นิยายเรื่องรักยกกำลังสอง แนวโรแมนติกวัยมัธยม ผมไม่สามารถเล่าเนื้อเรื่องย่อได้ เพราะเนื้อหาทุกอย่างจะทำให้คุณลุ้นและเซอร์ไพรส์อยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณชอบอ่านนิยายแนวโรแมนติ และมีปริศนาให้คาดเดาและลุ้นไปกับมัน ลองเข้ามาอ่านเรื่องนี้สิครับ รับประกันความสนุก
 
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
5 กรกฏาคม 2552

รักยกกำลังสอง บทที่ 4 เดทสุดซึ้ง (First Date) ตอน 2

“งะ ทำไมไปกันแต่ผู้ชายน่าเบื่อออก” คูมิยะทำหน้าเซ็ง

“ก็พวกเราได้บัตรฟรีมาแค่ 2 ใบนี่เลยช่วยกันออกอีกใบนึง” ฟูจิอธิบาย

“แล้วพวกนายอยากให้พวกชั้นไปด้วยมั้ยหล่ะ” คูมิยะถามแล้วทำเป็นเล่นตัว

“ถ้าพวกเธออยากไปก็โอเค” ฟูจิตอบ

“งั้นพวกนายก็ไปหาบัตรฟรีมาเพิ่มสิยะ ไปบอกเพื่อนนายเลยว่าสาว ๆ สวย ๆ แสนน่ารักอีก 4 คนจะขอบัตรไปเที่ยว” คูมิยะเจ้ากี้เจ้าการ

“เอางั้นเลยเหรอไม่รู้จะได้รึเปล่านะ แถมวันนี้ก็วันศุกร์แล้วด้วย” คอนจิบอก

“ไม่รู้แหละถ้าอยากให้พวกชั้นไปด้วยก็ไปเอาบัตรมาละกัน” คูมิยะยื่นคำขาด

“จ้า ๆๆ จะลองดูนะ” คอนจิทำหน้าเหนื่อยใจ

คืนนั้นคูมิยะโทรไปชวนนายะไปเที่ยวสวนสนุก Precious Memories ในวันพรุ่งนี้พอคุยกันเสร็จคูมิยะก็โทรไปชวนเรกะต่อ “เหรอ อืมเอาสิถ้าพวกเธอไปชั้นก็ไป เดี๋ยวชั้นบอกเรนะเอง” เรกะพูด

“จ้างั้นพรุ่งนี้เช้าเจอกันหน้าสถานีนะ” คูมิยะนัด

“เออนี่เมื่อวันก่อนหน่ะทาคุมิคุงมาชวนเรนะไปที่ Precious Memories ด้วย แต่เรนะปฏิเสธไป” เรกะเล่าให้เพื่อนสนิทฟัง

“เหรอ เรนะจังคงยังไม่อยากไปกันสองต่อสองมั้ง” คูมิยะพูด

“อื้อชั้นว่าจริง ๆ เรนะก็อยากไปแหละแต่ไม่กล้า” เรกะออกความเห็น

“แต่ถ้าไปกันทั้งหมดเรนะจังคงไม่มีปัญหาอะไรมั้ง” คูมิยะบอก เรกะก็เห็นด้วย

“เออนี่เอางี้สิใช้ได้ไอเดียเด็ด ๆ แล้ว” คูมิยะทำเสียงตื่นเต้น

“อะไรเหรอ” เรกะสงสัย

“เอางี้สิ...” แล้วทั้งสองคนก็ช่วยกันวางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้

“อืมเข้าท่าเหมือนกันเนอะ” เรกะทึ่งในความคิดของเพื่อน

“เป็นไงบอกแล้วใช่มั้ยว่าชั้นนี่แหละแชมป์หัวใสตัวจริง” คูมิยะพูดอย่างภูมิใจ

“งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ”

“จ้าบาย ๆ เดี๋ยวชั้นไปบอกเรนะก่อน พรุ่งนี้เจอกัน”

เช้าวันเสาร์ 7 โมงคูมิยะโทรไปหาฟูจิเรื่องบัตรสวนสนุก “ฮัลโหลฟูจิเหรอเป็นไงมั่ง”

“เป็นไงเรื่องอะไรเหรอ” ฟูจิยังสะลึมสะลือ

“อ้าวก็เรื่องบัตรไป Precious Memories ไงตกลงนายได้คุยกับเพื่อนรึยัง”

“อ๋อยังไม่ได้คุยเลยเมื่อวานโทรหามันไม่ติดอะ”

“แล้วไงยะชั้นโทรชวนพวกเรกะแล้วนะ แถมยังวางแผนจะ...อีกด้วย” คูมิยะบ่นแล้วเล่าแผนให้ฟูจิฟัง

“เหรอ โอเค ๆ เดี๋ยวชั้นรีบโทรหามันเลย”

“รีบมาเลยนัดกัน 9 โมงนะ ถ้าไม่ได้บัตรแม่เจื๋อนทิ้งจริง ๆ ด้วย”

“จ้า ๆ จะรีบโทรเดี๋ยวนี้แหละรับรองไปทันแน่”

“อืองั้นแค่นี้นะ” แล้วคูมิยะก็วางสาย

ที่หน้าสถานีรถเมล์ย่านใจกลางเมืองเวลา 9 โมง กลางห้าแยกที่เป็นย่านท่องเที่ยวที่จะเชื่อมต่อไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั้งห้างสรรพสินค้า ย่านช้อปปิ้งคล้ายชินจูกุ สวนน้ำ Ocean World หอสมุดประจำเมือง หอศิลปะ สวนสาธารณะ นอกจากนี้ถ้าจะขึ้นรถไปหาดน้ำลึกอาโยยะหรือสวนสนุก Precious Memories ก็สามารถขึ้นรถจากที่นี่ได้

ตอนนี้ทุกคนมากันครบแล้วยกเว้นคอนจิกับฟูจิ “สองคนนั่งเมื่อไหร่จะมาเนี่ย” คูมิยะฉุน

“สงสัยไปเอาบัตรก่อนเลยมาช้ามั้ง” นายะพยายามทำให้คูมิยะใจเย็น

“หนอยมาช้าแล้วถ้าไม่ได้บัตรนะ ฮึ่ม!!!” คูมิยะคำราม

“ช้าจัง” เรกะพูดเบา ๆ แล้วมองไปที่ถนนเผื่อว่าจะเห็นทั้งสองคน

ในขณะที่เรนะกับเอย์จิยืนตัวเกร็งไม่กล้ามองหน้ากัน เพราะคนนึงเพิ่งปฏิเสธที่จะไปที่นี่เมื่อวันก่อน ส่วนอีกคนพึ่งจะโดนปฏิเสธมา “เอ่อ เรนะ” เอย์จิพยายามชวนคุยเบา ๆ แต่คนอื่น ๆ ก็ยังสังเกตเห็นแต่ทำเป็นไม่มองเพราะคูมิยะนัดแนะกับทุกคนไว้แล้ว

“จ๊ะ” เรนะตอบเสียงค่อย เธอก็ทำหน้าไม่ถูกเหมือนกัน

“เปล่า คือเป็นไงบ้างหายปวดเมื่อยรึยัง” เอย์จิพยายามทำให้บรรยากาศกลับเป็นปกติ

“จะ จ๊ะดีขึ้นแล้วแหละ” เรนะตอบแต่เธอไม่กล้ามองหน้าเขา

“มาแล้ววววว” เสียงพวกคอนจิดังมาแต่ไกล ทั้งสองบึ่งมอเตอร์ไซด์มาอย่างเร็วแล้วมาเบรกเอี๊ยด!!! ตรงหน้าเพื่อน ๆ

“กว่าจะมาได้นะยะ” คูมิยะบ่น “แล้วเป็นไงได้บัตรมามะ”

“ได้มาอีกแค่ 3 ใบหน่ะ จริง ๆ เป็นส่วนของเพื่อนที่มันจะเก็บไว้เที่ยวกับสาว ๆ เลยนะ” ฟูจิโอดโอย

“อื้อ 3 ใบก็ยังดีขอบใจพวกนายมากนะ” คูมิยะเลิกทำหน้าดุ

“ขอบใจนะ” เรกะพูด

“แล้วพวกเธอจะขับมอเตอร์ไซด์ไปเหรอ” นายะสงสัย

“อ๋อเดี๋ยวชั้นเอาไปจอดใน DMC ก่อนละกัน” คอนจิรีบขับไปที่ห้าง DMC

“รอแปบน้า” ฟูจิตะโกนไล่หลังมา

พอทุกคนมากันครบก็ขึ้นรถรับส่งของสวนสนุกที่มีต้นทางอยู่ที่ป้ายนี้ พวกเอย์จินั่งกันไปแค่ 15 นาทีก็ถึงสวนสนุก Precious Memories พอไปถึงทุกคนต่างทำหน้าดีใจ ส่วนเอย์จิถึงกับตะลึงกับความอลังการของสวนสนุกแห่งนี้

เบื้องหน้าของเขาเป็นชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ มองลึกไปภายในเห็นรางรถไฟเหาะตีลังกาที่ยาวเหยียดและน่าหวาดเสียว เมื่อมองไปอีกฟากของสวนสนุกเห็นซุปเปอร์สไปรัลขนาดยักษ์อยู่บนสระน้ำที่มีเนื้อที่เกือบเท่าสนามฟุตบอล

เมื่อทุกคนเดินผ่านประตูสวนสนุกเข้าไปยิ่งทำให้เอย์จิทึ่งกับสวนสนุกแห่งนี้เพราะไม่มีใครเดินอยู่ในสวนสนุกแห่งนี้เลย ทุกคนที่มาเที่ยวจะนั่งอยู่บนรถแบบที่ใช้ในสนามกอล์ฟ แต่ที่นี่จะวาดลวดลายการ์ตูนในเทพนิยายต่าง ๆ ไว้บนตัวรถ รถกอล์ฟใช้พลังงานไฟฟ้าทำให้บังคับง่ายและมีความเร็วไม่สูงนัก

ถ้าเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ก็จะนั่งรถรางที่ยกรางขึ้นสูงจากพื้นประมาณ 10 เมตรเพื่อไปยังสถานที่ต่าง ๆ ภายในสวนสนุก โดยรถรางจะวิ่งวนรอบสวนสนุกเพื่อส่งผู้โดยสาร เส้นทางบางส่วนจะขับลอดอุโมงค์ ขับผ่านน้ำตก หรือบางช่วงจะวางรางให้เสมอกับผิวน้ำเพื่อให้รถรางวิ่งไปบนน้ำ

บริเวณต่าง ๆ ในสวนสนุกมีลูกโป่งรูปต่าง ๆ หลากสีสันลอยอยู่กลางอากาศทั้งรูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ นกเพนกวิ้น หมีแพนด้า ฯลฯ จึงเป็นภาพที่น่าทึ่งมาก

“สุดยอดไปเลย!!!” เอย์จิลืมตัวอุทานไปตามความรู้สึกที่เห็น

“ยอดเลยใช่ม้า ที่นี่หน่ะแม้แต่คนจากเมืองข้าง ๆ ยังมาเที่ยวเลยนะ” ฟูจิอวด

“ที่นี่จะให้นักท่องเที่ยวขับรถกอล์ฟไปตามที่ต่าง ๆ เพราะมันกว้างมาก ถ้าเดินละเมื่อยตายเลย” เรกะคุยให้เอย์จิฟัง

“แม้แต่บันไดยังปรับให้เป็นเนินสำหรับให้รถขับขึ้นไปเลย แจ๋วใช่มะ” คอนจิคุย

“งั้นพวกเราไปเช่ารถกันก่อนดีกว่า” คูมิยะนำเพื่อน ๆ ไปเลือกรถกอล์ฟที่ถูกใจ

“มีหลายแบบเลยนะจะเอาแบบนั่ง 2 คนหรือ 4 คนก็ได้” ฟูจิอธิบาย

“แล้วจะเอากี่คันดีหล่ะ” เอย์จิถาม

คูมิยะกับเรกะขยิบตาให้กันแล้วนายะก็สะกิดคอนจิโดยไม่ให้เอย์จิกับเรนะสังเกตเห็น “ชั้นกับฟูจิขอนั่งแบบสองคนนะ” คอนจิออกตัว

“อื้อเราจะซิ่งกันให้มันส์ไปเลย!!!” ฟูจิทำท่าซ่ามาก

“แบบนี้ก็ไม่ลงตัวสิ อีกคันนั่งกันได้แค่ 4 คนเองนะ” คูมิยะแกล้งพูด

“นั่นสิกลุ่มเรามีผู้หญิง 4 คนถ้านั่งด้วยกันแล้วทาคุมิคุงจะทำไง” เรกะรับไม้ต่อทันที

“ไม่เป็นไรหรอกชั้นขับอีกคันคนเดียวก็ได้” เอย์จิตอบด้วยความเกรงใจ

“ให้ทาคุมิคุงนั่งคนเดียวเหงาแย่ซิจ๊ะ” เรนะที่ไม่รู้แผนเพื่อน ๆ ทำหน้าเห็นใจเอย์จิ

“งั้นให้พวกเราแบ่งไปนั่งเป็นเพื่อนทาคุมิคุงคนนึงดีมั้ย” นายะเดินตามแผน

“แล้วจะให้ใครไปหล่ะ” เรกะทำฟอร์มไม่รู้เรื่อง

“งั้นเอางี้มั้ยโอน้อยออก ใครออกก็ไปนั่งเป็นเพื่อนทาคุมิคุง” คูมิยะเสนอ

“ก็ดีนะ” เรกะเห็นด้วยอย่างง่ายดายกว่าปกติ เรนะก็เลยเห็นด้วยตามพี่สาว

“งั้นก็เอาละนะโอน้อยยยยยยย ออก” คูมิยะนำ แต่แท้จริงแล้วสามสาวนัดแนะกันมาแล้วว่าจะออกอะไร สองครั้งแรกทุกคนออกเหมือนกันหมด แต่ครั้งที่ 3 มีเรนะคนเดียวที่ออกต่างจากเพื่อน เรนะถึงกับตกใจที่รู้ว่าตัวเองจะต้องไปนั่งคู่กับเอย์จิ เธอส่งสายตาอ้อนวอนไปที่พี่สาว แต่เรกะทำหน้าเป็นนัยว่าคงช่วยอะไรไม่ได้

“งั้นเรนะจังไปนั่งเป็นเพื่อนทาคุมิคุงละกันนะจ๊ะ” นายะกุมมือเรนะโดยมีคูมิยะ เรกะ และพวกฟูจิส่งสายตาขำ ๆ เป็นเชิงรู้กัน

“เอ่อ ฝากตัวด้วยนะ” เอย์จิหน้าแดงนิด ๆ

เรนะก็อายจนไม่กล้าสบตาเขาตรง ๆ “เช่นกันจ๊ะ”

พอทุกคนพร้อมก็ขับรถไปตามทางโดยรถของผู้หญิงคูมิยะเป็นคนขับมีนายะนั่งหน้าและเรกะนั่งหลัง ระหว่างทางมีตัวตลกและนักแสดงใส่ชุดตัวการ์ตูนต่าง ๆ เหมือนในเทพนิยายยืนโชว์การแสดงอยู่

นอกจากนี้ยังมีร้านขายของที่ระลึก แฮมเบอร์เกอร์ ฮอทดอก น้ำอัดลม และขนมต่าง ๆ อยู่เป็นระยะ ๆ พอขึ้นเนินรถทุกคนชะลอเพื่อรับโบชัวร์ของ Precious Memories จากคุณกระต่าย

พอขับต่อไปอีกนิดก็มีคุณหมีคอยแจกมงกุฎที่ทำจากลูกโป่ง พอเอย์จิรับมงกุฎลูกโป่งมาแล้วก็ส่งให้เรนะใส่ เรนะถามว่า “เป็นไงมั่งจ๊ะ”

เอย์จิก็ตอบแบบเขิน ๆ ว่า “น่ารักมากเลย” ทำเอาเรนะพลอยเขินไปด้วย ส่วนกลุ่มคูมิยะกับกลุ่มฟูจิที่ขับตามหลังก็ได้แต่แอบหัวเราะคิกคัก

พอรับโบชัวร์มาเอย์จิก็ต้องทึ่งอีกครั้งเพราะที่นี่มีที่เที่ยวเยอะมาก ในโบชัวร์เขียนแนะนำเครื่องเล่นและสถานที่ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังบอกรายละเอียดของถนนที่จะไปถึง อาทิเช่น เมืองหิมะ เมืองอวกาศ เมืองยักษ์ รวมทั้งเมืองเทพนิยายที่รวมเอาเนื้อเรื่องจากนิทานชื่อดังต่าง ๆ เช่น ปีเตอร์แพน ดินแดนมหัศจรรย์ของอลิส พินอคคิโอ้ เจ้าหญิงนิทรา และอื่น ๆ อีกมากมาย

พวกเครื่องเล่นก็มีเยอะไม่แพ้กัน ทั้งรถไฟเหาะตีลังกาแบบนั่งห้อยขา บันจี้จั๊ม หอคอยที่ดึงผู้เล่นขึ้นไปถึงยอดแล้วปล่อยให้ตกลงมาตามแรงโน้มถ่วง เรือไวกิ้งที่แกว่งเกือบตั้งฉากกับพื้น ปลาหมึกยักษ์ที่ผู้เล่นนั่งอยู่ที่ปลายหนวดแล้วแกว่งหนวดขึ้นลงกับหมุนไปรอบ ๆ ด้วยความเร็วสูง จานหมุนที่หมุนเอียงไปมา กระเช้าที่หมุนตั้งฉากกับพื้นแล้วยังแกว่งเป็นวงกลม และยังมีเครื่องเล่นน่าหวาดเสียวอีกหลายชนิด

นอกจากเครื่องเล่นน่าหวาดเสียวแล้วยังมีเครื่องเล่นน่ารัก ๆ เช่น ม้าหมุนสองชั้น รถไฟโบราณ ตุ๊กตาเดินได้ที่เอาไว้ให้เด็ก ๆ ขี่

“แล้วเราจะเล่นอะไรก่อนดีหล่ะ” คูมิยะถามเพื่อน ๆ

“หึหึหึ” ฟูจิกับคอนจิทำหน้าเจ้าเล่ห์แล้วก็ชี้ไปที่รถไฟเหาะตีลังกา “ก็ต้องอันนี้ก่อนสิพวก!!!” เอย์จิแหนงมองรถไฟเหาะแล้วหน้าเสีย “เอย์จิคุงไม่ชอบเล่นรถไฟเหาะเหรอจ๊ะ” เรนะถามด้วยความเป็นห่วง

“ปะ เปล่า ไม่หรอก” เอย์จิมีน้ำเสียงอึก ๆ อัก ๆ

แล้วทุกคนก็ขึ้นไปนั่งบนรถไฟเหาะ เนื่องจากต้องนั่งกันเป็นคู่เรกะเลยจัดให้น้องสาวกับเอย์จินั่งหน้าสุดแล้วตัวเองก็นั่งข้างหลังกับคูมิยะ รถไฟวิ่งด้วยความเร็วสูงและเหวี่ยงเป็นเกลียวสว่าน บางครั้งก็ตีลังกา 360 องศาติดต่อกันหลายรอบ บางทีก็เหวี่ยงจนขาของคนเล่นเกือบจะชนราง

เอย์จินั่งหน้าซีดตาลายหัวสั่นหัวคลอนมือจับราวแน่นด้วยความกลัว ส่วนเรนะกับเพื่อน ๆ ร้องกรี๊ดอย่างสนุกสนาน พอลงมาเอย์จิถึงกับหน้าซีดท่าทางเหมือนจะอาเจียน แต่พวกเรกะก็ดึงเขาไปเล่นต่อไปทันที พวกเอย์จิเล่นเครื่องเล่นที่น่าหวาดเสียวจนเกือบหมดก็มาหาที่นั่งพัก เอย์จิถึงกับหมดเรี่ยวหมดแรงเดินเซไปเซมา

“เดี๋ยวชั้นไปซื้อน้ำมาให้นะ” เรกะกับคูมิยะพากันไปซื้อน้ำ

“เป็นไงมั่งจ๊ะ” เรนะถามเอย์จิที่ดูแล้วหมดสภาพ

เอย์จินั่งตาลายกึ่งพูดกึ่งหอบ “ขอนั่งพักเดี๋ยวนะ ซักพักคงดีขึ้น”

“พวกนายอยากกินอะไรมั้ย เดี๋ยวชั้นไปซื้อให้” คอนจิถามเพื่อน ๆ

“ขอบใจนะ งั้นเอาขนมละกันอะไรก็ได้” นายะบอกเพื่อน แล้วฟูจิกับคอนจิก็เดินไปซื้อขนม

ซักพักเรกะกับคูมิยะก็ถือน้ำกลับมา “มาแล้วจ้า อะนี่ของทาคุมิคุง” เรกะยื่นเป๊ปซี่ให้

คูมิยะเห็นเพื่อนหายไปสองคนเลยถามว่า “แล้วพวกฟูจิไปไหนหล่ะ”

“ไปซื้อขนมหน่ะ” นายะตอบ

“เหรอ ดีนะที่พวกเราไม่ซื้อมาไม่งั้นชนกันแน่” เรกะพูด

พอเอย์จิได้กินน้ำแล้วนั่งซักพักก็เริ่มอาการดีขึ้น เรนะเห็นเขาเริ่มสดชื่นขึ้นเลยถาม “รู้สึกยังไงมั่งจ๊ะ”

“มีแรงแล้วหล่ะ” เอย์จิตอบที่หน้าเขาเริ่มมีเลือดฝาด

“แล้วต่อไปพวกเราจะเล่นอะไรดีหล่ะ” นายะถาม

“อืม นั่นสิ” เรกะทำท่าคิด

“งั้นเดี๋ยวรอถามพวกฟูจิดีมั้ย” คูมิยะเสนอ เพื่อน ๆ ก็พยักหน้า

“แต่พักพวกรถไฟเหาะไว้ก่อนนะ เอย์จิคุงเพิ่งดีขึ้นเอง” เรนะพูดด้วยความเป็นห่วง

แล้วพวกฟูจิก็เดินมา “อะนี่ซื้อข้าวโพดคั่วมาให้” แล้วเขาก็ยื่นข้าวโพดคั่วถุงใหญ่ให้คูมิยะ

“เป็นไงมั่ง” คอนจิถามเอย์จิ

“อื้อดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวไปต่อได้แล้วหล่ะ” เอย์จิถามต่อ

“เล่นไอ้แบบที่มันไม่เวียนหัวเถอะทาคุมิคุงเพิ่งหายเอง” เรกะบอกสองหนุ่ม

“อื้อชั้นก็ว่างั้น” ฟูจิเห็นด้วย

แต่ละคนช่วยกันคิดว่าจะเล่นอะไรต่อไปดี บางคนก็นั่งอ่านโบชัวร์ ฟูจิหันไปเห็นแมนชั่นหลังหนึ่งเลยปิ๊งไอเดียขึ้นมา “อ้า! ชั้นนึกออกแล้ว” เพื่อน ๆ หันมามองเขาเป็นตาเดียว “ที่นั่นดีมะ” เขาชี้ไปที่แมนชั่นผีสิง

คูมิยะที่ปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันทีก็พูดว่า “ดีเหมือนกันนะ” แล้วก็ขยิบตาส่งซิกให้เรกะกับนายะ ทั้งสองคนก็เข้าใจทันทีว่าจะต้องทำอะไร

“ดีเหมือนกันไม่เวียนหัวด้วย” คอนจิพูด

ทุกคนนั่งกินน้ำกินข้าวโพดคั่วรอให้เอย์จิดีขึ้นซักพักก็พากันไปที่แมนชั่นผีสิง แต่ระหว่างนั้นคูมิยะแอบบอกแผนให้ฟูจิกับคอนจิเรียบร้อยแล้ว “นี่ ๆ ถ้าเข้าพร้อมกันมันจะไม่ค่อยน่ากลัวนะ” ฟูจิบ่น

“นั่นสิแบ่งกลุ่มแล้วทยอยกันเข้าดีมั้ย” นายะเสนอ แต่คู่พี่น้องฮิเมะไม่กล้าปริปากอะไรเพราะต่างก็เป็นคนกลัวผีอย่างแรงทั้งคู่ แต่เรกะกระซิบกับนายะไว้แล้วว่ายังไงก็ห้ามทิ้งเธอไว้คนเดียวเด็ดขาด

“เข้าไปเป็นคู่ดีมั้ยน้าจะได้น่ากลัวหน่อย” คูมิยะเริ่มทำตามแผน

“สองคนเองเหรอน่ากลัวอ้ะ” เรนะเริ่มทำหน้าตาไม่ค่อยสบายใจ เธอกุมมือพี่สาวแน่นราวกับจะบอกว่าอย่าแยกจากเธอเด็ดขาด

“เอาน่าเข้าบ้านผีสิงแล้วไม่กลัวจะเข้าทำไม” คูมิยะตบไหล่เรนะเบา ๆ

“ไม่ต้องกลัวหรอกยังไงก็เป็นแค่หุ่นทั้งนั้น” เอย์จิปลอบใจเรนะ เธอเลยจำใจยอมรับข้อตกลงเพื่อน ๆ

“แล้วจะจับคู่กันยังไงหล่ะ” คอนจิถามตามที่เตี๊ยมกันมา

“เหมือนเดิมดีมั้ยโอน้อยออก” คูมิยะเสนอแล้วทุกคนก็โอน้อยออกเพื่อจับคู่กัน แต่นอกจากเรนะกับเอย์จิทุกคนได้เตี๊ยมกันไว้แล้วว่าจะออกอะไร เพียงแค่ครั้งแรกก็มีแค่เรนะกับเอย์จิเท่านั้นที่ออกเหมือนกัน ทั้งสองเลยถูกจับคู่กันโดยปริยาย

“ว้าย ให้ชั้นไปกับเอย์จิคุงแค่สองคนเองเหรอ” เรนะอุทานออกมาเมื่อรู้ผล

“ไม่เป็นไรน่าทาคุมิคุงไม่กลัวผีไม่ใช่เหรอ” คูมิยะพูด

“น่ามันช่วยไม่ได้นี่ ออกไปแล้วมารอที่ม้าหินตรงนี้นะ” คอนจินัด

“แต่ว่า” เรนะยังทำหน้าตาน่าสงสาร เธอดึงชายเสื้อเรกะไว้ทำสายตาบอกเป็นนัยว่าช่วยด้วย

“จ้า ๆ งั้นพี่ไปด้วยกันก็ได้” เรกะใจอ่อน

“งั้นกลุ่มแรกก็มีทาคุมิ เรกะ เรนะละกันนะ” คูมิยะพูด “แล้วชั้นกับนายะจะตามไปทีหลัง”

พอทั้งสามคนเข้าไปในแมนชั่นผีสิงได้ซักพักทุกอย่างก็มืดลงบรรยากาศอึมครึมกลิ่นค่อนข้างอับชื้น เอย์จิเดินนำหน้าส่วนสองพี่น้องต่างก็ดึงชายเสื้อเอย์จิไว้คนละข้าง ทั้งสองคนเดินตัวลีบพยายามให้อยู่ใกล้เอย์จิที่สุด

พอกลุ่มแรกเข้าไปแล้วคูมิยะและที่เหลือก็เข้าไปพร้อมกันทั้ง 4 คน เพื่อแอบดูอาการสองสองพี่น้อง ทั้ง 4 คนพยายามทิ้งระยะห่างไว้ไม่ให้กลุ่มข้างหน้าจับได้ ทุกคนพยายามเดินให้เงียบที่สุด

เอย์จิ เรนะ และเรกะเดินไปบนถนนแคบ ๆ ที่มีป้ายหลุมศพกับไม้กางเขนวางเรียงรายกันอยู่ บนเพดานมีค้างคาวบินตัวสองตัว บางป้ายมีหยากไย่ขึ้นเต็ม บางป้ายมีร่องรอยเหมือนดินถูกขุดขึ้นมา

มีอยู่ป้ายนึงยังไม่ได้กลบ มองลงไปมีโลงศพวางอยู่ บางโลงก็ยังไม่ได้ใส่ลงไปในหลุมและแง้มฝาไว้นิด ๆ เหมือนกับจะให้มองลอดเข้าไปในโลงได้ ระหว่างเดินไปก็มีเสียงแปลก ๆ อยู่ตลอดทำให้สองพี่น้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“พวกเธอไม่เป็นไรนะ...” เอย์จิหันไปคุยกับทั้งสองคนไม่ทันจะขาดคำฝาของโลงศพที่ตั้งอยู่ข้างทางก็หล่นลงพื้นเสียงดังโครม!!! แล้วก็มีค้างคาวบินออกมาจากโลงหลายตัว เรนะกับเรกะร้องกรี๊ดเสียงดังลั่น ทั้งสองลืมตัวกระโดดเข้ากอดเอย์จิอย่างแรงจนทำให้เอย์จิหน้าหงายลงไปกับพื้น เอย์จิยันตัวขึ้นมานั่ง ทั้งสองคนหลับตาปี๋ตัวสั่นกอดเขาไว้

“ไม่มีอะไรแล้วแค่ค้างคาวหน่ะ” เอย์จิบอกทั้งคู่ สองพี่น้องค่อย ๆ ได้สติลืมตาขึ้นแล้วพบว่าตัวเองนั่งทับเอย์จิและกอดเขาแน่นจนหน้าอกทั้งคู่เบียดไปกับแขนเอย์จิคนละฝั่งละข้าง หน้าทั้งสองซุกอยู่ระหว่างคอกับหัวไหล่เอย์จิ ทั้งคู่อายหน้าแดงรีบลุกออกมา พวกคูมิยะที่แอบดูอยู่พากันหัวเราะคิกคัก

แล้วทั้งสามคนก็ค่อย ๆ เดินต่อโดยเรนะกับเรกะยังเอามือจับชายเสื้อเอย์จิไว้แน่นเหมือนเดิม

พอทั้งสามเดินไปได้ซักพักก็เจอคูน้ำกว้างประมาณ 10 เมตรมีสะพานไม้กว้างประมาณ 2 คนเดินวางอยู่ปริ่มน้ำ สองพี่น้องเห็นเข้าก็หน้าเสีย เรกะบอกเอย์จิว่า “นายอย่าเดินเร็วนักนะ”

“อื้อ เอางี้มั้ยพวกเธอนำหน้าแล้วชั้นระวังหลังให้” เอย์จิเสนอ

นาทีนั้นเรกะก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าระหว่างเดินนำหน้ากับเดินตามหลังอันไหนน่ากลัวกว่ากัน แต่เธอคิดว่ายังไงซะถ้าเดินใกล้ ๆ เอย์จิไว้แล้วมีเขาคอยมองอยู่น่าจะปลอดภัยกว่า “เอางั้นก็ได้” เรนะก็เห็นด้วย แล้วทั้งสองคนก็เดินข้ามสะพานไป แต่มือของทั้งคู่จับแขนเอย์จิไว้ไม่ยอมปล่อย

ทั้งสามเดินอย่างระมัดระวังแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอสองพี่น้องก้าวขาขึ้นฝั่งก็โล่งใจ ทันใดนั้นมีผีโผล่พรวดลงมาจากเพดานห้อยลงมาครึ่งตัว ทั้งสองคนกรี๊ดสุดเสียงผวาเข้ากอดเอย์จิแน่น แต่เอย์จิตั้งสติได้เลยยันตัวไว้ไม่ล้มลง

สองพี่น้องหลับตาปี๊ เอย์จิก็เอามือลูบหัวไหล่ทั้งสองเบา ๆ พอให้หายตกใจ พอผีกลับขึ้นไปแอบอยู่บนเพดานตามเดิม เขาก็พูดว่า “ใจเย็น ๆ ไม่มีอะไรแล้ว” สองพี่น้องที่ได้สติก็อายแล้วค่อย ๆ กลับมายืนข้างหลังเอย์จิตามเดิม

แล้วเอย์จิก็ขำ “ไม่คิดเลยนะว่าพวกเธอจะกลัวผีขนาดนี้”

เรกะทั้งเขินทั้งแค้นที่โดนเอย์จิหัวเราะเยาะ “ใช่สินายไม่กลัวก็พูดได้นี่”

ส่วนเรนะก็พูดว่า “เอย์จิคุงใจร้าย”

เอย์จิพยายามกลั้นหัวเราะแต่กลั้นไม่อยู่ “ขอโทษๆ” แล้วทั้งสามก็ออกเดินต่อ พอทั้งสองคนดึงชายเสื้อเขาอีก เอย์จิเลยเอามือไปกุมมือทั้งสองคนไว้แล้วพูดโดยไม่หันกลับมาว่า “จูงมือกันอุ่นใจกว่ามั้ย” ทั้งสองคนตกใจที่โดนเอย์จิกุมมือแต่ทั้งคู่ก็ไม่ว่าอะไร

ทั้งสามคนก็ค่อย ๆ เดินต่อไป ระหว่างทางพอโดนผีหลอกสองพี่น้องก็พากันร้องกรี๊ด บางครั้งก็ตกใจจนเข่าอ่อน บางครั้งก็เผลอผวาเข้ากอดเอย์จิ จนกระทั่งออกมาจากแมนชั่นผีสิงได้ทั้งคู่จึงนั่งหอบนิด ๆ ราวกับเพิ่งออกกำลังกายมา

เอย์จิเลยบอกว่า “เดี๋ยวไปซื้อน้ำให้นะ”

พอเอย์จิเดินไปเรนะก็นั่งนึกในใจว่ามือเอย์จิใหญ่จังแถมยังอบอุ่นด้วย เรกะที่มองน้องสาวทำหน้าเหม่อลอยตัวเธอก็ทำหน้าเหงา ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว ซักพักพวกคูมิยะก็เดินออกมาอย่างอารมณ์ดี

“แหมได้เห็นของดีเข้าซะแล้วนะ” คูมิยะล้อสองพี่น้อง

“อะไรยะ” เรกะทำหน้าดุ

“แหมก็เห็นผวาเข้ากอดเค้าตลอดทางเลยนี่” คูมิยะล้อเลียน

เรนะได้ยินก็หลบสายตาเพื่อนอย่างอาย ๆ ฝ่ายเรกะก็ทำหน้าดุปนเขินนิด ๆ แล้วพูดว่า “นี่พวกเธอแอบดูชั้นเหรอ”

นายะก็ทำหน้าเล่นลิ้น “ไม่ได้แอบดูซักหน่อยเห็นเองจ้า อิอิ”

“นายะจังเธอก็ด้วยเหรอ ชิ” เรกะงอน

“แหมน่าจะเอากล้องมาด้วยนะ” นายะแซว

“ไม่ต้องเลยนะยะ” พอเรกะทำหน้ายักษ์ใส่เธอพวกฟูจิก็หัวเราะคิกคัก

“แหมทั้งสองคนพอตกใจแล้วโผไปกอดทาคุมิคุงนี่มีอะไรแอบแฝงรึเปล่าจ๊ะ” คูมิยะยังไม่จบ

“บ้ากันไปใหญ่แล้ว” เรกะหน้าแดงจัด

“เปล่าจ๊ะก็...ก็เค้ากลัวอ๊ะแล้วในนั้นเอย์จิคุงก็ดูพึ่งพาได้มากที่สุดใช่มั้ยล่ะ” เรนะพูดไปพลางเอานิ้วชี้จิ้มเข้าหากันไปพลาง

ซักพักเอย์จิก็เดินถือน้ำมาให้สองสาว “อ้าวพวกนายออกมากันเร็วจัง”

“พวกเราเดินกันเร็วหน่ะ” คูมิยะเลี่ยง ๆ ตอบ

“แล้วเดี๋ยวไปไหนต่อดีหล่ะ” คอนจิถาม

“เอ่อ คือชั้นอยากลองเล่นนั่นมานานแล้วหน่ะ” เรนะชี้ไปที่บันจี้จั๊ม

“โหยยย ใจกล้าไม่เบาเลยนะ” ฟูจิทึ่ง

“แหมไม่ถึงขนาดนั้นหรอกจ๊ะ”

“ดีเหมือนกัน ชั้นก็ยังไม่เคย” คูมิยะพูด

พอทุกคนนั่งพักจนหายเหนื่อยแล้วก็พากันเดินไปต่อแถวที่บันจี้จั๊มที่เป็นหอคอยสูงขึ้นไปพอ ๆ กับตึก 30 ชั้น มีลิฟต์ส่งผู้เล่นขึ้นไปด้านบน

ด้านล่างเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ มีเรือชูชีพคอยรับผู้เล่นที่โดดลงมา 2 ลำ ข้างบนหอคอยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่ 3 คนที่ด้านล่างหอคอยมีเจ้าหน้าที่อยู่ 2 คนคอยดูแลคิวที่ต่อแถวกันยาวพอประมาณ พวกเรนะไปยืนต่ออยู่ท้ายแถว

“เอ่อ เดี๋ยวชั้นรออยู่นี่ละกันนะ” เอย์จิออกตัว

“อ้าวนายไม่เล่นเหรอ” เรกะหันมาถาม

“แหะ ๆ มันน่ากลัวหน่ะ” เอย์จิตอบ

“น่าอย่าป๊อดไปเลยน่า” คอนจิชวน

“เอ่อ” เอย์จิทำท่าลังเล

“นั่นสิไหน ๆ ก็มาแล้วทั้งที” คูมิยะทำท่าเสียดาย

“น่าไม่ต้องกลัวหรอก ดูสิคนเล่นกันเยอะแยะ” ฟูจิชี้ไปที่ยอดหอคอยเห็นผู้เล่นคนนึงโดดลงมาร้องกรี๊ดเสียงแหลม

“เล่น 2 คนพร้อมกันก็ได้นะครับ!!!” เสียงพนักงานดังมาจากต้นคิว

พอเรกะได้ยินพนักงานพูดก็ชำเลืองมองเอย์จิแล้วคิดในใจว่าจะชวนเขาเล่นพร้อมกันเขาจะได้ไม่กลัวแต่เธอก็ไม่กล้าพูด

ซักพักก็ถึงคิวคูมิยะขึ้นไปเป็นคนแรก ทุกคนที่อยู่ข้างล่างก็ช่วยลุ้น พอเธอโดดลงมาทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องกรี๊ดดังมาจากข้างบน เธอหล่นลงมาจนเฉียดผิวน้ำแล้วเชือกก็ดึงตัวเธอเด้งขึ้นไปสูงเกือบครึ่งทางของหอคอย แล้วเธอก็หล่นลงมาอีกเธอเด้งอยู่ประมาณ 3 – 4 รอบก็เริ่มช้าลง แล้วเรือที่อยู่ข้างล่างก็เข้าไปรับตัวเธอ

เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่บนยอดหอคอยก็ดึงเชือกเปล่า ๆ กลับขึ้นไป คนขับเรือพาเธอไปส่งยังที่พักผ่อนสำหรับผู้เล่นที่พึ่งเล่นเสร็จ มีบริการผ้าเช็ดตัวและเครื่องดื่มอุ่น ๆ ให้

เอย์จิที่เห็นเพื่อนเล่นก็ยิ่งรู้สึกกลัว เรนะเลยหันไปพูดกับเขาว่า “เอย์จิคุงเล่นพร้อมกับชั้นก็ได้นะจ๊ะ”

เอย์จิทำหน้าตกใจเล็กน้อย “มันจะดีเหรอ”

เรนะตอบว่า “ก็ตอนบ้านผีสิงเธอยังช่วยชั้นไว้ตั้งหลายครั้ง” แล้วเธอก็ยิ้มให้เอย์จิอย่างน่ารัก ทำให้เอย์จิรู้สึกดีขึ้น เรกะก็หันมาชำเลืองมองเขาเล็กน้อย เธอทำหน้าเหงา ๆ แล้วก็หันกลับไป

พอเพื่อน ๆ ขึ้นไปเล่นกันหมดก็ถึงตาเอย์จิกับเรนะ ทั้งสองขึ้นลิฟต์ไปด้วยกัน ระหว่างขึ้นลิฟต์เอย์จิยืนแขนขาสั่น เรนะที่สังเกตเห็นก็เอามือมาจับมือเขาแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไรนะจ๊ะ” เธอทำตาใสซื่อหน้าตาเป็นห่วงเอย์จิด้วยความอ่อนโยน

พอไปถึงเจ้าหน้าที่ก็ถามว่า “เล่นกันสองคนเหรอครับ”

ทั้งสองก็ตอบว่า “ครับ/ค่ะ” แล้วเจ้าหน้าที่ก็สวมเสื้อชูชีพให้และผูกเชือกที่ต้นขาของทั้งคู่ให้แน่น แล้วให้ทั้งสองคนเช็คอีกทีว่าแน่นดีรึยัง

ผมรู้สึกว่ามือเย็นเฉียบขาวซีดเหมือนเลือดไม่ไหลเวียน ผมเช็คเชือกที่มัดรอบขาหลายครั้งแต่ก็ยังไม่มั่นใจ สีหน้าเรนะก็ดูกังวลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเธอจะกลัวรึเปล่า พอได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่บอกว่าเริ่มได้ พวกเราก็ค่อย ๆ เดินไปปลายสะพาน

ผมชำเลืองมองลงไปข้างล่างเห็นคนตัวเล็กกว่ามดรู้สึกได้เลยว่าที่ ๆ ผมยืนอยู่สูงจากพื้นมาก ผมเกือบจะหน้ามืดเซล้มจนต้องรีบเงยหน้ามามองเรนะ เธอเอามือมากุมมือผมไว้มือของเธออุ่นเหลือเกินทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย

พอไปถึงปลายสะพานเราสองคนสบตากันแล้วก็กอดกันแน่น แล้วก็โดดลงไปพร้อม ๆ กัน ระหว่างที่หล่นลงมาเราสองคนมองตากันตลอด วินาทีนั้นเหมือนกับว่าเราสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย ผมกอดเธอแน่นตัวเราเบียดกันจนผมได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเธอและไออุ่นจากเธอ

พวกเราค่อย ๆ หล่นถึงพื้นอย่างช้า ๆ สายลมเย็นเฉียบพัดสวนตัวพวกเราขึ้นไป ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่วินาทีแต่มันช่างยาวนานเหลือเกิน หัวผมเกือบจะโดนน้ำ พอเชือกตึงมันก็ดึงเราสองคนกลับขึ้นไปคราวนี้บรรยากาศทุกอย่างกลับเป็นปกติ เราสองคนลอยขึ้นไปเร็วมาก แล้วเรนะก็หลับร้องกรี๊ดออกมาผมเองก็หลับตาปี๋

เราเด้งขึ้นเด้งลงกี่ครั้งนับไม่ได้ เชือกค่อย ๆ ช้าลง ๆ แล้วก็เกือบหยุดนิ่ง ผมลืมตาขึ้นเห็นผิวน้ำอยู่ต่ำลงไปเล็กน้อย แล้วเรนะก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ตัวของผมอุ่นขึ้นมาทันที ใบหน้าเรนะก็เหมือนกันเธอมีเลือดฝาดมากขึ้นจนแก้มเป็นสีขาวอมชมพู เรือชูชีพมารับเราแล้วก็แก้เชือกที่ผูกอยู่ที่ขา

พอผมขึ้นเรือผมรู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด สายลมที่พัดมาโดนช่างสดชื่นเหลือเกิน ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าโลกนี้ช่างสวยงามจริง ๆ ผมยืนยืดอกยิ้มรับสายลมที่พัดมาโดนตัว เรนะก็ทำเหมือนผม ซักพักเราสองคนก็ไปถึงฝั่งที่พวกคูมิยะรออยู่

“เป็นไงมั่งพวกเธอ” คูมิยะถามเอย์จิกับเรนะ

“ตื่นเต้นดีจ๊ะสนุกมากเลย” เรนะตอบ

“ตอนแรกก็กลัวนะแต่พอเสร็จแล้วชั้นรู้สึกสนุกจนอยากเล่นอีกรอบแล้วซิ” เอย์จิตอบด้วยหน้าตาสดใส

“555 มีติดใจ ๆ” คอนจิหัวเราะ

“บอกแล้วไม่มีไรต้องกลัวทีตอนแรกละทำป๊อด” ฟูจิพูดอย่างอารมณ์ดี นายะเอาผ้าเช็ดตัวมาให้เอย์จิกับเรนะ ส่วนเรกะไปหยิบเครื่องดื่มมาให้ แต่เธอมองหน้าเอย์จิด้วยสีหน้าซึม ๆ

“ขอบใจนะ” เอย์จิขอบใจทั้งสองคน

แล้วเรกะก็ช่วยเช็ดตัวให้น้องสาว “ขอบคุณค่ะพี่” เรนะทำหน้าน่ารักตอบพี่สาว

“นี่ ๆ ที่ติดใจหน่ะเพราะได้เล่นพร้อมเรนะรึเปล่า” ฟูจิแซวจนทั้งเรนะและเอย์จิหน้าแดง แล้วทุกคนก็พากันหัวเราะคิกคักยกเว้นเรกะ

“นี่ก็เกือบเที่ยงแล้วเดี๋ยวเราไปหาอะไรกินกันเถอะ” นายะชวน ทุกคนนั่งพักกันต่ออีกเล็กน้อยแล้วก็เดินไปที่รถกอล์ฟ

“จะไปกินข้าวที่ไหนกันเหรอ” เอย์จิถามเพื่อน ๆ

ทุกคนยิ้มอย่างรู้กันแล้วก็ชี้ขึ้นไปที่หอคอยอีกแห่งที่อยู่ไปทางตะวันออก “นั่นไงบนยอดหอคอยนั่นมีห้องอาหารลอยฟ้าอยู่ ขึ้นไปละมองเห็นวิวทั่วทั้งสวนสนุกเลยนะ” ฟูจิบอก

หอคอยนั้นตั้งอยู่ใจกลางสวนสนุกพอดี ตัวหอคอยเป็นหอสูงแคบ ๆ ประมาณห้องเล็ก ๆ ห้องนึง ฐานจะกว้างกว่าบนยอดแต่บนยอดกลับมีห้องขนาดใหญ่เป็นรูปทรงกระบอกแบน ๆ เหมือนดอกเห็ด ทำให้หอคอยนี้ดูไกล ๆ คล้ายเห็ดที่มีลำต้นสูงลีบ ผนังห้องบนยอดหอคอยเป็นกระจกติดฟิล์มดำรอบด้าน

พวกเอย์จิขับรถกอล์ฟไปซักพักก็ถึง เอย์จิจอดแล้วให้เรนะลงก่อน “ขอบใจจ๊ะ” เรนะยิ้มตอบเขา แล้วทุกคนก็ขึ้นลิฟต์ไปบนยอด ก็เปิดประตูเข้าไปยังห้องอาหารลอยฟ้าที่แอร์เย็นฉ่ำ

“อ๊าสดชื่นจัง” คูมิยะชูมือบิดขี้เกียจ

“เดี๋ยวพวกชั้นไปจองโต๊ะให้ พวกเธอไปซื้อกันก่อนละกัน” คอนจิพูดแล้วฟูจิก็ดึงตัวเอย์จิไปที่โต๊ะที่อยู่ริมกระจก

“เฮ้! พวกนายมีไรเหรอ” เอย์จิร้องถาม

“เปล่า แค่จะถามว่าตอนเล่นบันจี้จั๊มเป็นไงมั่งเห็นกอดเรนะแน่นเลยนี่” คอนจิทำหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์

“พวกชั้นดูอยู่ข้างล่างเห็นกุมมือกันตั้งแต่ขึ้นลิฟต์แล้วนะ หึหึ” ฟูจิแฉ

เอย์จิอายหน้าแดง “ตอนนั้นชั้นจำไรไม่ได้หรอก ชั้นมัวแต่กลัว” เขาพูดกลบเกลื่อน

“จริงเร้อออ” คอนจิทำเป็นรู้ทัน ฟูจิก็ยิ้ม ซักพักพวกสาว ๆ ก็ถืออาหารกลับมาพวกผู้ชายเลยพากันไปซื้อบ้าง ระหว่างนั่งทานข้าวแต่ละคนก็คุยกันบ้าง มองดูวิวของสวนสนุกบ้าง

ห้องอาหารนี้จะค่อย ๆ หมุนช้า ๆ เพื่อให้แขกที่มาได้เห็นวิวรอบ ๆ สวนสนุกครบทั้ง 360 องศาทำให้บรรยากาศในร้านดีขึ้นอีกมาก

“เดี๋ยวเราไปเล่นอะไรกันต่อดีหล่ะ” เอย์จิถามเพื่อน ๆ ระหว่างกินข้าวเที่ยง

“ช่วงบ่ายพวกเราคงไม่เล่นเครื่องเล่นผาดโผนแล้วล่ะ พึ่งกินข้าวอิ่ม ๆ เดี๋ยวอ้วก” คูมิยะตอบ

“ใช่ ๆ เพราะงั้นตอนเช้าพวกเราเลยตระเวนเล่นกันเต็มที่ไง” ฟูจิบอก

“อ๋อมิน่าหล่ะ” เอย์จินึกถึงเหตุการณ์หวาดเสียวต่าง ๆ เมื่อตอนเช้าทำให้เขาสยองไปอีกนาน

“หลังจากนี้พวกเรากะจะไปเดินเที่ยวตามเมืองต่าง ๆ กันหน่ะ” นายะตอบ

“แล้วพวกเธออยากไปเมืองไหนกันก่อนหล่ะ” คอนจิถาม

“อ่านในนี้เค้าว่าเมืองหิมะอยู่ใกล้ที่สุดนะ” เรกะอ่านโบชัวร์แล้วบอกเพื่อน

“งั้นเราก็ไปเมืองหิมะก่อนละกันเนอะ” คูมิยะบอก

“อื้อยังไงพวกเราก็จะไปกันทุกเมืองอยู่แล้ว” ฟูจิพูด

พอกินข้าวเสร็จทุกคนก็ขับรถไปเมืองหิมะต่อ ทุกคนมาถึงโดมขนาดยักษ์ที่เขียนป้ายว่าเมืองหิมะ ข้างในโดมอากาศเย็นกว่าข้างนอกมากหลังคาโดมมืดสนิทให้บรรยากาศตอนกลางคืนมีหิมะโปรยปรายอยู่พอสมควร

ที่พื้นเป็นถนนหิมะและมีบ้านที่สร้างจากหิมะเรียงรายอยู่ข้างทางเรียกได้ว่าทั้งโดมเป็นหมู่บ้านที่ทำจากหิมะ “โอ้โหเค้าทำดีจังนะมีหิมะตกด้วย” คอนจิทึ่ง

เรนะ คูมิยะ กับนายเข้าไปนั่งอยู่ในบ้านหิมะแล้วให้เพื่อน ๆ ถ่ายรูปให้ “ถ้าอยู่ในบ้านที่ทำด้วยหิมะอย่างงี้จะเป็นไงน้า” เรนะจินตนาการ

“ก็คงนอนหนาวทั้งคืนหล่ะมั้ง” คูมิยะตอบ

“แต่พวกเอสกิโมก็อยู่ในบ้านน้ำแข็งทั้งหลังเหมือนกันนะ” นายะพูด

“อุ๋ยดูนั่นสิมีศาลเจ้าหิมะด้วย” เรกะชี้ไปที่ศาลเจ้า

“จริงด้วยทำจากหิมะทั้งหลังเลยเนอะ” คูมิยะทึ่ง เรกะ ฟูจิ และเอย์จิไปยืนอยู่ตรงซุ้มประตูทางเข้าศาลเจ้าที่ทำจากหิมะแล้วให้เพื่อน ๆ ถ่ายรูปให้

“ดูสิมีสะพานหิมะด้วย” เอย์จิกับคูมิยะไปยืนอยู่ใต้สะพาน เรนะกับเรกะไปยืนอยู่ข้างบนแล้วให้นายะถ่ายรูปให้ แต่ละคนพากันถ่ายรูปหมู่บ้านหิมะซะจนเต็มอิ่ม

“ตรงนั้นมีเนินหิมะด้วย” คอนจิชี้ไปที่เนินหิมะทีสูงกว่า 5 เมตร

“เย้” เสียงฟูจิสไลด์ลงมาจากบนเนิน แต่ละคนพากันปีนขึ้นหลังเนินแล้วสไลด์ลงมาให้คนที่อยู่ด้านหน้าถ่ายรูปตอนลื่นลงมา เอย์จิได้สไลด์คู่ลงมากับเรกะและเรนะคนละรอบ

ฟูจิกับคอนจิก็เล่นปาหิมะใส่กัน คูมิยะเดินมาจะอ้าปากบ่น “นี่พวกนายเดี๋ยวไปโดนคนอื่น...” ยังไม่ทันพูดจบเธอก็โดนลูกหลงไปด้วย “หนอยแน่ะเล่นกันงี้ใช้มั้ย” แล้วเธอก็ปาหิมะใส่ทั้งสองคนแต่พลาดไปโดนเรกะ

“แกล้งกันเหรอคูมิจัง” แล้วเรกะก็ปาใส่คูมิยะ ฟูจิกับคอนจิก็ช่วยกันรุม

“รุมกันนี่ นายะจังช่วยชั้นด้วย” คูมิยะเริ่มหาพวก

เรนะกับเอย์จิก็นั่งขำดูเพื่อนปาหิมะใส่กัน เอย์จิก็คอยถ่ายรูปเพื่อนเล่นปาหิมะกัน แล้วทั้งสองคนก็ช่วยกันปั้นตุ๊กตาหิมะตัวโต ๆ ไว้เป็นที่ระลึก แล้วทุกคนก็ถ่ายรูปหมู่กับตุ๊กตาหิมะด้วยกัน

พอเสร็จจากเมืองหิมะทุกคนก็พากันขับรถไปที่เมืองยักษ์ต่อ ระหว่างทางเอย์จิซื้อไอศกรีมให้เรนะที่นั่งข้าง ๆ ทานด้วย พอไปถึงเมืองยักษ์ทุกคนก็พบว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียวเมื่ออยู่ในหมู่บ้านที่ทุกอย่างขนาดใหญ่กว่าปกติหลายสิบเท่า

บ้านชั้นเดียวนับสิบหลังขนาดใหญ่พอ ๆ กับตึก 5 ชั้น แต่ที่นี่ไม่มีโดมครอบเหมือนเมืองหิมะ พอเข้าไปในบ้านทุกคนก็เจอเฟอร์นิเจอร์ขนาดยักษ์ โต๊ะสูงเกือบเท่าบ้านสองชั้น เก้าอี้ขนาดเท่าบ้านหนึ่งชั้น และยังมีถ้วยกาแฟ จาน และเตาผิงขนาดยักษ์อยู่อีก

พวกเอย์จิพากันถ่ายรูปจนหนำใจก็เดินทางต่อไปยังสวนน้ำ ทุกคนเปลี่ยนชุดว่ายน้ำแล้วพากันเล่นซุปเปอร์สไปรัลกันอย่างสนุกสนาน พอว่ายน้ำจนเหนื่อยก็สั่งเครื่องดื่มคอทเทลแบบไม่มีแอลกอฮอล์มาดื่มที่โต๊ะ

บางคนที่ยังมีแรงก็ไปเล่นต่อ พอเล่นที่สวนน้ำจนเต็มอิ่ม พวกคูมิยะก็ไปต่อที่เมืองอวกาศและสุดท้ายก็เมืองเทพนิยาย กว่าจะครบทุกเมืองก็ปาเข้าไป 6 โมงเย็นพอดี

พอพระอาทิตย์ใกล้ตกคูมิยะก็เสนอไอเดียว่า “นี่พวกเราไปขึ้นไอ้นั่นแล้วดูพระอาทิตย์ตกกันเหอะ” เธอชี้ไปที่ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่เอย์จิเห็นตั้งแต่มาถึงที่นี่ในตอนเช้า

“ดีเหมือนกันเนอะ” เรกะเห็นด้วย แล้วแต่ละคนก็พากันขับรถไปที่ชิงช้าสวรรค์ ระหว่างทางคูมิยะแอบวางแผนกับพวกเรกะเพื่อให้เอย์จิกับเรนะได้ขึ้นชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน

พอไปถึงนายะก็บอกว่า “ขอชั้นเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

“งั้นชั้นไปเป็นเพื่อน” คูมิยะพูดแล้วเดินไปกับนายะ “พวกนายต่อคิวกันไปก่อนนะ” เธอหันมาพูดกับที่เหลือ

ต่อคิวไปได้ซักพักฟูจิก็ทำฟอร์มปวดท้อง “ชั้นไปเข้าห้องน้ำด้วยคนเดี๋ยวมานะ” ฟูจิก็รีบไป

“งั้นชั้นไปด้วย” แล้วคอนจิก็วิ่งตามเค้าไปเหลือแค่เอย์จิ เรกะ และเรนะกันแค่สามคน

พอใกล้จะถึงคิวเรกะก็บ่น “พวกคูมิจังทำไมช้าจัง” เรนะก็พลอยทำหน้ากังวล “งั้นเดี๋ยวชั้นไปตามเอง” เรกะบอกเอย์จิกับเรนะ

“แต่เดี๋ยวจะถึงคิวเราแล้วนะคะพี่” เรนะบอกพี่สาว

“เอาน่าเดี๋ยวพี่ก็กลับมาแล้ว ถ้ามาไม่ทันพวกเธอก็ขึ้นไปกันก่อนละกัน” เรกะบอก

“เชิญคร๊าบบบ” เสียงเจ้าหน้าที่เรียกให้ขึ้นกระเช้าชิงช้า

“งั้นนายขึ้นเป็นเพื่อนเรนะไปก่อนนะเดี๋ยวชั้นมา” แล้วเรกะก็ดันเอย์จิกับเรนะเข้ากระเช้าไปอย่างฉุกละหุก

“พี่คะ!!!” เรนะเรียกพี่สาวที่กำลังปิดประตูกระเช้า

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่มา” เรกะยิ้มส่งน้องสาวแล้วกระเช้าก็เลื่อนขึ้นไป

พอกระเช้าลอยขึ้นไปเรนะก็พึ่งรู้ตัวว่าต้องอยู่กันสองต่อสองกับเอย์จิในห้องแคบ ๆ ทั้งสองคนนั่งเงียบไม่พูดอะไร ทั้งคู่ไม่กล้าสบตากัน แล้วเอย์จิก็พูดว่า “ขอบใจนะ”
เธอทำหน้างง “ขอบใจเรื่องอะไรเหรอจ๊ะ”

“ก็วันนี้ชั้นสนุกมากเลย ได้มาเที่ยวกับเธอ...กับทุกคน” เอย์จิตอบ

“ชั้นก็ต้องขอบใจเอย์จิคุงด้วยนะจ๊ะ วันนี้ชั้นก็สนุกมากเหมือนกัน” เรนะยิ้มตอบ

พอกระเช้าขึ้นไปถึงยอดเอย์จิก็บอกว่า “ดูนั่นสิ” เขาชี้ไปที่พระอาทิตย์กำลังจะตกบนผิวน้ำทะเลซึ่งเป็นภาพที่สวยงามมาก

“สวยจัง” เรนะอุทานเบา ๆ แล้วทั้งสองคนก็นิ่งเงียบซึมซับบรรยากาศแสนงดงามซักพัก

“ชั้นคิดมาตลอดเลยนะ” เอย์จิพูดกับเรนะเบา ๆ

“อะไรเหรอจ๊ะ” เธอถาม

“ชั้นคิดมาตลอดเลยว่าโชคดีมากที่ได้ย้ายมาเมืองนี้ ได้มาเจอกับทุกคนและก็เรนะด้วย” เขาพูดโดยสายตามองไกลไปที่ดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า เรนะได้ฟังก็อายนิด ๆ จนแก้มเป็นสีชมพู

“แล้วพวกเรกะจะเป็นไงมั่งนะ” เอย์จิเป็นห่วงเพื่อน ๆ เรนะก็เป็นห่วงเหมือนกัน

ทั้งคู่เงียบซักพัก เรนะที่พยายามชวนคุยก็เอ่ยขึ้นมาว่า “วันนี้เลยไม่ได้ช่วยงานที่ร้านเลยเนอะ”

“ไม่เป็นไรหรอกวันเสาร์อาทิตย์มีพวกนักศึกษามาทำงานพิเศษเพิ่มหลายคนหน่ะ” เอย์จิตอบ

“เหรอจ๊ะ” เรนะพูดแล้วก็เงียบไป “ที่บ้านเอย์จิคุงทำร้านขนมมานานแล้วเหรอจ๊ะ” เรนะถาม

“ก็ตั้งแต่ชั้นยังเด็กแล้วหล่ะ คุณพ่อท่านเคยทำงานบริษัทมาก่อน ท่านได้พบคุณแม่ที่นั่น หลังจากทั้งคู่แต่งงานกันก็ลาออกจากบริษัทมาเปิดร้านเค้ก เห็นคุณพ่อท่านว่าเป็นความฝันของคุณแม่ตั้งแต่เด็ก ๆ หน่ะ” เอย์จิเล่าเรื่องของคุณพ่อคุณแม่ให้เรนะฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“คุณพ่อเอย์จิคุงน่ารักจังเลย” เรนะชื่นชม

“คุณพ่อท่านเคยบอกว่าความฝันของท่านก็คือการที่ได้ทำให้ความฝันของคนที่ท่านรักเป็นจริง” เอย์จิเล่า เรนะก็นิ่งเงียบรอฟังต่อเอย์จิสบตาเรนะนิดนึงแล้วถามว่า “แล้วความฝันของเรนะคืออะไรเหรอ”

พอเรนะได้ฟังก็แก้มเป็นสีชมพูนิด ๆ แล้วตอบว่า “ความฝันของชั้นเหรอ...”

“พอเล่าให้ชั้นฟังได้มั้ย” เอย์จิถาม

“ก็ได้จ๊ะแต่มันอาจจะไม่ใช่อะไรเลิศเลอหรอกนะ” เธอตอบ

“ไม่หรอก ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่แต่ชั้นคิดว่าความฝันของเรนะก็เป็นเรื่องที่มีความหมายสำหรับตัวเรนะนะ” เอย์จิตอบ

“ขอบใจนะจ๊ะ” เธอยิ้มให้เขา “เอย์จิคุงรู้จัก Marine Snow มั้ย” เอย์จิส่ายหัวนิด ๆ “มันเป็นปรากฏการณ์ใต้ทะเลหน่ะ บางแห่งใต้ทะเลที่มีแพลงก์ตอนสะสมอยู่หนาแน่ พอแพลงก์ตอนสีขาวเหล่านี้ค่อย ๆ ถูกกระแสน้ำโปรยลงสู่ก้นทะเลก็จะดูคล้ายกับมีหิมะตกใต้ทะเลหน่ะ”

เอย์จิทำหน้าตาทึ่งในเรื่องที่เรนะเล่า “ชั้นเคยดูในละครเรื่องยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยมเวอร์ชั่นที่เรนะ ทานากะเล่นเป็นนางเอกหน่ะจ๊ะ” เรนะตอบ

“ชั้นเคยได้ยินเรื่องนี้นะ นางเอกชื่อเดียวกันกับเรนะเลยนี่” เอย์จิคุงพูด

“อื้อในเรื่องพระเอกพานางเอกไปดำน้ำดู Marine Snow ชั้นประทับใจมากเลย ตั้งแต่นั้นชั้นเลยฝันว่าอยากจะไปดู Marine Snow ของจริงซักครั้ง” เรนะทำหน้าเหมือนอยู่ในความฝัน

“คงเป็นภาพที่สวยมากเลยนะ หิมะตกใต้ทะเล” เอย์จิบอก “ถ้าซักวันชั้นพาเธอไปดูได้ เธอไปกับชั้นนะ” เขาทำหน้าตาจริงจังชวนเธอ

เรนะทำหน้าตกใจเล็กน้อย ๆ เธอนิ่งอยู่นิดนึงแล้วก็ยิ้มตอบว่า “จ๊ะ แล้วเราไปด้วยกันนะ” แล้วเรนะก็ยิ้มแล้วยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวก้อยสัญญากับเอย์จิ “อยากให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ จัง”

พอทั้งสองลงมาจากชิงช้าสวรรค์ก็เริ่มมืดพอดี ทั้งคู่นั่งอยู่ด้วยกันสองต่อสองบนม้านั่ง ซักพักพวกคูมิยะก็ลงมาจากชิงช้าสวรรค์ “เป็นไงรอนานมั้ย” คูมิยะถาม

“อื้อไม่นานหรอก” เอย์จิตอบ

“โทษที ๆ ชั้นเข้าห้องน้ำนานไปหน่อย” ฟูจิขอโทษ

“ไม่เป็นไรจ๊ะ ว่าแต่ทุกคนได้ดูพระอาทิตย์ตกรึเปล่า” เรนะถาม

“ดูสิ สวยมากเลยหล่ะ แล้วพวกเธอเป็นไงมั่ง” เรกะถาม

พอเรกะถามเรื่องบนชิงช้าสวรรค์ทั้งเอย์จิกับเรนะก็อายนิด ๆ ทั้งคู่แก้มเป็นสีชมพูแล้วเรนะยิ้มก็ตอบว่า “สนุกมาเลยค่ะพี่” คูมิยะกับนายะเห็นอาการของทั้งสองคนก็ส่งสายตาให้กันอย่างรู้ใจ

“แล้วเดี๋ยวพวกเราจะกลับกันเลยรึเปล่า” เอย์จิเห็นว่าเกือบ 1 ทุ่มแล้ว

“หุหุหุ” คูมิยะยิ้มอย่างมีเลศนัย พวกคอนจิก็ยิ้มแล้วบอกว่า “ไฮไลท์พิเศษสุดของที่นี่คือสวนสนุกกลางคืนหน่ะ”

เอย์จิได้ฟังก็ทำหน้าทึ่ง “ประมาณ 1 ทุ่มที่นี่จะมีการแสดงหน่ะ เป็นขบวนพาเรดของเหล่าตัวการ์ตูนต่าง ๆ” เรกะอธิบาย

“ท่าทางน่าสนุกจังนะ” เอย์จิตอบ

“อื้อ ช่วง 1 ทุ่มส่วนมากทุกคนก็จะมารอดูขบวนพาเรดกันที่นี่แหละ” เรกะบอก

“นี่ก็ใกล้ถึงเวลาแล้วพวกเราไปที่น้ำพุหน้าปราสาทกันเถอะ” คูมิยะชวนแล้วทุกคนก็ไปรวมตัวกันริมน้ำพุขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าปราสาทสีขาวที่สูงพอ ๆ กับตึก 10 ชั้น ท่อฉีดน้ำแต่ละสายกำลังฉีดน้ำตามจังหวะเพลงและมีแสงสีต่าง ๆ ฉายไปที่สายน้ำดูราวกับว่าสายน้ำกำลังเต้นระบำอยู่

ที่หน้าปราสาทมีถนนเส้นใหญ่ทอดยาวมาจากประตูด้านซ้ายของปราสาทและทอดขนานไปกับขอบน้ำพุ ถนนยาวคดเคี้ยววนรอบน้ำพุแล้วกลับมายังประตูด้านขวาของปราสาท ผู้คนมากมายมารวมตัวกันแน่นขนัดริมถนนทั้งสองข้างทาง

ซักพักเสียงพลุก็ดังขึ้นแล้วขบวนพาเรดก็ทยอยกันเคลื่อนออกมาจากประตูซ้ายของปราสาท ผู้คนต่างปรบมือต้อนรับบางคนก็คอยถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ตัวละครต่าง ๆ นั่งอยู่บนรถสูงประมาณ 2 เมตรที่ถูกตกแต่งอย่างดีให้เข้ากับนิทานเรื่องนั้น ๆ ด้านข้างรถแต่ละคันมีคุณหมี คุณแรดคูณ คุณเพนกวิน และตัวละครต่าง ๆ คอยโปรยดอกไม้ขึ้นไปบนรถ

ขบวนแรกนำโดยองค์หญิงที่นั่งโบกมืออยู่บนบัลลังก์มีคนแคระยืนชูไม้ชูมือเก๊กท่าอยู่ 7 คน รถคันต่อมาเป็นสาวน้อยถือตะกร้าใส่แอปเปิลสวมผ้าคลุมมีที่คลุมหัวสีแดงยืนกอดคอโบกไม้โบกมือคู่กับคุณหมาป่าตัวโต

รถคันต่อมามีพ่อมดหนวดเครายาวใส่แว่นกลม ๆ เล็ก ๆ หน้าตาใจดียืนโบกมืออยู่ข้าง ๆ เด็กผู้ชายหน้าแท่นหินที่มีดาบปักไว้ ขบวนพาเรดยังคงค่อย ๆ เคลื่อนต่อไปช้า ๆ บนยอดปราสาทมีการจุดพลุสีสันต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ ทำให้ภาพที่ออกมาดูตระการตามาก

ระหว่างที่ทุกคนยืนชมขบวนพาเรดเรนะก็กระซิบกับเรกะ “พี่คะหนูอยากเข้าห้องน้ำอะ”

“งั้นพี่ไปเป็นเพื่อนละกัน”

“ขอโทษนะคะพี่” เรนะรู้สึกผิดที่ขัดจังหวะการชมขบวนพาเรด

“งั้นเดี๋ยวชั้นกับเรนะขอไปห้องน้ำแปปนะ” เรกะหันมาบอกเพื่อน ๆ

“ชั้นไปด้วยคน” เอย์จิพูด

“รีบไปรีบมานะ” คูมิยะบอกทั้งสามคน

พอทั้งสามคนเดินไปด้านหลังของปราสาทก็เห็นคนต่อคิวเข้าห้องน้ำกันยาวเหยียด “ทำไงดีอ้ะ” เรนะร้องเบา ๆ

เอย์จิหันมองซ้ายมองขวาไปเห็นโดมเมืองอวกาศอยู่ใกล้ ๆ เขาชี้ไปที่โดมแล้วบอกว่า “งั้นขับรถไปเข้าที่นั่นมั้ย”

“อื้อ ดีกว่ารอคิวอยู่ที่นี่แหละ” เรกะลงความเห็น แล้วทั้งสามคนก็ขึ้นรถกอล์ฟของเอย์จิขับตรงไปที่เมืองอวกาศโดยมีเรนะกับเรกะนั่งเบียดกันอยู่ข้าง ๆ เนื่องจากผู้คนไปรอชมขบวนพาเรดกันหมดถนนเลยว่างโล่ง เอย์จิบึ่งรถกอล์ฟไปอย่างเร็วไม่ถึงนาทีก็มาถึงเมืองอวกาศ

พอไปถึงเอย์จิก็จอดรถที่หน้าทางเข้าโดม “ชั้นรออยู่นี่นะ” เรกะนั่งรออยู่ที่รถ ส่วนเอย์จิกับเรนะรีบเดินไปเข้าห้องน้ำในโดม

ทางด้านปราสาทยังมีการจุดพลุกันอย่างต่อเนื่อง ระหว่างที่เรกะยืนมองพลุอยู่ที่รถก็มีเศษขี้เถ้าของพลุที่ยังไม่ดับสนิทปลิวมาที่หลังคาโดมของเมืองอวกาศ ทำให้หลังคาติดไฟแล้วไฟค่อย ๆ ลามไปทั่วหลังคาช้า ๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว ซักพักเอย์จิก็เดินออกมา “พลุสวยจังเนอะ” เอย์จิพูด

“อื้อ นายก็ชอบดูพลุเหมือนกันเหรอ” เรกะถามเขา

“ชั้นเคยเห็นแต่ในทีวีหน่ะ นี่พึ่งเคยเห็นของจริง” เอย์จิตอบ

ทั้งคู่เงียบไปซักพักแล้วเรกะก็ชำเลืองมองเขานิด ๆ และเอ่ยปากถามว่า “เป็นไงมั่งวันนี้สนุกมั้ย”

“อื้อ สนุกสุด ๆ เลยหล่ะ”

“แล้วนายชอบอะไรที่สุดหล่ะ” เธอถามต่อ

“ชอบเหรอ ก็ชอบหลายอย่างนะ” เขาทำท่าครุ่นคิด “บันจี้จั๊มก็สนุก ชิงช้าสวรรค์ก็...” เขาเงียบไปนิดนึงแล้วตอบว่า “ที่ชอบสุดคงเป็นชิงช้าสวรรค์หล่ะมั้ง”

เรกะมองเขาด้วยสายตาเศร้า ๆ แล้วพูดว่า “เป็นเพราะได้นั่งกับเรนะใช่...” ยังไม่ทันจะพูดจบเธอก็เห็นไฟกำลังลุกไหม้ตัวโดม เอย์จิก็หันไปมองแล้วผวา

ควันเริ่มพวยพุ่งออกมาอย่างมากจากประตูโดม “เรนะ!!!” เรกะร้องเรียกน้องสาวด้วยสีหน้าตกใจมาก

“เธอรออยู่นี่นะ” แล้วเอย์จิก็รีบวิ่งเข้าไปในโดม

“เดี๋ยว!!!” เธอเรียกให้เอย์จิรอแล้วทำท่าจะวิ่งตามเขา

“อย่าเข้ามาที่นี่มันอันตราย” เอย์จิหันมาห้ามแล้ววิ่งหายลับเข้าไป พอเข้าไปข้างในเอย์จิพบว่าภายในโดมติดไฟเกือบทั้งหมด ดาวเคราะห์ต่าง ๆ ที่ผูกติดอยู่บนเพดานเพื่อเอาไว้แสดงทางช้างเผือกมีไฟลุกท่วม เสาและคานของโดมก็เริ่มติดไฟ

เขารีบวิ่งตรงไปที่ห้องน้ำ ทันใดนั้นดาวเสาร์ที่ไฟลุกท่วมทั้งดวงดาวและวงแหวนก็หล่นใส่หน้าเขา เอย์จิกระโดดหลบแทบไม่ทัน พอเอย์จิวิ่งไปเกือบถึงหน้าห้องน้ำก็เห็นเรนะนอนสลบเพราะควันไฟอยู่

เขารีบเอาเธอขึ้นหลังแล้ววิ่งย้อนกลับมาทางออก แต่โชคร้ายคานที่ติดไฟหล่นมาขวางทางไป อากาศภายในร้อนระอุ ดาวพุธและดาวโลกที่ติดไฟก็หล่นมาล้อมเขาไว้ทั้งสองด้าน

หลังจากเอย์จิเข้าไปในโดมซักพักเรกะที่รออยู่ก็กระสับกระส่ายทนไม่ไหว เธอเห็นควันจำนวนมหาศาลพุ่งออกมาก็ยิ่งใจเสีย เธอคิดในใจว่า “ทั้งสองคนจะปลอดภัยมั้ยนะ” เธอยืนทนอยู่พักนึงก็ตัดสินใจวิ่งตามเข้าไป

พอเธอเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงไอร้อนระอุ ภายในราวกับนรกที่เป็นทะเลเพลิง เธอวิ่งไปเกือบครึ่งทางก็เจอคานเหล็กติดไฟขวางทางอยู่ รอบ ๆ ตัวเธอเต็มไปด้วยควันและไฟ เธอหันมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นเอย์จิกับเรนะ พอเธอตัดสินใจจะกระโดดข้ามกองไฟก็เห็นเอย์จิยืนอยู่อีกฝั่งบนหลังแบกเรนะอยู่ เธอตะโกนเรียกเอย์จิแต่เขาไม่ได้ยิน

ทันใดนั้นราวกับปาฏิหาริย์ทั้งเสา คาน และดาวเคราะห์ต่าง ๆ ที่กองอยู่บนพื้นก็ลอยขึ้นไปเกือบจะถึงเพดานโดม แม้แต่ควันและไฟที่อยู่รอบ ๆ ก็ลอยขึ้นไปด้วย อากาศร้อนระอุกลับกลายเป็นลมเย็นสบาย เรกะยืนนิ่งอึ้งกับสิ่งที่เธอเห็น เมื่อทางเปิดโล่งเอย์จิที่พึ่งเห็นว่าเรกะยืนอยู่ตรงหน้าก็รีบแบกเรนะแล้วจูงมือเธอวิ่งออกจากโดม

พอทั้งสามคนออกมาได้เรกะก็หันมาถามด้วยความเป็นห่วง “เรนะเป็นไงมั่ง!!!”

เอย์จิเอาตัวเรนะลงนอนบนรถแล้วตอบว่า “เธอสำลักควันเข้าไปเยอะหน่ะตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวเลย”

ซักพักทั้งสองก็ได้ยินเสียงถล่มลงมาจากภายในโดม “เรารีบไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ” เอย์จิบอก เรกะพยักหน้าแล้วทั้งคู่ก็รีบขึ้นรถ โดยให้เรนะนอนหนุนตักเรกะแล้วพาดขาไปทางเอย์จิ

เอย์จิรีบขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ทางฝั่งปราสาทผู้คนที่ยืนดูขบวนพาเรดก็เห็นควันไฟอยู่ไกล ๆ ไปทางทิศของเมืองอวกาศ ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ เจ้าหน้าที่ที่เห็นเหตุการณ์ก็ติดต่อประสานไปยังหน่วยดับเพลิง เสียงหวอรถดับเพลิงหลายคันดังกังวาน ตอนนี้แทบจะไม่มีใครสนใจดูขบวนพาเรดกันแล้ว

คูมิยะก็พูดขึ้นมาว่า “พวกเรนะจังช้าจัง”

“คงไม่เป็นไรหรอก ก็ไปเข้าห้องน้ำที่หลังปราสาทกันนี่” คอนจิพูด

“แล้วทำไมกลับมากันช้าจังหล่ะ” คูมิยะยังกังวล

“สงสัยคิวยาวหน่ะ เมื่อกี้ชั้นไปชะโงกดูเห็นคิวยาวเหยียดเลย” ฟูจิบอก

“คงไม่มีอะไรหรอก” นายะปลอบคูมิยะ

ทางฝั่งเอย์จิก็ขับรถมาถึงบริเวณสวนน้ำที่อยู่ห่างจากโดมพอสมควร ทั้งสองคนจับเรนะนอนราบริมสระน้ำ “ตรงนี้คงปลอดภัยแล้วหล่ะ” เอย์จิบอก

“เรนะยังไม่ฟื้นเลย” เรกะยังกังวล

เอย์จิถอดเสื้อออกแล้วเอาไปจุ่มน้ำในสระเพื่อเช็ดตัวให้เรนะ ซักพักเรนะก็เริ่มได้สติ เธอค่อย ๆ ลืมตา “พ พะ พี่คะ” เสียงเธอยังแผ่วเบา

เรกะเห็นน้องสาวได้สติก็รีบโผเข้ากอดเธอ แล้วเรนะก็พูดว่า “พี่คะเกิดอะไรขึ้น”

“ไฟไหม้โดมหน่ะ แล้วเธอเจ็บตรงไหนรึเปล่า” เธอมองหน้าน้องสาวแล้วดูตามเนื้อตามตัว

“หนูไม่เป็นไรค่ะพี่” แล้วเรนะก็พยายามลุกขึ้นนั่ง เอย์จิก็ช่วยประคองเธอ

“ไม่เป็นไรจริง ๆนะ” เรกะยังสำรวจรอบตัวน้องสาว

“พักซักนิดเถอะ” เอย์จิบอกเรนะ ทั้งสามได้ยินเสียงหวอรถดับเพลิงดังมาแต่ไกล แล้วเอย์จิก็เอาเสื้อชุบน้ำมาเช็คคอเช็ดแขนเรนะที่เปื้อนคราบฝุ่นควัน

“หนูจำได้แค่พอออกจากห้องน้ำก็เห็นควันเต็มไปหมด แล้วหนูก็สลบไป” เรนะเล่า

“ทาคุมิคุงเค้าเป็นคนวิ่งเข้าไปช่วยเธอออกมาหน่ะ” เรกะบอกเธอแล้วพาลนึกถึงเหตุแปลกประหลาดที่เธอเห็น แต่เธอคิดว่ายังไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดถึงตอนนี้

“ขอบคุณมากนะจ๊ะ” เรนะขอบคุณเอย์จิ

“อื้อ ไม่เป็นไร” เอย์จิยิ้มตอบ เรนะนั่งซักต่ออีกแปบก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน

“ไหวแล้วเหรอ พักอีกนิดก็ได้นะ” เรกะเป็นห่วง

“ค่ะหนูไม่เป็นไรแล้ว เดี๋ยวพวกคูมิจังจะรอนาน” เรนะพูด

ทั้งสามยังได้ยินเสียงรถดับเพลิงกับเสียงคนอึกทึกจากทางเมืองอวกาศ แล้วทั้งสามคนก็เดินไปที่รถ “แล้วจะเอายังไงกับเรื่องนี้ดี” เอย์จิถามเรนะ

“ไปบอกตำรวจดีมั้ย” เรกะถาม

“อย่าเลยค่ะพี่” เรนะตอบ

“ทำไมหล่ะ เธอเกือบจะตายเลยนะ” เรกะถาม

“หนูไม่เป็นไรแล้ว อีกอย่างถ้าไปบอกก็จะวุ่นวายไปถึงพวกคูมิจังเปล่า ๆ” เรนะพูดแล้วนิ่งไปซักพัก “นี่ก็เกือบ 2 ทุ่มแล้วถ้ากลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าจะได้กลับบ้านก็คงดึกกว่านี้ พวกคูมิจังก็ด้วย เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะเป็นห่วงเปล่า ๆ”

“เธอนี่ก็อย่างงี้ทุกทีเลยน้า” เรกะทำหน้าเอ็นดูน้องสาว ขณะที่เอย์จิทึ่งในความเข้มแข็งของเรนะ

“วันนี้พวกเรามาเที่ยวกัน หนูไม่อยากให้ทุกคนหมดสนุกค่ะ” เรนะตอบด้วยสายตามุ่งมั่น

“อื้อ งั้นเราก็กลับไปหาทุกคนกันเถอะ” เอย์จิยิ้มแล้วสตาร์รถ

“จ๊ะ” เรนะยิ้มตอบเขาเหมือนกับว่าการมาเที่ยวที่นี่วันนี้จะทำให้ทั้งสองคนรู้ใจกันมากขึ้น

พอทั้งสามคนกลับมาที่น้ำพุก็เจอพวกคูมิยะรออยู่ “เป็นไงมั่ง ทำไมหายไปนานจัง” คูมิยะถามด้วยความเป็นห่วง

“ขอโทษจ๊ะ” เรนะขอโทษเพื่อน ๆ ที่รอนาน

“คิวมันยาวหน่ะ พวกชั้นเลยขับรถไปที่เมืองเทพนิยายแทน” เอย์จิแก้ตัว

“เหรอ โชคดีแล้วนะที่พวกนายไม่ไปที่เมืองอวกาศ รู้มั้ยเค้าวุ่นกันใหญ่เลยนะ” ฟูจิพูด

“อื้อ รู้เรื่องแล้วหล่ะที่ไฟไหม้ใช่มั้ย แย่จังเลยนะ” เอย์จิตอบ เรกะมองไปที่เอย์จิด้วยสายตาสงสัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นในโดม เธอคิดว่าเขาต้องปิดบังอะไรบางอย่างอยู่แน่

“งั้นกลับกันรึยัง ขบวนพาเรดก็จบแล้ว” คูมิยะถามแล้วทุกคนก็พากันกลับไปบ้าน ระหว่างทางพอเรนะเดินไปถึงหน้าปากซอยตัวเองเธอก็หันมาบอกว่า “ฝันดีนะจ๊ะเอย์จิคุง”

“อื้อ พวกเธอก็ด้วยนะ” เอย์จิตอบ

“วันนี้ขอบใจนายมากนะ” เรกะบอกกับเขา แล้วทั้งสองคนก็แยกย้ายกลับบ้านไป



Create Date : 05 กรกฎาคม 2552
Last Update : 4 กันยายน 2552 15:29:31 น. 0 comments
Counter : 360 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

TonyLaFraga
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add TonyLaFraga's blog to your web]