เห็นด้วยตา สัมผัสด้วยใจ เปิดรับประสบการณ์ใหม่ เที่ยวด้วยใจเที่ยวด้วยกัน

 
มกราคม 2561
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
26 มกราคม 2561
 

ใบไม้เปลี่ยนสีที่คันไซ : Kansai:Osaka-Kyoto-Nara (Day 1: Osaka)



ห่างหายจากการเมาท์มอยเรื่องเที่ยวไปซะนาน ไม่ได้ลง Blog เลย แต่ปี 2560 ที่ผ่านมาก็ได้ไปกินไปเที่ยวมาหลายที่อยู่ แต่เป็นที่ที่เคยไปแล้วไปอีก แบบว่าชอบ ไปได้หลายรอบไม่มีเบื่อ ก็ไป Hongkong Singapore และ Malaysia ตัดสินใจว่าไม่เขียนดีกว่า เพราะทุกที่ที่ไปเคยลง Blog มาหมดแล้ว นั้นเรามาเริ่มกันเลยแล้วกันนะ
Day 1 : ลุยโอซาก้าตามหาลุงโหด
การไปเที่ยวแถบคันไซในครั้งนี้ ก็มาจากปี 2559 ไปเที่ยว Tokyo และ Kawaguchiko แล้วติดใจ แบบว่ารักญี่ปุ่นไปเลย ทริปญี่ปุ่นก็เลยเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่รอบนี้เราไปเที่ยวแถบ Kansai ซึ่งเราไปเที่ยวกัน 3 เมือง คือ Osaka-Kyoto-Nara ทริปนี้พากันหอบลูกจูงหลานไปเที่ยวด้วย รวมแล้ว 6 คน เราเริ่มหาตั๋วโดยจองผ่าน Expedia ไป 5 วัน 4 คืน จากสายการบิน Flyscoot (จองช่วง ส.ค. 60) ในราคาคนละ 11,000 THB ต่อคน เราไปกันตั้งแต่ 29 พ.ย. -3 ธ.ค. 60  ขาไปซื้อแค่ 1 โหลด 25 กก. ขากลับซื้อ 3 โหลด โหลดละ 20 กก. Scoot สามารถถือขึ้นเครื่องได้ 2 กระเป๋ารวมกันไม่เกิน 10 กก.


ทริปของเราเริ่มจากวันที่ 29 พ.ย. – 3 ธ.ค. 60 เราออกเดินทางจากบ้านไปสนามบินดอนเมืองตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เพราะกลัวรถจะติดออกเช้าไว้ก่อนดีกว่าจะได้ไม่พลาด เราไปถึงสนามบินกันตอนประมาณเกือบ 6 โมงเช้า เคาน์เตอร์เช็คอินตั๋วยังไม่เปิดบริการ ก็เลยพาไปกินข้าว แวะไปรับ Pocket wifi ที่เช่าไว้ ไปญี่ปุ่นรอบนี้เลือกใช้ Pocket wifi เพราะไปหลายคนและ Connect กับโทรศัพท์ได้หลายเครื่อง เราว่ามันคุ้มกว่าใช้ Sim Net ข้อดีของการมาถึงสนามบินเร็ว คือไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องวิ่ง ไม่ต้องเหนื่อย สบาย ๆ มีเวลากินข้าว มีเวลาทำอย่างอื่นได้อีกเยอะแยะ และที่สำคัญเวลาไปยืนต่อคิว Check in ก็ไม่ต้องไปยืนต่อแถวยาวมาก เสร็จจากภารกิจต่าง ๆ แล้วก็มารอ Check in ใช้เวลาในการรอและ Check in โหลดกระเป๋าไม่ถึงครึ่ง ชม. นะ เที่ยวบินขาไปของเราคือ TR 866 เครื่องออก 9.35 ถึง 16.45 จากนั้นก็เข้า ตม. ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที เพราะใช้ Auto Gate รวดเร็วทันใจคนไทยชอบ เดินเล่น เดินช้อป เดินชม จนมาถึง Gate เห็นเครื่องของ Flyscoot ลำใหญ่ ใหม่เอี่ยม มาจอดเกยท่ารอพวกเราแล้ว เรารอกันไปเรื่อย ๆ แอ๊ะในตั๋ว Bording Gate เรียกขึ้นเครื่อง 8.45 น. แต่นี่มันจะ 9 โมงกว่าแล้วทำไมยังไม่เรียกอีกหว่า คนก็รอกันไปไม่ได้เอะใจไร จนประมาณ 9 โมงครึ่ง พนักงานภาคพื้นก็ประกาศว่าเที่ยวบินจะมีการดีเลย์ ก็สงสัยจะดีเลย์ได้ไงวะในเมื่อเครื่องมันก็จอดอยู่ตั้งแต่เช้าแล้ว สักพักก็มีเสียงพูดคุยกันของผู้โดยสาร จะรอช้าอยู่ทำไม ต้องรีบไปฟังว่าเกิดไรขึ้น สรุปใจความว่าเครื่องต้องดีเลย์ประมาณ 2 ชม. เนื่องจากมีความขัดข้องบางประการ เออ 2 ชม.กรูพอทำใจได้ไม่เลวร้ายเท่าไหร่ พอประมาณสัก 10 โมง เจ้าหน้าที่ประกาศใหม่อีกจ้า ว่าเครื่องจะต้องดีเลย์ไปอีกอย่างน้อย 8 ชม. อ้าวชิหายและ อะไรของมรึง ทีนี้แหล่ะ Gate แทบแตก (5555) ผู้โดยสารโวยวายกันอย่างหนัก แล้วสักพักก็ได้ทราบว่าที่เครื่องดีเลย์เพราะ แอร์โฮสสสสสสะเตจ เปื่อย อาหารเป็นพิษ ถึงขนาดช็อค หมดสติ กรูนี่ไม่อยากจะเชื่อ มรึงเลย แต่ก็ก็ต้องเชื่อและทำใจรอต่อไป อีกแป๊ปพนักงานก็ประกาศว่าทางเราจะมีคูปองอาหารให้คนละ 2 มื้อ เออก็ยังดีนะที่มรึงมีอาหารมาปลอบใจผู้โดยสาร รอกันต่อไปจนเกือบเที่ยง ไหนวะคูปองอาหาร ไม่เห็นพนักงานมันเรียกไปรับ จนอิฉันทนไม่ได้ลุกไปถาม ว่าคูปองจะแจกตอนไหน นางตอบกลับมาว่าแจกแล้วค่ะ อ้าวอีนี่แล้วทำไมมรึงไม่ประกาศให้ ผดส. เค้าทราบ เค้าจะได้มารับกัน เค้าจะได้ไปเดินหาไรกิน ให้มานั่งรอความหวังกับพวกมรึงอยู่ได้ (แบบอัดอั้นนิดนึง) สรุปว่าได้คูปอง McDonald มาคนละ 2 ใบ เป็นเบอเกอร์ 1 อัน โค้ก 1 แก้ว คือแบบเบื่อเบอเกอร์กันไปเลย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้สึกอยากมันอีก



นั่ง ๆ นอน ๆ มองดูรันเวย์และท้องฟ้ากันยาว ๆ ไป พวกเราก็รอกันจนประมาณสักบ่าย 4 โมงครึ่ง ก็มีทีมนักบินและแอร์ชุดใหม่ส่งตรงมาจากสิงคโปร์ เฮ้ย!!! ดีใจชิหายเลยจะได้ไปญี่ปุ่นแล้ว แต่เรายังต้องรอกันต่อไป จนประมาณ 5 โมงครึ่ง เจ้าหน้าที่สนามบินเรียกขึ้นเครื่อง เย้ ๆๆ ได้ขึ้นแล้ว ก็ไปนั่งตามเลขที่นั่งตัวเองกัน นั่งรอกันเป็น ชม. ก็ยังไม่ออกจร้า อะไรของมรึงกันอีก กรูนี่ทั้งเพลียใจเพลียกาย สรุปว่าวันนี้กว่าจะได้ออกจากดอนเมืองก็ประมาณ 6 โมงครึ่ง นั่ง ๆ นอน ๆ กิน ๆ กันอยู่ในสนามบินกันตั้งแต่ 6 เช้า ได้ Take off กันตอน 6 โมงครึ่ง บอกเลยว่ากรูนี่เข็ดกับ Scoot ไปเลย ลองใช้บริการ Scoot ครั้งแรก ก็ประทับจิตประทับใจ จดจำ Flight นี้ไปอีกนานเลยทีเดียว กลับมาถึงไทยสัก 1 สัปดาห์นางก็ส่ง e-mail ขอโทษพร้อมโค้ดลดราคา 50 SGD เพื่อซื้อตั๋วครั้งต่อไป ก็ถือว่าโอเคนะที่ยังแคร์ผู้โดยสารอยู่บ้าง
เรามาถึงสนามบินคันไซกันตอนประมาณตีหนึ่งครึ่ง ทำไงหล่ะรถไฟก็หมด มีรถบัสแต่กว่าจะถึงที่พักก็คงตีสามไปแล้ว เลยตัดสินใจนั่ง ๆ นอนมันกันที่สนามบินนี่แหล่ะ ไว้ไปรถไฟตอนเช้าเที่ยวแรกเลยดีกว่า เสียดายค่าห้องพักมั้ยก็เสียดายแหล่ะ แต่ทำไงได้หล่ะเหตุสุดวิสัย เอาที่เราสบายใจดีกว่า สนามบินคันไซนี่มาดึกแค่ไหนไม่ต้องกลัวอดจร้ามีทั้ง Family Mart และ Lawson 100 เปิดให้เดินซื้อกินกันได้ทั้งวันทั้งคืน ง่วงก็นอน หิวก็ไปกิน สบาย ๆ จัดไป 4 อย่างเบา ๆ จาก Family Mart









เราก็รอจนรถไฟ Nankai เปิดให้บริการเที่ยวแรก Kansai Airport 5.45 ถึง Namba Station 6.30 ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ค่าเดินทางคนละ 920 JPY เที่ยวทริปนี้เราเลือกใช้บัตร ICOCA สะดวกสบายใช้ได้ทั้งจ่ายค่ารถและซื้อของ ที่เราไม่เลือกใช้ Pass อะไรเลยเนื่องจากคำนวณค่าเดินทางดูแล้วใช้บัตร ICOCA ดีกว่าคุ้มกว่า






6.30 เราก็มาถึง Namba Station อย่างแรกเลยคือเดินหาที่พัก จากแผนที่ที่ Ryoma ให้มามันหาง่ายมากเดินจากสถานี Namba มาที่พักประมาณ 10 นาที เดินสบาย ๆ อากาศเย็น ๆ ยังไม่ทันเหนื่อยถึงและ ที่พักเราอยู่ย่าน Denden Town เจ้าของที่พักชื่อ Ryoma พิกัดและที่พักที่เราไปพัก Oriental Room 403
大阪市浪速区日本橋東2-9-16 オリエンタル日本橋 403 (Oriental Nipponbashi 403 ,2-9-16 ,Nihonbashi Higashi,Naniwa-ku,Osaka-shi,Osaka) พิกัด 34.6592100, 135.5078120 ที่พักโอเคมาก ๆ มีเตียง 3 เตียง โซฟาเบดอีก 1 ตัว มีโต๊ะเก้าอี้นั่งทานอาหาร มีครัว ห้องอาบน้ำ ห้องน้ำแยกกัน มีเครื่องครัวเครื่องใช้ให้ครบ เหมือนพักอยู่ที่บ้านยังไงอย่างงั้น ราคาห้อง 4 คืน อยู่ที่ 243 $ ประมาณ 8 พันบาท พักกัน 6 คน เราว่ามันถูกมาก ถ้าใครไปเที่ยวโอซาก้า แนะนำที่นี่เลยจร้า ไม่ผิดหวัง (จองกับ Airbnb)





เก็บกระเป๋า อาบน้ำ นอนพักสัก 1 ตื่น จากที่เที่ยวบินดีเลย์ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนการเที่ยว จากที่เราจะไปเกียวโต เลยต้องเปลี่ยนเที่ยวโอซาก้าแทน ประมาณ 10 โมงก็ได้เวลาลุยโอซาก้ากันแบบจริงจังซะที ที่แรกที่เราจะไปก็คือ Osaka Castle การเดินทางเริ่มจาก Namba Station (Nankai สีเขียว) มาลง Shin-Imamiya Station เปลี่ยนเป็นสานสีแดงมาลง Morinomiya Station จากนั้นเดินต่ออีก 1.4 กม. ก่อนจะถึง Osaka Castle เราก็ต้องเดินผ่าน Osaka Castle Park ซึ่งช่วงที่เราไปก็ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเลยทำให้ Osaka Castle Park สวยมาก มันก็จะเขียว ๆ เหลือง ๆ แดง ๆ หน่อย อากาศดีธรรมชาติสวยเดินชมก็เพลินเลยทีเดียว







เดินถ่ายรูปกันจนเมื่อย จะเดินไป Osaka Castle ต่อก็มีเสียงเด็กบ่น ป้าป้าหนูเดินไม่ไหวแล้ว ไม่เดินก็ไม่เดิน ทีมเราก็เลยได้ใช้บริการ Osaka Castle Park Tram จำไม่ได้ว่าค่าตั๋วคนละกี่เยน Park Tram หน้าตาดูดีมีสกุล บริการนักท่องเที่ยวด้วยความสุภาพและเอาใจใส่ ชนะเลิศคร้า



จากจุดที่ Park Tram จอดให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปปราสาท ก็เดินไกลอยู่พอสมควร แต่ไม่เหนื่อยนะเพราะอากาศที่หนาว ๆ เย็น ๆ ช่วยได้เยอะ เราได้เดินดูแต่รอบนอกของตัวปราสาทไม่ได้เข้าไปด้านใน แค่ด้านนอกก็สวยงามเลยทีเดียว เอาเป็นว่ามาโอซาก้าแล้วต้องมา Osaka Castle







เสร็จจากชม Osaka Castle เราก็นั่ง Park tram มาลงที่จุดเดิม ได้เวลามื้อแรกในโอซาก้าซะที มื้อนี้เราหาร้านอาหารแถว Morinomiya Station ชื่อร้านอะไรจำไม่ได้ แต่อาหารรสชาติดี ราคาไม่แพง สั่งมาหลายอย่างแต่ด้วยความหิวถ่ายไว้ได้แค่นี้









เติมพลังแล้ว เราก็เดินทางไปวัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) วิธีเดินทางเริ่มจาก Morinomiya Station (Osaka Loop Line) มาลงที่ Teradacho Station เดินต่ออีกประมาณ 1 กม. วัดชิเทนโนจิเป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุด เชื่อกันว่าเป็นวัดพุทธแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่น บริเวณวัดกว้างมาก อาคารสถาปัตยกรรมสวยงามจริง ๆ แต่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เป็นอีกแห่งที่ต้องห้ามพลาด







จากวัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) เราไปต่อย่านชินเซไก (Shinsekai) โดยใช้วิธีการเดินตาม Google map ทริปนี้คือได้ Google map ช่วยได้เยอะเลยจริง ๆ แต่ก่อนจะถึงย่านชินเซไก (Shinsekai) เราก็มาเจอกับวัดหรือศาลเจ้าไม่แน่ใจ มองเข้าไปสวยและร่มรื่นดีก็เลยแวะชมกันสักหน่อย ชื่ออะไรไม่รู้อ่านไม่ออก พอจะเช็คอินเพื่อดูชื่อก็ขึ้นแต่ภาษาญี่ปุ่น ด้านในเป็นอาคารไม้เก่าแก่สวยงาม มีคนญี่ปุ่นมาสักการบูชากันพอสมควร แต่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ ไปชมภาพกันค่ะ ใครรู้ว่าที่นี่ชื่ออะไรบอกด้วยนะคะ







จากตรงจุดนี้เราก็มุ่งหน้าไปย่านชินเซไก (Shinsekai) โดยให้ Google map นำทาง มองเห็นหอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku) อยู่ไม่ไกลและ เดินไปอีกประมาณ 10-15 นาทีเราก็ถึง ชินเซไก (Shinsekai) สักที ก่อนจะลุยชินเซไก กองทัพต้องเดินด้วยท้องแวะ Take a break กับที่ร้านลุงโหด ชื่อร้านคุชิคาสึ (kushikatsu) จะเป็นของทอดเสียบไม้ มีทั้ง ไก่, เนื้อวัว, ฟักทอง หน่อไม้ ผักต่าง ๆ และชีส โดยเฉพาะชีสทอด อร่อยมาก ๆๆๆๆๆ ติดใจสุด ๆ ร้านลุงโหดเลยเป็นอีกหนึ่งร้านดังแห่ง Osaka ที่ใครไม่แวะคือพลาด











กินเล่น ๆ ขำ ๆ ที่ร้านลุงโหดเสร็จก็เดินเล่นชินเซไกกันแบบจริงจังหล่ะนะ จุดแรกที่แวะเลยก็คือหอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku) แต่เราไปแค่จุดของร้าน Glico เพราะขึ้นไปข้างบนเสียเงิน เลยไม่ขึ้นกันดีกว่า (แอบงกนิดนึง 555) ได้ขนมติดไม้ติดมือกันมานิด ๆ หน่อย ๆ ชินเซไกจะเป็นย่านกินดื่มของชาว โอซาก้า ย่านนี้จะมีสีสันในยามค่ำคืนซึ่งแต่ละร้านจะเปิดไฟดูสวยงามมีชีวิตชีวา จุดน่าสนใจของย่านนี้อีกอย่างก็คือ บิลลิเคน (Billikan) ซึ่งเป็นเทพแห่งโชคลาภ ลักษณะจะเป็นรูปปั้นนั่งยิ้มอยู่ตามหน้าร้าน พวกเราเดินเล่นกันอยู่สักพักก็กลับที่พักกันดีว่าเพราะวันนี้เหนื่อยมาก ๆ







ก่อนเข้าที่พักก็แวะชิม 551 Horai ร้านซาลาเปาชื่อดังโอซาก้า อ่านมาตามเพจต่าง ๆ เค้าบอกว่ามันอร่อยจริงจริ๊ง เลยทำให้อดใจไม่ไหวต้องขอลองดูสักหน่อย ราคาอยู่ที่ลูกละ 140 เยน จัดมากล้อง 2 ลูก กินแล้วเราว่าใส้มันเค็มไปหน่อย แต่แป้งนุ่มแล้วหมูสับเยอะมาก ใครชอบแบบรสจัด ๆ น่าจะชอบนะ





กลับถึงที่พักเก็บของอาบน้ำอาบท่าก็คิดว่าได้เวลาพักผ่อนซะที แต่ลูกทีมหิวนะสิทำไงดี อยู่ไม่ได้และต้องออกตามล่าหาราเมงร้อน ๆ ซดแก้หนาวกันซะหน่อย เราเดินหาร้านไม่ไกลจากที่พัก มีแต่ภาษาญี่ปุ่นคร้า ญี่ปุ่นก็ญี่ปุ่นฉันไม่กลัวฉันหิว เข้าไปถึงก็เปิด ๆ เมนู ชี้ ๆ จิ้ม ๆ เอาแบบนี้นะจ๊ะ แล้วก็ได้ราเมงหน้าตามาตามนี้เลยจร้า บอกเลยอร่อยทุกชาม น้ำซุปกระดูเข้มข้น ส่วนน้ำซุปใสก็อร่อยสดคล่องคอสุด ๆ เส้นเหนียวนุ่มกะลังดี ราคาเหรอจำไม่ได้เป็นพวกประเภทไม่ค่อยจะราคา แต่น่าจะอยู่ที่ราคาประมาณ 800-1200 เยน







อิ่มแล้วกลับฐานทัพได้ Day 1 วันนี้ก็มาสุดตรงราเมงร้อน ๆ แสนอร่อย อิ่มท้อง หลับสบาย พรุ่งนี้เช้าค่อยลุยกันใหม่ นอนหลับฝันดีราตรีสวัสดิ์



Create Date : 26 มกราคม 2561
Last Update : 31 มกราคม 2561 14:54:19 น. 0 comments
Counter : 1104 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

กินให้สุด อย่าหยุดเที่ยว
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Life is Journey Life is Travel
[Add กินให้สุด อย่าหยุดเที่ยว's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com