แฟนฟิคชั่น : กระบี่สะท้านฟ้า ราชาสะท้านแผ่นดิน (The Hero & The King)
Group Blog
 
<<
กันยายน 2560
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
29 กันยายน 2560
 
All Blogs
 
กระบี่สะท้านฟ้าฯ ตอนที่ 40 กลับวังหลวง

เรื่องย่อ

องค์ชายฝาแฝดสองคน ถูกแยกกันตั้งแต่เด็ก คนหนึ่งต่อมาคือ “ฮ่องเต้คังซื่อ” ฮ่องเต้หนุ่มผู้มีจิตใจเมตตา ครองราชย์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย เมื่อเติบโตขึ้นกลับไม่ได้รับอำนาจที่แท้จริงในการบริหาร บ้านเมืองถูกกุมอำนาจโดยขุนนางกังฉินชื่อ “อ๋าวไป้

ฝาแฝดอีกคน “ชีเส้าเฟย” รู้แค่ว่าตนเองกำพร้า เติบโตมาในค่ายทหารของแม่ทัพผู้เป็นตงฉิน “แม่ทัพหลินเซียง” ในวัยเด็กเพราะชีเส้าเฟยเคยให้การช่วยเหลือชาวยุทธ์ที่เป็นกบฏคนหนึ่ง เขาจึงถูกเนรเทศออกจากค่ายทหาร แต่ด้วยจิตใจยึดมั่นและมีแม่ทัพหลินเซียงเป็นแบบอย่าง เขาและพี่น้องชาวยุทธ์ได้ก่อตั้งค่ายเหลียนอิ๋นเพื่อต่อต้านการรุกรานจากต้าเหลียว

ค่ายเหลียนอิ๋นมีชีเส้าเฟยเป็นหัวหน้าใหญ่ ฉายาเทพมังกร กงซุนเช่อผู้รอบรู้ เป็นกุนซือและนักวางแผน อ้อมหมิงเจิ้งฉายาขงเบ้งชุดแดง สตรีผู้เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ และลู่เสี่ยวฟง คุณชายขี้เล่น ผู้มีทักษะยุทธและวิชาตัวเบาอันไร้เทียมทาน ค่ายเหลียนอิ๋นเป็นที่รักของชาวบ้าน เป็นที่เกรงข้ามของศัตรู ในขณะเดียวกันพวกเขาก็เป็นหนามยอกอกของขุนนางกังฉิน อ๋าวไป้อาศัยราชโองการบังหน้า ใส่ร้ายว่าค่ายเหลียนอิ๋นเป็นกบฏ ทำให้ชีเส้าเฟยและราชสำนักต้องบาดหมางกัน

ชาวยุทธ์ที่ชีเส้าเฟยเคยช่วยเหลือในวัยเด็ก แท้จริงแล้วคือยอดกระบี่อันดับหนึ่งนามว่า “ซุนซิ่ง” มีบุตรสาวนามว่า “ซุนเส่เยี่ย” ซุนซิ่งได้ถ่ายทอดวรยุทธ์และมอบกระบี่นี่สุ่ยหานให้ชีเส้าเฟย 14 ปีต่อมา ชีเส้าเฟยบังเอิญได้พบเส่เยี่ยอีกครั้ง เคราะห์ร้ายที่ซุนซิ่งเสียชีวิต และเส่เยี่ยต้องสูญเสียดวงตาสองข้างจากอุบัติเหตุ ชีเส้าเฟยจึงรับดูแลนางจนเกิดเป็นความรัก แต่เพราะที่ค่ายเหลียนอิ๋นเกิดเรื่อง เขาจึงจำต้องแยกจากหญิงสาว

ต่อมาเส่เยี่ยบังเอิญได้พบกับฮ่องเต้คังซื่อ เพราะเส่เยี่ยหน้าตาเหมือนหญิงสาวที่คังซื่อรักมาก ชายหนุ่มจึงปักใจรักเส่เยี่ยตั้งแต่แรกพบ และพานางเข้าวังหลวง เมื่อชีเส้าเฟยรู้เรื่อง จึงไปชิงตัวเส่เยี่ยออกมา ทำให้เกิดเป็นความบาดหมาง ทั้งปม “ความรัก” และ “ความแค้น” ที่ยากจะคลี่คลาย

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ตอนที่ 40 กลับวังหลวง

หลังจากการศึกสิ้นสุดลง ราชบุตรเขยต้วนฟู่ก็ขอลาไทเฮากับองค์รัชทายาทกลับเมืองฟุเจี้ยน ชีเส้าเฟยอยากจะรั้งชายหนุ่มไว้ อย่างน้อยก็เพื่อเลี้ยงรับรองแสดงความขอบคุณเขา แต่พอต้วนฟู่กล่าวอย่างเขินอายว่ามีข่าวดีจากบ้านเกิด เขาอาจจะได้เป็นพ่อคนเร็วๆ นี้ ชีเส้าเฟยจึงไม่รั้งราชบุตรเขยอีกต่อไป ชายหนุ่มได้แต่กล่าวคำยินดีและสัญญาว่าวันหนึ่งจะต้องไปขอบคุณท่านอ๋องและชาวฟุเจี้ยนด้วยตนเอง

จากนั้นไทเฮาก็มีรับสั่งให้ชีเส้าเฟยเร่งจัดทัพกลับเมืองหลวง ราชบัลลังก์และวังหลวงไม่ควรปล่อยให้ว่างเว้นเจ้านายนานเกินไป หากคนของอ๋าวไป้หรือผู้ไม่หวังดีคิดก่อความไม่สงบซ้ำสอง จะไม่เป็นผลดีกับบ้านเมือง ทุกคนต่างเห็นด้วย แต่ชีเส้าเฟยยังมีความกังวลใจอยู่เรื่องหนึ่ง ‘แล้วเรื่องรักษาคังซื่อจะทำอย่างไร’

กงซุนเช่อเห็นหัวหน้าใหญ่ของตนกังวลเช่นนั้น จึงเสนอให้เปลี่ยนค่ายทหารแห่งนี้เป็นตำหนักให้ฮ่องเต้รักษาตัว เนื่องจากอาการของฮ่องเต้ไม่คงที่ หากต้องเดินทางไกลอาจจะมีผลกับการรักษาได้ ไทเฮาและบรรดาขุนนางต่างเห็นชอบกับความคิดนี้ หากแต่ชีเส้าเฟยก็ยังมีความกังวลอยู่อีกเรื่อง ‘แล้วใครจะเป็นผู้เดินลมปราณให้คังซื่อ’

องครักษ์เหอจึงได้เสนอตัวขึ้น แต่ถึงอย่างไรชีเส้าเฟยก็ไม่อาจวางใจ มีองครักษ์เหอแค่คนเดียว หากเขาเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ใครจะรักษาฮ่องเต้แทนได้

ระหว่างนั้น ก็มีเสียงเอะอะโวยวายเหมือนคนกำลังไล่จับกันอยู่ด้านนอก ครู่หนึ่งจิวแปะทงก็เดินหัวเราะร่าเข้ามาในโถงที่ทุกคนกำลังประชุมกันอยู่
“อาจารย์ปู่นี่ท่านไม่ได้รักษาฮ่องเต้อยู่งั้นหรือ” ชีเส้าเฟยเอ่ยถามขึ้น
“เสร็จแล้ว” คนเป็นอาจารย์ตอบเหมือนไม่ใส่ใจ
“ทำไมถึงได้เร็วเช่นนี้” กงซุนเช่อขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางยกนิ้วขึ้นมาคำนวน ตอนนั้นที่ชีเส้าเฟยกับองครักษ์เหอเดินลมปราณให้ฮ่องเต้ใช้เวลาอย่างน้อยก็หนึ่งชั่วยามแล้ว หรือว่าพลังวัตรของจิวแปะทงคนนี้จะเหนือกว่าทั้งสองคนรวมกันเสียอีก

กงซุนเช่อหันมามองหน้าชีเส้าเฟยด้วยความสงสัย จากนั้น ก็ขอตัวไปดูอาการของฮ่องเต้ พอคนอื่นทำท่าจะเดินตามไปด้วย กงซุนก็รีบกล่าวอย่างเกรงใจว่า อย่ายกกันไปหมดนี้เลย เขาขอไปดูครู่เดียว เดี๋ยวจะกลับมารายงานให้ทุกคนทราบเอง

ทุกคนต่างรอฟังข่าวอย่างจดจ่อ ครู่หนึ่ง กงซุนเช่อก็เดินกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขาพยักหน้าให้ชีเส้าเฟย ชีเส้าเฟยเข้าใจทันทีว่าอาการคังซื่อน่าจะเป็นปรกติแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วง แล้วกงซุนเช่อก็เดินมากล่าวกับจิวแปะทง
“ไม่นึกเลยว่าในแผ่นดินนี้จะมีผู้ที่มีพลังวัตรสูงเพียงนี้”

จิวแปะทงได้ยินคำกล่าวชมแล้วก็รู้สึกตัวลอยหน่อยๆ แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก วันๆ เขาเพียงอยากจะเล่นสนุกเท่านั้น
“คนข้าก็รักษาให้แล้ว แล้วไหนนังหนูบอกว่าจะทำขนมบัวลอยให้ข้ากินไง เมื่อไหร่ข้าถึงจะได้กินขนมของศิษย์หลานสะใภ้หล่ะเนี่ย” ถามใครไม่ถาม จิวแปะทงดันเดินเข้าไปถามต่อหน้าชีเส้าเฟย ทำให้ทุกคนจ้องมาที่เขาเป็นทางเดียว ชีเส้าเฟยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ระหว่างนั้นเอง ก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นจากด้านนอก
“ฮูหยินเจ้าคะ.. ฮูหยินรอด้วย...” เสียงนางกำนัลสองคนตะโกนเหมือนกำลังวิ่งตามใครบางคน

ครู่หนึ่งเจ้าหยาจือก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในห้องโถง ท่าทางของนางตื่นตระหนก ใบหน้าอาบไปด้วยคราบน้ำตา เมื่อเห็นอ๋องถูจิ้น นางก็ตรงเข้าไปหาผู้เป็นสามีทันที
“ท่านพี่...” เจ้าหยาจือเรียกผู้เป็นสามีด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พอเห็นไทเฮากับชีเส้าเฟยยืนอยู่ด้วย นางก็รีบคุกเข่าลงหน้าคนทั้งสอง
“ถูฮูหยินเกิดอะไรขึ้น” ไทเฮาถามน้ำเสียงเรียบ
“เส่เยี่ย... เส่เยี่ยหายไปเพคะ...” เจ้าหยาจือตอบไปสะอื้นไป

ชีเส้าเฟยพอได้ยินชื่อเส่เยี่ย ก็ตาลุกโพรง ขาของเขาขยับเตรียมก้าวออกไปจากห้องโถงทันที แต่ถูกไทเฮารั้งแขนเสื้อเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนรัชทายาท” ไทเฮาเรียกเขา แล้วนางก็หันมาพูดกับเจ้าหยาจือต่อ
“ถูฮูหยิน ไหนเจ้าลองพูดมาให้ชัดเจนซิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

เจ้าหยาจือทำท่าจะตอบแต่ก็อึกอักไม่กล้าพูด ได้แต่มองหน้าอ๋องถูจิ้น น้ำตายังคงไหลไม่หยุด
“ท่านพี่ นางรู้ความจริงแล้ว” เจ้าหยาจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วกับผู้เป็นสามี อ๋องถูจิ้นพยักหน้าเข้าใจทันที แล้วก็คุกเข่าลงหน้าไทเฮาอีกคน

“ไทเฮาโปรดทรงอภัย ความจริงแล้ว... เส่เยี่ย... นางเป็น...” อ๋องถูจิ้นพูดยังไม่ทันจบ ไทเฮาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เอาหล่ะๆ ท่านอ๋อง ข้าได้ยินที่อ๋าวไป้พูดหมดแล้ว แสดงว่าเรื่องพวกนั้นเป็นความจริง” อ๋องถูจิ้นพยักหน้ารับ
“หากจะทรงลงอาญา หม่อมฉันขอรับโทษไว้เพียงผู้เดียว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับปิงเยี่ย เส่เยี่ยหรือว่าฮูหยินเลย” อ๋องถูจิ้นกล่าว
“เฮ้อ...” ไทเฮาถอนหายใจยาว เรื่องหนึ่งเพิ่งจบไป ก็มีเรื่องใหม่เข้ามาอีกแล้ว
“ตอนนี้หาคนสำคัญกว่า พวกเจ้าก็รีบไปหานางเถิด เรื่องอื่นค่อยมาว่ากัน” ว่าแล้วไทเฮาก็ประคองให้สองสามีภรรยาลุกขึ้น

“เสด็จแม่ หม่อมฉันขอไปช่วยตามหานางด้วย” ชีเส้าเฟยรีบขออนุญาตไทเฮา

ไทเฮามองบุตรชายแล้วก็ถอนใจในลำคอ คนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างนาง ก็มั่นใจไปแล้วแปดเก้าส่วนว่าบุตรชายคงมีใจให้แม่นางเส่เยี่ยแน่ๆ แต่สิ่งที่ทำให้นางไม่สบายใจไปกว่านั้นก็คือ ถ้าคังซื่อฝืนขึ้นมาจริงๆ เรื่องพวกนี้จะแก้ไขได้อย่างไร

“ไปเถอะ” ไทเฮาผายมือเป็นการอนุญาต ทุกคนจึงออกจากห้องโถงไป

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เจ้าหยาจือไล่สอบถามบ่าวไพร่ทั่วค่ายว่ามีใครเห็นเส่เยี่ยหรือไม่ ส่วนอ๋องถูจิ้นก็พาทหารตามหาหญิงสาวรอบๆ ค่าย

ชีเส้าเฟยสงสัยว่าเส่เยี่ยอาจจะคิดกลับไปที่หมู่บ้านหลิว วิชาตัวเบาของหญิงสาวไม่เข็งแกร่ง นางคงยังไปได้ไม่ไกล หากเร่งฝีเท้าสักหน่อย เขาต้องตามทันอย่างแน่นอน

ทว่าก่อนจะก้าวขาออกไป ชายหนุ่มรู้สึกเอะใจ จึงเดินไปทางห้องนอนของหญิงสาวก่อน เมื่อไปถึง ปรากฏว่าข้าวของของนางก็ยังอยู่ครบทุกอย่าง ‘แล้วนางหายไปไหนกัน’

ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่หน้าห้องบรรทมของคังซื่อแล้ว เหมือนมีบางอย่างดลใจ ชายหนุ่มจึงหยุดอยู่ที่หน้าประตูนั้น ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังร้องไห้ดังมาจากในห้อง

เมื่อชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไป ก็พบคนที่กำลังตามหาอยู่

เส่เยี่ยนั่งฟุบอยู่ข้างคังซื่อ สภาพเศร้าสร้อย ใบหน้าก็เต็มไปด้วยน้ำตา

แม้จะรู้แล้วว่ามีคนเข้ามา แต่จิตใจของนางตอนนี้มันอ่อนล้าเหลือเกิน ไม่อยากจะยินดียินร้ายอะไรอีกแล้ว หญิงสาวเอาแต่จ้องไปที่คังซื่อซึ่งกำลังหลับอยู่อย่างสงบ

ชีเส้าเฟยแม้จะรู้ไม่เรื่องราวทั้งหมด แต่ดูจากใบหน้าที่สิ้นหวังของคนรัก ก็พอเดาได้ว่านางกำลังเสียใจมากแค่ไหน ชายหนุ่มปิดประตูอย่างเบามือ ก่อนจะเดินมานั่งเงียบๆ อยู่ข้างหญิงสาว

บรรยากาศในห้องพลันเงียบงัน

ภาพในอดีตถาโถมเข้าสู่จิตใจของเส่เยี่ยราวกับมีดหลายร้อยเล่ม ผู้ที่ใส่ร้ายครอบครัวของนาง ผู้ที่ฆ่าบิดา ผู้ที่แย่งชิงมารดาของนาง ต่างก็คือคนของราชสำนักทั้งนั้น บุญคุณ หนี้แค้น เรื่องทั้งหมดเหล่านี้ นางควรสะสางอย่างไร ‘สวรรค์ทำไมท่านถึงได้เล่นตลกกับข้าเช่นนี้’

โดยปราศจากคำพูดใดๆ ชีเส้าเฟยจ้องมองใบหน้าหญิงสาวด้วยความสงสาร ก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มชมพูของนาง ‘เจ้าคงสับสนมาก’ เขาคิด

เส่เยี่ยหันไปมองเจ้าของมือกร้านนั้น เมื่อปะทะกับสายตากับอีกฝ่าย จิตใจที่เคว้งคว้างของหญิงสาวก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นเล็กน้อย สายตาของชีเส้าเฟยที่มอบให้นางเวลานี้ ช่างอบอุ่นและอ่อนโยน แม้เขาไม่ได้เอ่ยปากใดๆ แต่สายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกห่วงใย ‘ยังมีท่านอีกคนใช่ไหมที่จริงใจต่อข้า’

“ท่านลุง ข้าควรทำเช่นไรดี” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงเคว้งคว้าง

“เจ้าหมายถึงเรื่องถูฮูหยินหรือ” ชายหนุ่มถามกลับด้วยเสียงนุ่ม

หญิงสาวก็พยักหน้าให้เขา

“นางดีต่อเจ้าหรือไม่” ชีเส้าเฟยถาม หญิงสาวก็พยักหน้า

“แล้วเจ้าห่วงใยนางหรือไม่” ชีเส้าเฟยถามต่อ

“ข้า...”

เส่เยี่ยไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร ความจริงก่อนหน้านี้เจ้าหยาจือดีกับนางมาก เพียงแต่หญิงสาวไม่เคยรู้มาก่อนว่าแท้จริงแล้ว เจ้าหยาจือเป็นมารดาของนางเอง

“ในเมื่อนางดีต่อเจ้า แล้วเจ้าก็ห่วงใยนาง เจ้าควรทำอย่างไรต่อไป ในใจเจ้าคงรู้อยู่แล้ว” ชีเส้าเฟยตอบ

“ท่านไม่เข้าใจข้าหรอก” หญิงสาวส่ายหน้า ในใจเต็มไปด้วยความสับสน

“ทำไมถึงคิดว่าข้าไม่เข้าใจหล่ะ”

เส่เยี่ยกำลังจะอ้าปากเถียงอีกฝ่าย แต่พอนึกขึ้นได้ก็รั้งปากตนเองไว้

ชีวิตของชีเส้าเฟยนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากนางเลย เขาเข้าใจว่าตนเองกำพร้าตั้งแต่เด็ก ซ้ำร้ายยังถูกใส่ความว่าเป็นโจรขายชาติ ถูกราชสำนักตามล่า สุดท้ายกลายเป็นว่า ไทเฮาเป็นมารดาของเขา ฮ่องเต้เป็นน้องชายของเขา ความอึดอัดใจของชีเส้าเฟยคงไม่แตกต่างจากความรู้สึกของนางในเวลานี้

“ท่านทำอย่างไร ถึงยอมรับไทเฮาได้” เส่เยี่ยเอ่ยถามขึ้น

ชีเส้าเฟยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบหญิงสาว

“ข้าหาได้ทำอะไรไม่ แต่เป็นความดีของนางต่างหากที่ทำให้ข้าไม่อาจจะปฏิเสธได้”

“เรื่องราวในอดีตจะโทษใครได้ ตอนนั้นทุกคนต่างก็มีความจำเป็น” ชีเส้าเฟยอธิบาย

เรื่องระหว่างอ๋องถูจิ้นกับเจ้าหยาจือนั้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ตอนนั้นครอบครัวของนางตกเป็นเป้าหมายของราชสำนัก หากไม่ได้อ๋องถูจิ้นช่วยเหลือ ไม่แน่ว่ามารดาของนางอาจไม่มีชีวิตรอดถึงทุกวันนี้

“ตอนนั้นนางก็คงมีความจำเป็นเหมือนกันสินะ” เส่เยี่ยนึกถึงเจ้าหยาจือ

“เส่เยี่ย” ชีเส้าเฟยเรียกหญิงสาว ก่อนจะเอามือข้างหนึ่ง ปลดจี้หยกสีส้มที่เอวแล้วส่งให้นาง

“แม้ว่าเจ้าจะไม่ยอมรับถูฮูหยิน แต่ใจของนางไม่เคยไม่ยอมรับเจ้า เพียงแต่นางไม่อาจเปิดเผยสถานะได้ นางเลือกที่จะแบกรับความเจ็บปวดเอาไว้เอง เพื่อจะปกป้องทุกคน เพราะหากคนอื่นรู้สถานะที่แท้จริงของพวกเจ้าแล้ว ไม่เพียงแต่ท่านอ๋องจะมีความผิด ทั้งองค์หญิงปิงเยี่ย และเจ้าเองก็อาจจะต้องเดือดร้อนไปด้วย แต่เมื่อครู่นี้ พอรู้ว่าเจ้าหายตัวไป นางยอมทูลความจริงกับเสด็จแม่ อาจต้องถูกลงโทษที่หลอกลวงเบื้องสูง แต่นางก็ยอม ทั้งหมดนี้ขอเพียงให้เจ้าปลอดภัย... เส่เยี่ย ถูฮูหยินเป็นห่วงเจ้ามากนะ” เขากล่าว

เส่เยี่ยก้มลงมองจี้หยกด้วยความรู้สึกสับสน ความจริงถูฮูหยินดีกับนางมากจริงๆ ตลอดเวลาที่อยู่วังหลวง หากไม่ได้เจ้าหยาจือคอยดูแล คนตาบอดอย่างนางอาจต้องใช้ชีวิตยากลำบากกว่านี้ แม้หญิงสาวจะเอาแต่ใจเพียงใด เจ้าหยาจือก็ไม่เคยตำหนินางแม้แต่คำเดียว ตอนนี้เพราะนางก่อเรื่องแท้ๆ ทำให้สถานะของพวกเขาถูกเปิดเผย ไม่แน่ว่าเจ้าหยาจืออาจจะต้องถูกลงโทษ จะว่าไปแล้ว เจ้าหยาจือเป็นมารดาที่ดี ดีมากกว่าที่หญิงสาวเคยวาดฝันไว้เสียอีก แต่เป็นนางต่างหากที่ใช้อารมณ์ของตนมองข้ามความจริงข้อนี้ไป

“ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง” เส่เยี่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“ถูฮูหยินกับท่านอ๋อง ออกตามหาเจ้าไปทั่ว ที่ข้าเห็นคือ แม้ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แม้ในใจจะเสียใจเพียงไหน แต่นางก็พยายามตั้งสติ ไล่ถามบ่าวไพร่ทุกคนว่ามีใครเห็นเจ้าบ้าง”

เส่เยี่ยฟังคำพูดของชีเส้าเฟยแล้วก็ก้มลงมองหยกด้วยความรู้สึกผิด

“นี่นางเป็นห่วงข้าขนาดนี้เลยหรือ”

หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ดูเหมือนการได้พูดกับชีเส้าเฟย จะทำให้นางคิดอะไรได้หลายเรื่อง

“เจ้ารู้สึกดีขึ้นหรือยัง”

เส่เยี่ยมองเขานิดนึงก่อนจะพยักหน้าให้

“นี่เราก็หายกันมานานแล้ว พวกเราออกไปกันเถิด”

เส่เยี่ยพยักหน้า ก่อนจะเท้าแขนข้างหนึ่งเพื่อลุกขึ้น แต่ขาของนางชาเสียแล้ว ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปช่วยประคองหญิงสาวและพานางเดินออกมาจากห้อง

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ชีเส้าเฟยและเส่เยี่ยออกจากห้องบรรทมของฮ่องเต้แล้ว ก็เดินมาจนถึงหน้าห้องโถง เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าหยาจือเดินสวนมาพอดี พอนางเห็นเส่เยี่ยเท่านั้น สีหน้าก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก คนเป็นแม่วิ่งเข้ามาสวมกอดบุตรสาวทันที แม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ในที่สุดเส่เยี่ยก็กอดอีกฝ่ายกลับแล้วกล่าวขอโทษนาง เจ้ายาจือรีบส่ายหน้าแล้วพูดแต่ว่า ‘ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร’ สองแม่ลูกกอดกันแล้วก็พากันร้องไห้ ชีเส้าเฟยกับอ๋องถูจิ้นเพียงยืนดูอยู่ห่างๆ ปล่อยให้ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกัน

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เช้านี้ทุกคนวุ่นวายกับการเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวง ต่อไปตำหนักแห่งนี้จะเหลือเพียง กงซุนเช่อ ฮองเฮา องครักษ์เหอ และจิวแปะทงเท่านั้นที่จะอยู่เพื่อรักษาอาการของฮ่องเต้

ระหว่าที่ไทเฮากำลังจะออกจากห้อง เส่เยี่ยก็เข้ามา แล้วก้มลงคาราวะนาง
“เรียนไทเฮา หม่อมฉันมีเรื่องขอประทานอนุญาตเพคะ”

ไทเฮามองหน้าหญิงสาวแล้วเลิกคิ้วด้วยความสงสัย คนเป็นนายมองไปที่อ๋องถูจิ้นกับเจ้าหยาจือ เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีท่าทีแปลกใจ แปลว่าคงจะรู้แล้วว่าหญิงสาวจะพูดอะไร

ไทเฮาพยักหน้าและอนุญาตให้เส่เยี่ยพูดได้
“เจ้ามีเรื่องอะไรก็ว่าไป”

“ฮองเฮาอยู่ที่นี่คนเดียวเกรงว่าจะดูแลฮ่องเต้ไม่ไหว หากทรงอนุญาต หม่อมฉันอยากขออยู่ช่วยนางอีกแรงเพคะ” เส่เยี่ยกล่าว

คนของค่ายเหลียนอิ๋นได้ยินเช่นนั้น ก็มองเส่เยี่ยด้วยความไม่เข้าใจและไม่พอใจ หลินกุเหนียงคิ้วขมวดแน่น ‘แม่นางเส่เยี่ยทำไมถึงได้พูดเช่นนี้ ท่านจะอยู่ที่นี่ดูแลฮ่องเต้งั้นหรือ แล้วพี่เส้าเฟยของข้าเล่า’ หญิงสาวคิด

ฝ่ายไทเฮาก็ลอบสังเกตอาการของชีเส้าเฟย แม้ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่งเหมือนปรกติ แต่ทว่าแววตากลับไม่สามารถปิดบังความรู้สึกปั่นป่วนภายในใจได้

หลินกุเหนียงเห็นว่าสถานการณ์แบบนี้ชักไม่เข้าท่าเสียแล้ว จึงพูดแทรกขึ้นมา

“แม่นางเส่เยี่ย ที่นี่คนเยอะแยะแล้ว ท่านอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก ทางวังหลวงกำลังวุ่นวาย รัชทายาทยังต้องการคนช่วยงานอีกเยอะนะ ข้าว่าท่านกลับวังหลวงด้วยกันดีกว่านะ นะๆๆ” หลินกุเหนียงเดินเข้าไปเกาะแขนเส่เยี่ย พร้อมกับกระพริบตาให้นางปริบๆ เหมือนไม่อยากแยกจากเพื่อนที่รู้ใจ

เมื่อเห็นว่าชีเส้าเฟยวางท่านิ่งเฉยอยู่ ไทเฮาจึงแกล้งลองใจบุตรชาย ด้วยการเอ็ดใส่หลินกุเหนียง

“เหลวไหล ถึงจะยังไม่ได้แต่งตั้ง แต่เส่เยี่ยก็เป็นว่าที่พระสนมฮ่องเต้ จะให้ติดตามรัชทายาทไปเมืองหลวงได้อย่างไร”

หลินกุเหนียงอ้าปากค้าง เออ... จริงด้วย ตอนนั้นใครๆ ก็รู้ว่าฮ่องเต้จะแต่งตั้งแม่นางเส่เยี่ยเป็นพระสนมนี่หน่า ก็เขาเล่นประกาศปาวๆ แบบนั้นโอ๊ย... แล้วแบบนี้พี่เส้าเฟยจะได้สมหวังไหมเนี่ย

“แม่นางหลิน ข้าเต็มใจอยู่ที่นี่ ท่านอย่าได้คิดมากเลย รีบออกเดินทางเถิด” เส่เยี่ยยิ้มให้หลินกุเหนียง ความหวังดีของอีกฝ่าย นางขอรับไว้ด้วยใจ แต่นางตัดสินใจแล้วว่า จะดูแลคังซื่ออยู่ที่นี่ เพราะนางรู้สึกติดค้างเขามากเหลือเกิน ส่วนชีเส้าเฟย คงทำได้แค่เพียงเก็บเขาไว้ในใจ ชายหนุ่มมีความรับผิดชอบมากมายอยู่ข้างหน้า นางจะไปเป็นตัวถ่วงเขาอีกต่อไป แค่ครั้งหนึ่งเคยได้รัก ก็เพียงพอแล้ว แบบนี้น่าจะดีกับทุกฝ่ายที่สุด

หลินกุเหนียงทำหน้าเบ้ ในเมื่อทั้งแม่นางเส่เยี่ยและไทเฮาต่างเห็นไปทางเดียวกัน แถมพี่เส้าเฟยก็ไม่ยอมปริปากอะไรแบบนี้ แล้วคนนอกอย่างนางจะไปทำอะไรได้ หญิงสาวจึงค่อยๆ เดินถอยครูดออกมา

“แม่นางเส่เยี่ยง ข้าฝากฮ่องเต้ด้วยนะ” ไทเฮากล่าว หญิงสาวก็ก้มหน้ารับคำสั่ง จากนั้น ไทเฮาก็สั่งให้ทุกคนไปเตรียมตัว เพื่อเดินทางกลับเมืองหลวง

ทว่า ไทเฮายังเรียกคนผู้หนึ่งไว้
“แม่นางหลินช้าก่อน ข้ามีเรื่องอยากคุยด้วย”

“หม่อมฉันเหรอเพคะ!” หลินกุเหนียงหันขวับ แล้วชี้หน้าตัวเองแบบงงๆ ไทเฮาจะคุยอะไรกับนางกัน! ไม่นะ! นี่คงไม่ได้คิดจะให้นางเป็นเจ้าจอม อยู่ที่นี่กับฮ่องเต้อีกคนหรอกนะ

หลินเซียงได้ยินดังนั้นก็ใจหายวาบ เขาไม่รู้หรอกว่าหลินกุเหนียงไปก่อเรื่องอะไรไว้อีก แต่ก็ต้องออกรับแทนบุตรสาวจอมแก่นแก้วของเขาไว้ก่อน
“ไทเฮา บุตรสาวหม่อมฉันเติบโตในค่ายทหาร อาจจะทำอะไรผิดแผกไปบ้าง ขอทรงลงพระอาญาสถานเบาด้วยพะย่ะค่ะ”

ไทเฮาได้ฟังแล้วก็หัวเราะเบาๆ
“อย่าห่วงเลยท่านแม่ทัพ ข้าเพียงมีเรื่องปรึกษานางเท่านั้น บุตรสาวท่านหาได้ทำอะไรผิดไม่”

หลินเซียงได้ยินดังนั้นก็ค่อยคลายความกังวลใจ จึงได้ลาไทเฮาออกไปเตรียมตัวเดินทาง

“ปรึกษาข้างั้นหรือ!” หลินกุเหนียงพูดกับตัวเองหน้าตาตื่น นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าไทเฮาจะปรึกษานางเรื่องอะไร

เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว ไทเฮาจึงพูดกับหลินกุเหนียง
“เอาหล่ะแม่นางหลินข้าจะไม่อ้อมค้อมนะ เจ้ากับแม่นางเส่เยี่ยสนิทกันไม่น้อย แล้วเจ้ายังเติบโตมากับชีเส้าเฟยตั้งแต่เล็ก ข้าอยากรู้จากเจ้าว่าเรื่องระหว่างพวกเขาเป็นอย่างไรกันแน่”
“เดี๋ยว... เดี๋ยวนะเพคะ ทรงอยากรู้เรื่องแม่นางเส่เยี่ยกับรัชทายาทงั้นหรือ” หญิงสาวทวนคำถาม นี่นางฟังไม่ผิดใช่ไหมเนี่ย
“ใช่ ข้าอยากรู้เรื่องพวกเขา” ไทเฮาย้ำ

อะไรกัน ไทเฮาอยากรู้เรื่องพวกเขา แล้วมาถามนางทำไมกัน
“หา... เอ่อ... คือ... เช่นนั้นทำไมพระองค์ถึงไม่ไปถามพวกเขาหล่ะเพคะ” หลินกุเหนียงถามกลับ แต่ใบหน้าคนถามตอนนี้ซีดเผือด หยอกย้อนไปแบบนี้ จะรอดจากการโดนโบยไหม หลินกุเหนียงเอ๋ย...

“แล้วเจ้าคิดว่าพวกเขาจะตอบข้าตามความเป็นจริงหรือ” ทีนี้ไทเฮาถามนางกลับบ้าง

หลินกุเหนียงได้ยินคำถามแล้วก็ส่ายหน้า ทั้งชีเส้าเฟยกับเส่เยี่ยต่างก็เป็นคนปากแข็งทั้งคู่ ต่อให้ไทเฮาทรงถามด้วยองค์เอง พวกเขาก็ไม่พูดความจริงอยู่แล้ว
“ดี งั้นเจ้าก็จงเล่าความจริงมาให้ข้าฟังเถิด”

“จะว่าไปแล้ว... หม่อมฉันก็ไม่ได้สนิทกับพวกเขามากนัก อันที่จริงไทเฮาไปถามแม่นางอ้อมหรือคุณชายลู่น่าจะรู้รายละเอียดมากกว่านะเพคะ” หลินกุเหนียงพยายามปัดเรื่องออกไปให้พ้นตัว ขืนพูดความจริงไป ไม่แน่ไทเฮาอาจจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาก็ได้

หึๆ ไทเฮาหัวเราะในลำคอ
“ทั้งแม่นางอ้อมและคุณชายลู่ ต่างก็เคารพชีเส้าเฟยขนาดนั้น ในเมื่อหัวหน้าใหญ่เขาไม่พูด เจ้าว่ามีหรือพวกเขาจะยอมพูด”

‘มันก็จริง’ หลินกุเหนียงพยักหน้า มิน่าเล่าไทเฮาถึงได้เลือกถามนาง

เมื่อคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวก็สูดหายใจเข้าลึก

เอา... เป็นไงเป็นกัน ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายนิ ไม่แน่ว่าไทเฮารู้ความจริงแล้ว อาจจะทรงเมตตา ช่วยให้พี่เส้าเฟยกับแม่นางเส่เยี่ยได้สมหวังก็ได้

แล้วหลินกุเหนียงก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ไทเฮาฟัง นางเล่าทุกอย่างโดยละเอียด ไทเฮาได้ฟังแล้วก็ตาโตด้วยความแปลกใจอยู่หลายครั้ง

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ข้าเกือบจะจับคู่ผิดเสียแล้ว” ไทเฮากล่าวขึ้น

“แล้วไทเฮาจะทรงช่วยให้รัชทายาทได้สมหวังไหมเพคะ” หลินกุเหนียงถาม แววตามีความหวังเอามากๆ ถ้าได้ไทเฮาช่วยอีกคน แผนประสานหัวใจของนางต้องสำเร็จแน่ๆ

อีกฝ่ายเงียบไปครู่ใหญ่ ความจริงนางไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนี้ก็ได้ แต่ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจของหญิงสาว ไทเฮาจึงตรัสกับนางว่า

“เรื่องความรักหนุ่มสาว ก็แล้วแต่พวกเขาเถิด ข้าขอไม่ยุ่งเกี่ยวจะดีกว่า”

ไทเฮาตอบสั้นๆ ก่อนจะเดินจากไป

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


Song : To Be Number One OST (一生豪情一次)
By : Julian Cheung ChiLam



Create Date : 29 กันยายน 2560
Last Update : 28 มิถุนายน 2561 16:39:29 น. 0 comments
Counter : 2883 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

realtomtam
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add realtomtam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.