กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
ตุลาคม 2565
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
space
space
24 ตุลาคม 2565
space
space
space

เบื่อ เหนื่อย ไม่อยากเกิดอีกทำไง

ถาม   450


> ถ้าไม่อยากเกิดมาอีกแล้วต้องทำยังไงคะ?

  เราไม่อยากเกิดมาอีกแล้วค่ะ  ตอนนี้ที่เราคิดก็คือทนๆใช้ชีวิตไปวันๆ ทุกวันนี้ก็ทำบุญเข้าวัดเยอะๆชาติหน้าจะได้เกิดมามีชีวิตที่ดีกว่านี้ หรือถ้าจะให้ดีที่สุด คือ ขออย่าให้ได้เกิดมาอีกเลยค่ะ  เหนื่อยค่ะ เหนื่อยที่ต้องมาแบกรับความรู้สึก เหนื่อยที่ต้องโดนคำดูถูกจากคนรอบข้าง เหนื่อยกับคนที่ชอบตัดสินคนอื่นที่ภายนอก  เหนื่อยที่ต้องมาเจอคนที่ไม่ฟังเหตุผลของคนอื่นเอาแต่ความคิดของตัวเอง  ถ้าไม่อยากให้ชาติหน้าเกิดมาอีกแล้วต้องทำยังไงคะ

https://pantip.com/topic/41697858


235 ลองเปลี่ยนความคิดไปคิดอีกด้าน เช่น คิดว่า  "ก็เราเกิดมาแล้วนี่ทำยังไงได้  ก็มันเกิดมาแล้วนี่นะ ก็ต้องสู้กันไป  ให้ถอยกลับไปจุดที่เรามานี่   ก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน  กลับไม่ถูก..."   3  แรกๆเจ้าชายสิทธัตถะก็คิดทำนอง จขท. คิด  คิดๆคิดไม่ตก  ก็จึงได้ออกแสวงความหลุดพ้นจากความทุกข์   ใช้เวลาไปไม่น้อยในการคิดค้น    จนวันหนึ่ง   ร้องอ๋อ    เรื่องนั่นนี่โน่นเป็นความทุกข์  แล้วสรุปท้ายว่า ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ คือในชีวิต (อุปาทานขันธ์) เนี่ย เป็นความทุกข์เป็นตัวทุกข์  (ว่าไว้ในปฐมเทศนา  ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสูตร)  รายละเอียดอยู่ในหลักปฏิจจสมุปบาท

ว่าก็ว่า   ถ้าเราปฏิบัติตามหลักไตรสิกขาถูกต้องจนเข้าใจชีวิตนี่ถึงที่สุดแล้ว (เหลือแต่ชีวิตที่เป็นธรรมชาติล้วนๆ)  ก็ไม่ทุกข์  ก็ไม่เกิดอีก    ตัวตัดสินอยู่ที่การปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา  คือ ศีล  สมาธิ  ปัญญา  กรณีนี้ ศีลเพื่อสมาธิ  สมาธิเพื่อปัญญา ปัญญาเพื่อวิมุตติหลุดพ้น


235 เกิดและตาย แบบปัจจุบัน

   ผู้ต้องการสืบความในบาลีเกี่ยวกับสังสารวัฏหรือการเวียนว่ายตายเกิดแบบที่เป็นไปในปัจจุบัน ภายในชาตินี้ อาจศึกษาพระสูตรตอนหนึ่งต่อไปนี้ เป็นตัวอย่าง

   “ความสำคัญตนที่เป็นกิเลสหมักหมม  ย่อมไม่เป็นไปแก่บุคคลผู้ดำรงอยู่ในธรรม ๔ ประการ เมื่อไม่มีความสำคัญตนที่เป็นกิเลสหมักหมมเป็นไป  ย่อมเรียกได้ว่า  เป็นมุนีผู้สงบ”

   “ข้อความที่กล่าวไว้ดังนี้นั้น   เราได้กล่าวโดยอาศัยเหตุผลอะไร ?   ความสำคัญตน ย่อมมีว่า เราเป็นบ้าง  เราไม่เป็นบ้าง  เราจักเป็นบ้าง  เราจักไม่เป็นบ้าง  เราจักเป็นผู้มีรูปบ้าง  เราจักเป็นผู้ไม่มีรูปบ้าง  เราจักเป็นผู้มีสัญญาบ้าง  เราจักเป็นผู้ไม่มีสัญญาบ้าง   เราจักเป็นเนวสัญญานาสัญญีบ้าง ดูกรภิกษุ   ความสำคัญตนเป็นโรคร้าย เป็นฝีร้าย  เพราะก้าวล่วงความสำคัญตนว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เสียทั้งหมดได้  จึงจะเรียกว่า เป็นมุนีผู้สงบ”

    “ดูกรภิกษุ   มุนีผู้สงบ   ย่อมไม่เกิด   ย่อมไม่แก่  ย่อมไม่ตาย   ย่อมไม่วุ่นใจ  ย่อมไม่ใฝ่ทะยาน สิ่งอันเป็นเหตุที่เขาจะเกิด   ย่อมไม่มี   เมื่อไม่เกิด   จักแก่ได้อย่างไร   เมื่อไม่แก่  จักตายได้อย่างไร   เมื่อไม่ตาย   จักวุ่นใจได้อย่างไร   เมื่อไม่วุ่นใจ   จักใฝ่ทะยานได้อย่างไร”

    “ความสำคัญตนที่เป็นกิเลสหมักหมม   ย่อมไม่เป็นไปแก่บุคคลผู้ดำรงอยู่ในธรรม ๔ ประการ เมื่อไม่มีความสำคัญตนที่เป็นกิเลสหมักหมมเป็นไป  ย่อมเรียกได้ว่า   เป็นมุนีผู้สงบ”   ข้อความที่เรากล่าวไว้ดังนี้   เราได้กล่าวโดยอาศัยเหตุผลดังว่ามานี้   ดูกรภิกษุ   เธอจงทรงจำการจำแนกธาตุ ๖ โดยย่อ  แห่งเรา  ดังนี้”  บาลีนี้มาใน  ม.อุ.14/693/446 ฯลฯ



- ธรรม ๔ ประการ ได้แก่  ปัญญา  สัจจะ  จาคะ  อุปสมะ

 


Create Date : 24 ตุลาคม 2565
Last Update : 11 ธันวาคม 2566 18:13:25 น. 0 comments
Counter : 247 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space