ความทรงจำเก่า ๆ ก่อนจะลืมเลือนหายไปกับกาลเวลา
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2558
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
10 กุมภาพันธ์ 2558
 
All Blogs
 

กระเป๋าหายที่สถานีรถไฟหัวลำโพง

หลายปีก่อนในช่วงที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่ ๆ
ได้เดินทางไปมาระหว่างหาดใหญ่ กรุงเทพฯ
เพื่อสมัครหางานทำเพราะไม่อยากหางานทำที่บ้านเกิด
รวมทั้งงานการก็หายากมากในยุคนั้น
กอปรกับยังลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
เหลืออีกเพียงไม่กี่หน่วยกิตก็จะจบแล้ว
จึงต้องขึ้นไปสอบที่กรุงเทพ ฯ ในบางเดือน
โดยพักอาศัยกับเพื่อนที่ทำงานแล้วอยู่ที่กรุงเทพ ฯ

ในวันนั้นหลังจากซื้อตั๋วรถไฟแล้ว
พอขึ้นขบวนรถชั้นสาม(ยังไม่มีรถไฟฟรี)
รถไฟเที่ยวบ่ายสองโมงออกจากสถานีรถไฟ
พอวางกระเป๋าเสื้อผ้าบนราววางกระเป๋า
ข้างในกระเป๋านอกจากเสื้อผ้าแล้ว
ยังมีเอกสารทางราชการประเภทต่าง ๆ
เช่น สำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน ใบทหารของตนเอง
กับสำเนาเอกสารเบ็ดเตล็ด ประเภททะเบียนบ้าน
สำเนาใบสูติบัตรที่ถ่ายเอกสารของพี่น้องที่นำติดตัวมาด้วย
จำไม่ได้เหมือนกันว่านำขึ้นไปทำไมในตอนนั้น
หรือให้ลงลายมือชื่อกำกับสำเนาถูกต้อง
รถไฟต้องรออีกประมาณเกือบชั่วโมงจึงจะได้เวลาออก
เลยมักง่ายเดินลงไปว่าจะซื้อหนังสือพิมพ์สักฉบับ
เพราะเห็นมีคนประมาณสามสี่คนนั่งอยู่ในขบวนรถแล้ว

หลังจากซื้อหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์มติชนเสร็จ
ขึ้นมาไม่เห็นกระเป๋าเดินทางแล้ว
ใจหายหมดเลยไม่รุ้จะทำอะไร
คิดได้แต่อย่างเดียวว่าจะต้องรีบไปแจ้งความ
หรือลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ
เพราะอ่านหนังสือพิมพ์มีข่าวว่า
มีการขโมยขึ้นบ้านพักหลังหนึ่งในกรุงเทพฯ
แล้วมีบัตรประชาชนเป็นของนักศึกษารามคำแหง
ตกหล่นอยู่ใกล้บริเวณบ้านพักหลังนั้น
ตำรวจเรียกตัวไปสอบสวนและบีบบังคับให้สารภาพ
กว่าจะจับโจรผู้ร้ายได้จริง
นักศึกษารายนั้นก็อ่วมอรทัยไปแล้ว

พอดีเจอผู้หญิงสองคนนั่งอยู่ในขบวนเดียวกัน
สอบถามว่าจะลงที่หาดใหญ่เช่นกัน
เลยเขียนข้อความว่าลงในหนังสือมติชนว่า
กระเป๋าหายจะลงไปในวันรุ่งขึ้น
เพราะต้องไปแจ้งความก่อน
แล้วฝากเธอช่วยไปส่งทีบ้านด้วย
เธอทั้งสองคนก็ไปส่งให้
แต่พอทางบ้านถามก็ไม่รู้รายละเอียดมา
ที่ไม่ได้โทรศัพท์ไปบอกตอนนั้น
เพราะเงินทองร่อยหรอมากแล้ว
กับอับอายทางบ้านที่สะเพร่าทำกระเป๋าหาย
กะว่าจะไปบอกด้วยตนเองภายหลัง
รวมทั้งมึนงงทำอะไรไม่ค่อยถูกแบบว่าตกใจ
ต้องขอบคุณสองสาวชาวใต้ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
จำหน้าจำตาเธอทั้งสองคนไม่ได้เลย
เพราะฉุกละหุกและหลายปีแล้ว

หลังจากนั้นรีบเดินไปที่สถานีตำรวจหัวลำโพง
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับแจ้งความหรือลงบันทึกประจำวัน
บอกว่าให้ไปซื้ออากรสแตมป์มาปิดคำร้องก่อนตามกฎหมาย
จึงจะรับแจ้งความหรือลงบันทึกประจำวันให้
พอสอบถามว่าซื้อที่โรงพักมีหรือไม่
ตอบว่าไม่มี  ให้ไปหาซื้อที่อื่นหรือลองไปที่ไปรษณีย์ดูก็แล้วกัน
เลยไปสอบถามที่ไปรษณีย์หัวลำโพง
เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์บอกว่ามี  
เพราะมีเรื่องกระเป๋าหายบ่อยมากที่หัวลำโพง
เลยนำมาสำรองไว้ขายให้กับชาวบ้าน

เลยคาดว่าการที่ตำรวจใช้วิธีการ/เกียร์ว่างในยุคนั้น
โดยอ้างเหตุผลตามกฎหมายในช่วงนั้นว่า
ตามกฎหมายคำร้องทางราชการต้องปิดอากรแสตมป์
น่าจะใช้แบบหลักมาเฟียอิตาลีที่ชอบพูดว่า
การปฏิเสธคนที่ดีที่สุด  คือให้มันปฏิเสธเราเอง
หรือมีเงื่อนไขมาก ๆ จนมันเลิกขอเราไปเอง
หลังจากซื้ออากรสแตมป์เสร็จแล้ว
จึงเดินกลับไปโรงพักแจ้งความอีกครั้ง
ก็ได้รับการแจ้งความตามปรกติ
มีการลงบันทึกประจำวันและมอบสำเนาให้
แต่ต้องเขียนคำร้องด้วยลายมือตนเอง
พร้อมกับมีสำเนาที่มีคาร์บอนลองข้างล่าง
พอเขียนเสร็จปิดอากรแสตมป์
ยื่นให้ตำรวจเสร็จก็จะมีการลงนามโดยร้อยเวร
แต่สังเกตเห็นว่าตำรวจที่รับเรื่องลงนามแทน

พอเสร็จเรื่องที่โรงพักเดินกลับมาที่สถานีรถไฟ
กำลังลังเลใจว่าจะกลับไปหาเพื่อนที่บ้านก่อน
หรือกลับบ้านเลยในวันนั้น
แต่แล้วตัดสินใจว่าจะขอคืนตั๋วโดยสารก่อน
ระหว่างรอคืนตั่วรถไฟใช้เวลานานมาก
เพราะคิวคนรอซื้อตั๋วล่วงหน้ากับคืนตั๋วยาวมาก
เกินกว่าครึ่งชั่วโมงรถไฟก็ออกไปแล้ว
เลยได้คืนตั๋วราคาลดหลั่นลงไปอีก

เมื่อขึ้นรถเมล์ไปหาเพื่อนที่บ้านพักตำรวจ
แถววัดโสมนัสวิหาร ปรากฎว่าเพื่อนไม่อยู่ซะอีก
จริง ๆ เป็นบ้านพักตามสิทธิ์ของตำรวจสัญญาบัตร
เป็นลูกพี่ลูกน้องของเพื่อน แกไป ๆ มา ๆ
เพราะมีบ้านพักของครอบครัวแถวฝั่งนนทบุรี
เลยอนุญาตให้เพื่อนอยู่ที่นั้นเลย
จึงตัดสินใจขึ้นรถเมล์ไปที่สถานีขนส่งสายใต้
กลับรถทัวร์ที่ออกประมาณสองทุ่มเศษ
กว่าจะกลับถึงบ้านที่หาดใหญได้
ก็ใช้เวลาเกือบสิบสี่ชั่วโมง
พอถึงบ้านจึงบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด
โดนดุพอสมควรเรื่องที่ทำกระเป๋าหาย

ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นลงแวะที่นครศรีธรรมราชหรือเปล่า
แต่จำได้ว่าเจอชื่อพระขาวที่วัดแห่งหนึ่งจำชื่อวัดไม่ได้
ได้บนว่าขอให้ได้สำเนาเอกสารคืนเถอะ
เพราะกังวลเอกสารราชการตัวจริงที่หายส่วนหนึ่ง
กับสำเนาเอกสารที่หายไปบางส่วน
แล้วจึงขึ้นรถเมล์กลับหาดใหญ่อีกทอดหนึ่งหรือไม่
แต่จำได้แม่นว่ามีการบนพระองค์นี้ไว้
ทุกวันนี้ยังหาพระพุทธรูปองค์นี้กับวัดไม่เจอเลย

ถัดมาอีกสองสัปดาห์มี
ผู้หญิงคนหนึ่งส่งจดหมายพร้อมเอกสาร
สำเนาเอกสารพี่น้องบางส่วน
คืนมาให้ที่บ้านพร้อมแนบจดหมายน้อยบอกว่า
มีคนนำมาลืมไว้ที่ร้านทำผมแถวสามย่านหรือไง
แต่ใบทหารกับบัตรประชาชนที่มีชื่อของผมหายไปแล้ว
แต่ได้ไปแจ้งออกใหม่ต้องใช้เวลารอนานเหมือนกัน
เพราะในยุคนั้นจะออกบัตรเหลืองให้ก่อน
กว่าจะได้บัตรขาวก็รอกันเป็นเดือน

พี่สาวเลยบอกให้ผมมีจดหมายแจ้งไปว่า
ขอบคุณที่ส่งเอกสารคืนให้และบอกเรื่องกระเป๋าหาย
รวมทั้งเอกสารบางส่วนได้ไปแจ้งความเพื่อออกให้ใหม่แล้ว
ต่อมาผมโทรศัพท์ติดต่อกับน้องสาวได้
ให้ช่วยซื้อตุ๊กตาจำชื่อไม่ได้ว่าชื่ออะไร
แต่ในตอนนั้นฮิตกันมากที่กรุงเทพฯ
ราคาไม่แพงมากนักให้ช่วยไปมอบให้คนที่ส่งเอกสารมาให้
เพราะอยู่ใกล้ ๆ กับที่เรียนของน้องสาว
ชื่อที่อยู่ของคนใจดีคนนั้น
สูญหายไปแล้วกับน้ำท่วมหาดใหญ่
ในช่วงเดือนพฤศจิกายนในปีนั้น
เลยไม่ทราบชื่อนามสกุลและที่อยู่อีกเลย
ถามน้องสาวบอกจำร้านได้ไหม
ก็บอกปิดร้านไปแล้วไม่รู้ว่าย้ายไปไหน
ก็ขอขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้เช่นกัน

ที่เขียนเรื่องจากความทรงจำนี้
พอดีไปตอบกระทู้เรื่องการช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
ความทรงจำเรื่องนี้เลยผุดขึนมาอีกครั้ง
หลังจากลืมเลือนไปนานเหมือนกันแล้วเรื่องนี้
ขอลอกมาพร้อมกับเขียนเพิ่มเติมบางส่วน




ที่ผ่านมาผมให้ครับ ดูเป็นรายคนกับใช้ความรู้สึก
เคยเจอเด็กผู้หญิงมาหาญาติที่หาดใหญ่ไม่เจอ
ท่าทางตื่นตระหนกและหวาดกลัวการอยู่ในเมืองใหญ่
พอดีผมแต่งชุดทำงานเรียบร้อยหน้าตาแบบเสี่ยว
เธอจึงเดินเข้ามาขอค่ารถยนต์กลับบ้านที่พัทลุง
ผมให้ไปร้อยบาทเผื่อค่ารถกับค่าอาหาร
สมัยนั้นยังไม่มีรถไฟฟรีเหมือนยุคนี้

อดีตสมัยเป็นวัยรุ่น  ผมเคยโบกรถยนต์ชาวบ้านมาก่อน
และเคยทำเงินหล่นหายที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ล้วงกระเป๋าเหลือค่ารถเมล์ไม่พอจ่ายค่าข้าวที่สั่งซื้อ
ร้านค้าเลยให้กินฟรี วันหลังผมเดินไปจ่ายเงินแกไม่ยอมรับอีก
ขอบคุณในน้ำใจคนใจดีที่ผ่านมา

มีครั้งหนึ่งมีผู้ชายคนหนึ่งมาขายเขาวัวแกะสลักราคาเพียง 500 บาท
ท่าทางร้อนรนมากบอกน้ำท่วมที่บ้านและเถ้าแก่ที่เคยสั่งซื้อประจำไม่อยู่
แกโชว์บัตรประชาชนให้เลยว่าอยู่แถวอีสาน/จังหวัด...
และมีข่าวทางทีวีกับหนังสือพิมพ์เรื่องน้ำท่วมหนัก
เพราะเห็นผมเดินออกมาจากบ้านพอดี
ผมพูดคุยด้วยเล็กน้อยเลยให้เงินแกไป 800 บาท
ราคาตามท้องตลาดประมาณพันเศษล่าง
(พอดีผมไม่ชอบสะสมของประเภทนี้ด้วย)

ที่เคยถูกต้มก็มี
มีผู้ชายหน้าตาบอกว่าเป็นแขก
บอกว่ามาจากมาเลย์จะกลับบ้านทางสุไหงโก-ลค
พูดภาษาอังกฤษตลอดเวลา  เห็นใจเลยให้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ไปส่งคิวรถตู้
พอจ่ายค่าตั๋วรถตู้ไปโกลคให้แล้ว  เลยแวะไปหาเพื่อนแถวนั้น
กลับมาอีกทีเห็นหายไปแล้วรถตู้ก็ยังไม่ออก
คนขับรถตู้บอกมันขอคืนตั๋วแล้วหายหัวไปไหนไม่รู้แล้ว

อีกรายผู้ชายพยายามขายกล้องถ่ายรูปใช้ฟิล์ม(ตกรุ่นไม่มีราคาแล้ว)
บอกเป็นคนไทยอยู่ที่เกาะลังกาวี  มาเลเซีย
ตกรถไม่มีค่ารถกลับบ้านพร้อมกับให้เบอร์มือถือไว้ติดต่อขายคืนวันหลัง
ถ้ามีโอกาสเดินทางไปเกาะลังกาวีในวันหลัง
เพราะแกพักอยู่กับพี่สาวเปิดร้านขายของที่นั้น
ท่าทางแกเดินเกี่ยวร่มไว้ที่กระเป๋ากางเกง  
ในครั้งนั้นเห็นใจแกว่าคนไทยตกรถเลยช่วยซื้อ
ต่อมาเห็นแกเป็นประจำในหาดใหญ่เลยไม่ช่วยซื้ออีก
และไม่อยากเดินไปถามเรื่องเก่าแต่อย่างใด

อีกรายผู้ชายหน้าตาแบบแขก
ท่าทางรีบร้อนมากพร้อมแสดงเอกสารให้ดู
ขอเงินค่ารถกลับปัตตานีเพียง 20 บาท
พอดีไม่ได้ใส่แว่นตาเลยอ่านไม่ชัด
ว่าหนังสือที่แกยื่นให้เขียนว่าอะไร
เห็นชัดแต่ตราครุฑเด่นเป็นสง่า
เลยหยิบเงินให้แกไปตามที่ขอ 20 บาท
เดินกลับเข้าบ้านทำธุระแล้วหยิบแว่นตาออกมา
สักพักเห็นแกเดินกลับมาแถวหน้าบ้านอีก
แกมาบอกว่า ขอบคุณผมเดินขอแถวนี้
ได้เงินพอค่ารถกลับบ้านแล้ว
เลยบอกไหนขอดูเอกสารฉบับเมื่อกี้หน่อย
ไม่ได้พกแว่นตาเลยอ่านได้ไม่ชัด
แกก็หยิบขึ้นมาให้ดูอีกครั้ง
พออ่านโดยละเอียดจึงรู้ว่าเพิ่งถูกปรับและรอลงอาญา
คดีขนและค้าใบกระท่อม 20 กิโลกรัม  เซ็งเป็ดมากรายนี้
แต่ก็น่าชื่นชมแกอย่างที่ขอรายละเล็กรายละน้อย
พอได้เงินค่ารถกลับบ้านก็มาขอบคุณ
แล้วก็ไม่เจอแกอีกเลยในหาดใหญ่
หรือถ้าเจอก็คงจำไม่ได้แล้วเช่นกัน

เขียนขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ
ก่อนที่จะเลือนหายไปเหมือนกับใบไผ่ที่ปลิดปลิว




 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2558
0 comments
Last Update : 1 มีนาคม 2559 21:08:06 น.
Counter : 1071 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ravio
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




เกิดหาดใหญ่ วัยเด็กเรียนหนังสือโรงเรียน Catholic คณะ Salesian มีนักบุญประจำโรงเรียน Saint Bosco, Saint Savio ชอบอ่านหนังสือ godfather เกี่ยวกับ Mafio ของพวกซิซีเลียน เคยเล่นเกมส์ Mario แล้วได้คะแนนนำเลยนำสระโอมาต่อท้ายชื่อเป็น Ravio ได้กลิ่นอายแบบ Italino เคยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนวิชาชีพทำมาหากิน แต่ไม่ใช่วิชาที่ชื่นชอบมากนัก เรียนอยู่กว่าเจ็ดปี ต้องกลับมาทำงานเป็นกรรมกรที่บ้านเกิด จนเริ่มเกิดความหลงรักชีวิตบ้านนอก และวิถีชิวิตชุมชนท้องถิ่นที่ตนอยู่และไปร่วมวงเสวนา

เกิดเดือนมีนาคม แต่ลัคนาราศรีตุลย์ ชอบไปทุกเรื่อง สุดท้ายทำอะไรที่ได้เรื่องไม่กี่เรื่อง แต่ส่วนมากมักไม่ได้เรื่อง

ชอบขับรถยนต์ท่องเที่ยวชมภูเขา ป่าไม้ น้ำตก แต่ไม่ชอบทะเลหรือชายหาด เพราะรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว เมื่อคิดถึงชีวิตตนเองที่มาเปรียบเทียบกับสองสิ่งสองอย่างนี้ รู้สึกว่ามนุษย์เป็นเพียงชีวิตที่เล็กน้อยมากที่มาอยู่อาศัยในโลกใบนี้

ชอบอ่านหนังสือ ท่องเที่ยวใน Internet ชอบเดินทางท่องเที่ยวแถว ในละแวกท้องถิ่นบ้านเกิด นาน ๆ ครั้งจะขึ้นไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯ หรือไปหาซื้อหนังสือแถวสยามสแควร์ ถิ่นเก่าที่อยู่และที่เรียน






Friends' blogs
[Add ravio's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.