นิยายเรื่องรักยกกำลังสอง แนวโรแมนติกวัยมัธยม ผมไม่สามารถเล่าเนื้อเรื่องย่อได้ เพราะเนื้อหาทุกอย่างจะทำให้คุณลุ้นและเซอร์ไพรส์อยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณชอบอ่านนิยายแนวโรแมนติ และมีปริศนาให้คาดเดาและลุ้นไปกับมัน ลองเข้ามาอ่านเรื่องนี้สิครับ รับประกันความสนุก
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
7 กันยายน 2552

รักยกกำลังสอง บทที่ 12 สุสานแห่งรักนิรันดร์ (Tomb of Forever Love)

พอเอย์จิกับเรกะขึ้นมาถึงข้างบน เรกะก็พูดว่า “ขึ้นมาได้ซะที อึ๊บ!” เธอกระโดดลงจากแขนเอย์จิ

“นี่! ถ้าใช้เวทมนตร์ได้ทำไมนายไม่ใช้ตั้งแต่แรกหล่ะ ไม่งั้นพวกเราขึ้นมาได้ตั้งนานแล้ว”

“คือ...ถ้าไม่สุดวิสัยจริง ๆ ชั้นไม่ใช้หรอก”

“ทำไมหล่ะ? กลัวชั้นจะเอาความลับของนายไปแฉงั้นเหรอ นี่นายเห็นชั้นเป็นคนแบบนั้นหรือไง”

“เปล่า ๆ ชั้น...ไม่ใช่อย่างงั้น” เอย์จิรีบโบกมือปฏิเสธพัลวัน

“ไม่ใช่อย่างงั้นแล้วอย่างไหง...เอาเถอะครั้งนี้ถือว่ายกโทษให้ แต่นายต้องเล่ามาให้หมดนะ”

“ได้ ๆ ไว้กลับไปก่อนนะ” เอย์จิแอบคิดในใจว่า “นี่ตกลงเราเป็นคนผิดงั้นเหรอ เฮ้อ”

แล้วทั้งสองก็ได้ยินเสียงแว่วมาจากในป่า “พี่คะ เอย์จิคุง” เสียงนั้นเป็นเสียงที่ทั้งคู่คุ้นเคยแต่แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า

“เรนะ!” เรกะขานตอบแล้วรีบวิ่งไปทางต้นเสียง เอย์จิก็วิ่งตามไปด้วย

“พี่คะ!” พอเรนะเห็นพี่สาว เธอก็รีบวิ่งเข้าไปหาอย่างลืมเหน็ดเหนื่อย สีหน้าเธอกลับมาสดชื่นเหมือนพึ่งอาบน้ำเสร็จ เธอกอดพี่สาวแน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไปอีก หน้าเธอซุกอยู่ที่อกของพี่สาว แล้วเธอก็ร้องไห้ ส่วนพี่สาวก็เอามือลูบหัวน้องเบา ๆ

พอเรนะเห็นเอย์จิวิ่งตามมาก็พูดว่า “เอย์จิคุง! ดีจังที่ทั้งคู่ปลอดภัย” แล้วเธอก็หมดแรงทรุดลงไปกองกับพื้น!

“เรนะ! เป็นอะไรรึเปล่า?” เรกะตกใจมาก เธอรีบลงไปประคองน้องสาว

“หนูไม่เป็นไรค่ะพี่ แค่ดีใจมากไปหน่อยเท่านั้นเอง แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ ๆ ก็หมดแรง” เรนะยิ้มแล้วเอามือปาดน้ำตา

พอเรกะมองดูน้องสาวให้ดีก็พบว่าตามเนื้อตัวของเธอเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน บางแห่งก็มีรอยช้ำสีเขียว ผมเผ้ายุ่งเหยิงหน้าตาสกปรกมอมแมมไปด้วยคราบฝุ่นและโคลน “นี่เธอตามหาพี่ทั้งคืนเลยเหรอ?”

“ยัยเด็กบ้า ถ้าเธอเป็นอะไรขึ้นมาแล้วพี่จะทำยังไง” แล้วเรกะก็ดึงน้องสาวมากอดไว้แน่น

“ก็หนูเป็นห่วงพี่นี่คะ”

คำตอบเรนะทำให้เรกะปล่อยโฮออกมา “ยัยเด็กบ้า” แล้วทั้งสองก็นั่งร้องไห้กอดกัน เอย์จิที่อยู่ข้าง ๆ ก็ได้แต่เงียบ

แล้วเรนะก็ถามว่า “พวกพี่หายไปไหนกันมาคะ”

เรกะกับเอย์จิไม่รู้จะตอบว่ายังไง ทั้งสองต่างส่งสายตาโยนให้อีกฝ่ายเป็นคนตอบ เอย์จิก็เลยตอบไปว่า “ไม่รู้เหมือนกัน พอพวกเรารู้สึกตัวก็นอนอยู่ริมหน้าผานี้แล้ว” เรกะรีบพยักหน้าบอกว่าใช่ ๆ

“เหรอคะ งั้นพวกเรากลับกันเถอะค่ะ ทุกคนต้องดีใจแน่ ๆ เลย” เรนะพยายามจะลุก แต่เธอแข้งขาอ่อนจนลุกไม่ไหว

“ไหวมั้ย” เรกะพยายามพยุงเรนะให้ลุกขึ้น แต่ตัวเธอเองก็แทบไม่มีแรงเหลือเช่นกัน

“งั้นขี่หลังชั้นไปละกัน” เอย์จิหันหลังให้เรนะขึ้น

แต่เรนะไม่กล้า เธอตอบไปว่า “ขอบใจนะจ๊ะเอย์จิคุง ชั้นยังพอไหวจ๊ะ” เธอพยายามฝืนลุกขึ้นแต่ก็ลุกไม่ไหว

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ขึ้นมาเถอะ” เอย์จิบอก

“นั่นสิ ให้เอย์จิคุงเค้าแบกไปเถอะ” แล้วเรกะก็ดันน้องสาวขึ้นหลังเอย์จิ

พอเรนะขึ้นขี่บนหลังเอย์จิ เธอก็ถามแบบไม่ค่อยมั่นใจว่า “หนักรึเปล่าจ๊ะ”

“ไม่หรอก ตัวเธอเบายังกะลูกแมว ชั้นสบายมาก” เอย์จิยิ้มตอบ

เรนะฟังแล้วก็อายเลยกอดหลังเอย์จิซะแน่นเพื่อแก้เขิน แต่มันทำให้เอย์จิถึงกับหน้าแดงเพราะหน้าอกเรนะเบียดหลังเค้าเต็ม ๆ ส่วนเรกะก็ช่วยจัดเสื้อผ้าน้องสาวที่เลิกสูงขึ้นจนเห็นผิวขาว ๆ ให้เข้าที่ พอทั้งสองเดินไปได้ซักพักเรนะก็ผล็อยหลับไป ระหว่างที่หลับเรนะก็ยิ้มนิด ๆ แล้วงึมงำเบา ๆ ว่า “อุ่นจัง”

ทางด้านคูมิยะที่นั่งอยู่ที่หน่วยพยาบาลก็ชะเง้อมองหาเรนะจนเมื่อยคอ “เรนะจังช้าจัง”

“นั่นสิ ไม่เห็นตามมาซักที งั้นเดี๋ยวพี่ไปตามให้นะ” คารินก็ร้อนใจ

“ใจเย็น ๆ ค่ะรุ่นพี่ เรนะจังไม่ใช่คนผิดสัญญา หนูเชื่อว่าเดี๋ยวเค้าต้องมาแน่” นายะยังคงใจเย็น

“แต่เรนะจังร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้วนะ” คูมิยะอดเป็นห่วงไม่ได้

“เรนะจังเป็นอะไรเหรอ” คารินถาม

“คือตอนเด็ก ๆ ยัยนั่น...” คูมิยะก็เริ่มเล่า

ทางฝั่งพวกเอย์จิ เรนะที่หลับอยู่บนหลังก็หายใจรดซอกคอเขา พอลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดเข้าไปเขาก็ขนลุกซู่หัวใจเต้นตึกตัก ส่วนเรกะก็คอยเอามือลูบผมน้องสาวเบา ๆ ไปตลอดทาง เอย์จิเลยพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ชั้นไม่ทำเรนะหล่นหรอกน่า”

“นายหน่ะไม่รู้อะไร เด็กคนนี้ตอนเล็ก ๆ เคยป่วยหนักจนเกือบตายมาแล้วนะ”

“เรนะหน่ะเหรอ!”

“อื้อ” เรกะตอบ แล้วเธอก็เริ่มเล่าเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นไปพร้อม ๆ กับที่คูมิยะเล่าให้คารินฟัง

“เรื่องมันเกิดขึ้นตอนสมัยอยู่อนุบาลหน่ะ” เรกะเริ่มต้น

ที่โรงเรียนอนุบาลโคโรคาคุ “นี่ ๆ ที่แปลงเกษตรมีคุณกระต่ายมาใหม่หล่ะ” หนูน้อยเรกะที่อยู่ชั้นอนุบาลตื่นเต้นดีใจที่จะได้เห็นกระต่ายเป็นครั้งแรก

“จริงเหรอ งั้นเราไปดูกันเถอะ” คูมิยะที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันก็ชวนเรกะไปที่แปลงเกษตร

“รอเค้าด้วย” เรนะตะโกนไล่หลังแล้วรีบวิ่งตามพี่สาวไป

“น่ารักจัง” เรกะเอามือลูบหลังกระต่ายอย่างนิ่มนวล

“เนอะ” คูมิยะก็เข้าไปเล่นกับกระต่ายด้วย พวกเด็กผู้หญิงในโรงเรียนก็พากันมามุงดู

“เอาหล่ะ ๆ เข้าเรียนได้แล้วจ้าทุกคน” คุณครูประจำชั้นท่าทางใจดีเรียกพวกเด็ก ๆ

“เรนะไปกันเถอะ” เรกะเรียกน้องสาวฝาแฝดกลับเข้าห้อง

“แต่เค้าได้เล่นกับคุณกระต่ายแค่นิดเดียวเองนี่”

“ตอนเย็นค่อยมาอีกก็ได้นี่ ถ้าไม่รีบเข้าห้องเดี๋ยวคุณครูจะดุเอานะ” เรกะบอก

“เอางั้นก็ได้” เรนะปิดกรงกระต่ายแล้วรีบตามเรกะกับคูมิยะเข้าห้อง แต่เธอลืมใส่กลอนประตูกรง ทำให้กระต่ายหนีออกมาข้างนอก

พอเลิกเรียนเรกะก็รีบวิ่งมาที่กรงกะจะมาเล่นกับกระต่าย แต่เธอเห็นแค่ประตูกรงเปิดอ้า ส่วนข้างในว่างเปล่า “แย่แล้วววว!” เรกะร้องเสียงดัง

“มีอะไรเหรอเรกะจัง” คูมิยะวิ่งตามมา “อ้าวคุณกระต่ายหายไปแล้ว” พอคูมิยะพูดจบเรนะก็วิ่งมาถึง

“กระซิก ๆ ฮือ ๆ คุณกระต่ายหายไปไหน” แล้วเรกะก็ร้องไห้

พอเรนะเห็นกรงว่างเปล่าเธอก็อึ้งแล้วพูดว่า “คุณกระต่ายหายไปแล้ว?”

“เรนะเธอปิดประตูคุณกระต่ายดีหรือเปล่า ทำไมคุณกระต่ายหนีไป ฮือ ๆ” เรกะร้องไห้ถามน้องสาว

พอเรนะเห็นพี่สาวร้องไห้ เธอก็ร้องตามแล้วพูดว่า “ฮือ ๆ หนูขอโทษ เพราะหนูปิดไม่ดี คุณกระต่ายเลย... ฮือ ๆ”

พอเรกะรู้ว่าน้องสาวเป็นต้นเหตุก็ตวาดใส่ “เรนะบ้าที่สุด!” แล้วเรกะก็วิ่งร้องไห้กลับไป

“เรกะจัง เรนะจัง” คูมิยะลังเลอยู่ครู่นึงแล้วก็เลือกวิ่งตามเรกะไป

“เรกะจัง เรนะจัง คุณพ่อคุณแม่มารับแล้วจ้า” ครูประจำชั้นที่คอยส่งเด็กกลับบ้านเรียกสองพี่น้อง ซักพักเรกะก็วิ่งร้องไห้มากอดพ่อ

“อ้าวเป็นอะไรไปจ๊ะคนดี โดนใครแกล้งมาเหรอ” พ่อของเรกะอุ้มเธอขึ้นแล้วเช็ดน้ำตาให้

“เรนะ เรนะเค้า” เรกะสะอื้น

“น้องทำไมเหรอ แล้วเค้าไปไหนหล่ะ” พ่อเรกะถาม

“เดี๋ยวชั้นไปตามให้นะคะ” แล้วครูก็เดินเข้าไปเรียกเรนะในตึก

“เรนะเค้าทำคุณกระต่ายหนีไปค่ะ ฮือ ๆ” เรกะร้องไห้

“โอ๋ ๆ ไม่ต้องร้องนะจ๊ะไม่ต้องร้อง เดี๋ยวให้คุณพ่อไปพาคุณกระต่ายกลับมาให้นะ” แม่ของเรกะลูบหัวเธอ

“จริง ๆ เหรอคะ” เรกะมองพ่อตาแป๋ว

“จริงสิจ๊ะลูก พ่อเคยโกหกเรกะจังรึเปล่าหล่ะ” พ่อเรกะตอบอย่างใจดี

“รักคุณพ่อที่สุดเลย” แล้วเรกะก็ยิ้มแฉ่งกอดพ่อ “เรนะ! คุณพ่อสัญญาว่าจะพาคุณกระต่ายกลับมาหล่ะ” เธอหันไปบอกน้องสาว แต่เธอเพิ่งรู้ตัวว่าเรนะไม่ได้อยู่แถวนั้น “อ้าว เรนะหล่ะ?” พอเรกะพูดจบฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ทุกคนเลยพากันเข้าไปหลบในอาคาร

แล้วคุณครูประจำชั้นก็วิ่งมา “แย่แล้วค่ะ เรนะจังแกหายไปไหนก็ไม่รู้!”

“ว่าไงนะครับ!” พ่อของเรนะตกใจมาก

“คุณคะเรารีบตามหากันเถอะค่ะ” แม่ของเรนะบอก แล้วพ่อกับแม่ของเรนะก็แยกย้ายกันตามหาลูกสาว คุณครูกลุ่มหนึ่งก็ช่วยกันออกตามหาด้วย

“หนูไปด้วยค่ะ” เรกะจะวิ่งไปช่วยหาน้อง

“เรกะจังอยู่นี่แหละลูก คูมิจังช่วยอยู่เป็นเพื่อนเรกะหน่อยนะจ๊ะ” พ่อของเรกะหันมาบอก

ข้างนอกฝนตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนออกตามหาเรนะอยู่นาน เรกะกับคูมิยะที่รออยู่ในห้องเรียนก็เป็นกังวล “เรนะหายไปไหนนะ”

“ไม่เป็นไร เรนะจังต้องไม่เป็นไรแน่ เรกะจังอย่าร้องไห้เลยนะ” คูมิยะคอยปลอบใจเพื่อน

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงพ่อของเรนะก็ไปเจอลูกสาวสลบอยู่ในแปลงเกษตร เธอตัวเปียกโชก ข้าง ๆ มีกระต่ายตัวนั้นกำลังขบชายเสื้อของเธออยู่ราวกับว่ามันต้องการจะปลุกให้เธอตื่น พ่อของเรนะเลยรีบพาลูกสาวไปโรงพยาบาล

ที่โรงพยาบาลเรนะนอนอยู่บนเตียงคนไข้ มีสายน้ำเกลือเสียบอยู่ที่แขน “เด็กเป็นไข้เพราะโดนฝนหน่ะครับ หมอให้ยาไปแล้ว นอนพักซัก 4 – 5 วันก็หาย” หมอเจ้าของไข้เล่าอาการให้พ่อกับแม่เรนะฟัง

“แต่เรนะจังยังไม่รู้สึกตัวเลยนะคะ” แม่เรนะเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กอย่างมาก

“เพราะเด็กยังเล็กอยู่หน่ะครับ พอไข้ขึ้นสูงก็เลยเป็นหนักหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ให้แกได้นอนพักผ่อนเดี๋ยวก็ดีขึ้น” หมอย้ำพ่อกับแม่เรนะสบายใจ

ในห้องผู้ป่วยเรกะนั่งเฝ้าน้องสาวอยู่ข้างเตียง “เรนะลุกขึ้นมาสิ” แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา เรกะยังเอามือเขย่าแขนเรนะ “เรนะตื่นเถอะ” แต่เรนะยังนอนหลับเหมือนร่างไร้วิญญาณ

เรกะเริ่มมีน้ำตาคลอ น้ำตาหยดนึงหยดลงบนแขนน้องสาว แล้วเธอก็ขึ้นไปกอดน้องสาวถึงบนเตียง “ฮือ ๆๆ เรนะ เค้าขอโทษ เรนะต้องไม่เป็นอะไรนะ เค้าผิดไปแล้ว ลุกขึ้นมาสิ ฮือ ๆๆ ท่านเทวดาขาได้โปรดช่วยเรนะด้วย หนูสัญญาต่อไปนี้หนูจะไม่ทำให้เรนะเสียใจอีก ท่านเทวดาขาได้โปรดช่วยด้วย ฮือ ๆๆ…”

“แล้วหลังจากนั้น 2 วันเรนะจังก็รู้สึกตัว แต่เพราะป่วยหนักครั้งนั้นทำให้ร่างกายเค้าไม่ค่อยแข็งแรง” คูมิยะเล่าให้คารินฟัง

“งั้นเหรอ แต่เด็กคนนั้นทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นอย่างงั้นก็ยังจะออกตามหาพี่สาวอีก เข้มแข็งจังเลยนะ” คารินพูด

“เรนะจังหน่ะถ้าเพื่อคนอื่นหล่ะก็ เค้าจะเข้าไปช่วยแบบไม่กลัวอะไรเลยหล่ะค่ะ” นายะเล่า

“ถ้าทุกคนปลอดภัยก็ดีสิ” คูมิยะชะเง้อมองไปในป่า

“งั้นเองเหรอ เพราะงั้นเธอถึงเป็นห่วงเรนะมากสินะ” เอย์จิพูดหลังจากฟังเรื่องราวจนจบ

“อื้อ ตั้งแต่วันนั้นชั้นก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้ใครทำให้เรนะเสียใจเด็ดขาด” แล้วเรกะก็หันไปบอกเอย์จิว่า “นายเองก็จะไม่ทำให้เรนะเสียใจใช่มั้ย”

เอย์จิได้ยินเรกะถามก็อึ้งแล้วตอบเบา ๆ ว่า “อื้อ แน่นอน”

พอทั้งสามคนไปถึงศาลเจ้า พวกคูมิยะที่เห็นพวกเอย์จิกลับมาก็ดีใจแล้ววิ่งเข้าไปหา เธอตะโกนอย่างดีใจว่า “ทุกคน พวกเรกะกลับมาแล้วววว”

ส่วนเรนะที่กำลังหลับอยู่ก็ฝันถึงเรื่องในสมัยอนุบาล ในฝันเธอเห็นตัวเองนอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีเรกะนั่งหลับอยู่ข้าง ๆ ถึงเรกะจะฟุบหลับไปแต่เธอก็กุมมือน้องสาวไว้ไม่ยอมปล่อย

เรนะที่กำลังฝันเห็นภาพสมัยอนุบาลก็เลยละเมอออกมาว่า “ขอบคุณค่ะพี่”

แล้วเรนะก็รู้สึกตัวตื่น “พี่!” เธออุทานเรียกพี่สาว ตอนนี้เธอพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ข้าง ๆ เตียงมีเอย์จินั่งฟุบอยู่ “เอย์จิคุง! โอยยย” เธอยังรู้สึกมึนหัวนิด ๆ

“ฟื้นแล้วเหรอเรนะ” เอย์จิที่เผลอหลับไปก็งัวเงียตื่นขึ้น

“ที่นี่ที่ไหน แล้วพี่หล่ะจ๊ะ”

“ใจเย็น ๆ เรกะนอนอยู่ห้องข้าง ๆ นี่แหละ ที่นี่คลินิกของหมอประจำเกาะหน่ะ จริง ๆ เรกะอยากจะมาเฝ้าเธอ แต่คุณหมอไม่อนุญาต เพราะเค้าเองก็ต้องนอนพักเหมือนกัน ชั้นเลยมาเฝ้าให้แทนหน่ะ”

เรนะพยายามจะลุกขึ้น แต่เธอยังมึน ๆ อยู่ เอย์จิเลยต้องช่วยประคองเธอขึ้นนั่ง “ค่อย ๆ ลุกนะ”

“ขอชั้นไปหาพี่หน่อยได้มั้ยจ๊ะ” เอย์จิค่อย ๆ พยุงเธอลงจากเตียงแล้วประคองเธอไปห้องของเรกะ

พอไปถึงหน้าห้องของพี่สาว เรนะก็บอกเขาว่า “เอ่อ เอย์จิคุง”

“มีอะไรเหรอ”

เรนะอ้ำอึ้งเล็กน้อยแล้วบอกว่า “ปล่อยมือชั้นได้แล้วหล่ะจ๊ะ”

เอย์จิเพิ่งรู้ตัวว่าเขากุมมือเรนะไว้ตั้งแต่ออกจากห้อง เขาก็เลยรีบปล่อยมือ “ขอโทษ ๆ”

ก่อนที่เรนะจะเปิดประตูเข้าไปในห้องเรกะ เธอก็หันมายิ้มให้เอย์จิ “เอย์จิคุงคอยเฝ้าชั้นตลอดเลยเหรอ ขอบใจนะจ๊ะ”

“อื้อ ไม่เป็นไร” เอย์จิตอบแล้วหน้าแดง

พอเปิดประตูเข้าไปเรนะก็เห็นพี่สาวนอนคุยกับพวกคูมิยะอยู่ ที่ข้อเท้าของคูมิยะมีเฝือกอ่อนดามไว้ ซักพักพวกทาคายูกิก็ถืออาหารเข้ามา ทุกคนคุยกันอย่างร่าเริง ความเหนื่อยล้าจากเมื่อคืนหายไปราวกับฝัน

แต่เพราะเหตุนี้ทำให้พวกเอย์จิต้องนอนค้างที่เกาะนี้อีกหนึ่งคืน แต่ละคนโทรไปบอกที่บ้านของตัวเอง ส่วนทาคายูกิเป็นตัวแทนโทรไปบอกอาจารย์ผู้ดูแลชมรมว่าจะขอหยุดเรียนวันอังคารอีกหนึ่งวัน พอเขาเล่าทุกอย่างให้อาจารย์ฟัง เขาก็โดนดุยกใหญ่

ตอนหัวค่ำสารวัตรกับหัวหน้าหมู่บ้านก็เข้ามาเยี่ยมแล้วสอบถามอาการบาดเจ็บของแต่ละคน เอย์จิกับเรกะก็เลยเล่าเรื่องสุสานใต้ดินให้ฟัง หัวหน้าหมู่บ้านก็รับปากว่าจะเอาเรื่องนี้ไปประชุมหารือกับพวกชาวบ้าน

เช้าวันรุ่งขึ้นทุกคนก็ออกจากคลินิกได้ แต่คูมิยะยังต้องใช้ไม้ค้ำยัน หมอบอกว่าต้องใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ถึงจะหาย แล้วหัวหน้าหมู่บ้านก็มารับทุกคนไปที่ศาลเจ้าเพื่อทำพิธีย้ายสุสาน

ชาวบ้านช่วยกันย้ายสุสานของซามูไรมาตั้งไว้ข้าง ๆ สุสานของมิโกะ ป้ายคำกลอนก็ถูกนำมาติดไว้ที่หน้าสุสานของมิโกะด้วย โดยตั้งไว้ที่ข้าง ๆ คำกลอนของซามูไร หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าชาวบ้านทุกคนเห็นตรงกันว่าควรจะย้ายสุสานของทั้งคู่มาอยู่ข้างกัน อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการไถ่โทษที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยทำไว้

ระหว่างทำพิธีก็มีเสียงชาวบ้านตะโกนมาแต่ไกล “ทุกคน ๆ ที่ท่าเรือครับ”

ทุกคนหันกลับไปมองด้วยความสงสัย แล้วชาวบ้านคนนั้นก็ตะโกนต่อว่า “สองคนนั่น สองคนนั่นกลับมาแล้วครับ!!!”

พอพวกเอย์จิกลับมาถึงท่าเรือก็พบว่าพ่อแม่ของนามิกำลังร้องไห้กอดลูกสาวอยู่ ส่วนพ่อของเรียวมะก็ดุลูกชาย ในขณะที่แม่ของเรียวมะได้แต่ร้องไห้ “สรุปว่าวันนั้นคุณลุงเป็นคนขับเรือมารับทั้งสองคนที่หาดหลังเกาะเหรอครับ” สารวัตสอบปากคำลุงคนขับเรือที่พาพวกเอย์จิมาที่เกาะในวันแรก

“ขรั่บผู้กอง วันนั้นคุณหนูสองคนนี้นัดผมให้ไปรับที่หาดหลังเกาะขรั่บ” ลุงคนขับเรือตอบซื่อ ๆ

“ผู้กองคะอย่าโทษลุงแกเลยนะคะ ลุงแกไม่รู้เรื่องอะไรเลย” นามิขอร้อง

“ใช่ครับ พวกผมเป็นคนขอให้แกมารับเอง” เรียวมะพูด

“เอาไงดีครับผู้กอง” หัวหน้าหมู่บ้านถามอย่างเคร่งเครียด

สารวัตวัยกลางคนทำหน้าขรึมซักพักแล้วยิ้มและตอบว่า “ผมจะทำอะไรได้หล่ะครับ ก็เด็กสองคนนี้แค่แอบไปเที่ยวกันไม่ใช่เหรอ”

คำตอบของสารวัตทำให้ทุกยิ้มออก “ขอบคุณขรั่บผู้กอง”

“ลุงเองทีหลังจะพาใครไปใครมาก็บอก ๆ กันบ้างนะ ทางนี้เค้าวุ่นวายกันใหญ่เลยรู้มั้ย” หัวหน้าหมู่บ้านอบรมลุงคนขับเรือ

“ผมต้องขอโทษแทนเจ้าเรียวมะมันด้วยนะครับ ที่ทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน” พ่อของเรียวมะก้มหัวขอโทษครอบครัวของนามิ แล้วเอามือกดหัวเรียวมะให้ขอโทษพวกเค้าด้วย

“หนูผิดเองค่ะ หนูเป็นคนชวนเรียวมะเอง” นามิบอกทุกคน

“นามิ” เรียวมะเรียกชื่อเธอเบา ๆ

“เอาน่า! ในเมื่อทุกคนปลอดภัยก็ดีแล้ว อย่าคิดมากเลยครับ ทางผมเองก็ต้องขอโทษคุณมาซาโอะเหมือนกัน” พ่อของนามิยิ้มให้ครอบครัวของเรียวมะ

“เรียวมะคุง” พ่อของนามิก็หันไปทำหน้าขรึมดุใส่เรียวมะ

“ครับ” เรียวมะทำหน้าจ๋อย ๆ

แล้วพ่อของนามิก็เลิกเก๊กหน้าดุและพูดด้วยน้ำเสียงใจดีว่า “ถ้าคราวหน้าจะไปเที่ยวไหนกันก็มาบอกพ่อกับแม่ซักหน่อยนะ”

“ครับ” เรียวมะได้ยินถึงกับยิ้มออก

“คุณพ่อคะ” นามิโผเข้าไปกอดคุณพ่ออย่างดีใจ ฮาเอดามะกับซึซึกิก็พลอยยินดีกับทั้งคู่ แล้วฮาเอดามะก็โอบไหล่ซึซึกิอย่างอ่อนโยน ส่วนซึซึกิก็กอดเอวเขากลับ คนอื่น ๆ ต่างก็ยินดีไปกับทั้งสองครอบครัวด้วยเช่นกัน

“งั้นคืนนี้ต้องฉลองใหญ่กันหน่อยหล่ะ” หัวหน้าหมู่บ้านบอกทุกคนอย่างอารมณ์ดี “ขอเชิญผู้กองกับลูกน้องด้วยนะครับ”

“ได้เลยครับ เรื่องงานเลี้ยงพวกผมถนัดอยู่แล้ว” สารวัตรหัวเราะตอบอย่างเป็นกันเอง

แล้วพ่อของนามิก็ไปกอดคอพ่อของเรียวมะแล้วพูดว่า “ใจจริงอะผมอยากได้ลูกชายมานานแล้ว”

พ่อของเรียวมะก็ตอบว่า “ใจตรงกับผมเลยครับ ผมก็อยากได้ลูกสาวมานานแล้วเหมือนกัน”

แล้วแม่ของนามิก็พูดว่า “แต่อิชั้นอยากได้หลานตัวเล็ก ๆ มากกว่านะคะ” แล้วก็หัวเราะคิกคัก

“แม่นี่หล่ะก็” นามิเขินแล้วเอามือไปหยิกเรียวมะ

“โอ้ยยยยยยย มาลงอะไรที่ชั้นหล่ะ” เรียวมะร้อง ทุกคนก็พากันหัวเราะ

“เชิญพวกคุณด้วยนะครับ” ฮาเอดามะบอกพวกเอย์จิ

“ก็อยากอยู่อ่ะครับ แต่วันนี้พวกเราลาหยุดไปวันนึงแล้ว ถ้าอยู่ต่อคง...” ทาคายูกิปฏิเสธ พวกเอย์จิก็ได้แต่เสียดายแต่ก็เห็นด้วย

“จะกลับกันวันนี้เลยเหรอคะ เสียดายจังน่าจะอยู่ต่ออีกซักหน่อย” ซึซึกิเองก็เสียดายเช่นกัน

“ไว้พวกเราจะมาเที่ยวใหม่นะคะ” เรกะบอกทั้งสองคน

“เห็นหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าจะบูรณะศาลขึ้นมาใหม่และจะเปิดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมครับ” ทาคายูกิบอก

“ต้องมีคนมาเยอะแน่ครับ” เอย์จิเอาใจช่วย

“แล้วเรื่องป้ายศาลเจ้าหล่ะคะ” เรกะถาม

“นั่นสิครับ ป้ายเก่าก็เอาไปไว้ที่สุสานแล้วด้วย” ฮาเอดามะตอบ

“ถ้าจะทำป้ายใหม่ หนูอยากให้ใช้ชื่อใหม่ได้มั้ยคะ” เรกะเสนอ

“แล้วอยากจะให้ใช้ชื่อว่าอะไรเหรอ” ซึซึกิถาม

“เอย์จิคุง” เรกะให้เอย์จิเป็นคนบอกชื่อศาลเจ้าที่เธอกับเขาช่วยกันตั้ง

“อะ อื้อ” แล้วเอย์จิก็ซุบซิบกับฮาเอดามะ

“อะไรอ๊ะ แค่นี้ต้องแอบบอกกันด้วย” เรนะโวย

“ความลับจ้าความลับ อิอิอิ” เรกะไม่ยอมบอกน้องสาว เรนะเลยงอนตุ๊บป่อง

“ผมจะลองคุยกับทุกคนดูนะครับ คิดว่าทุกคนคงจะเห็นด้วย” ฮาเอดามะตอบ

“น่าจะไม่มีปัญหานะคะ เพราะจริง ๆ คุณทาคุมิกับคุณเรกะก็เป็นคนพบป้ายที่หายไป ไม่งั้นพวกเราก็คงไม่มีใครรู้ชื่อเดิมของศาลเจ้า” ซึซึกิเห็นด้วย

“รบกวนหน่อยนะครับ” เอย์จิขอบคุณ

“อย่าเกรงใจเลยครับ ทางเราต่างหากที่ต้องขอบคุณพวกคุณ” ฮาเอดามะตอบ

แล้วทุกคนก็ช่วยกันเก็บของขึ้นเรือ “พร้อมกันรึยังขรั่บคุณหนู ๆ” ลุงเจ้าของเรือเริ่มสตาร์ทเครื่อง

“ไม่ลืมอะไรนะทุกคน” ทาคายูกิถามเพื่อความแน่ใจ

“ครบแล้วครับรุ่นพี่” ฟูจิตอบ แล้วลุงก็เริ่มออกเรือ

“แล้วต้องมาเที่ยวให้ได้นะคะทุกคน” ซึซึกิโบกมือลาอยู่ที่ฝั่ง

“แล้วพบกันใหม่นะคะ” เรนะโบกมือตอบ

“ถ้าจะไปโตเกียวก็โทรมาบอกนะครับ” คอนจิตะโกน

“ได้เลยค่า” ซึซึกิตอบ

“เดินทางดี ๆ นะครับ” ฮาเอดามะอวยพร โดยพ่อแม่ของทั้งคู่ คุณยายของซึซึกิ ครอบครัวของนามิกับเรียวมะ ผู้ใหญ่บ้าน และสารวัตรก็มายืนส่งพวกเอย์จิด้วย

ระหว่างที่กำลังล่ำลากันเรกะก็ถามเอย์จิว่า “นายว่าความในใจของซามูไรคนนั้นจะส่งไปถึงมิโกะมั้ย”

เอย์จิยิ้มให้เธอแล้วทอดสายตาไปไกลแสนไกลยังสุสานของทั้งสองที่แหลมตะวันออก “ถึงสิ ต้องส่งถึงแน่ ๆ”

พอเรกะได้ฟังก็ยิ้มรับ “เนอะ!”

ทันใดนั้นหมอกก็จางลง “อ๊ะ หมอกจางลงแล้ว” คูมิยะพูด

“เป็นไปได้ไงขรั่บ หมอกนี่มีมากว่า 100 ปีแล้วนะขรั่บ” ลุงเจ้าของเรือประหลาดใจ

พวกฮาเอดามะที่ยืนอยู่ที่ฝั่งก็ประหลาดใจไปด้วย “เมอิจังนี่มัน!?!”

“สงสัยวิญญาณของท่านมิโกะกับท่านซามูไรคงจะมาส่งพวกเค้าหล่ะมั้ง” ซึซึกิอมยิ้ม

“นั่นสิ ต้องเป็นอย่างงั้นแน่เลย” หัวหน้าหมู่บ้านเห็นด้วย

“วิญญาณของทั้งสองท่านคงจะดีใจที่เด็กพวกนี้ช่วยให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันหล่ะมังจ๊ะ” ยายของซึซึกิพูด แล้วเรือของพวกเอย์จิก็ค่อย ๆ ออกทะเลลับตาไป

“สุดท้ายเสียงขลุ่ยนั่นก็ไม่ใช่เรื่องผีเนอะ” นายะพูด

“ที่พูดนี่อยากให้เป็นเรื่องผีเหรอเธอ” เรกะทำหน้าดุ

“แต่ยังมีรูปที่ถ่ายได้ในศาลอยู่นะทุกคน” พอคารินบอก ทุกคนก็ขนลุกซู่

“มะ มะ มีรูปอะไรเหรอครับรุ่นพี่” คอนจิถามเสียงสั่น

“นี่ไง” คารินรีบค้นกระเป๋าเอามาให้ทุกคนดู “ว้ายยยยยยย!” เธอร้องเสียงหลงเมื่อเห็นภาพที่อยู่ในรูป

“มีอะไรเหรอครับรุ่นพี่” เอย์จิถามพอเขาเห็นก็ต้องตกใจ พอทุกคนเอาไปดูต่างก็ร้องเป็นเสียงเดียวกัน ก็ในภาพเป็นรูปซามูไรยืนจับมืออยู่ข้างมิโกะ ทั้งคู่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนราวกับจะบอกขอบคุณทุกคน

“หรือว่าเกาะนี้จะมีผีจริง ๆ” ฟูจิกับคอนจิกอดกันแน่น

“นี่ ๆ พวกนายกลัวผีจนยอมเป็นเกย์กันเลยเหรอยะ” คูมิยะต่อว่าทั้งสอง

“ระหว่างโดนผีหลอกกับเป็นเกย์ ชั้นยอมเป็นเกย์ดีกว่า” ฟูจิตอบเสียงสั่น แล้วทุกคนก็พากันขำ

“ว่าแต่แล้วพี่กับเอย์จิคุงไปรู้เรื่องถ้ำใต้ดินได้ยังไงหล่ะคะ” เรนะยังคาใจ

“เอ่อ ก็คือ ว่ามัน” เรกะไม่รู้จะตอบยังไงเลยโบ้ยไปที่เอย์จิแทน “เรื่องนั้นถามเอย์จิคุงเอาละกันนะ”

“อ้าวมาโยนอะไรใส่ชั้นหล่ะ” เอย์จิโวย

“นั่นแน่! ชั้นสงสัยมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะว่า เธอสองคนหลังจากหายไปด้วยกันคืนนึง พอกลับมาก็เรียกชื่อกันสนิทสนม หรือว่าไปแอบมีซัมซิงสเปเชี่ยลกันมาจ๊ะ” คูมิยะทำหน้าเจ้าเล่ห์แซว

“จริงเหรอคะพี่!” เรนะแกล้งตกใจตามน้ำแซวพี่สาว

เรกะหน้าแดงรีบปฏิเสธเลิ่กลั่ก “บ้าสิ ซัมซงซัมซิงบ้าบออะไรกันยะ ยัยคูมิจังเดี๋ยวเถอะ” เธอไล่ตีคูมิยะ คูมิยะก็หนีไปหลบหลังคนนั้นทีคนนี้ที แล้วทุกคนก็พากันหัวเราะคิกคัก

และแล้วคดีเกาะผีสิงก็จบลงด้วยดี ที่นี่ไม่มีหมอกปกคลุมอีกเลย พวกชาวบ้านก็เลิกเรียกว่าเกาะผีสิงไปแล้ว และหลังจากนั้นเกาะนี้ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์โด่งดังระดับประเทศ โดยมีโทรทัศน์หลายช่องเอาไปออก พวกชาวบ้านและผู้คนที่มาเที่ยวต่างก็เรียกชื่อเกาะแห่งนี้ใหม่ว่าเกาะจินกูไอเอกุ (เกาะแห่งศาลเจ้ารักนิรันดร)!!!




 

Create Date : 07 กันยายน 2552
0 comments
Last Update : 2 ตุลาคม 2552 15:51:08 น.
Counter : 309 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


TonyLaFraga
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add TonyLaFraga's blog to your web]