1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30
"สับแหลก 20 ความเชื่อสุดฮิตเกี่ยวกับความงาม จริงชัวร์หรือมั่วนิ่ม?" Part : 1
สวัสดีขอรับ ห่างหายไปนานเลยทีเดียวหลังจากบทความล่าสุด (แต่รีวิวก็เข็นออกมาเรื่อย ๆ) วันนี้ก็มีสิ่งที่น่าสนใจและคิดว่าทุกท่านน่าจะได้ลองอ่านดูเพื่อจะได้รู้เท่าทันวงการเครื่องสำอางให้มากขึ้นอีกสักหน่อย"สับแหลก 20 ความเชื่อสุดฮิตเกี่ยวกับความงาม จริงชัวร์หรือมั่วนิ่ม?" นั้นแปลและดัดแปลงเพิ่มเติมมาจาก "20 Beauty Myths" โดย Paula Begoun ซึ่งเผยแพร่เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านสำหรับสมาชิก Beauty Bulletin กระผมเล็งเห็นว่าสิ่งนี้มีประโยชน์มากทีเดียว และมันก็มักเป็นสิ่งที่ถูกถามและเข้าใจผิดบ่อย ๆ จึงได้เริ่มแปลเพื่อนำเสนอให้ทุกท่านได้อ่านกัน แต่กระผมก็ไม่แปลอย่างเดียวเท่านั้น ได้ทำการเพิ่มเติมเนื้อหาละรายละเอียด ยกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นอีกด้วย จึงหวังว่าทุกท่านจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับบทความที่นำเสนอนี้เนื่องด้วยความที่บทความมันยาวเหยียด 20 หน้า A4 เลยต้องทำการแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ Part : 1 กับ Part : 2 เพราะเนื้อหานั้นเยอะเกินที่จะลงใน Blog เดียวได้ Part : 1 Myth #1 : มีผลิตภัณฑ์ Skin-Care ที่ให้ผลดีเทียบเท่าหรือดีกว่าการทำ Botox และ Dermal Fillers **Myth #1-1:สารที่ใช้ทำ Derma Filler อย่าง Radiesse และ Restylane นั้นเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน Myth#2 : คุณควรเลือกใช้ Skin-Care ที่แบ่งกลุ่มตามอายุของคุณ Myth #3 :ผลิตภัณฑ์ที่แปะไว้ว่า "Hypoallergenic" นั้นดีและเหมาะสมกับผู้ที่มีผิว Sensitive **Myth #3-1 : ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนัง หรือ "Dermatologist tested" นั้นสามารถยืนยันได้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้น ๆ สามารถไว้ใจได้และมีประสิทธิภาพตามที่กล่าวอ้างไว้ **Myth #3-2 : บริษัทที่ผลิตเวชสำอาง หรือ Cosmeceutical Companies นั้นทำผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่า บริษัทที่ผลิตเครื่องสำอาง หรือ Cosmetics Companies Myth #4 : วิธีที่ดีที่สุดในการกำจัด จุดด่างดำจากวัยที่มากขึ้น หรือ Age Spots นั้นคือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาว่าเป็น Skin Lighteners / Whiteners หรือผลิตภัณฑ์ที่กล่าวอ้างว่าสามารถช่วยขจัดจุดด่างดำได้ Myth #5 : ปัญหาสิวจากฮอร์โมนจะหายหรือหมดไปคุณผ่านช่วงวัยรุ่นหรืออายุเลย 20 ไปแล้ว - Myth #5-1 : สิวเกิดขึ้นเพราะอาหารการกินที่ไม่ถูกต้อง - Myth #5-2 : ถ้าคุณล้างหน้าอย่างสะอาดหมดจด... คุณก็จะล้างกำจัดสิวออกไปได้ด้วย!!! - Myth #5-3 : ความเครียดกระตุ้นให้เกิดสิว... - Myth #5-4 : ยาสีฟันสามารถใช้แต้มรักษาสิวได้!!! Myth #6: เครื่องสำอางหรือ Makeup ทำให้เกิดสิว (Acne) Myth #7 : คำโปรยข้างกล่องที่มักแปะว่า จากผลการทดสอบของเราบ่งชี้ว่า .... บลา ๆ ๆ สามาบอกได้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีประสิทธิภาพดีมากน้อยแค่ไหน... Myth #8 : การทาเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของคอลาเจนหรืออีลาสตินจะสามารถเพิ่มปริมาณคอลาเจนและอีล่าสตินในผิวได้ ทำให้ริ้วรอยจางลงอย่างได้ผล!!! Myth #9 : Eye creams นั้นถูกทำขึ้นมาเพื่อผิวบริเวณรอบดวงตาเป็นพิเศษ Myth #10 : มีเครื่องสำอางที่สามารถลดเลือนริ้วรอยลึก (Wrinkles) ได้จริง Part : 2 Myth #11 : เครื่องสำอางราคาแพงนั้นดีกว่าเครื่องสำอางราคาถูก Myth #12 : Mineral Oil เป็นสิ่งไม่ดี เป็นส่วนผสมที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติเพราะมันได้มาจากน้ำมันดิบ Myth #13 : ส่วนผสมที่ได้มาจากธรรมชาตินั้นดีต่อผิวมากกว่าส่วนผสมที่ได้มาจากการสังเคราะห์ Myth #14 : ความรู้สึกเย็นซาบซ่า วูบวาบ ที่เกิดขึ้นจากการทาเครื่องสำอาง เป็นสัญญาณบอกว่าผลิตภัณฑ์กำลังทำงานอยู่ Myth #15 : สิวเสี้ยน สิวหัวดำ เกิดขึ้นจากฝุ่นและสิ่งสกปรก ซึ่งคุณสามารถใช้ Scrub เพื่อขจัดมันออกไปได้ Myth #16 : คุณสามารถควบคุมการผลิตน้ำมันของต่อมไขมันได้ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เหมาะสม... Myth #17 : ผิวแห้งเกิดขึ้นจากการที่ผิวขาดน้ำ หรือเกิดขึ้นเพราะคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ Myth #18 : ทุกคนต้องใช้ Day Cream และ Night Cream เพราะผิวต้องการการบำรุงที่แตกต่างในเวลากลางคืน Myth #19 : คุณควรเปลี่ยนเครื่องสำอางที่ใช้ไปเรื่อย ๆ เพราะถ้าคุณใช้เครื่องสำอางตัวใดตัวหนึ่งไปนาน ๆ ผิวคุณจะเริ่ม ชิน ทำให้ผลิตภัณฑ์ตัวเดิมใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป Myth #20 : ชั้นควรจะใช้แต่สิ่งที่ชั้นชอบเท่านั้น นั่นแหล่ะคือวิธีการบำรุงผิวที่ดีที่สุด - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - Credits : Paula Begoun / //www.cosmeticscop.com - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - แต่อย่างไรก็ดี การเป็นผู้อ่านที่ดีก็ควรใช้วิจารณญาญในการอ่านและคิดวิเคราห์ด้วยตนเองว่าเลือกที่จะเชื่อหรือไม่อย่างไร และควรศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจด้วยนะขอรับ เพราะกระผมไม่ได้คาดหวังให้ผู้อ่านจะเชื่อสิ่งที่ปูเป้ได้เขียนเอาไว้ทั้งหมด เพียงแต่ต้องการตุ้นให้เกิดความเข้าใจ วิธีการ กลลวง และการตลาด ของวงการเครื่องสำอางให้มากขึ้น ไม่ได้หมายความคุณควรจะระแวงวิตกจริตทุกเรื่องไป... แต่คุณควรเลือกที่จะเชื่อข้อมูลและคำโฆษณาอย่างมีสติ...ก็เท่านั้น... Part : 1 Myth #1: มีผลิตภัณฑ์ Skin-Care ที่ให้ผลดีเทียบเท่าหรือดีกว่าการทำ Botox และ Dermal Fillers Fact : ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทเครื่องสำอางจำนวนมากได้ออก skin-care โดยใช้จุดขายว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเนี่ย สามารถให้ผลได้ เทียบเท่า หรือ ดีกว่า การทำ medical corrective procedures อย่างเช่น Botox โดยโฆษณาในนิตยสารแฟชั่นของผลิตภัณฑ์ Skin-Care กลุ่มนี้มักให้ข้อมูลเกี่ยวกับการฉีด Botox ว่ามีอันตรายต่าง ๆ นา ๆ (ใส่ร้ายป้ายสีกันเข้าไป) จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรน่ากลัวขนาดนั้นเกี่ยวกับการทำ Botox (นอกเหนือจากคำว่า Botulinum Toxin ที่ฟังดูเหมือนอาวุธชีวภาพทำลายล้างสูง...) ปัจจุบันมีการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับ Botox ในเรื่องของประสิทธิภาพและความปลอดภัยกันอย่างมากมาย และผลก็ออกมาในทางที่ดีเสียด้วย และก็เป็นความจริงอีกเหมือนกันที่ของทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรดี 100% การทำ Botox นั้นอาจก่อผลข้างเคียงได้อย่างเช่น ทำให้ขอบตาตก มุมปากห้อย ใบหน้าแสดงอารมณ์ได้อย่างไม่เป็นธรรมชาติ จึงจำเป็นที่คุณจะต้องเช็คข้อมูลให้ดีและเลือกเข้ารับบริการจากแพทย์ที่มีชื่อเสียงและมั่นใจได้เท่านั้น(Sources: Journal of Neural Transmission, April 2008, pages 617-623; Laryngoscope, May 2008, pages 790-796; Expert Opinion on Pharmacotherapy, June 2007, pages 1059-1072; Journal of Headache and Pain, October 2007, pages 294-300; and Pediatrics, July 2007, pages 49-58). ในทางกลับกัน ยังไม่มีการวิจัยและทดลองใดที่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่าจะมีผลิตภัณฑ์ Skin-Care ตัวใดสามารถทำงานหรือให้ผลได้เช่นเดียวกับการทำ Botox หรือ Derma Filler หรือการทำ Resurfacing Laser และไม่ต้องพูดถึงส่วนผสมสุดวิเศษในเครื่องสำอางที่กล่าวอ้างคุณสมบัติสุดมหัศจรรย์เลย เพราะแม้แต่สารที่ใช้ทำ Botox เองก็ไม่สามาช่วยลดเลือนริ้วรอยหรือมีประสิทธิภาพได้ถ้านำไปทาบนผิวแทนการฉีดลงใบในกล้ามเนื้อ และสารที่ใช้ในการทำ Derma Filler ก็ไม่สามารถไปเติมเต็มริ้วรอยได้ถ้าถูกนำไปทาบนผิวแทนที่จะใช้การฉีด เมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญแล้ว การฉีด Botox หรือ Derma Filler นั้นเกือบจะทำให้ริ้วรอยในบริเวณที่ทำการฉีดนั้นเลือนหายไปในทันที การเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ Skin-Care จะให้ผลแบบเดียวกันได้นั้นจะทำให้คุณเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ เพราะไม่มีเครื่องสำอางชิ้นใดในโลกนี้สามารถทำให้บรรดาแพทย์ผู้ทำศัลยกรรมพลาสติค หรือศัลยกรรมความงามให้ตกงานไปกวาดถนนได้... ในขณะที่มีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่อ้างว่าให้ผลดีกว่า Botox เพิ่มมากขึ้นทุกวัน แต่กลับกลายเป็นว่ามีผู้ที่ใช้บริการฉีด Botox หรือ Derma Filler ในปี 2007 มาขึ้นกว่าปีก่อน ๆ หลายล้านคน... ถ้า Skin-Care สามารถทดแทนการทำทรีตเมนท์จากผู้เชี่ยวชาญได้จริง ก็คงไม่มีคนต้องถ่อไปทำกันเยอะแยะแบบนี้หรอกนะขอรับMyth #1-1 : สารที่ใช้ทำ Derma Filler อย่าง Radiesse และ Restylane นั้นเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบันFact : ไม่จริงเลยสักนิด! เพราะปัจจุบันมีสารที่ใช้ฉีดเพื่อทำ Derma Filler มากกว่า 30 ชนิด และหลายตัวในนั้นให้ผลที่ดีกว่าและยังคงอยู่ได้นานกว่า Radiesse และ Restylane อีกต่างหาก(Sources: Clinical and Plastic Surgery, April 2005, pages 151-162; Plastic and Reconstructive Surgery, November 2007, pages 33S-40S; and Dermatologic Therapy, May 2006, pages 141-150) ถึงแม้ว่าการทำ Derma Filler จะทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการเติมเต็มร่องริ้วรอยบนหน้า แต่มันก็เป็นความจริงว่า สารที่ใช้เพื่อการทำ Derma Filler ทั้ง 30 ชนิด (รวมถึง Radiesse และ Restylane) ยังมีความเสี่ยงอยู่บ้างที่อาจจะทำให้เกิด Primarily Granulomas (เนื้อเยื่ออักเสบ) หรือเป็นตุ่มไตแข็งในจุดที่ฉีดหรือบริเวณใกล้เคียง ถึงแม้ว่าอาการเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ทันทีด้วยการผ่าตัด แต่การใช้สารเติมเต็มแบบชั่วคราว (Temporary Fillers) ทำให้อาการข้างเคียงเหล่านี้จางลงไปได้ตามกาลเวลา และการใช้สารเติมเต็มแบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent Fillers) จะทำให้อาการข้างเคียงเหล่านี้คงอยู่นานกว่า คุณจึงต้องตัดสินใจกันเอาเองว่าอันไหนได้มากกว่าเสีย... กรุณาอย่าเข้าใจผิดว่าข้อมูลที่นำเสนอนี้จะบอกให้คุณเลิกคิดที่จะทำ Derma Filler ในการจัดการกับริ้วรอย (เพราะมีคนนับล้านที่ประสบความสำเร็จในการรักษาด้วยวิธีนี้) บทความนี้ต้องการบอกว่า คุณควรจะรวบรวมและศึกษาข้อมูลมาเป็นอย่างดีก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะเลือกใช้สารตัวใดในการทำ Derma Filler อีกประการหนึ่งคือต้องการสื่อว่า ไม่มีผลิตภัณฑ์ Skin-Care ชิ้นใดในโลกนี้ ที่สามารถทำงานหรือมีประสิทธิภาพได้เทียบเท่าหรือดีกว่าการทำ Derma Filler อย่างแน่นอน...(Sources: Dermatologic Surgery, June 2008, Supplemental, pages S92-S99, and December 2007, Supplemental, pages S168-S175; Plastic and Reconstructive Surgery, November 2007, Supplemental, pages S17-S26; Journal of Cosmetic Laser Therapy, December 2005, pages171-176; Dermatology, April 2006, pages 300-304; Aesthetic and Plastic Surgery, January-February 2005, pages 34-48). Myth#2 : คุณควรเลือกใช้ Skin-Care ที่แบ่งกลุ่มตามอายุของคุณ Fact : มีผลิตภัณฑ์จำนวนมากมายในท้องตลาดที่อ้างว่าถูกผลิตขึ้นแยกตามกลุ่มอายุที่แตกต่างโดยเฉพาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่ม ผู้สูงวัย (Mature) ที่จะหมายถึงผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป.... แต่ก่อนที่จะซื้อชุดผลิตภัณฑ์ที่ถูกจัดแบ่งตามอายุเหล่านั้น ลองถามตัวเองดูว่า ทำไมผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ที่มาอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ถึงถูกจับยัดให้ใช้ในกลุ่มเดียวกัน? ถ้าพิจารณาตามตรรกะนี้ ผู้ที่มีอายุ 40 หรือ 45 ปี ก็ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ขึ้นไป (ทั้ง ๆ ที่มีช่องว่างของอายุแค่เพียง 5 หรือ 10 ปี) แต่ทำไมผู้ที่มีอายุ 80 ปีถึงต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมือนกับผู้ที่มาอายุ 50 ปี? เพื่อที่จะขจัดความสับสนนี้ สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้คือ ผิวของคนเราต้องการการบำรุงที่แตกต่างกันไปตามสภาพผิว ไม่ใช่ตามอายุ เพราะไม่ใช่ทุกคนในช่วงอายุเดียวกันจะมีสภาพผิวเหมือนกัน (วัยรุ่นอายุไม่ถึง 25 ไม่ได้มีผิวมันหรือเป็นสิวง่ายทุกคน และผู้ใหญ่วัยเกิน 30 หรือ 40 ก็ไม่ได้มีผิวแห้งจนได้ใช้ครีมเนื้อหนัก ๆ กันทุกคน) ผลิตภัณฑ์ที่จะมารวมกันเป็นชุดบำรุงผิวประจำวันของคุณควรจะเลือกโดยยึดตามสภาพผิวที่เป็นอยู่จริงของคุณว่าเป็นอย่างไร? มีผิวแห้งแห้ง? เสียหายจากแสงแดด? ผิวมันเยิ้ม? ไวต่อการระคายเคือง? บอบบาง? เป็นสิว? หรือ ธรรมดา? ซึ่งสภาพผิวเหล่านี้เกิดขึ้นจากพันธุกรรมที่แตกต่างกันไปแต่ละบุคคล นอกจากนี้สภาพของผิวก้เปลี่ยนเปลี่ยนไปตามปัจจัยแวดล้อมอีกด้วย ไม่ใช่อายุเพียงอย่างเดียว... นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความผิดปกติของผิวหนังอย่าง การแพ้ (Allergies) หรือ Rosacea หรือ Psoriasis และอื่น ๆ ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับช่วงอายุอีกเช่นกัน สิ่งที่ทุกคนจำเป็นต้องทำเหมือนกัน คือปกป้องผิวที่เป็นปราการชั้นนอกของร่างกายด้วยการ หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงอย่างไม่จำเป็น (ปกป้องผิวจากแสงแดด เช่นการทากันแดด กางร่ม ใส่หมวก และหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดในตอนกลางวัน) ไม่สูบบุหรี่ (เพราะบุหรี่เป็นศัตรูร้ายของผิวและสุขภาพ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีควันบุหรี่ หรือคนที่สูบบุหรี่ด้วย) ไม่ก่อการระคายเคืองให้กับผิว (หลีกเลี่ยงการขัดถูแรง ๆ การเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงหรือต่ำเกินไป และหลีกเสี่ยงส่วนผสมในเครื่องสำอางที่ก่อการระคายเคืองได้อย่างแอลกอฮอล์ น้ำหอม และอื่นๆ ) ใช้ผลิตภัณฑ์ Skin-care ที่มีส่วนผสมดี (ในที่นี้หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่อุดมไปด้วยสารบำรุงอย่าง Antioxidant หรือ Cell Singnaling Substance หรือ Natural Moisturizing Factor และอื่น ๆ)(Sources: International Journal of Cosmetic Science, October 2007, pages 409-410; and Cutaneous and Ocular Toxicology, April 2007, pages 343-357) ยังมีเด็กวัยรุ่นอีกมากมายที่มีผิวแห้ง และมีสูงอายุอีกจำนวนมากที่มีปัญหาสิวและผิวมัน จริงอยู่ว่ามีอาการผิดปกติของผิวหนังและโรคผิวหนังที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอายุที่มากขึ้น แต่นั่นก็ขึ้นเป็นอาการที่เกิดขึ้นเฉพาะรายบุคคลเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าคนที่มีอายุทุกคนจะมีสภาพผิวของความผิดปกติของผิวแบบเดียวกันทั้งหมด เพราะอาการเหล่านั้นก็สามารถเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุน้อยได้เหมือนกัน (และอาการผิดปกติของผิวเหล่านี้เกือบทั้งหมดต้องพึ่งกระบวนการทางการแพทย์และยาเฉพาะโรค ไม่สามารถรักษาหรือเยียวยาได้ด้วยการใช้ Skin-Care)(Sources: British Journal of Community Nursing, May 2007, pages 203-204; Journal of Investigative Dermatology, December 2005, pages 364-368; Journal of Vascular Surgery, October 1999, pages 734 -743) การที่มีอายุมากกว่า 50 ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถทึกทักไปเองว่าคุณจะต้องมีผิวแห้งแน่นอน และหากคุณกำลังใช้ผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาว่าทำมาเพื่อผิววัยผู้ใหญ่โดยเฉพาะนั้น ความจริงแล้วมันก็แทบไม่ได้แตกต่างกับผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับผิวแห้งสักเท่าไหร่ (ดังนั้นถึงคุณจะมีอายุไม่มาก แต่มีผิวแห้ง ก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์บอกอ้างว่าทำมาเพื่อผิววัยผู้ใหญ่ได้ถ้าเนื้อผลิตภัณฑ์เหมาะสมตามสภาพผิวของคุณ)Myth #3 : ผลิตภัณฑ์ที่แปะไว้ว่า "Hypoallergenic" นั้นดีและเหมาะสมกับผู้ที่มีผิว Sensitive Fact : "Hypoallergenic" นั้นก็เป็นแค่คำอีกคำที่ไร้สาระและไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าข้อความทางการตลาดที่ใช้กันเกลื่อนในโลกของเครื่องสำอางเพื่อที่จะบอกเป็นนัยให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นมีโอกาสน้อยมากหรือไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ซึ่งเหมาะกับผิว Sensitive หรือผิวที่กำลังมีปัญหา แต่ การบอกเป็นนัย นั้นไม่เหมือนกับ ข้อเท็จจริง และในกรณีนี้ ก็มีข้อเท็จจิรงที่ว่า ไม่มีข้อมูลใดสามารถมาพิสูจน์ได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่กล่าวอ้างว่าเป็น "Hypoallergenic" นั้นจะดีกับผิว Sensitive จริง เพราะปัจจุบันนี้ยังไม่มีกระบวนการมาตรฐานในการทดสอบ การควบคุมส่วนผสม กฎหมาย แนวทาง ข้อบังคับ หรือวิธีการอื่น ๆ ที่ได้รับการยอมรับเป็นสากลในการจะกลั่นกรองว่าผลิตภัณฑ์ตัวใดควรค่าที่จะได้แปะคำว่า "Hypoallergenic" ลงบนฉลาก บริษัทเครื่องสำอางสามารถแปะคำว่า "Hypoallergenic" ลงบนผลิตภัณฑ์ตัวใดของเขาก็ได้ตามใจต้องการเพราะยังไม่มีกฎหมายข้อห้ามข้อบังคับในเรื่องนี้ และปัจจุบันก็มีผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่แปะไว้ว่าเป็น "Hypoallergenic" แต่กลับมีส่วนผสมที่ก่อปัญหาที่สามารถก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้ (ลองนึกถึงแชมพู สบู่ โลชั่นสำหรับเด็กอ่อน ที่แปะว่า "Hypoallergenic"ทั้งหลายสิขอรับ มีทั้งน้ำหอมหรือสีกันซะเกือบหมด... ผิวเด็กอ่อนนั้นอ่อนแอและบอบบางกว่าผิวผู้ใหญ่มาก ส่วนผสมของน้ำหอมและสีจึงไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมจะใส่ลงไปเลย... แล้วแบบนี้มันจะสมควรที่จะแปะคำว่า "Hypoallergenic" งั้นรึ?) คำว่า "Hypoallergenic" จึงไม่มีค่าอะไรเลย... และการเลือกใช้ผลิตภัณฑเพียงเพราะมันแปะคำว่า "Hypoallergenic" ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่คุณทาผลิตภัณฑ์ลงบนผิวโดยที่ไม่รู้ว่ามันประกอบไปด้วยอะไรบ้าง(Sources: //www.fda.gov/; //www.cfsan.fda.gov/~dms/cos-224.html ; and Ostomy and Wound Management, March 2003, pages 20 -21). Myth #3-1 : ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนัง หรือ "Dermatologist tested" นั้นสามารถยืนยันได้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้น ๆ สามารถไว้ใจได้และมีประสิทธิภาพตามที่กล่าวอ้างไว้ Fact : คุณไม่ควรปล่อยใจไปเชื่อผลิตภัณฑ์ตัวนั้น ๆ เพียงเพราะมันบอกไว้ว่า ได้รับการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนัง หรือ "Dermatologist tested" มาแล้ว และคุณก็ไม่ควรคิดไปเองว่าผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อหรือรูปของแพทย์ผิวหนังผู้มีชื่อเสียงประทับอยู่ จะหมายความว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นจะมีคุณภาพสูงหรือส่วนผสมระดับสุดยอดหรือเกรดเดียวกับยา คำว่า "Dermatologist tested" ที่แปะบนฉลากเครื่องสำอางนั้นสามารถมองได้หลายความหมาย และปัญหามันก็เกิดที่ตรงนี้แหล่ะ... เพราะคำว่า "Dermatologist tested" นั้นไม่ได้บอกคุณว่า แพทย์ใช้อะไรในการทดสอบ? และมีการทดสอบอย่างไร? และผลที่ได้ออกมาเป็นอย่างไร? บริษัทเครื่องสำอางไม่ได้ให้ข้อมูลเหล่านี้โดยละเอียดเพื่อที่จะยืนยันประสิทธิภาพ เขาแค่บอกว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้น่ะ ได้รับ การทดสอบแล้วนะ (ไม่ขอใช้คำว่า ผ่าน การทดสอบ เพราะนี่เป็นคำที่ใช้กันผิดมากในวงการเครื่องสำอางบ้านเรา เพราะคำว่า ผ่าน นั้นคนไทยมักจะตีความหมายไปว่า ได้รับการยอมรับแล้วว่าดี ว่าเหมาะสม หรือ คำว่า Approved หรือ Pass ) เมื่อปราศจากข้อมูลที่จะนำมาพิสูจน์อ้างอิง จึงไม่มีทางเป็นบอกได้เลยว่า "Dermatologist tested" นั้นมีความหมายอย่างไร บริษัทเครื่องสำอางจำนวนมากจ่ายเงินเพื่อให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงบอกว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้ดีอย่างงู้นอย่างงี้ (เห็นกันออกบ่อยตามทีวีขอรับ) หรืออาจจะมีการทดสอบจริง ๆ ก็ได้ แต่เป็นการทดสอบกับคนจำนวนไม่กี่คน คำว่า "Dermatologist tested" จึงไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่าคำโฆษณาจูงใจทางการตลาด เพราะว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเชื่อมั่นในคำว่า แพทย์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญ ว่าน่าสนใจและมั่นใจได้... แต่ในวงการเครื่องสำอางนั้นมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น... Myth #3-2 : บริษัทที่ผลิตเวชสำอาง หรือ Cosmeceutical Companies นั้นทำผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่า บริษัทที่ผลิตเครื่องสำอาง หรือ Cosmetics Companies Fact : จะมีกี่คนรู้ว่า เวชสำอาง หรือ Cosmeceutical นั้นก็เป็นแค่การรวมคำของ Cosmetic (เครื่องสำอาง) และ Pharmaceutical (ยา) เข้าด้วยกัน คำนี้เกิดขึ้นเกิดเพราะแพทย์ผิวหนัง (Dermatologists) ต้องการสื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดคิดว่าผลิตภัณฑ์ของเขาเหล่านั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่เป็น เครื่องสำอาง หรือมีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนแปลงผิวหนังได้ใกล้เคียงกับการใช้ยา (แต่ยังไม่จัดเป็นยา) ในความเป็นจริงแล้ว เวชสำอาง หรือ "Cosmeceutical" ก็เป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นมาลอย ๆ โดยไม่มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์มาตรฐานที่ยอมรับกันเป็นสากลว่ามันควรจะแตกต่างจาก เครื่องสำอาง ยังไง การอ่านและเปรียบเทียบส่วนผสมแบบง่าย ๆ ก็สามารถบอกได้แล้วว่าส่วนผสมของ เวชสำอาง ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวกับยา (Pharmaceutical) หรือมีอะไรที่พิเศษแตกต่างจากเครื่องสำอาง (Cosmetics) นอกจากนี้ ทางองค์การอาหารและยาทั้งของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศเองก็ยังไม่ยอมรับคำว่า เวชสำอาง หรือ Cosmeceutical ว่าเป็น product class รูปแบบหนึ่ง ดังนั้นคำว่า เวชสำอาง จึงเป็นแค่ข้อความทางการตลาดเท่านั้น...(Source : //www.fda.gov ; //www.emedicine.com/derm/topic509.htm ; //en.wikipedia.org/wiki/Cosmeceutical ; //www.gpo.or.th/rdi/html/Cosmeceuticals.html) สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือมีกลุ่มองกรณ์อิสระอย่าง American Academy of Dermatology (AAD, //www.aad.org) นั้นได้ให้คำจำกัดความของ เวชสำอาง ไว้อย่างคร่าว ๆว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Retinol หรือ Retinoids หรือ hydroquinone บ้างก็บอกว่าเวชสำอางนั้นจะมีส่วนประกอบที่ส่งผลพิเศษกับผิวต่างจากเครื่องสำอาง แต่ส่วนผสมเหล่านี้ก็มีผสมอยู่ในเครื่องสำอางทั่วไปไม่ได้จำว่ามีเฉพาะในเวชสำอางเท่านั้น สรุปง่าย ๆ คือ... เวชสำอาง หรือ "cosmeceuticals" นี่ก็เป็นกลยุทธทางการตลาดอีกแบบหนึ่งเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดี หากผลิตภัณฑ์เวชสำอางถูกผลิตขึ้นในห้องแลปและโรงงานผลิตที่มีมาตรฐานเดียวกันกับโรงงานผลิตยา อย่างน้อยเราก็มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์จะสะอาดและโอกาสปนเปื้อนจากสิ่งแปลกปลอมต่ำมาก แต่ไม่ได้การันตีว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นจะดีหรือผ่านการทดสอบผประสิทธิภาพเหมือนกับ "ยา" ถ้าจะเลือกเวชสำอาง ก็เลือกตัวที่อ่อนโยนจริง ๆ จะดีกว่า... พวกที่บอกว่าเป็นเวชสำอางที่เหมาะกับผิว sensitive แต่ยัดมาทั้งน้ำหอม สี และสารก่อการระคายเคืองนี่สิ... ไม่ค่อยน่าคบเท่าไหร่ Myth #4 : วิธีที่ดีที่สุดในการกำจัด จุดด่างดำจากวัยที่มากขึ้น หรือ Age Spots นั้นคือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาว่าเป็น Skin Lighteners / Whiteners หรือผลิตภัณฑ์ที่กล่าวอ้างว่าสามารถช่วยขจัดจุดด่างดำได้ Fact : ประการแรกต้องขอบอกว่า จุดด่างดำจากวัยที่มากขึ้น หรือ Age Spots เป็นคำที่ไม่ถูกต้อง เพราะรอยตำหนิบนผิวที่เป็นสีน้ำตาล หรือที่เราเรียกกันว่าจุดด่างดำนั้นเกิดขึ้นจากการที่เราไม่ได้ปกป้องผิวจากแสงแดดเป็นเวลาหลายปี (Sources: Journal of Cosmetic Dermatology, September 2007, pages195 -202; Dermatology Nursing, October 2004, pages 401 -413; and Age and Ageing, March 2006, pages 110 -115) คุณสามารถพิสูจน์ได้ง่าย ๆ เพียงแค่เปรียบเทียบผิวบริเวณที่ไม่ค่อยได้โดนแสงแดด (อย่างท้องแขน) กับผิวบริเวณที่โดนแสงแดดเป็นประจำ กระผมขอพนันว่าผิวส่วนที่ไม่ได้โดนแดดบ่อย ๆ นั้นจะมีจุดด่างดำน้อยกว่าผิวส่วนที่โดนแดดบ่อย ๆ (บางทีก็ไม่มีจุดด่างดำเลย) ประการที่สอง มีผลิตภัณฑ์จำนวนไม่น้อยเลยที่อวดอ้างสรรคุณในการปรับสีผิวหรือลดเลือนจุดด่างดำ แต่กลับไม่มีส่วนผสมที่สามารถไปจัดการกับเม็ดสีเมลานินได้จริง และถึงผลิตภัณฑ์ตัวนั้นจะมีส่วนผสมที่สามารถช่วยปรับสีผิวได้จริง แต่ส่วนใหญ่มันก็จะถูกใส่มาน้อยเกินกว่าที่จะแสดงประสิทธิภาพได้เต็มที่ (หรือบางทีก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย) ตัวอย่างเห็นได้ง่าย ๆ อย่างบอดี้โลชั่นทาตัวที่โม้ว่าช่วยปรับผิวขาว เหมาะสำหรับผิวคล้ำเสียสะสมบ้าบอคอแตกอะไรของมันก็ไม่รู้... แต่กลับไม่มีส่วนผสมที่รับรองแล้วว่าลดเลือนเมลานินได้จริง หรือมีก็ใส่มาจิ๊ดเดียว...แถมสารกรองรังสี UV ก็ใส่มาเท่าขี้เล็บ... มันจะไปช่วยกันแดดหรือทำให้ผิวขาวขึ้นได้มั๊ยเนี่ย!!!! ด้วยเหตุที่ว่าจุดด่างดำเหล่านี้เกิดขึ้นจากการเผชิญแสงแดดโดยตรง ดังนั้นวิธีการที่จะลด ป้องกัน หรือขจัดรอยตำหนิของผิวเหล่านี้ให้หมดไปได้ คือการใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน ไม่ใช่เพียงกับผิวหน้า แต่ควรจะทาในบริเวณที่อยู่นอกร่มผ้าด้วยอย่างเช่น อก แขน หรือมือ (และถ้าคุณเหงื่อออกมากหรือล้างมือ คุณก็ต้องทาครีมกันแดดเพิ่มด้วย) ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือคุณต้องมั่นใจว่าครีมกันแดดที่คุณใช้นั้นสามารถปกป้องผิวคุณจาก UVA ได้ โดยดูคร่าว ๆว่าผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้มีส่วนผสมของ Active Ingredients ที่เป็น Titanium Dioxide, Zinc Oxide, Avobenzone (Butyl Methoxydibenzoylmethane), Tinosorb หรือ Mexoryl SX เป็นต้น เพราะว่ารังสี UVA เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดจุดด่างดำ(Source: Journal of the American Academy of Dermatology, December 2006, pages 1048 -1065). Paula Begoun แสดงความคิดเห็นส่วนตัวว่า เธอรู้สึกว่าครีมกันแดดที่มีแต่ Titanium Dioxide และ Zinc Oxide จะให้ผลดีกว่าครีมกันแดดที่มีสารกันแดดแบบ Chemical โดยยืนพื้นจากประสบการณ์ส่วนตัว และเธอยังบอกว่ามีข้อมูลมาสนับสนุนความคิดนี้(Sources: The Lancet, August 2007, pages 528 -537; Skin Pharmacology and Physiology, June 2005, pages 253 -262; //www.aad.org/public/publications/pamphlets/common_melasma.html; and //www.emedicine.com/DERM/topic260.htm). นอกเหนือจากการปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยครีมกันแดดเป็นประจำแล้ว ก็ยังมีส่วนผสมเครื่องสำอางอีกหลายตัวที่สามารถช่วยต่อสู้กับเม็ดสีเมลานินได้ ซึ่งก็มีตัวที่ได้รับการวิจัยเรื่องประสิทธิภาพกันอย่างกว้างขวางเช่น Hydroquinone รองลงมาก็เป็นพวก Arbutin, Vitimin C และอื่น ๆ ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้ในบทความที่กระผมเคยนำเสนอเอาไว้ก่อนหน้า[ "ขาวใสแบบไม่ไร้สมอง" สับแหลกเบื้องหลังผลิตภัณฑ์ Whitening ในกลุ่ม Blog :-: Skincare Tips :-: หรือตาม Url นี้ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=pupesosweet&month=19-05-2008&group=2&gblog=6 ] นอกจากนี้ก็ยังมีทางเลือกในการรับบริการจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างการทำเลเซอร์ การทำ IPL ซึ่งให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก แต่คงจะเป็นการดีกว่าและประหยัดกว่ามากถ้าคุณจะป้องกันปัญหาก่อนที่มันจะเกิด โดยการทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน หลีกเลี่ยงแดดจัด ๆ ในตอนกลางวัน ไม่อาบแดดหรือทำให้ผิวเป็นสีแทนโดยการใช้ Tanning Bed(Sources: Journal of Cutaneous Medicine and Surgery, May-June 2008, pages 107 -113; Journal of Investigative Dermatology Symposium Proceedings, April 2008, pages 20 -24; Experimental Dermatology, August 2005, pages 601 -608; Bioscience, Biotechnology, and Biochemistry, December 2005, pages 2368 -2373; International Journal of Dermatology, August 2004, pages 604 -607; Journal of Drugs in Dermatology, July -August 2004, pages 377 -381; Facial and Plastic Surgery, February 2004, pages 3 -9; Dermatologic Surgery, March 2004, pages 385 -388; and Journal of Bioscience and Bioengineering, March 2005, pages 272 -276) Myth #5 : ปัญหาสิวจากฮอร์โมนจะหายหรือหมดไปคุณผ่านช่วงวัยรุ่นหรืออายุเลย 20 ไปแล้ว Fact : ถ้าเป็นความจริงก็คงไม่มีผู้คนจำนวนมากที่ต้องต่อสู้กับสิวทั้งที่อายุราวคราวป้า สิวส่วนใหญ่เป็นปัญหามาจากฮอร์โมน และปัญหาเรื่องฮอร์โมนมักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่า เพราะตามธรรมชาตินั้นผู้หญิงจะมีความผันผวนของฮอร์โมนอยู่เป็นปกติประจำทุกเดือนอยู่แล้ว (ช่วงวันแดงเดือด) ไม่มีทางที่จะยืนยันการันตีว่าชาตินี้สิวจะไม่ผุดขึ้นเมื่อคุณผ่านช่วงวัยรุ่นไปแล้ว แต่สำหรับผู้ชายนั้นก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะไม่เกิดสิว (ที่มีต้นเหตุจากฮอร์โมน) เมื่อพ้นช่วงวัยรุ่นไป เพราะว่าตามธรรมชาติแล้วฮอร์โมนเพศชายในผู้ชายจะพุ่งสูงสุดในช่วงวัยรุ่น แล้วก็ค่อย ๆ ลดลงจนเสถียรเมื่อหมดช่วงวัยรุ่น (แต่ก็ไม่ได้เป็นกับทุกคน) บางคนก็โชคดีที่เกิดมาพร้อมกับพันธุกรรมที่น่าอิจฉา คือมีผิวธรรมดา หน้าไม่มัน ไม่แห้ง สิวไม่ขึ้น ไม่ทำอะไรผิวก็สวยใสไร้ที่ติ... โอย...อิจฉาว๊อย!!!!(Sources: International Journal of Cosmetic Science, June 2004, pages 129-138; American Journal of Clinical Dermatology, May 2006, pages 281-290; International Journal of Dermatology, November 2007, pages 1188-1191). ยังมีความเชื่อผิด ๆ อีกมากมายเกี่ยวกับเรื่องสิว เรามาดูกันต่อเลยดีกว่า... Myth #5-1 : สิวเกิดขึ้นเพราะอาหารการกินที่ไม่ถูกต้อง Fact : ความเชื่อนี้ก็จริงกึ่งหนึ่งและไม่จริงอีกกึ่งหนึ่ง ความเชื่อที่ว่า การรับประทานช็อคโกแลตหรือของมัน ๆ ทั้งหลายแหล่แล้วสิวจะยกทัพถล่มผิวหน้านั้น ไม่เป็นความจริง!!! เพราะยังไม่มีการทดลองใด ๆสามารถยืนยันความเชื่อนี้ได้ ถ้าคุณเคยอ่านบทความก็อาจจะเคยพบว่า มีการทดสอบกลุ่มอาสาสมัคร กลุ่ม A ไม่ทานช็อคโกแลต กลุ่ม B ทานช็อคโกแลต แต่ผลออกมาคือไม่มีอัตราที่แตกต่างของสิวในกลุ่มทดลองทั้งสองกลุ่มนี้ อย่างไรก็ดี อาการแพ้อาหาร สามารถทำให้ผิวแสดงออกมาเป็นสิวได้เหมือนกัน อย่างเช่นการแพ้อาหารทะเล เป็นต้น มีการทดลองว่า การดื่ม นม โดยเฉพาะ นมพร่องมันเนย ก็สามารถเพื่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดสิวได้ นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มี glycemic หรืออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงก็สามารถเพิ่มปริมาณสิวได้เหมือนกัน ดังนั้นคุณจึงควรเก็บข้อมูลและทดสอบด้วยตัวเองดูว่า อาหารกลุ่มไหนที่ทำให้อาการสิวของคุณดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร และทำการหลีกเลี่ยงซะ(Sources: Molecular Nutrition and Food Research, June 2008, pages 718-726; Dermatologic Therapy, March-April 2008, pages 86-95; Journal of the American Academy of Dermatology, May 2008, pages 787-793; and Dermatology Online Journal, May 30, 2006). Myth #5-2 : ถ้าคุณล้างหน้าอย่างสะอาดหมดจด... คุณก็จะล้างกำจัดสิวออกไปได้ด้วย!!! Fact : ขอบอกเอาไว้เลยว่าสิวไม่ใช่สิ่งสกปรก!!! เพราะปัจจัยที่ก่อให้เกิดสิวหลัก ๆ ก็คือฮอร์โมนที่ไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป และน้ำมันไขมันเหล่านี้ก็เป็นอาหารที่ดีเยี่ยมสำหรับเชื่อแบคทีเรีย Propionibacterium Acnes หรือ P. Acnes และของเสียที่แบคทีเรียขับออกมาจะทำให้ผิวเกิดอาการอักเสบ... เลิกเชื่อคำโฆษณาหรือความเชื่อที่ว่า การสครับขัดผิว หรือการ Deep Clean นั้นจะไปช่วยขจัดสิวให้ออกไปจากชีวิตคุณได้ เพราะการสครับก็แค่ช่วยขัดผิวภายนอกเท่านั้น และไม่มีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดตัวไหนในโลกสามารถ Deep Clean ทำความสะอาดรูขุมขนได้ (เป็นกายวิภาคเบื้องต้นของผิวที่คนเรียนด้านนี้ก็รู้กันทั้งนั้นแหล่ะ) การทำความสะอาดมากไป รุนแรงเกินไปชนิดที่ล้างแล้วหน้าฝืดตึงเหมือนล้างจานนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย เพราะมันทำให้ผิวระคายเคืองและอักเสบได้ซึ่งจะไปซ้ำเติมให้อาการของสิวที่เป็นอยู่แล้วนั้นย่ำแย่ลงกว่าเดิม นอกจากนี้ก็ยังทำให้ผิวสามารถฟื้นตัวได้ช้าลงอีกด้วย เป็นการดีกว่าถ้าคุณจะเลือกใช้คลีนเซอร์ชนิดอ่อนโยนที่ไม่ทำลายชั้นเคลือบผิวตามธรรมชาติ และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเสื่อสภาพภายนอกให้หลุดออกอย่างอ่อนโยน อย่าง salicylic acid 1% หรือ 2% ก็จะให้ผลดีกับผิวมันที่เป็นสิวอุดตัน สิวอักเสบ เนื่องจาก salicylic acid สามารถละลายในน้ำมันและซึมลงไปในรูขุมขนเพื่อทำการ Exfoliate ได้ แถมมันยังช่วยลดการอักเสบของผิวและช่วยฆ่าเชื้อแบบอ่อน ๆ อีกต่างหาก สำหรับผู้ที่ไม่มีสิวอักเสบหรือแพ้ salicylic acid ก็สามารถเลือก AHAs อย่าง glycolic acid ที่มีความเข้มข้น 8% ขึ้นไปเพื่อ Exfoliate ผิวเป็นประจำ ลดโอกาสที่ผิวจะอุดตันในอนาคต(Sources : Journal of the European Academy of Dermatology Venereology, May 2008, pages 629 -631; Expert Opinion in Pharmacotherapy, April 2008, pages 955-971; Journal of Cosmetic Dermatology, March 2007, pages 59-65; Cutis, July 2006, Supplemental, pages 34-40; and Skin Pharmacology and Physiology, June 2006, pages 296-302) Myth #5-3 : ความเครียดกระตุ้นให้เกิดสิว... Fact : จริงๆ แล้วในปัจจุบันนี้แพทย์ผิวหนังก็ยัง เชื่อว่า ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวได้ เพียงแต่ยังไม่มีใครเข้าใจว่ามันมีกลไกการทำงานอย่างไรเท่านั้นเอง ความเชื่อนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่นอน.... แต่การไม่เครียดก็เป็นสิ่งที่ดีกับสุขภาพจิตของคุณอยู่แล้ว (ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลมาถึงร่างกายด้วย) ดังนั้นถ้าไม่เครียดได้ก็ดีกว่านะขอรับ(Sources: European Journal of Dermatology, July-August, pages 412-415; International Journal of Cosmetic Science, June 2004, pages 129-138; Archives of Dermatologic Research, July 2008, pages 311-316; and American Journal of Clinical Dermatology, May 2006, pages 281-290). Myth #5-4 : ยาสีฟันสามารถใช้แต้มรักษาสิวได้!!! Fact : ไม่มีส่วนผสมตัวใดในยาสีฟันที่จะช่วยรักษาสิวได้ และแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปากก็ไม่ได้เหมือนกับแบคทีเรียสิว P. acne ที่อาศัยอยู่ในรูขุมขนของคุณ ดีไม่ดีส่วนผสมของมิ้นท์หรือเมนทอลที่ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นก็สามารถทำให้ผิวคุณระคายเคืองมากกว่าเดิม และส่วนผสมของฟลูโอไรด์ หรือ sodium monofluorophosphate จะทำให้ให้ผิวเกิดเป็นตุ่มแดงและระคายเคืองได้ โดยอาการนี้เรียกว่า perioral dermatitis(Sources: Journal of the American Dental Association, September 2003, page 1165; Journal of the American Academy of Dermatology, June 1990, pages 1029 -1032; and Archives of Dermatology, June 1975, page 793; Contact Dermatitis, October 2000, pages 216-222) Myth #6: เครื่องสำอางหรือ Makeup ทำให้เกิดสิว (Acne) Fact : ก็ไม่จริงเสมอไป... ตารางส่วนผสมที่บอกค่าความอุดตันผิวที่เราใช้กันในปัจจุบันเนี่ย ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่ทำมาเมื่อประมาณ 30 กว่าปีมาแล้ว โดยการทดสอบนั้นใช้ส่วนผสมต่าง ๆในความเข้มข้น 100% ไปทดสอบกับกระต่าย เพื่อวิเคราะห์ว่าส่วนผสมตัวไหนทำให้เกิดสิว (Acne) ซึ่งจริง ๆ แล้วสภาพผิวของคนเราแตกต่างกันไป เราทุกคนแพ้หรือไวต่อสารคนละตัวกัน จึงแทบจะบอกไม่ได้เลยว่าส่วนผสมตัวใดที่ทำให้เกิดสิว 100 % หรือส่วนผสมตัวไหนไม่ทำให้เกิดสิว 100% และสิวก็มาได้จากหลายสาเหตุทีเดียว การจะบอกว่า Makeup เป็นสาเหตุของสิวก็คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเสียทั้งหมด ต้องบอกว่า อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง ของต้นเหตุเท่านั้น แต่ถ้าพูดถึงเรื่องอุดตัน (Clog Pore) แล้ว ถ้าคุณทำความสะอาด Makeup ออกไม่หมดมันก็สามารถไปอุดตันผิว ทำให้เป็นสิวอุดตัน (Blackhead / Whitehead) ได้ขอรับ Myth #7 : คำโปรยข้างกล่องที่มักแปะว่า จากผลการทดสอบของเราบ่งชี้ว่า .... บลา ๆ ๆ สามาบอกได้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีประสิทธิภาพดีมากน้อยแค่ไหน... Fact : คุณคิดว่าจะมีใครออกมาบอกว่าผลิตภัณฑ์ของเขาไม่ดีงั้นรึ? เป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ!!! มีแต่จะยกบุคคลหรือแหล่งอ้างอิงที่ช่วยสนับสนุนภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ให้ดูดีอย่างเดียวซะมากกว่า แล้วการทดสอบที่ว่านี้ทำกันที่ไหน? มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเท่าไหร่? มีความเป็นกลางไหม? ใช้วิธีทดสอบยังไง? ทดสอบด้วยอะไร? ทดสอบกับอะไร? ภายใต้เงื่อนไขและตัวแปรอะไร? ผลเปรียบเทียบและตัดสินจากอะไร? Paula Begoun บอกว่า ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่เธอทำการรีวิวและตรวจสอบเครื่องสำอางมา มีเพียง 5 ครั้งเท่านั้นที่บริษัทเครื่องสำอางสามารถให้ให้ข้อมูลการ ทดสอบ เหล่านั้นมาได้ และทั้ง 5 ครั้งนั้นก็ไม่สามารถนำมาสนับคำกล่าวอ้างได้เลย... ในความเป็นจริงของวงการเครื่องสำอางนั้น เงินส่วนใหญ่จะไปจมอยู่กับค่าการตลาด ไม่ใช่ค่าการวิจัย...(Sources: Cosmetic Claims Substantiation, Cosmetic Science and Technology Series, vol. 18, ed. Louise Aust, New York: Marcel Dekker, 1998; and Cosmetics and Toiletries, Article: The European Group on Efficacy Measurement of Cosmetics and Other Topical Products is considering new cosmetic legislation to regulate claims of efficacy, author Pierard, G.E. Masson, Ph., Publisher Allured Publishing Corp, .2000) Myth #8 : การทาเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของคอลาเจนหรืออีลาสตินจะสามารถเพิ่มปริมาณคอลาเจนและอีล่าสตินในผิวได้ ทำให้ริ้วรอยจางลงอย่างได้ผล!!! Fact : เป็นการนำตรรกะง่าย ๆ มาใช้หากินกับผู้บริโภคตาดำ ๆ โดยแท้... คอลาเจนและอีลลาสตินนั้นทำหน้าที่เป็น Water-Binding Agent ได้ดี แต่ไม่มีผลการทดลองใด ๆ ที่บ่งชี้ว่าคอลาเจนกับอีลาสตินเมื่อทาลงบนผิวแล้วจะสามารถดูซึมเพื่อเข้าไปทดแทนคอลาเจนกับอีลาสตินที่หดหายไปอย่างแน่นอน ถ้าคุณต้องการใช้คอลาเจนในการลดเลือนริ้วรอย ก็ต้องพึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญช่วยฉีดเข้าไปเติมเต็มในจุดที่ต้องการขอรับ ลองมาคิดกันต่อว่า...ถ้าคอลาเจนกับอีลาสตินสามารถซึมผ่านผิวหนังได้จริง คุณจะไปควบคุมปริมาณหรือบริเวณที่มันควรจะซึมเข้าไปเพิ่มได้ยังไง? มันอาจจะเข้าไปเพิ่มในจุดที่คุณไม่ต้องการ หรือเพิ่มในปริมาณที่มากเกินไปจนทำให้รูปทรงของผิวหนังและใบหน้าผิดรูปไปได้ ซึ่งคงไม่ใช่สิ่งที่น่าพึงปรารถนาเลยนะขอรับ(Source: International Journal of Cosmetic Science, April 2005, pages 101 -106). การปกป้องผิวจากปัจจัยลบภายนอกอย่างแสงแดดและอนุมูลอิสระจะช่วยทำให้ผิวสูญเสียคอลาเจนในอัตราที่น้อยลงกว่าไม่ป้องกันเลย และการบำรุงผิวด้วยสารแอนติออกซิแดนท์ หรือ Cell-Signaling Substance อย่างกรดวิตามินเอ จะช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพแข็งแรงเป็นปกติ และผิวที่แข็งแรงก็สามารถกระตุ้นตัวเองให้สร้างคอลาเจนได้มากกว่าผิวที่อ่อนแอด้วย Myth #9 : Eye creams นั้นถูกทำขึ้นมาเพื่อผิวบริเวณรอบดวงตาเป็นพิเศษ Fact : ไม่มีหลักฐานและข้อมูลใดสามารถมายืนยันได้ว่าผิวบริเวณรอบดวงตาต้องการบำรุงด้วยส่วนผสมใดเป็นพิเศษแตกต่างจากผิวส่วนอื่นอย่างใบหน้าและลำคอ และปัจจุบันนี้ยังไม่มีส่วนผสมตัวใดที่ได้รับการยอมรับเป็นสากลแล้วว่าสามารถขจัดปัญหารอบดวงตา อย่างถุงใต้ตา ตาบวม และรอยแพนด้าได้จริง มีแต่ส่วนผสมที่ระบุว่า อาจจะ หรือ เชื่อว่า เท่านั้น ปัญหารอบดวงตาอย่าง ใต้ตาบวมมา ใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตานั้นเกิดมาได้จากสารพัดสาเหตุ อย่างเช่น นอนน้อย ขยี้ตา ร้องไห้ ระคายเคืองจากคอนแทคเลนส์ และอาการแพ้ก็ทำให้เกิดอาการบวม ใต้ตาคล้ำได้ ก็ต้องไปแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ถ้าคุณเป็นคนที่มีถุงใต้ตาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถุงใต้ตาตามธรรมชาตินั้นเป็นไขมัน... ก็ต้องใช้วิธีการผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อนำมันออก หรือคุณอาจจะมีเบ้าตาลึกทำให้เกิดแสงเงามากกว่าคนอื่นทั่วไปก็ทำให้รอบดวงตาดูคล้ำได้เหมือนกัน ก็ต้องใช้วิทีทางคอสเมติคอย่างคอนซีลเลอร์เพื่อแก้ไข บริษัทเครื่องสำอาง BA หรือผู้เชี่ยวชาญความงามอาจจะให้เหตุผลที่คุณควรใช้ Eye creams เพราะว่า ส่วนผสมของ Eye creams จะอ่อนโยนและไม่มีสารก่อการระคายเคืองอย่างน้ำหอมหรือสีและอื่น ๆ จึงเหมาะกับผิวรอบดวงตา
กระผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ขอเพิ่มเติมว่า ผิวส่วนอื่นนอกจากบริเวณรอบดวงตาก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและปราศจากสารก่อการระคายเคืองเหมือนกันนั่นแหล่ะ ถ้าคุณอ่านส่วนผสมเป็น หรือแค่เอามาเทียบกันอย่างง่าย ๆ คุณจะสังเกตได้ไม่ยากว่าส่วนผสมของ Eye creams และ Face Cream แทบจะไม่ได้แตกต่างกันเลย... Eye creams หรือครีมบำรุงเฉพาะที่นั้นก็เป็นแค่กลยุทธิทางการตลาด ที่สร้างความเชื่อผิด ๆ ให้ผู้บริโภคจะต้องซื้อผลิตภัณฑ์ที่เกินความจำเป็นในบรรจุภัณฑ์ที่เล็กกว่าและมีราคาแพงโหด และอายครีมประมาณ 95 % ที่วางขายในท้องตลาดก็ไม่มีสารกันแดด คนส่วนมากจึงปล่อยให้ผิวรอบดวงตาที่หวงแหนหนักหนาถูกทำร้ายจากแสงแดดจนเกิดเป็นริ้วรอยได้โดยไม่รู้ตัว
Myth #10 : มีเครื่องสำอางที่สามารถลดเลือนริ้วรอยลึก (Wrinkles) ได้จริง Fact : โลกนี้ไม่มีครีมวิเศษที่สามารถเนรมิตให้ริ้วรอยหายไปอย่างสิ้นเชิงหรือป้องกันไม่ให้ผิวเหี่ยวได้... วิธีการที่ดีที่สุดก็คือการชะลอความเสื่อมของผิวโดยการใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน ไม่อาบแดดหรือทำผิวสีแทน ไม่สูบบุหรี่หรือทำลายสุขภาพผิวด้วยวิธีอื่น ๆ กรุณาทำความเข้าใจว่า ริ้วรอยลึก (Wrinkles) นั้นต่างกับ ริ้วรอยจากความแห้งกร้าน (Fine Lines) เพราะว่า Fine Lines ที่เป็นริ้วรอยตื้น ๆ เล็ก ๆ นั้นสามารถทำให้เลือนหายไปได้อย่างง่ายดายเพียงใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ที่ช่วยเคลือบผิว แต่ Wrinkles นั้นเกิดจากการเสื่อมและลดลงของโครงสร้างภายในของผิวจึงเกิดเป็นริ้วรอย ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของวัยที่เพิ่มขึ้นและกระบวนเสื่อมจะเร็วขึ้นกว่าเดิมถ้าคุณไม่ได้ปกป้องผิวจากแสงแดด แน่นอนว่าปัจจุบันยังไม่มีส่วนผสมตัวใดหรือเครื่องสำอางชิ้นไหนสามารถเขี่ยให้ศัลยแพทย์พลาสติกหรือแพทย์ผิวหนังให้ตกงานไปขอทานได้ และเครื่องสำอางก็ไม่สามารถทดแทนหรือให้ผลได้เทียบเท่าการทำศัลยกรรมพลาสติคหรือการทำทรีตเมนท์จากแพทย์ผิวหนังได้ มีการศึกษาที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งของวารสาร Skin Research and Technology (May 2007, pages 189 -194) ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพและผลจากการใช้ครีมบำรุงผิวราคาถูก กับครีมบำรุงผิวราคาแพงที่บรรจุในกระปุกครีมหรูหรา กับกลุ่มผู้หญิงอายุ 35 64 ปี เป็นจำนวน 80 คน โดยสุ่มแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่ม A จะใช้ครีมบำรุงผิวราคาแพงในกระปุกหรูหราเป็นเวลา 6 สัปดาห์ กลุ่ม B จะใช้ครีมบำรุงผิวราคาถูกแต่บรรจุในกระปุกครีมหรูหราเหมือนของครีมบำรุงราคาแพง และกลุ่ม C จะใช้ครีมบำรุงราคาถูกในบรรจุภัณฑ์แบบธรรมดา การตรวจวัดผลถูกทำด้วยการสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ และการตรวจวัดผิวด้วย Optical Profilometry ผลคือทั้งสามกลุ่มนั้นก็ให้ผลออกมาไมได้แตกต่างกันทั้งทางด้านความเรียบเนียนและริ้วรอยลึก แต่ก็ไมได้หมายความว่าโลกนี้จะไม่มี Skin-care ที่สามารถช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวได้ เพราะจริงๆ แล้วมันมีอยู่ให้เลือกมากมายหลากหลายระดับราคา บ้างก็อุดมไปด้วยสารแอนติออกซิแดนท์ บ้างก็ผสมสารกันแดดที่ปกป้องผิวได้ครบทั้ง UVA/UVB บ้างก็มี AHAs / BHA ในความเข้มข้นที่พอเหมาะและมีค่า pH ที่ถูกต้อง บ้างก็มีส่วนผสมของ Vitamin C หรือ Retinol ในระดับที่มีประสิทธิภาพจริง เพียงแต่ว่าทั้งหมดนั้นไม่สามารถทำได้เหมือนกับคำโฆษณาที่เพ้อฝันเกินจริงเท่านั้นเอง... ถ้าผลิตภัณฑ์ Anti-Aging เหล่านี้สามารถทำได้อย่างที่อวดอ้าง ทำไมบริษัทเครื่องสำอางถึงต้องออกผลิตภัณฑ์แบบนี้ออกมาบ่อย ๆ ล่ะขอรับ? อ่านต่อ Part : 2 คลิกที่นี่
Create Date : 07 กันยายน 2551
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2551 2:40:36 น.
35 comments
Counter : 10514 Pageviews.
โดย: อุ้ม (vigannda ) วันที่: 7 กันยายน 2551 เวลา:18:40:30 น.
โดย: wannee2w วันที่: 8 กันยายน 2551 เวลา:13:15:08 น.
โดย: Danielle IP: 58.9.67.180 วันที่: 9 กันยายน 2551 เวลา:14:21:41 น.
โดย: Danielle IP: 58.9.67.180 วันที่: 9 กันยายน 2551 เวลา:14:28:32 น.
โดย: อ้อย IP: 117.47.193.93 วันที่: 10 กันยายน 2551 เวลา:9:58:59 น.
โดย: บี IP: 58.9.70.207 วันที่: 12 กันยายน 2551 เวลา:15:27:31 น.
โดย: pook IP: 58.8.96.195 วันที่: 5 ตุลาคม 2551 เวลา:0:15:24 น.
โดย: benji IP: 124.121.226.238 วันที่: 24 ตุลาคม 2551 เวลา:1:10:55 น.
โดย: Chini วันที่: 19 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:28:31 น.
โดย: จีบนก วันที่: 11 มกราคม 2552 เวลา:12:06:25 น.
โดย: tonn IP: 118.173.14.130 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:16:34:37 น.
โดย: ปูเป้ IP: 61.19.199.142 วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:02:27 น.
โดย: Jib IP: 124.122.184.247 วันที่: 4 มีนาคม 2552 เวลา:21:24:21 น.
โดย: aquadew IP: 202.151.4.101 วันที่: 2 เมษายน 2552 เวลา:15:43:21 น.
โดย: oilly IP: 58.136.28.203 วันที่: 11 เมษายน 2552 เวลา:23:18:27 น.
โดย: oilly IP: 58.136.28.203 วันที่: 12 เมษายน 2552 เวลา:1:30:41 น.
โดย: gop IP: 125.26.59.59 วันที่: 22 พฤษภาคม 2552 เวลา:13:18:53 น.
โดย: vasabi IP: 202.60.203.195 วันที่: 22 พฤษภาคม 2552 เวลา:17:44:09 น.
โดย: vasabi IP: 202.60.203.195 วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:14:10:08 น.
โดย: MIKI IP: 125.25.206.117 วันที่: 26 พฤษภาคม 2552 เวลา:3:45:22 น.
โดย: แพท IP: 168.120.139.11 วันที่: 9 กรกฎาคม 2552 เวลา:1:53:17 น.
โดย: auddy IP: 203.155.165.25 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:12:28 น.
โดย: เกด IP: 202.143.165.6 วันที่: 12 ธันวาคม 2552 เวลา:19:44:33 น.
โดย: เกด IP: 202.143.165.6 วันที่: 12 ธันวาคม 2552 เวลา:19:56:20 น.
โดย: name IP: 118.172.69.171 วันที่: 12 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:07:17 น.
โดย: เบิร์ด IP: 61.90.78.216 วันที่: 18 มกราคม 2554 เวลา:20:51:07 น.
โดย: Mulberry Outlet UK Sale IP: 94.23.252.21 วันที่: 3 สิงหาคม 2557 เวลา:20:47:25 น.
Advertisement
หากมีคำถามหรือต้องการคำปรึกษา
สามารถทิ้งคำถามไว้ได้ที่หน้า Wall ของ Facebook ครับ
Web Counter
Counter Start on 29 September 2008
Search by Google
ค้นหาข้อมูลและรีวิวผลิตภัณฑ์ที่ต้องการภายในBlog ของปูเป้ได้ไม่ยากด้วย Google Search Box ด้านล่างนี้เลยขอรับ