แฟนฟิคชั่น : กระบี่สะท้านฟ้า ราชาสะท้านแผ่นดิน (The Hero & The King)
Group Blog
 
 
กันยายน 2555
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
22 กันยายน 2555
 
All Blogs
 

กระบี่สะท้านฟ้าฯ ตอนที่ 33 แลกเปลี่ยน

ความเดิมจากตอนที่แล้ว

ชีเส้าเฟยกับค่ายเหลียนอิ๋นมาร่วมมือกับค่ายแม่ทัพหลินเซียงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับชีเส้าเฟยก็ดีขึ้่นเรื่อยๆ ส่วนทางวังหลวงไทเฮา ฮองเฮา เส่เยี่ยและเชื้อพระวงศ์ทั้งหมด ถูกอ๋าวป้ายจับกุมไว้ เหตุการณ์ในกระบี่สะท้านฟ้า ราชาสะท้านแผ่นดินจะเป็นอย่างไร ติดตามอ่านได้ ณ บัดนี้

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เวลาค่ำคืน ณ เมืองหลวง

แม่ทัพหลินเซียงส่งคนไปดูสถานการณ์ที่เมืองหลวง โดยที่เขาและพวกฮ่องเต้รอฟังข่าวอยู่นอกเมือง สายกลับมารายงานว่าอ๋าวป้ายวางเวรยามรอบเมืองหลวงไว้อย่างแน่นหนา ตรวจตราทุกคนที่เดินทางผ่านประตูเมือง และยังห้ามเดินทางในยามวิกาลอีกด้วย สายคนนั้นจึงได้แต่ดูสถานการณ์อยู่รอบๆ ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ และกลับมารายงานแม่ทัพหลินเซียง

แม่ทัพหลินเซียงฟังแล้วก็คิดหนัก อ๋าวป้ายมีการเตรียมการไว้ดีขนาดนี้ หากจะผ่านเมืองหลวงเข้าไปด้วยกำลังคนแค่นี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรได้ แม่ทัพหลินเซียงจึงเสนอฮ่องเต้ให้รอทัพจากเมืองฟู่เจี้ยนมาช่วยก่อน แล้วค่อยบุกเข้าไปพร้อมกัน ฮ่องเต้ร้อนใจเป็นห่วงไทเฮา จึงไม่อยากรอ แต่ก็จำใจยอมรับสภาพ แต่ฮ่องเต้ก็ขอร้องให้องครักษ์เหอ ซึ่งมีวิชาตัวเบาเป็นเลิศ หาทางเข้าวังหลวงเพื่อไปสืบเรื่องของไทเฮาและเชื้อพระวงศ์ว่ายังปลอดภัยอยู่หรือไม่ องครักษ์เหอรับบัญชาฮ่องเต้ ชีเส้าเฟยเป็นห่วงเส่เยี่ยจึงขอไปด้วย องครักษ์เหอเห็นว่าเขาหายบาดเจ็บแล้วจึงตอบตกลง ส่วนฮ่องเต้กับแม่ทัพหลินเซียงก็ไม่ขัดอะไร ก่อนทั้งคู่ออกเดินทาง อ้อมหมิงเจิ้งบอกให้องครักษ์เหอรักษาตัว และฝากเขาดูแลชีเส้าเฟยด้วย คนอื่นๆ จึงสังเกตเห็นว่าอ้อมหมิงเจิ้งและองครักษ์เหอนั้นรู้จักกันมาก่อน องครักษ์เหอกับชีเส้าเฟยลาทุกคนแล้วก็รีบออกเดินทางไปยังเมืองหลวง

จากคำพูดของอ้อมหมิงเจิ้ง นางและองครักษ์เหอเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน คนอื่นๆ ก็พอจะเดาได้ว่าพวกเขาน่าจะมาจากสำนักเดียวกัน คนที่ค่ายเหลียนอิ๋นไม่มีใครรู้ว่าอ้อมหมิงเจิ้งมาจากสำนักไหน แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถามอะไร ยกเว้นก็แต่ลู่เสี่ยวฟงที่อยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นเป็นนิสัย จึงอดเอ่ยปากถามนางไม่ได้ ทว่าคำถามของลู่เสี่ยวฟงกลับไม่ได้มุ่งไปที่ความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องของอ้อมหมิงเจิ้งและองครักษ์เหอ

“นี่พวกเจ้าสองคนเป็น... เอิ่ม... กิ๊กเก่ากันเหรอ” เจอคำถามนี้เข้าไป อ้อมหมิงเจิ้งไม่เพียงไม่ตอบ แต่ง้างมือจะตีลู่เสี่ยวฟงให้ได้ เดือดร้อนกงซุนเช่อต้องเข้ามาห้ามอีกตามเคย

กงซุนเช่อดุลู่เสี่ยวฟงว่า เขาทำตัวไม่รู้จักโตเสียที นิสัยพูดไม่คิด แก้ไม่หาย อ้อมหมิงเจิ้งเห็นลู่เสี่ยวฟงถูกดุก็หัวเราะชอบใจแล้วพูดซ้ำเติมเขา กงชุนเช่อจึงหันมาดุอ้อมหมิงเจิ้งด้วยอีกคน
“เจ้าก็เหมือนกัน นิสัยฉุนเฉียว ไม่ยอมคน แก้ไม่หาย เจ้าเป็นผู้หญิง หัดอ่อนโยนเหมือนผู้หญิงเสียบ้าง” คราวนี้เป็นลู่เสี่ยวฟงหัวเราะชอบใจบ้าง ซ้ำยังพูดซ้ำเติมว่าอ้อมหมิงเจิ้งโมโหร้ายเหมือนแม่เสืออย่างนั้นอย่างนี้ จนกงซุนเช่อต้องรีบห้าม ไม่อย่างนั้นสองคนก็จะทะเลาะกันขึ้นมาอีก ถูกลู่เสี่ยวฟงว่าต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ อ้อมหมิงเจิ้งรู้สึกโกรธและเสียหน้ามาก จึงต่อว่ากงซุนเช่อและลู่เสี่ยวฟงว่า พวกผู้ชายชอบพูดเข้าข้างกัน แล้วนางก็เดินงอนตุบป่องออกไป ฮ่องเต้แอบสังเกตอ้อมหมิงเจิ้งเงียบๆ จำได้ว่าองครักษ์เหอเคยพูดทำนองว่าเขาเคยมีความรัก หรือว่าแม่นางอ้อมหมิงเจิ้งผู้เก่งกาจคนนี้จะเป็นอดีตคนรักของเขาจริงๆ

อ้อมหมิงเจิ้งเดินงอนออกมานั่งเขี่ยกิ่งไม้อยู่ด้านนอก ครู่หนึ่งก็มีเสียงฝีเท้าคนมายืนอยู่ข้างหลัง หญิงสาวนึกกระหยิ่มในใจว่าต้องเป็นลู่เสี่ยวฟงมาง้อนางแน่ๆ
“ข้าเป็นนางเสือโมโหร้าย แล้วมายุ่งกับข้าทำไม” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเชิงตัดพ้อ
“แต่ข้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นเช่นนั้นนะ” หลินชงยิ้ม คนที่เดินตามอ้อมหมิงเจิ้งมาไม่ใช่ลู่เสี่ยวฟง หากแต่เป็นหลินชง หญิงสาวหันมาเจอหลินชงก็ทำหน้าไม่ถูก
“หวังว่าแม่นางคงไม่นำคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจหรอกนะ” คนพูดยิ้มให้หญิงสาวอย่างเป็นมิตร นางจึงยิ้มแห้งๆ ให้เขา
“ถ้าข้าคิดเล็กคิดน้อยแบบนั้น คงไม่อยู่กับพวกเขามาหลายปีหรอก”
“แม่นางอ้อมหมิงเจิ้ง มีจิตใจกว้างขวาง น่านับถือจริงๆ”

ปกติอ้อมหมิงเจิ้งอยู่ค่ายเหลียนอิ๋นทุกคนปฏิบัติตัวเหมือนนางเป็นผู้ชาย แม้แต่คำพูดตำหนิติเตียนก็พูดกันตรงๆ ไม่มีแบ่งแยกชายหญิง ถูกหลินชงชมซึ่งหน้าแบบนี้ อ้อมหมิงเจิ้งก็ทำตัวไม่ถูก จึงยักไหล่แบบขอไปที

อีกด้านหนึ่งลู่เสี่ยวฟงกำลังจะเดินมาง้ออ้อมหมิงเจิ้ง แต่ก็ต้องชงักเมื่อเห็นว่านางยืนคุยกับหลินชงอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นว่าสองคนคุยกันถูกคอ แถมอ้อมหมิงเจิ้งยังแสดงกิริยาเหมือนผู้หญิงมากกว่าปกติ ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ครู่หนึ่งหลินกุเหนียงเดินตามออกมาเห็นว่าลู่เสี่ยวฟงยืนดูหลินชงกับอ้อมหมิงเจิ้งอยู่ นางรู้สึกสงสัยจึงเดินเข้าไปทัก ลู่เสี่ยวฟงปากแข็งไม่ยอมรับว่าแอบดูสองคนอยู่ หลินกุเหนียงก็ไม่ว่าอะไร หลินกุเหนียงดูไปดูมา ก็รู้สึกว่า ความจริงแม่นางอ้อมหมิงเจิ้งก็นับเป็นสตรีที่งดงามคนหนึ่งเหมือนกัน แม้นางจะแต่งตัวเหมือนผู้ชาย ท่าทางห้าวหาญเหมือนผู้ชาย แต่ท่าทางที่นางคุยกับหลินชงอยู่ตอนนี้ก็น่ารักไม่เบา นึกแล้ววิญญาณแม่สื่อก็เข้าสิง (อีกแล้ว) ตอนนี้พี่ชายของนางยังโสดอยู่เสียด้วย ถ้าได้พี่สะใภ้ทั้งเก่งทั้งสวยแบบนี้จะดีแค่ไหนกันนะ หญิงสาวคิดแล้วก็หัวเราะคนเดียว ลู่เสี่ยวฟงไม่เข้าใจว่าหลินกุเหนียงหัวเราะอะไรจึงถามขึ้น
“เจ้าหัวเราะอะไร”
“ท่านว่าพี่ชายข้าเป็นไง”
“เป็นไงอะไร” ลู่เสี่ยวฟงคิ้วขมวด เขารู้สึกไม่ถูกชะตากับหลินชงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ลู่เสี่ยวฟงเป็นคนง่ายๆ ไม่ชอบคนท่ามาก ท่าเยอะ ทำเป็นมีมารยาท คนแบบหลินชงจึงไม่ใช่สหายที่จะเขาคิดจะคบหาแน่ๆ
“ก็พี่หลินชงข้าหน่ะสิ ท่านว่าเขาเท่หรือเปล่า คู่ควรกับหัวหน้าสามของท่านไหม” ลู่เสี่ยวฟงได้ยินคำพูดนี่ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ในท้องของเขารู้สึกปั่นป่วนผิดปกติ แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงได้มีอาการเช่นนี้ ชายหนุ่มได้แต่ทำหน้าไม่ถูก ก่อนจะพูดแบบขอไปทีกับหญิงสาว
“ไม่รู้ อยากรู้ก็ไปถามหงเผานั่นสิ” พูดจบลู่เสี่ยวฟงก็เดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ ทิ้งให้หลินกุเหนียงยืนงงอยู่คนเดียว หลินกุเหนียงมองตามลู่เสี่ยวฟง แล้วก็หันไปมองอ้อมหมิงเจิ้ง จากนั้นก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรออก หลินกุเหนียงเดาว่าลู่เสี่ยวฟงคงจะหึงอ้อมหมิงเจิ้งนั่นเอง แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ พี่ชายของนางก็ยังมีสิทธิ์ของแบบนี้ใครดีใครได้ ที่สำคัญคือแม่นางอ้อมหมิงเจิ้งต่างหาก ว่าจะมอบใจให้ใคร

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ณ วังหลวง

ชีเส้าเฟยและองครักษ์เหอลอบเข้ามาในวังหลวงได้สำเร็จ องครักษ์เหอบอกว่าด้านหน้าคือพระตำหนักของไทเฮา เขาจะเข้าไปดูข้างใน ให้ชีเส้าเฟยรออยู่ตรงนี้ ชีเส้าเฟยตกลง เขามองเข้าไปยังพระตำหนักด้วยหัวใจที่เต้นแรง ข้างในนั้นคือแม่ของเขางั้นหรือ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าชาตินี้จะได้พบนาง เพราะเข้าใจว่าตนเองกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก หากเจอนางแล้วจะเรียกนางว่าอย่างไร นางจะยอมรับเขาหรือไม่ แล้วทำไมเขาถึงต้องพรากจากนางมาด้วย ความคิดของชายหนุ่มฟุ้งซ่านไปต่างๆ นาๆ จนกระทั่งองครักษ์เหอเดินกลับมา

“ไม่มี ไทเฮาไม่ได้อยู่ที่นี่” องครักษ์กล่าว ชีเส้าเฟยคิ้วขมวดด้วยความกังวล แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งที่ยังไม่ต้องเจอไทเฮาตอนนี้ เขายังวางตัวไม่ถูกกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเหมือนกัน

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังคิดหาทางอยู่นั้น ชีเส้าเฟยเห็นมือปราบหันจุ้นเดินผ่านไป ก็รีบชี้ให้องครักษ์เหอดู ทั้งสองพยักหน้าเห็นด้วยว่าควรตามหันจุ้นไป

เมื่อตามหันจุ้นมาได้สักครู่ ก็พบว่ามันมาหยุดอยู่ที่คุกหลวง หันจุ้นพูดกับผู้คุมหน้าคุกหลวงสองสามคำแล้วผู้คุมก็เปิดประตูให้เขาเข้าไป ชีเส้าเฟยมั่นใจว่าเส่เยี่ยต้องอยู่ในนั้นแน่ เขาทำท่าจะบุกออกไป องครักษ์เหอรีบดึงเขาไว้แล้วชี้ให้ดู ทหารยามเกือบร้อยคนที่กำลังเดินสวนมาทางนี้

สองคนจึงนั่งเฝ้าอยู่หน้าคุกหลวงเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดหันจุ้นก็เดินออกมา ตัวของมันเปื้อนเศษอาหาร เหมือนถูกใครขว้างของใส่ หันจุ้นฮึดฮัดสั่งให้เวรยามดูแลให้เข้มงวด และสั่งว่าวันนี้ไม่ต้องเอาข้าวไปให้ไทเฮาแล้ว
“ไทเฮา” ชีเส้าเฟยกับองครักษ์เหอได้ยินแล้วก็หันมามองหน้ากัน ที่แท้อ๋าวป้ายจับไทเฮามาอยู่ที่คุกหลวงนี่เอง มันช่างบังอาจนัก แม้แต่ไทเฮาก็ไม่เกรงใจเลยสักนิด กล้าพานางมาขังไว้ที่นี่ ชีเส้าเฟยเข้าใจความรู้สึกขององครักษ์เหอดี แต่ตอนนี้สองคนคงบุกเข้าไปไม่ได้ ถ้าบุ่มบ่ามเข้าไปไทเฮาอาจจะมีอันตรายได้ จึงได้พูดเตือนสติองครักษ์เหอให้รีบเดินทางกลับ เพื่อไปรายงานเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้กับแม่ทัพหลินเซียงทราบดีกว่า องครักษ์เหอพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งคู่จึงใช้วิชาตัวเบาออกจากวังหลวงมา

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ณ ชายป่านอกเมืองหลวง

พอชีเส้าเฟยกับองครักษ์เหอกลับมาถึงค่ายของแม่ทัพหลินเซียง ทุกคนต่างก็ใจร้อนอยากฟังเรื่องในวังหลวงว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ฮ่องเต้พอรู้ว่าตอนนี้ไทเฮาถูกจับไปอยู่คุกหลวงก็โกรธจนหน้าแดง จนแม่ทัพหลินเซียงต้องรีบเข้ามาช่วยปลอบให้เขาใจเย็นลง องครักษ์เหอเล่าให้ทุกคนฟังว่าอ๋าวป้ายวางเวรยามไว้แน่นหนามากเพียงใด ขุนนางส่วนใหญ่ถ้าไม่เข้าข้างอ๋าวป้าย ก็กลัวจนหัวหดไม่กล้าทำอะไร องครักษ์เหอรายงานว่าด้วยกำลังคนของแม่ทัพหลินเซียงตอนนี้ ต่อให้บวกคนของค่ายเหลียนอิ๋นไปด้วย ก็ยังสู้คนของอ๋าวป้ายไม่ได้ พอเขาถามว่าทางฟู่เจี้ยนมาถึงหรือยัง ฮ่องเต้ก็ส่ายหน้าบอกว่าทางนั้นขาดการติดต่อไปแล้ว คงจะโดนอ๋าวป้ายดักทางไว้หมด ฮ่องเต้ส่ายหัวอย่างสิ้นหวัง แม่ทัพหลินเซียงบอกฮ่องเต้ว่า ถึงคนของเขาจะน้อย แต่ก็พร้อมจะสู้ ดีกว่ารออยู่เฉยๆ แบบนี้ ขอเพียงฮ่องเต้พูดมาคำเดียว พวกเขาก็ยินดีจะตายแทนฮ่องเต้และไทเฮา แต่ฮ่องเต้ไม่ยอม เขาไม่อาจเห็นแก่ตัวได้ เมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้ ก็ไม่อยากให้แม่ทัพหลินเซียงเอาชีวิตไปเสี่ยง ฮ่องเต้ตอนนี้รู้สึกมืดแปดดด้านไปหมด

ทันใดนั้น คังซื่อก็รู้สึกว่าเขาอยากฟังความคิดเห็นของชีเส้าเฟย จึงได้หันไปถามคนเป็นพี่ ชีเส้าเฟยรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกว่าตนเองเป็นคนนอก แถมยังถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ ไม่คู่ควรที่ฮ่องเต้จะมาถามความคิดเห็นจากเขา แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของคังซื่อ ชีเส้าเฟยก็รู้สึกดีใจที่ฮ่องเต้ไว้ใจเขา ชีเส้าเฟยบอกว่า ในเมื่อชนะด้วยกำลังไม่ได้ ก็ต้องชนะด้วยความคิด แม่ทัพหลินเซียงพยักหน้าเห็นด้วย เขารู้สึกชื่นชมค่ายเหลียนอิ๋นมาโดยตลอด ชีเส้าเฟยแม้จะมีคนน้อย แต่อาศัยการวางแผน ทำให้มีชัยชนะเหนือคู่ต่อสู้เสมอมา แต่ชีเส้าเฟยก็ไม่อาจรับความดีความชอบนี้ไว้คนเดียวได้ ทั้งหมดนี้ก็อาศัยความร่วมแรงร่วมใจกันของพี่น้องในค่าย โดยเฉพาะกงชุนเช่อที่มีอิทธิพลต่อการวางเกมในการสู้กับคู่ต่อสู้ในทุกๆ ครั้ง และแล้วครั้งนี้กงชุนเช่อก็ไม่ทำให้ชีเส้าเฟยผิดหวังอีกเช่นเคย เมื่อชีเส้าเฟยถามกงชุนเช่อว่ามีแผนการณ์อะไรหรือไม่ กงชุนเช่อก็พยักหน้าว่าเขาได้คิดแผนการณ์ไว้ในใจแล้ว

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ณ จวนเสนาบดีอ๋าวป้าย

อ๋าวเทียนเจียวกำลังชื่นชมกับกล่องเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะ ในกล่องเต็มไปด้วย เพชร พลอย หยก และไข่มุกนาๆ ชนิด หญิงสาวจับมันขึ้นดูด้วยความหลงใหล นางลองหยิบมาสวมใส่ แล้วก็ส่องกระจกหมุนไปหมุนมาอย่างมีความสุข เวลานี้นางช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน ได้กลับมาอยู่บ้าน มีบ่าวไพร่พร้อมสรรพ มีข้าวของดีๆ สารพัดที่คนนำมามอบให้บิดาของนาง ต่างจากค่ำคืนอันหนาวเหน็บที่วังหลวง ฮ่องเต้ไม่เคยสนใจนางเลย เขาไม่เพียงแต่ไม่เคยมาเยี่ยมนาง ของขวัญเล็กน้อยสักชิ้นก็ไม่เคยส่งให้ ตอนนี้สมน้ำหน้าฮ่องเต้ยิ่งนัก คิดจะดีกับนางก็คงสายไปแล้ว บิดาของนางตอนนี้ยิ่งใหญ่กว่าใครๆ ไม่นึกว่านางจะได้มีวาสนากำลังจะได้เป็นถึงองค์หญิง หญิงสาวคิดแล้วก็มีความสุข หยิบสร้อยไข่มุกหมุนไปหมุนมาอย่างพอใจ

อีกด้านหนึ่ง ณ ห้องโถงของจวน ลูกชายคนโตของอ๋าวป้าย อ๋าวเทียนลี่ กำลังเลือกผ้าที่ช่างตัดนำมาส่งให้
“ตัวนี้ เจ้าว่าเหมาะกับข้าไหม” อ๋าวเทียนลี่หันไปถามบ่าวไพร่
“โอว คุณชายอ๋าวช่างตาแหลมคมยิ่งนัก เสื้อตัวนี้ตัดจากผ้าต่วนชั้นดี นอกจากเชื้อพระวงศ์แล้ว ข้าไม่เคยนำมาตัดให้คนอื่นมาก่อน” ช่างตัดเสื้อกล่าว
“แล้วไหนชุดมังกรหล่ะ ชุดลายมังกรแบบฮ่องเต้หน่ะ” อ๋าวเทียนลี่ถาม
“อยู่นี่คุณชาย” ช่างตัดเสื้อส่งชุดลายมังกรสีเหลืองให้อ๋าวเทียนลี่ อ๋าวเทียนลี่ก็รับมาลองสวมใส่อย่างพอใจ
“อืม ชุดนี้เหมาะกับข้าจริงๆ ดูสิ ข้าเหมือนกับฮ่องเต้ไหม ฮ่าๆๆ” อ๋าวเทียนลี่หัวเราะชอบใจแล้วก็หันไปถามบ่าวไพร่ ระหว่างนั้นคนรับใช้คนหนึ่งก็กล่าวเตือนเขาว่า ชุดมังกรนี้ มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่ใส่ได้ หากเสนาฯ อ๋าวป้ายมาเห็นคุณชายอ๋าวใส่เล่นแบบนี้อาจจะตำหนิเขาได้ อ๋าวเทียนลี่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจ เขาตบหน้าบ่าวผู้นั้น แล้วโวยวายเสียงดังว่าบิดาของเขาตอนนี้ก็เหมือนฮ่องเต้ไปแล้ว ทำไมเขาจะไม่มีสิทธิใส่เสื้อผ้าเหล่านี้ บ่าวคนนั้นเกรงว่าเถียงต่อไปจะถูกลงโทษ จึงไม่ได้พูอะไรต่อ หัวหน้าพ่อบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์จึงกล่าวตำหนิบ่าวคนนั้นแล้วไล่ให้ไปทำงานอื่นในครัว

ทันใดนั้น คนของค่ายเหลียนอิ๋นก็กรูกันเข้ามาในห้องโถง ศิษย์ของค่ายเหลียนอิ๋นสองคน เอากระบี่จ่อคอหัวหน้าพ่อบ้านและช่างตัดเสื้อไว้ ลู่เสี่ยวฟงพุ่งเข้ามาจับอ๋าวเทียนลี่ อ๋าวเทียนลี่พอรู้ตัวว่าจะถูกจับก็จะหยิบอาวุธขึ้นมาต่อสู้ แต่ช้าไปนิดเดียว ลู่เสี่ยวฟงเร็วกว่า เขาเอากระบี่มาจ่อคออ๋าวเทียนลี่ไว้แล้ว อ๋าวเทียนลี่โวยวายว่าค่ายเหลียนอิ๋นบังอาจมาก กล้าบุกจวนเสนาบดี วันนี้ถึงเข้ามาได้ ก็คงออกไปไม่ได้ ต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่ ลู่เสี่ยวฟงหัวเราะแล้วด่าทออ๋าวป้ายว่าโง่เขลา ตัวเองนำกำลังทั้งหมดไปคุมวังหลวงอย่างแน่นหนา กลัวเชื้อพระวงศ์จะเคลื่อนไหว แต่ดันทิ้งจวนไว้กับลูกชายที่ไม่เอาไหน ทำให้พวกเขาเข้ามาได้โดยสะดวก

ขณะนั้น อ้อมหมิงเจิ้งก็พาอ๋าวเทียนเจียวที่ถูกจับเข้ามา อ๋าวเทียนเจียวเห็นพี่ชายตัวเองถูกจับก็โวยวาย หาว่าพี่ชายไม่เอาไหน ดูแลจวนอย่างไร ให้คนนอกบุกมาทำร้ายนางได้ อ๋าวเทียนลี่โกรธน้องสาวที่เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ นางทำตัวไม่เป็นประโยชน์แล้วยังจะมาโวยวายว่าเขาอีก ทั้งคู่ทะเลาะกันเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนอ้อมหมิงเจิ้งทนไหว ต่อว่าคนสองคนว่าถ้าไม่หยุดพูดจะตัดลิ้นออกมา สองคนถึงยอมเลิกเถียงกัน ชีเส้าเฟยเกรงว่าอยู่นาน อ๋าวป้ายจะรู้ตัวแล้วส่งคนมาช่วยทัน จึงเตือนให้พี่น้องค่ายเหลียนอิ๋นรีบนำตัวสองคนไป ทุกคนเห็นด้วยจึงพาตัวอ๋าวเทียนลี่และอ๋าวเทียนเจียวออกไป ก่อนออกไปชีเส้าเฟยพูดกับหัวหน้าพ่อบ้าน เขาฝากข้อความถึงอ๋าวป้ายว่า หากอยากได้ลูกชายกับลูกสาวคืน พรุ่งนี้เที่ยงให้ไปเจอกันที่ชายป่านอกเมืองไคเฟิง ห้ามนำกำลังทหารไป หากพบว่าอ๋าวป้ายนำคนมาเกินสิบคน เขาจะฆ่าอ๋าวเทียนลี่ทิ้งทันที ชีเส้าเฟยถามว่าพ่อบ้านเข้าใจที่เขาพูดหรือไม่ พ่อบ้านก็รีบพยักหน้าเข้าใจอย่างลนลาน หลังจากชีเส้าเฟยจากไป ทหารที่เหลือภายในจวนพยายามจะตามพวกเขาไป แต่ถูกพ่อบ้านห้ามไว้แล้วให้รีบนำเรื่องนี้ไปรายงานอ๋าวป้ายทันที...

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เที่ยงตรงของวันต่อมา ณ ชายป่านอกเมืองไคเฟิง

ชีเส้าเฟย กงซุนเช่อ อ้อมหมิงเจิ้ง ลู่เสี่ยวฟง กับศิษย์อีกสองคน มารออ๋าวป้ายก่อนเวลานัดหมาย เมื่อถึงเวลานัดหมายอ๋าวป้ายยังไม่มา อ้อมหมิงเจิ้งก็พูดดูถูกเขาว่า แม้แต่ชีวิตลูกของตนก็ไม่เป็นห่วง ทว่ายังไม่ทันสิ้นคำ อ๋าวป้ายก็ปรากฏตัวขึ้น เขามาพร้อมกับหัวหน้ามือปราบหันจุ้นและลูกน้องอีกหลายร้อยคน พอพวกหัวหน้าค่ายเหลียนอิ๋นเห็นขบวนทหารขนาดใหญ่ ก็รู้ว่าอ๋าวป้ายไม่ได้ทำตามคำพูดที่ชีเส้าเฟยสั่งไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนถูกทำนายไว้โดยกงซุนเช่อตั้งแต่แรกแล้ว อ้อมหมิงเจิ้งหัวเราะเบาๆ แล้วตะโกนไปต่อว่าอีกฝ่าย
“อ๋าวป้ายยังไงก็เป็นอ๋าวป้าย ไม่ยอมเสียเปรียบเลยสักนิด แม้ชีวิตลูกของตนจะตกอยู่ในอันตราย แต่ก็ห่วงชีวิตของตนเองมากกว่า”
“ไม่ต้องพูดมาก ลูกข้าอยู่ไหน!!!”
“เฮอะ นึกว่าขนคนมาเยอะแล้วจะขู่พวกเราได้เหรอ ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่รักษาสัญญา ลูกเจ้าข้าฆ่าไปหมดแล้ว”
“นี่นังกบฎ เจ้ากล้าเหรอ!!!” อ๋าวป้ายกัดฟันแน่น ไม่แน่ใจว่าอ้อมหมิงเจิ้งแค่พูดแหย่เขาหรือทำไปแล้วจริงๆ กันแน่
“คำก็กบฎสองคำก็กบฎ ใครกันแน่ที่กบฎ อ๋าวป้าย!!!” คังซื่อปรากฏตัวจากป่าอีกด้านหนึ่ง ข้างหลังเขามีองครักษ์เหอ แม่ทัพหลินเซียง หลินชงเดินพาอ๋าวเทียนลี่ออกมา ส่วนหลินกุเหนียงก็เดินพาอ๋าวเทียนเจียวออกมา สองคนถูกมัดมือไว้อย่างแน่หนา ปากก็ถูกปิดไว้ให้พูดไม่ได้ ข้างหลังพวกเขามีกองทัพของแม่ทัพหลินเซียงเดินตามมาเป็นแผงใหญ่ ทหารแต่ละคนถืออาวุธครบมือ เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ทุกเวลา

อ๋าวป้ายกำมือแน่นด้วยความโกรธ ครั้งนี้เขาเดินเกมผิดพลาดไป ที่ส่งกองทัพคู่ใจไปปิดวังหลวงเอาไว้หมด ทำให้ที่จวนมีช่องโหว่ให้ค่ายเหลียนอิ๋น ร่วมมือกับฮ่องเต้มาจัดการกับลูกๆ ของเขา

“ฝ่าบาท จะเอายังไง” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเตรียมพร้อมจะสู้ตาย ไม่มีท่าทางเกรงกลัวมันเลยแม้แต่น้อย อ๋าวป้ายจึงเริ่มเปิดฉากเจรจากับฮ่องเต้
“เจ้ายังเรียกเราว่าฝ่าบาทงั้นหรือ” คังซื่อหัวเราะในลำคอ ตอนนี้อ๋าวป้ายยึดวังหลวงไว้หมดแล้ว หากเขาตายเมื่อไหร่ มันก็พร้อมที่จะขึ้นครองบัลลังก์ทันที
“ยังไงซะ เจ้าก็เคยเป็นลูกศิษย์ข้า อีกอย่างเทียนเจียวก็เป็นเจ้าจอมของเจ้า เจ้ากล้าลงมืองั้นหรือ” อ๋าวป้ายพูดกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงท้าทาย คังซื่อได้แต่หัวเราะในลำคอ อาจารย์งั้นหรือ อ๋าวป้ายสอนอะไรเขากันนักเชียว นอกจากทำตัวตีเสมอ และสอนวรยุทธให้เขาเล็กๆ น้อยๆ แล้ว ที่เหลือมันก็คิดแต่จะกุมอำนาจและกดหัวคังซื่ออยู่ตลอดเวลา หากไม่ได้ไทเฮาคอยสนับสนุน บัลลังก์นี้ของเขาคงถูกอ๋าวป้ายแย่งชิงไปนานแล้ว ส่วนอ๋าวเทียนเจียว การแต่งงานก็เกิดขึ้นเพราะสถานการณ์บังคับเท่านั้น นางเป็นลูกสาวของอ๋าวป้าย แถมนิสัยก็ไม่ดี เขาไม่เคยคิดพิสมัยหรืออยากแตะต้องนางเลย
“เอาเถอะวันนี้เรายังไม่อยากให้มีใครต้องเสียเลือดเนื้อ พวกเรามาเจรจาแลกเปลี่ยนคนกัน” คังซื่อข่มใจให้นิ่งที่สุดและกล่าวกับอ๋าวป้ายด้วยน้ำเสียงสุขุม เขาไม่ได้มาต่อล้อต่อเถียงกับอ๋าวป้าย เขาไม่อยากให้มีการปะทะเกิดขึ้น แม่ทัพหลินเซียงเองก็ยังไม่พร้อม เวลานี้ความปลอดภัยของไทเฮากับเส่เยี่ยสำคัญที่สุด
“ฮ่าๆ นึกว่าจะมาไม้ไหน ที่แท้ก็จะขอแลกตัวประกัน” อ๋าวป้ายหัวเราะแผดเสียง
“เจ้าส่งเสด็จแม่และคนอื่นๆ มา เราจะปล่อยลูกเจ้าไป” คังซื่อกล่าว
“คนอื่นๆ ฝ่าบาทหมายถึงใคร ฮองเฮา องครักษ์ หรือนางกำนัลคนไหนกัน” อ๋าวป้ายยียวน
“ปล่อยให้หมดทุกคนนั่นแหละ”
“ไม่ได้ ลูกข้าสองชีวิต ก็แลกคนของท่านได้สองชีวิตเช่นกัน!!!”
“นี่เจ้า!!!” คังซื่อกำมือแน่นด้วยความโกรธ

ฮ่องเต้ช่างอ่อนต่อโลกนัก เจอคำพูดนี้ ของอ๋าวป้ายเข้าไปเขาถึงกับโกรธจนทำอะไรไม่ถูก สถานการณ์ตอนนี้จึงกลับกลายเป็นว่า อ๋าวป้ายถือไพ่เหนือกว่าคังซื่อ ทั้งๆ ที่ชีวิตลูกของมันสองคนอยู่ในมือเขาแท้ๆ

“อ๋าวป้าย ถ้าเจ้าไม่ปล่อยคน วันนี้อย่างดีก็ตายกันหมดนี่ แต่ลูกชายเจ้าตายก่อนคนแรก!!!” ลู่เสี่ยวฟงทนเห็นอ๋าวป้ายถือไพ่เหนือกว่าฮ่องเต้ไม่ไหว จึงเดินเข้าไปช่วยพูด เขายกกระบี่ขึ้นจ่อคออ๋าวเทียนลี่
“หยุดนะ!!!” อ๋าวป้ายตาลุกโพรง ตวาดชายหนุ่มเสียงดัง
“ถ้าเจ้ากล้าแตะแม้แต่ปลายเล็บเขาหล่ะก็ ข้าจะฆ่าคนในวังหลวง ไม่เว้นแม้แต่สนมกำนัลเลย!!!”
“แล้วไงหล่ะ สนมกำนัลไม่ใช่เมียข้าเสียหน่อย ทำไมข้าต้องสนด้วย” ลู่เสี่ยวฟงพูดกวนให้อ๋าวป้ายโกรธ จากนั้นเขาก็ย้ำไปบนเท้าของอ๋าวเทียนลี่อย่างแรง จนแม้อ๋าวเทียนลี่จะถูกปิดปากอยู่แต่ก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด อ๋าวป้ายรีบสั่งให้เขาหยุด ลู่เสี่ยงฟงไม่เพียงไม่ฟัง ซ้ำยังเดินไปย้ำเท้าอีกข้างของอ๋าวเทียนลี่ จนชายหนุ่มลงไปนั่งกองกับพื้น

“แม้แต่สัตว์ป่าที่โหดร้ายยังรู้จักรักลูก อ๋าวป้ายเจ้าอย่าได้ทนใจดำดูลูกของตนเองถูกทำร้ายอีกเลย” กงซุนเช่อเห็นโอกาสเหมาะ จึงรีบพูดแทรกให้อ๋าวป้ายยอมปล่อยคน
“สี่ชีวิต!!! ข้าให้พวกเจ้าได้สี่ชีวิตเท่านั้น ไม่มีการต่อรอง หากเรียกร้องมากกว่านี้ สองชีวิตของลูกข้า ก็ยินดีจะแลกกับคนทั้งวังหลวง!!!” อ๋าวป้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง อ๋าวเทียนเจียวกับอ๋าวเทียนลี่ได้ยินเช่นนั้นก็ลนลาน มือที่ถูกมัดอยู่ก็พยายามดิ้นรนให้พ้นจากการจับกุม ปากที่ถูกผ้าปิดอยู่ก็ร้องให้บิดาของตนช่วยเหลือสุดชีวิต
“เป็นลูกข้า เจ้าต้องอดทน อย่าให้ใครมาหยามเกียรติหรือเอาเปรียบได้!!!” อ๋าวป้ายตวาดใส่บุตรและบุตรสาวทั้งสอง นันย์ตาของเขาแดงกร่ำ ทำให้ทุกคนดูออกว่าเขาพูดจริง แม้อ๋าวป้ายจะรักบุตรของตนมาก แต่ด้วยทิฐิมานะและความทะเยอทะยานของเขาทำให้เขาไม่อาจยอมเสียเปรียบได้ จิตใจของเขาช่างเด็ดเดี่ยวจริงๆ

กงซุนเช่อเห็นว่าคงต่อรองอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ จึงเดินเข้าไปถามความเห็นจากฮ่องเต้และแม่ทัพหลินเซียงว่า “สี่ชีวิตควรช่วยใครก่อน” คังซื่อยืนนิ่ง เขาใช้ความคิดอย่างหนัก คนในวังหลวงมีตั้งมากมาย ไทเฮา ท่านอ๋อง เชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย ให้เลือกแค่สี่ชีวิตงั้นหรือ แบบนี้สู้ไม่ช่วยเลยเสียยังจะดีกว่า

ยิ่งทุกคนรอฟังคำตอบจากคังซื่อ คังซื่อก็ยิ่งไม่กล้าตอบ คำถามนี้เหมือนกับยื่นปลายมีดไปแทงคนที่เขาไม่ได้เลือก แม่ทัพหลินเซียงดูออกว่า ฮ่องเต้ลำบากใจ จึงตัดสินใจเสนอชื่อขึ้นเอง

“ไทเฮา ฮองเฮา ท่านอ๋องถู และฮูหยิน” ฮ่องเต้ได้ยินสี่ชื่อนี้ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่มีชื่อของเส่เยี่ย ก็แน่หล่ะ เพราะแม่ทัพหลินเซียงไม่รู้จักเส่เยี่ยนี่หน่า คังซื่อหันไปสบตากับชีเส้าเฟย สองคนใจตรงกัน คือ เป็นห่วงเส่เยี่ย แต่เวลานี้ช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย หากเขาพูดชื่อเส่เยี่ยออกไป ทุกคนคงจะคัดค้านแน่ๆ ในสายตาของขุนนาง ชีวิตของเชื้อพระวงศ์ย่อมสำคัญที่สุด

คนอื่นๆ รอฟังคำตอบจากฮ่องเต้ แต่คังซื่อยังยืนเงียบอย่างไร้ทางออก ชีเส้าเฟยมองออกว่าเขากำลังลำบากใจ จึงเดินเข้าไปพูดกับเขาเบาๆ
“นางเป็นคนเข้มแข็ง ต้องเอาตัวรอดได้แน่ แล้วข้าจะหาทางไปช่วยนางเอง” พูดจบชีเส้าเฟยก็สบตาคังซื่อ เขาพยักหน้าเหมือนเป็นสัญญาว่าเขาจะต้องช่วยเส่เยี่ยได้แน่ คังซื่อจึงหันไปตอบตกลงกับสี่รายชื่อที่แม่ทัพหลินเซียงเสนอขึ้น

อ๋าวป้ายยอมตกลงรับปาก พวกเขาจึงนัดแลกตัวประกันกันเที่ยงวันของวันรุ่งขึ้น....

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑




 

Create Date : 22 กันยายน 2555
10 comments
Last Update : 19 มีนาคม 2560 16:27:47 น.
Counter : 716 Pageviews.

 

ตื่นเต้นๆกำลังตื่นเต้นเลยค่ะ กำลังลุ้นว่าหัวหน้าชีกับฮ่องเต้จะช่วยเส่เยี่ยได้ยังไง แต่เชื่อวาพระเอกต้องช่วยนางเอกได้แน่ๆค่ะ

ตอนนี้แอบขำพี่ลูลู่ หึงเป็นกับเค้าด้วยหรือเนี่ย สมๆต้องให้เจอแบบนี้บ้าง ถึงจะรู้สึก

 

โดย: ทับทิม IP: 125.26.29.165 7 ตุลาคม 2555 11:48:23 น.  

 

สงสารเส่เยี่ยเหมือนกันค่ะ เรื่องนี้ระหกระเหินกว่าตัวละครทุกตัวเลย ถูกจับลากมาลากไป มานั่งนึกทำไมนางเอกมันดูรันทดจัง เปิดฉากมาพ่อก็ตาย พลัดพรากจากแม่ โดนจับไปขายอีก ตอนนี้ก็ยังมาถูกอ๋าวป้ายจับไว้ ฮ่องเต้ก็ดันไม่ช่วยอีก ที่แท้ตอนนั้นต้องการแก้แค้นอาเส่ที่ทำร้ายจิตใจพี่ชายนั่นเอง 55 โดนซะเยอะ จนผกก.เริ่มสงสารแล้ว เอาเป็นว่าแก้แค้นแค่นี้พอประมาณแล้วเนอะคะซ้อๆ ตอนต่อไป คงไม่มีต้องไปตกระกำลำบากอะไรแล้วเนอะคะซ้อๆ

คู่พี่ลู่ๆ กับหงเผานี่เค้าผลัดกันหึง แต่ดูท่ายังไม่มีใครรู้หัวใจตัวเองนะคะเนี่ย ลุ้นกันต่อไปค่ะ ว่าคู่นี้จะยังไง

 

โดย: realtomtam 7 ตุลาคม 2555 16:46:47 น.  

 


ขอยกมือสนับสนุกการคัดเลือกตัวประกันแลกเปลี่ยนเจ้าค่ะ แม้จะเป็นแฟนคลับเส่เยี่ย

แต่เห็นด้วยว่าฮ่องเต้คังซื่อควรให้ความสำคัญแก่ ไทเฮา ฮองเฮา และญาติผู้ใหญ่ก่อนใคร

ที่สำคัญจะได้เปิดโอกาสให้หัวหน้าชีทำคะแนน เป็นพระเอกขี่อาชาขาวไปช่วยเส่เยี่ยไงล่ะ อิอิอิ

ส่วนคังซื่อก็จะได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับฮองเฮา สงสารฮองเฮามาตั้งแต่เวอร์ชั่นละครแล้ว

อยากให้เวอร์ชั่นฟิคคังซื่อเห็นใจและรักฮองเฮาให้มากๆ ส่วนเส่เยี่ยช่วงนี้แฟนคลับดูแลให้เองค่ะ

 

โดย: O-yohyo 7 ตุลาคม 2555 17:55:28 น.  

 


ตอนนี้ตัวละครที่ได้ใจที่สุดคือแม่นางหลินค่ะ แม่สื่อมืออาชีพมากๆ จับคู่ได้ทุกสถานการณ์

แอบเห็นใจพี่หลินชงเลยนะเนี่ย ถ้าไม่ติดที่แม่นางอ้อมหมิงเจิ้งรักท่านลู่ล่ะก็ จะช่วยเชียร์แล้ว

 

โดย: O-yohyo 7 ตุลาคม 2555 17:56:36 น.  

 

ตัวละครที่ดูสนุก สดใสที่สุดก็คงเป็นแม่นางหลินนี่แหละค่ะ ดูชิวๆ ไม่ต้องเครียดเหมือนกับตัวละครอื่น มีเวลาคิดเรื่องจับคู่ให้คนโน้นคนนี้ แต่จะสมหวังรึเปล่าอันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่งนะคะ ว่าแล้วก็คิดถึงพี่จั๋ว ถูกจับไปอยู่คุกหลวงซะนาน ป่านนี้โทรมหมดละ 555

"ป่านนี้น้องหลินจะเป็นไงบ้างนะ"


"ขอให้ฮ่องเต้หาทางมาช่วยพวกเราโดยเร็วด้วยเถิด"

 

โดย: realtomtam 7 ตุลาคม 2555 19:14:29 น.  

 


ว้าว! พี่จั๋วถึงกับตามหาแม่นางหลินแบบนี้

ป่านนี้เจ้าตัวไปอยู่ไหนล่ะเนี่ย รีบมาอ่านไวไวเลย

 

โดย: O-yohyo 7 ตุลาคม 2555 19:59:44 น.  

 


อ้อมหมิงเจิ้นงอนพี่ลูลู่ แสดงว่าก็แอบชอบพี่ลูลู่เหมือนกันใช่ม้า แต่ท่าทางพี่ลูลู่จะมีอุปสรรคหัวใจซะละ แถมมีหลินกุเหนียงเป็นกองหนุนด้วย อ้ายหย่า แย่แน่เลยพี่ลู่

ฮ่องเต้คังซื่อและ หนญ.สมกับเป็นผู้นำ รักชาติ รักประชา รักแผ่นดิน เหนือหัวใจตัวเอง ไม่เห็นแก่ตัว เลือกคนอื่นก่อนคนที่ตัวเองรัก สมกับเป็นฮีโร่มากเลยคร่า เชื่อว่าแม้ทั้งสองหนุ่มจะเลือกเส่เยี่ยก่อน นางรู้ต้องไม่ยอมแน่

เห็น ผกก.ทวนความจำว่าฟิคเรื่องนี้เขียนขึ้นเพื่อแก้แค้นอาเส่ นางเอกก็เลยตกยากเกือบทั้งเรื่อง +555 ลืมไปเลยอ่ะ ตอนนี้หายโกรธละ สงสารเส่เยี่ย เพราะงั้นตอนใกล้จบอย่าตัดจบเฉยๆ นะคะ ขอตอนพิเศษให้เส่เยี่ยกับท่านลุงชี (โมเมว่าลุงชีเนี่ยแหล่ะ) มีความสุข หวีดๆ กุ๊กกิ๊กๆ กันเยอะๆนะคะ ผกก. ทดแทนที่ตกระกำลำบากมาทั้งเรื่องเลย

ว๊ายยย ลืมพี่จั๋วะไปเลยอ่ะ แบบพระเอกเยอะจนแบ่งใจไม่ทั่วถึงเลย +55 ผกก.อย่าลืมพาพี่จั๋วะมาคืนแม่นางหลินนะก๊ะ ไม่คืนไม่ยอมด้วย

ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิ๊นนนพี่จั๋วะ

 

โดย: หลินอี้ 7 ตุลาคม 2555 21:32:32 น.  

 

แม่นางหลินคิดถึงพี่จั๋วม๊ากเลย

 

โดย: หลินอี้ 7 ตุลาคม 2555 21:33:26 น.  

 

โอเคค่ะแล้วจะจัดฉากหวีตหวานให้เส่เยี่ยหลังจากตกระกำลำบากมานานนะคะ

เรื่องนี้พระเอกเยอะจริงๆ อ่ะค่ะ แต่นางเอกสิขาดแคลน ใครจะสมัครดามใจพระเอกที่เหลืออยู่บอกได้นะคะ ผกก.จององครักษ์เหอคนแรกเลย แบบว่าชอบมาก ดุดี โหะๆ

 

โดย: realtomtam 8 ตุลาคม 2555 11:55:16 น.  

 


ขอสละการดามใจพระเอกค่ะ อยากทุ่มเทปกป้องแม่นางเส่เยี่ย

อยากเป็นเพื่อนกะเส่เยี่ย ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่อยู่ด้วยทางสะดวกเลย


อ้อนวอนผู้กำกับ ช่วยเขียนบทให้ซูโหย่วได้เป็นเพื่อนสนิทกับเส่เยี่ยด้วยนะคะ

 

โดย: O-yohyo 10 ตุลาคม 2555 6:25:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


realtomtam
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add realtomtam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.