล้ายตุ๊กตาผู้พันที่ยืนอยู่หน้าร้านไก่ทอด

“ไม่เป็นไรครับ” เอย์จิตอบ

พอชายแก่คนนี้มองหน้าเขาชัด ๆ ก็พูดเบา ๆ ว่า “เธอคงเป็น...” แล้วเขาก็หยุดพูด

“อะไรเหรอครับ” เอย์จิงง

“เปล่า ๆ ไม่มีอะไร คนมันแก่แล้วก็งี้แหละ ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ งั้นชั้นขอตัวก่อนนะ”

“ครับ เดินระวังนะครับ” แล้วเอย์จิก็หันหลังเดินกลับบ้านไป

ชายแก่หยุดยืนมองเขาเดินไปจนเกือบลับสายตาแล้วก็พูดว่า “ไม่ว่าอนาคตจะเจอเรื่องยากลำบากแค่ไหน แต่เธอต้องเข้มแข็งไว้นะทาคุมิคุง!?!”



Create Date : 27 กันยายน 2552
Last Update : 27 กันยายน 2552 11:45:29 น. 0 comments
Counter : 241 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

TonyLaFraga
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add TonyLaFraga's blog to your web]