<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
4 กันยายน 2551
 

เอายังไงดี

ตอนนี้ มีเรื่องเครียดใหม่หล่ะ ไม่ใช่เรื่องของหัวใจแต่เป็นเรื่องของชีวิตตัวเอง
เมื่อวานไปนั่งร่วมโต๊ะทานข้าวกับหัวหน้าเก่าซึ่ง ดีกรีระดับ ด๊อกเตอร์ จากประเทศอังกฤษ ได้ร่วมงานกับเค้ามาสักระยะหนึ่งก็รู้สึกได้ว่า เค้าเก่งในทุกๆ ด้าน ในด้านบริหาร ฉันอดปลื้มใจไม่ได้ ที่ได้มาเป็นลูกน้องที่ได้ใกล้ชิดเค้า
ขนาดนี้ แต่เปล่าเลย เค้าใจดีกับฉันมาก จนฉันรู้สึกว่า วันๆ ของฉันมีแต่เล่น
อินเตอร์เนท ไปวันๆ ถ้าไม่ได้รับการสั่งงานจากเค้า หัวหน้าก็แสนดี ปกป้อง
ฉันมาตลอดเวลาที่ฉันได้อยู่กับเค้ามาเกือบๆ 2 ปี เค้าคงเอือมระอากับฉันมาก จนครั้งหนึ่งเค้าเคยส่งเมล์มาเตือนว่า ให้ปรับปรุงตัว ทำตัวซะใหม่ หา Value ให้กับตัวเอง จะได้ดูมีคุณค่า ไม่ใช่ว่าวันๆ จะหมดกับการเล่น ไปวันๆ
เครียดไปพักหนึ่ง แล้วก็ตามตัวเหมือนเดิม..

แล้ววันนี้ หัวหน้าคนที่คอยปกป้องฉันก็ลาออกไปจากที่นี่แล้ว ตอนนี้หล่ะ ความหัวเน่ากำลังเกิดขึ้นกับฉัน ฉันไม่มีคนคอยปกป้องฉันอีกแล้ว ฉันจะอยู่
ยังไงฟ่ะเนี่ย ในตอนแรก ที่เค้าไปก็ยังไม่รู้สึก เริ่มผ่านไป 1 อาทิตย์เป็น 10 วันผ่านไป ฉันเริ่มใจคอไม่ดีกับสถานการณ์กับภาวะเศรษฐกิจช่วงนี้ที่เป็นแบบนี้ด้วย ที่นี่คงไม่เลี้ยงฉันไว้หรอกนะ ถ้าคุณยังไม่มีผลประโยชน์อะไร
ให้กับองค์กร วันๆ จะจ้างคุณให้มานั่งเล่น Hi5 เล่น Chat คงไม่ใช่ซะแล้วหล่ะ
ฉันคิดมาได้พักหนึ่ง แล้วก็คิดเองเออเองว่า
"เอาน่า ไม่ไล่เราออกง่ายๆหรอก" ยังคิดเข้าข้างตัวเองอยู่เสมอ

จนเมื่อวานได้ไปร่วมโต๊ะกับหัวหน้าเก่าและผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เป็นถึงระดับที่ปรึกษาของผู้บริหารระดับสูงติดขอบของประเทศ ทำให้ฉันได้มุมมองใหม่ในการทำตัว แต่ฉันจะก้าวไปถึงแค่ไหนนั้น เป็นอีกเรื่องที่กำลังจะต้องเกิดขึ้น บรรยากาศภายในโต๊ะอาหารเมื่อวาน ห้อมล้อมไปด้วย ผู้บริหารขององค์กรใหญ่องค์กรหนึ่ง ซึ่งฉันเคยเจอเค้ามาแล้วหลายครั้ง ก็ทึ่งไปในความสามารถของเค้า แต่เมื่อวานมีโอกาสได้คุยใกล้ชิดกันหน่อย พี่เค้าเปลี่ยนงานมา 3 ที่ในช่วงเวลา 2 ปี ซึ่งในแต่ละครั้งที่ไปมี จำนวนตัวเงิน เป็นปัจจัยและความท้าทายกับตำแหน่งที่ได้รับ มุมมองของพี่เค้าแปลกแต่ทำผลประโยชน์ให้กับองค์กรซึ่งมันจะตอบแทนมาในรูปแบบของจำนวนเงินที่จะไหลเข้าสู่องค์กร แล้วมีที่ไหนบ้างหล่ะ จะไม่ต้องการคนแบบนี้อยู่ในองค์กร ในเมื่อคุณเป็นคนที่ทำให้เงินจำนวนนั้นเข้าสู่องค์กรและเสียผลประโยชน์ไปน้อยที่สุด...เครียดว่ะ เมื่อไร ฉันจะเก่งได้ครึ่งของเค้าวะ เฮ้ออออ


บรรยากาศของเมื่อวาน ฉันดูตัวลีบไป ขณะจิต เพราะน้องๆ ที่ร่วมโต๊ะเมื่อวานนี้ ก็ดีกรี 5 อันดับ Top 5 ของประเทศ ดีกรี เกียรตินิยมเหรียญทองกัน เฮ้อออ ฉันมาเมื่ออะไรวะ เอาน่า มาแล้ว ปั้นหน้าต่อไป แต่น้องที่สนิทกับฉัน ไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกแย่เลยนะ น้องนั่งข้างๆฉัน ดีกรีน้องก็ เด็กนิด้า ซึ่งน้องจะให้กำลังใจฉันเสมอในการทำงาน แต่ตอนนี้ น้องก็ออกไปอยู่ที่ใหม่เรียบร้อยแล้ว มีแต่คนทิ้งฉัน ฉันสิที่ยังหาทางไปไม่ได้สักที ก็ตัวเองไม่มีความสามารถอะไรเลยและก็ไม่คิดจะไขว่คว้าอีกด้วย ให้ตายสิ ฉันทำไรอยู่ฟ่ะ ก่อนจะลุกจากโต๊ะอาหาร ผู้ใหญ่ท่านนั้นก็บอกว่า " วันนี้เราได้ฟังอะไรไปเยอะแล้วจากพี่ๆ เรายังเด็กถ้าอยากก้าวหน้าและเติบโตมากกว่านี้ เราต้องทำตัวให้ไม่หยุดนิ่ง ความรู้ เป็นสิ่งที่ต้องขวนขวายและเพิ่มเติมตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอย่าทำตัวเองหยุดนิ่ง จำไว้" เฮ้อออออออออ ให้ตายสิ จริงหล่ะ แต่จะเริ่มเมื่อไรดี

ฉันเดินกลับบ้านพร้อมกับน้องคนนี้ หลังจากร่ำลากับทุกๆ คนแล้ว ฉันพูดกับน้องว่า " เฮ้ยย ฉันรู้สึกว่า ฉันเป็นจุดด้อยในองค์กรมากเลยว่ะ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย ภาษาก็ไม่ได้เรื่อง งานก็ไม่เก่งแค่ทำได้ " เครียดดฉันเครียดด น้องพูดกับฉันมาคำเดียวว่า " เชื่อสิ แกต้องทำได้ แต่แค่แกยังไม่หยิบตรงจุดนั้นออกมาใช้แค่นั้นเอง " ฉันเงียบและฟัง ฉันคิดในใจว่า " อืม อย่างน้อยก็ยังมีคนเชื่อมั่นฉันอยู่ 1 คนหล่ะ "


หลังจากแยกย้ายกับน้องแล้ว ฉันเก็บความเครียดกลับมาบ้านและคิดว่าฉันจะทำยังไงกับชีวิตที่เหลืออยู่ ในการดำเนินชีวิตกับภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่แบบนี้ โอกาสตกงานมีมากนะ การเปลี่ยนงานก็ยาก ถ้าคุณไม่แน่และไม่เก่งพอ ตอนนี้ภาษามีส่วนสำคัญในงานของฉันมาก ถ้าฉันไม่พัฒนาตัวเอง ฉันต้องเป็นเต่าอยู่ในกระดองเป็นแน่ ฉันเครียด ฉันควรเริ่มได้แล้ว นอนคิดไปคิดมา เอาวะ ภาษาอังกฤษ ไม่ได้และมันก็คงเกินเอื้อมหล่ะ ฉันไปลงเรียนภาษาญี่ปุ่นดีกว่า เพราะภาษาอังกฤษเราเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ มันทำให้เวลาไปเรียนไปสอบ มันดูว่าง่ายและหน้าอายที่จะไปลงเรียนตั้งแต่เริ่มต้น ฉันไปลงเรียนภาษาญี่ปุ่นดีกว่า เพราะมันต้องเริ่มเรียนตั้งแต่ สระอักษร เหมือนตอนเราเรียน ก.ไก่ ข.ไข่ เริ่มกันแบบอนุบาลไปเลย คงถ้าจะดี ฉันคิดได้แบบนั้นแล้วก็นอนหลับไป หายเครียดไปได้เปราะหนึ่ง

เช้ามา ฉันโทรหาน้องคนเดิมแล้วบอกมันว่า " เฮ้ยย ฉันจะไปเรียนภาษาญี่ปุ่นว่ะ แกว่าดีมะ " แล้วฉันก็ให้เหตุผลมันไปว่า ที่เรียนเพราะอะไรยังไง มันเลยบอกกลับมาว่า " ไปเรียนภาษาจีนเหอะ จะไปด้วย ภาษาจีนน่าจะเป็นอีกภาษาที่ต้องได้ใช้ในเวลาอันใกล้นี้นะ เชื่อสิ "

แม่ง..มาทำให้กูสับสนอีกหล่ะ มรึงนี่... แล้วฉันก็ไปเปิดหาคอร์ทเรียนภาษาจีน

อยากจะถามเพื่อนๆว่า ระหว่างภาษาจีนกับภาษาญี่ปุ่น เพื่อนเห็นด้วยกับอย่างไหนมากกว่ากัน แล้วใครมีที่แนะนำสถานที่เรียนบ้าง

ที่ดูไว้ของภาษาจีน ก็แถวสวนลุมฯ หรือใครมีสถานที่ไหนบ้าง ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ เครียด ตอนนี้ต้องการเพิ่ม Value ให้กับตัวเองอ่ะค่ะ

















 

Create Date : 04 กันยายน 2551
13 comments
Last Update : 4 กันยายน 2551 10:31:47 น.
Counter : 670 Pageviews.

 
 
 
 
เรารู้แค่ว่า ถ้ารู้ภาษาจีน ก็จะทำให้เราอ่านภาษาญี่ปุ่นได้ด้วยนะคะ
เพราะรากของภาษามาจากที่เดียวกัน
เรามีคนรู้จักคนนึง
เค้ารู้ภาษาจีน
แต่ไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่น
เค้าก็ยังอ่านหนังสือนิยายญี่ปุ่นได้

ภาษาจีน มีคนใช้เยอะกว่าภาษาญี่ปุ่นด้วยนะคะ
 
 

โดย: VELEZ วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:11:03:11 น.  

 
 
 
เข้ามาอ่าน
แล้วนึกถึงสมัยที่เริ่มทำงานใหม่ๆ

รอสักพัก ค้นหาตัวเองให้พบ
แล้วจะไม่เครียดด้วยปัญหาแบบนี้อีกค่ะ
 
 

โดย: เช้านี้ยังมีเธอ วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:11:07:55 น.  

 
 
 
แม่มดว่าภาษาจีนดีคะ แม่มดยังเคยโดนบังคับให้เรียนเพราะต้องไปทำงานที่จีน แต่แม่มดขี้เกียจเรียนแม่มดไม่มัก เป็นการส่วนตัว

แต่พอได้ไทงานที่นั่น แม่มดซึ้งจัด ๆ เลยคะว่าตรูนี่โคตรโง่เลย ทำไมไม่เรียนฟร่ะ ดิจิที่นี่ม่ายมีครายพูดภาษาปะกิตกะตรูเลย หาของกินก็ยาก เดินไปสั่งอาหารก็งง เที่ยวเดินชี้ ๆ ๆ อยากกินมันเผาก็สั่งมันไม่ได้ มันบอกกี่หยวน กี่หยวนก็ฟังไม่รู้เรื่อง ถึงสุดท้ายจะได้กิน แต่ก็โคตรเมื่อยมือ เดือดร้อนประชาชนชาวจีนแถวนั้นต้องาช่วยนับตังค์

เห็นด้วยนะคะถ้าจะเรียนภาษาจีน ... สู้ ๆ นะคะ แม่มดเชื่อว่าซายูริ ต้องทำได้ดีกว่าแม่มดแน่ ๆ

ส่วนเรื่องการพัฒนาศักยภาพตัวเรานะคะ ค่อยเป็นค่อยไปนะคะ เอาทีละอย่าง อยู่ท่ามกลางคนเก่งไว้นะคะถึงช่วงแรกเราจะตัวเล็กนิดเดียว ถ้าเราพยายามซึมซับวิถี วิธีการคิดของพวกเค้า แล้วเอามาดัดแปลงให้เข้ากับวิถีของเราเอง โดยไม่ต้องไปก๊อปปี้เค้านะคะ สุดท้ายเราจะมีความ เก่ง ในแบบของเรา ซึ่งอาจเหมาะกับเราที่สุด

เรียนรู้ไม่ยากหรอกคะ ....แม่มดเคยลองทำมาแล้ว เหนื่อยหน่อยในช่วงแรกนะคะ อย่าท้อ ..คิดซะว่า มันก็คนเราก็คน ทำไมเราจะเก่งอย่างมันไม่ได้ เราแค่เริ่มช้ากว่า แต่ถ้าฝึกฝนอย่างอดทน เราจะเดินไปกระทบไหล่คนพวกนั้นได้ไม่ยาก ไม่ต้องเป็นระดับดีกรีอย่างเค้าหรอกคะ แค่กึ๊น มากพอที่จะเทียบได้ เพราะไม่มีใครเก่งๆปทุกเรื่องหรอกคะ ไม่งั้นหมอ จะต้องมีแยกายเหรอคะ นี่หมอหัวใจ นั่นหมอสมอง โน่นหมอ ปอด ร่างกายคนเหมือนกันแท้ ๆ หมอมันยังรู้กันคนละอวัยวะเลยคะ อิอิ

สู้ ๆ นะคะ แม่มดเป็นกำลังใจให้คะ
 
 

โดย: แม่มด IP: 124.120.151.152 วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:12:02:11 น.  

 
 
 
ภาษาจีนน่าจะสำคัญกว่านะคะ เพราะการค้าส่วนใหญ่ในไทย ก็มักจะมี contact กับจีนเสียเป็นส่วนใหญ่

แต่ยังไง สิ่งสำคัญที่สุดคือกำลังใจตัวเองนะคะ อย่าเพิ่งท้อ ต้องคิดว่า เราทำได้ เราไม่มีอะไรด้อยกว่าใคร เราเองก็มีดีเหมือนกัน

ถ้าใจสู้และไม่กลัวเสียอย่าง อะไรก็ไม่ใช่ปัญหาค่ะ
 
 

โดย: แค่คนหนึ่งคน วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:12:45:45 น.  

 
 
 
มาเป็นกำลังใจให้สู้ๆ น๊ะ
 
 

โดย: gratai (jamsaimak ) วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:13:02:05 น.  

 
 
 
สู้ๆ เต็มที่เลยครับ
 
 

โดย: TheOtherness วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:14:09:23 น.  

 
 
 
ก่อนขอเป็นกำลังให้นะคะในความตั้งใจจริงขอคุณ แต่ขอแนะนำคุณนะคะว่าขอให้เลือกเรียนในสิ่งที่เราต้องการเรียนรู้จริงๆจะดีที่สุด อย่ไปเรียนตามใคร ภาษาอังกฤษหากคุณเก่งแล้วใช้ได้ดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องเรียนเพิ่มอีก แต่ใช้ได้บ่อยเพื่อฝึกฝนมัน ส่วนภาษาญี่ปุ่นหรือจีนหากเห็นว่ามันจำเป็นต่อคุณก็ควรจะเรียนนะคะ แต่ไม่ใช่เพราะเรียนตามเพื่อนไม่เช่นนั้นก็จะเสียเวลาและเสียเงินไปเปล่าๆค่ะ

ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ
 
 

โดย: 55 IP: 210.246.144.71 วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:14:55:02 น.  

 
 
 
จะ บอก ว่า ภา ษา อัง กฤษ ก็ ไม่ ได้ เรื่อง เลย ค่ะ
 
 

โดย: เ จ้ า ข อ ง IP: 202.183.225.12 วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:15:03:10 น.  

 
 
 
เราเป็นคนนึงที่เรียนภาษาจีนมาตั้งแต่เด็ก
ตอน ป.ตรีก็เรียนวิชาเอกภาษาจีนเหมือนกัน
แต่จะเรียนภาษาอะไรดีกว่ากันนั้น
ก็ขึ้นอยู่กับว่า ทำงานประเภทไหน ที่ไหน ทำกับใคร
อย่างในนิคมฯ โรงงานส่วนใหญ่เป็นของญี่ปุ่น
ภาษาจีนก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร
แต่ถ้าเข้าไปทำงานในบริษัทที่ต้องใช้ภาษาจีน
มันก็จะคนละเรื่องกัน
แต่ตอนนี้เรากำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ด้วย
เพื่อเพิ่มพูนความสามารถให้กับตัวเอง
ถ้าสนใจรายละเอียด คุยกันได้นะคะ
 
 

โดย: chenyuye วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:16:20:22 น.  

 
 
 
อืมม...ถ้าถามเราก็แนะนำภาษาจีนนะคะ เพราะตอนนี้จีนกำลังเริ่มเข้ามามีบทบาทกับประเทศเรามากขึ้นแล้วค่ะ

ส่วนที่ว่าจะรู้ภาษาญี่ปุ่นไหม บางตัวจะแปลคล้ายๆกันค่ะ แต่บางตัวก็ไม่เหมือน แต่ว่าคำอ่านไม่เหมือนกันแน่ๆค่ะ

ลองถามตัวเองดูแล้วกันค่ะ ว่าจะใช้ประโยชน์กับภาษาไหนมากกว่ากัน

เป็นกำลังใจให้นะคะ....
 
 

โดย: SaKaNaJang วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:20:02:06 น.  

 
 
 
สะเทือนด้วยเลย..เหอะๆๆ.
ชอบแอบchatเวลาทำงาน แต่ก็ทำงานไปเล่นไปเหมือนกัน
ยังงัยก็เป็นกำลังใจให้คุณซายูริสู้สู้ต่อไปนะค่ะ

ราตรีสวัสดิ์ค่า
 
 

โดย: mastana วันที่: 5 กันยายน 2551 เวลา:0:20:49 น.  

 
 
 
ทำงานกับญี่ปุ่นมาเกือบ 12 ปี แต่คิดว่าภาษาจีนมีโอกาสใช้งานสูงกว่า เมื่อได้ภาษษจีนแล้วจะมาต่อภาษาญี่ปุ่นจะช่วยให้เรียนง่ายขึ้นนะ

ง่วงนอนชะมัด
 
 

โดย: ลั่นทมขาว วันที่: 5 กันยายน 2551 เวลา:8:46:58 น.  

 
 
 
ภาษาจีนดีกว่าค่ะ..แต่ถ้าชอบภาษาญี่ปุ่นมากกว่าก็น่าจะเรียนภาษาญี่ปุ่นนะคะ..และถ้าส่วนตัวต้องเลือกแล้วก็ว่าจะเลือกภาษาญี่ปุ่นหรือไม่ก็ภาษาเยอรมันค่ะ เพราะชอบมากกว่า..คิดว่า เอาแบบที่ตัวเองต้องการดีกว่านะคะ..สู้สู้ค่ะ เข้ามาเป็นกำลังใจให้
 
 

โดย: ปลาเงินปลายรุ้งเส้นที่ 8 วันที่: 8 กันยายน 2551 เวลา:14:44:25 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

 ซายูริ
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add  ซายูริ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com