กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
มิถุนายน 2566
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
space
space
1 มิถุนายน 2566
space
space
space

หลักปฏิบัติ และ ผลแห่งการปฏิบัติ



ตั้งต้นให้ถูก


ก. กระบวนการปฏิบัติ

    ๑. องค์ประกอบ หรือสิ่งที่ร่วมอยู่ในกระบวนการปฏิบัติ นี้ มี ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายที่ทำ  (ตัวทำการ ที่คอยสังเกตตามดูรู้ทัน) กับ ฝ่ายที่ถูกทำ  (สิ่งที่ถูกสังเกตตามดูรู้ทัน)

      ก. องค์ประกอบฝ่ายที่ถูกทำ คือ สภาวะที่ถูกมอง หรือถูกตามดูรู้ทัน ได้แก่ สิ่งธรรมดาสามัญ คือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่กับตัวของทุกคนนั่นเอง เช่น ร่างกาย การเคลื่อนไหวของร่างกาย ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ที่เป็นปัจจุบัน คือกำลังเกิดขึ้น เป็นไปอยู่ในขณะนั้นๆ

      ข. องค์ประกอบฝ่ายที่ทำ คือ องค์ธรรมที่ถึงที่ทันอยู่ต่อหน้ากับสิ่งนั้นๆ ไม่คลาดคลา ไม่ทิ้งไป คอยตามดูรู้ทัน เป็นองค์ธรรมของสติปัฏฐานได้แก่สติ กับ สัมปชัญญะ

    สติเป็นตัวดึงตัวเกาะจับสิ่งที่จะมองจะดูจะรู้เอาไว้ สัมปชัญญะ คือปัญญา ที่ รู้ชัดต่อสิ่งหรืออาการ ที่ถูกมอง หรือตามดูนั้น โดยตระหนักว่า คืออะไร  เป็นอย่างไร  มีความมุ่งหมายอย่างไร เช่น ขณะเดิน ก็มีสติให้ใจอยู่พร้อมหน้ากับการเดิน และมีสัมปชัญญะที่  รู้พร้อมอยู่กับตัวว่า กำลังเดินไปไหน อย่างไร เพื่ออะไร รู้ตระหนักภาวะและสภาพของผู้เดิน และสิ่งที่เกี่ยวข้องในการเดินนั้น เป็นต้น เข้าใจสิ่งนั้นหรือการกระทำนั้นตามความเป็นจริง โดยไม่เอาความ รู้สึกชอบใจหรือไม่ชอบใจ เป็นต้นของตน เข้าไปปะปนหรือปรุงแต่ง

    มีข้อควรระวังที่ควรย้ำไว้  เกี่ยวกับความเข้าใจผิดที่อาจเป็นเหตุให้ปฏิบัติผิดพลาดเสียผลได้ กล่าวคือ   บางคนเข้าใจความหมายของคำแปล  “สติ”  ที่ว่าระลึกได้ และ “สัมปชัญญะ” ที่ว่า รู้ตัว ผิดพลาดไป โดยเอาสติมากำหนดนึกถึงตนเอง และรู้สึกตัวว่า  ฉันกำลังทำนั่นทำนี่  กลายเป็นการสร้างภาพตัวตนขึ้นมา   แล้วจิตก็ไปจดจ่ออยู่กับภาพตัวตนอันนั้น  เกิดความเกร็งตัวขึ้นมา หรืออย่างน้อยจิตก็ไม่ได้อยู่ที่งาน   ทำให้งานที่กำลังทำนั้น แทนที่จะได้ผลดี ก็กลับกลายเป็นเสียไป

    สำหรับคนที่เข้าใจผิดเช่นนั้น พึงมองความหมายของสติในแง่ว่า การนึกไว้ การคุมจิตไว้กับอารมณ์ การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ หรือ คุมจิตไว้ในกระแสของการทำกิจ และมองความหมายของสัมปชัญญะในแง่ว่า การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้ หรือรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำ กล่าวคือ มิใช่เอาสติมากำหนดตัวตน (ว่าเราทำนั่นทำนี่) ให้นึกถึงงาน (สิ่งที่ทำ) ไม่ใช่นึกตัว (ผู้ทำ) ให้สติดึงใจไว้ให้ใจอยู่กับสิ่งที่กำลังทำ หรือ กำลังเป็นไปจนไม่มีโอกาสนึกถึงตัวเอง หรือตัวผู้ทำเลย คือใจอยู่กับสิ่งที่ทำนั้น จนกระทั่งความรู้สึกว่าตัวฉัน หรือความรู้สึกต่อตัวผู้ทำ ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลย

    ๒. อาการที่ว่าตามดูรู้ทัน มีสาระสำคัญอยู่ที่ ให้รู้เห็นตามที่มันเป็นในขณะนั้น คือ ดู – เห็น – เข้าใจ ว่าอะไร  กำลังเป็นไปอย่างไร ปรากฏผลอย่างไร  เข้าไปอยู่ต่อหน้า หรือพร้อมหน้า รับรู้ เข้าใจ  ตามดูรู้มันไป ให้ทันทุกย่างขณะเท่านั้น ไม่สร้างกิริยาใดๆ ขึ้นในใจ ไม่มีการคิดกำหนดค่า ไม่มีการคิดวิจารณ์ ไม่มีการวินิจฉัยว่า ดี ชั่ว ถูก ผิด เป็นต้น ไม่ใส่ความรู้สึก ความโน้มเอียงในใจ ความยึดมั่นต่างๆลงไปว่า ถูกใจ ไม่ถูกใจ ชอบ ไม่ชอบ เป็นต้น เพียงเห็นเข้าใจตามที่มันเป็น ของ สิ่งนั้น อาการนั้น แง่นั้นๆเองโดยเฉพาะ ไม่สร้างความคิดผนวกว่าของเรา ของเขา ตัวเรา ตัวเขา นาย ก. นาย ข.เป็นต้น

    ตัวอย่าง เช่น ตามดูเวทนาในใจของตนเอง ขณะนั้น มีทุกข์เกิดขึ้น ก็รู้ว่าทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์นั้นเกิดขึ้นอย่างไร กำลังจะหมดสิ้นไปอย่างไรหรือตามดูธรรมารมณ์ เช่น มีความกังวลใจเกิดขึ้น เกิดความกลุ้มใจขึ้น ก็ตามดความกลุ้มหรือกังวลใจนั้นว่า มันเกิดขึ้นอย่างไร เป็นมาอย่างไร หรือเวลาเกิดความโกรธ พอนึกได้ รู้ตัวว่า โกรธ ความโกรธก็หยุดหายไป จับเอาความโกรธนั้นขึ้นมาพิจารณาคุณ โทษ เหตุเกิด และอาการที่มันหายไป เป็นต้น กลายเป็นสนุกไปกับการศึกษาพิจารณาวิเคราะห์ทุกข์ของตน และทุกข์นั้นจะไม่มีพิษสงอะไรแก่ตัวผู้พิจารณาเลยเพราะเป็นแต่ตัวทุกข์เอง ล้วนๆ ที่กำลังเกิดขึ้น กำลังดับไป ไม่มีทุกข์ของฉัน ฉันเป็นทุกข์ ฯลฯ

    แม้แต่ความดี ความชั่วใดๆ ก็ตาม ที่มีอยู่ หรือปรากฏขึ้นในจิตใจขณะนั้นๆ ก็เข้าเผชิญหน้า ไม่เลี่ยงหนี เข้ารับรู้ตามดูมันตามที่มันเป็นไป  ตั้งแต่มันปรากฏตัวขึ้น  จนมันหมดไปเอง แล้วก็ตามดูสิ่งอื่นต่อไป เหมือนดูคนเล่นละคร หรือดุจเป็นคนข้างนอก มองเข้ามาดูเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เป็นท่าทีที่เปรียบได้กับแพทย์ที่กำลังชำแหละตรวจดูศพ หรือนักวิทยาศาสตร์  ที่กำลังสังเกตดูวัตถุที่ตนกำลังศึกษา ไม่ใช่ท่าทีแบบผู้พิพากษา ที่กำลังพิจารณาคดี ระหว่างโจทก์ กับ จำเลย เป็นการดูแบบสภาววิสัย (objective) ไม่ใช่สกวิสัย (subjective)

    อาการที่เป็นอยู่ โดยมีสติสัมปชัญญะตลอดเวลาเช่นนี้ มีลักษณะสำคัญอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือ มีชีวิตอยู่ในขณะปัจจุบัน กล่าวคือ สติตามทันสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เป็นไปอยู่ หรือ กระทำอยู่ขณะนั้นๆ แต่ละขณะๆ ไม่ปล่อยให้คลาดกันไป ไม่ติดข้องค้างคา หรืออ้อยอิ่งอยู่กับอารมณ์ที่ผ่านล่วงไปแล้ว ไม่ลอยคว้างไปข้างหน้า เลยไปหาสิ่งที่ยังไม่มี และยังไม่มีไม่เลื่อนไกลถอยลงสู่อดีต ไม่เลือนลอยไปในอนาคต

    หากจะพิจารณาเรื่องราวในอดีต หรือสิ่งที่พึงทำในอนาคต ก็เอาสติกำหนดจับสิ่งนั้นมาให้ปัญญาพิจารณาอย่างมีความมุ่งหมาย ทำให้เรื่องนั้นๆกลายเป็นอารมณ์ปัจจุบันของจิต ไม่มีอาการเคว้งคว้างเลื่อนลอยละห้อยเพ้อ ของความเป็นอดีตหรืออนาคต

    การเป็นอยู่ในขณะปัจจุบันเช่นนี้ ก็คือการไม่ตกเป็นทาสของตัณหา ไม่ถูกตัณหาล่อไว้ หรือชักจูงไปนั่นเอง แต่เป็นการเป็นอยู่ด้วยปัญญาทำให้พ้นจากอาการต่างๆของความทุกข์ เช่น ความเศร้า ซึม เสียดาย ความร้อนใจ กลุ้ม กังวล เป็นต้น และทำให้เกิดความรู้ พร้อมทั้งความปลอดโปร่งผ่องใสเบาสบายของจิตใจ


ข. ผลของการปฏิบัติ

    ๑. ในแง่ความบริสุทธิ์  เมื่อสติจับอยู่กับสิ่งที่ต้องการอย่างเดียว และสัมปชัญญะรู้เข้าใจสิ่งนั้นตามที่มันเป็น  ย่อมเป็นการควบคุมกระแสการรับรู้และความคิดไว้ให้บริสุทธิ์  ไม่มีช่องที่กิเลสต่างๆ จะเกิดขึ้นได้ และในเมื่อวิเคราะห์มองเห็นสิ่งเหล่านั้น  เพียงแค่ตามที่มันเป็น ไม่ใส่ความรู้สึก ไม่สร้างความคิดคำนึง  ตามโน้มเอียง และความใฝ่นิยมต่างๆ ที่เป็นสกวิสัย (subjective) ลงไป ก็ย่อมไม่มีความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ ไม่มีช่องที่กิเลสทั้งหลาย  เช่น  ความโกรธ จะเกิดขึ้นได้ เป็นวิธีกำจัดอาสวะเก่า และป้องกันอาสวะใหม่ ไม่ให้เกิดขึ้น

    ๒. ในแง่ความเป็นอิสระ เมื่อมีสภาพจิตที่บริสุทธิ์อย่างในข้อ ๑ แล้วก็ย่อมมีความเป็นอิสระด้วย โดยจะไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระทบเพราะอารมณ์เหล่านั้น ถูกใช้เป็นวัตถุสำหรับศึกษาพิจารณาแบบสภาววิสัย (objective) ไปหมด เมื่อไม่ถูกแปลความหมายตามอำนาจอาสวะ ที่เป็นสกวิสัย (subjective) สิ่งเหล่านั้น ก็ไม่มีอิทธิพลตามสกวิสัย แก่บุคคลนั้น และพฤติกรรมต่างๆ ของเขา จะหลุดพ้นจากการถูกบังคับด้วยกิเลสที่เป็นแรงขับ หรือแรงจูงใจไร้สำนึกต่างๆ (unconscious drives หรือ unconscious motivations) เขาจะเป็นอยู่อย่างที่เรียกว่า ไม่อิงอาศัย (คือไม่ต้องขึ้นต่อตัณหาและทิฐิ) ไม่ถือมั่นสิ่งใดในโลก

    ๓. ในแง่ของปัญญา เมื่ออยู่ในกระบวนการทำงานของจิตเช่นนี้ ปัญญาย่อมทำหน้าที่ได้ผลดีที่สุด เพราะจะไม่ถูกเคลือบหรือหันเหไปด้วยความรู้สึกความเอนเอียง และอคติต่างๆ ทำให้รู้เห็นตามที่มันเป็น คือรู้ตามความเป็นจริง

    ๔.ในแง่ความพ้นทุกข์   เมื่อจิตอยู่ในภาวะที่ตื่นตัวเข้าใจสิ่งต่างๆตามที่มันเป็น และคอยรักษาท่าทีของจิตอยู่ได้เช่นนี้   ความรู้สึกเอนเอียงในทางบวกหรือลบต่อสิ่งนั้นๆ ที่มิใช่เป็นไปโดยเหตุผลบริสุทธิ์   ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้   จึงไม่มีทั้งความรู้สึกในด้านติดใคร่กระหายอยาก  (อภิชฌา) และความขัดเคืองกระทบใจ  (โทมนัส)  ปราศจากอาการกระวนกระวาย (anxiety) ต่างๆเป็นภาวะจิต ที่เรียกว่าพ้นทุกข์   มีความโปร่งเบาผ่อนคลายสงบผ่องใสเป็นตัวของตัวเอง  อย่างไม่มีขีดคั่นพรมแดน

    ผลที่กล่าวมาทั้งหมด   ความจริงก็สัมพันธ์เป็นอันเดียวกัน   เป็นแต่แยกส่วนในแง่ต่างๆ เมื่อสรุปตามแนวปฏิจจสมุปบาท และไตรลักษณ์ก็ได้ความว่า  เดิมนั้น มนุษย์ไม่รู้ว่าตัวตนที่ยึดถือไว้ไม่มีจริง เป็นเพียงกระแสของรูปธรรมนามธรรมส่วนย่อยจำนวนมากมาย ที่สัมพันธ์เนื่องอาศัยเป็นเหตุปัจจัยสืบต่อกันกำลังเกิดขึ้น และเสื่อมสลายเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา

    เมื่อไม่รู้เช่นนี้ จึงยึดถือเอาความรู้สึกนึกคิด ความปรารถนา ความเคยชิน ทัศนคติ ความเชื่อถือ ความเห็น การรับรู้ เป็นต้น ในขณะนั้นๆว่าเป็นตัวตนของตนแล้ว ตัวตนนั้นก็เปลี่ยนแปลงเรื่อยไปรู้สึกว่า ฉันเป็นนั่น ฉันเป็นนี่ ฉันรู้สึกอย่างนั้น ฉันรู้สึกอย่างนี้ ฯล ฯ

    การรู้สึกว่า ตัวฉันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ก็คือการถูกความรู้สึกนึกคิด เป็นต้น ที่เป็นนามธรรมส่วนย่อยในขณะนั้นๆ หลอกเอานั่นเอง เมื่ออยู่ในภาวะถูกหลอกเช่นนั้น ก็คือการตั้งต้นความคิดที่ผิดพลาด จึงถูกชักจูงบังคับ ให้คิดเห็นรู้สึกและทำการต่างๆไปตามอำนาจของสิ่งที่ยึดว่าเป็นตัวตนของตนใน ขณะนั้นๆ

    ครั้นมาปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ก็มองเห็นรูปธรรมนามธรรม แต่ละอย่างที่เป็นส่วนประกอบของกระแส กำลังเกิด ดับอยู่ ตามสภาวะของมันเมื่อวิเคราะห์ส่วนประกอบต่างๆ ในกระแส แยกแยะออก มองเห็นกระจายออกไปเป็นส่วนๆ มองเห็นอาการที่ดำเนินสืบต่อกันเป็นกระบวนการแล้วย่อมไม่ถูกหลอกให้ยึดถือ เอาสิ่งนั้นๆ เป็นตัวตนของตน และสิ่งเหล่านั้น ก็หมดอำนาจบังคับให้บุคคลอยู่ในบงการของมัน

    ถ้าการมองเห็นนี้เป็นไปอย่างลึกซึ้ง แจ่มชัดเต็มที่ ก็เป็นภาวะที่เรียกว่า ความหลุดพ้น ทำให้จิตตั้งต้นดำเนินไปในรูปใหม่  เป็นกระแสที่บริสุทธิ์โปร่งเบา  เป็นอิสระ  ไม่มีความเอนเอียงยึดติดและเงื่อนปมต่างๆ ในภายใน  เกิดเป็นบุคลิกภาพใหม่

    กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เป็นสภาพของจิตที่มีสุขภาพสมบูรณ์ ดุจร่างกายที่เรียกว่า มีสุขภาพสมบูรณ์ เพราะองค์อวัยวะทุกส่วนปฏิบัติหน้าที่ได้คล่องเต็มที่ตามปรกติของมัน ในเมื่อไม่มีโรคเป็นข้อบกพร่องอยู่เลย

    โดยนัยนี้ การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน จึงเป็นวิธีการชำระล้างอาการเป็นโรคต่างๆ ที่มีในจิต กำจัดสิ่งที่เป็นเงื่อนปม   เป็นอุปสรรคถ่วงขัดขวางการทำงานของจิตให้หมดไป ทำให้ปลอดโปร่ง พร้อมที่จะดำรงชีวิตอยู่เผชิญและจัดการกับสิ่งทั้งหลายในโลก ด้วยความเข้มแข็งและสดชื่นต่อไป
 






235 คำจำกัดความภาคปฏิบัติที่กระชับ  ก็คือ  กำหนดรู้ตามที่มันเป็น   มันเป็นยังไงก็ยังงั้น  ไม่เลี่ยงหนี แต่ไม่จมไม่แช่กับมัน  กำหนดรู้แล้วปล่อยๆๆ ไปจับกรรมฐานเดิม เช่น ลมเข้า-ออก  พอง-ยุบ ว่าไปใหม่ 

ดูตัวอย่างประกอบความเข้าใจ  450


- ผมไปบวชได้แปดเดือน บวชวันแรกเกิดกำหนัดแอบสองอาทิตย์ผ่านไป เอาวินัยมาอ่าน อ่าวนี่มันผิดศีลนี่หว่าอายไม่กล้าใคร
ก็เดินจงกรมนั่งสมาธิ ตอนนั่งสมาธิ ก็หลับตา ไม่คิดอะไรท่องพุท-โธ ตามลมหายใจเข้าออก   เดือนที่สี่ออกพรรษาคิดว่าจะสึก   แต่เห็นแสงเทียนในกระจกหน้าต่าง  ก็วิ่งไปบอกเจ้าอาวาสๆ ก็ได้แต่ยิ้ม  เข้าเดือนที่แปดนั่งสมาธิแบบเดิม  ตอนนั้นเครียดเรื่องท่องหนังสือไม่ได้ ในขณะที่นั่งมีเสียงผู้ชายมาถามว่าบรรลุรึยัง ผมเลยบอกว่ายังพูดในใจ   อยู่ดีๆก็มีเสียงสวดมนต์เพราะมาก ตามด้วยบทธรรมจักร อยู่ดีๆก็มีภาพผมมีน้ำอสุจิไหลออกมา  เห็นภาพที่เคยมีอะไรกับแฟน และมีเรื่องไม่ดีมากมาย ก็เลยพิจารณาการเกิดดับแก้  เรื่องหนึ่งมันก็มาอีก เรื่องหนึ่งเสียงก็ด่าว่าไอ้เลวตลอด  อวัยวะเพศแข็งอยากมีเซ็กตลอดเวลา เลยตัดสินใจสึก  คิดอะไรเหมือนมีคนรู้ เสียงด่าก็ด่าตลอด

451 เขาไม่กำหนดรู้ ตามที่มันเป็น  วงจรก็ไม่ขาดคิดนั่นนี่โน่นหมุนวนไป  


 



Create Date : 01 มิถุนายน 2566
Last Update : 14 ธันวาคม 2566 16:26:51 น. 0 comments
Counter : 390 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space