"ความรู้" คู่ "ความงาม"
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
11 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
"เรื่องไร้สาระที่มักได้ยิน BA ตามเคาเตอร์พูดกรอกหูบ่อย ๆ"


สวัสดีขอรับท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน วันนี้กระผมมีเรื่องเล็ก ๆ น้อยๆ มาเล่าสู่กันฟัง

สมัยก่อนครั้งที่ยังเป็นวัยรุ่นขบเผาะ (พูดเหมือนตอนนี้แก่แล้วอย่างงั้นแหล่ะ) จะชื่นชอบการอ่านนิตยสารแฟชั่นความงามซะเหลือเกิน ชอบมากขนาดสมัครเป็นสมาชิกนิตยสารไว้หลายฉบับ อะไรออกใหม่ ตัวไหนกำลังดัง ชั้นต้องรู้ให้หมด (กลัวจะเชย) ก็เลยตกเป็นทาสของการตลาดแบบสมบูรณ์แบบ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ประกอบกับเป็นคนที่ชอบไปแอ่วตามเคาเตอร์เครื่องสำอางมากเช่นกัน การถูกห้อมล้อมไปด้วยเครื่องสำอางมากมายช่างมีความสุขเหมือนอยู่ในสวรรค์ เหล่า BA ก้เหทมือนเป็นนางฟ้าเทวดา พูดอะไรมาก็เชื่อ เพราะคิดว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ รู้ดี รู้เยอะ...

แต่ปัจจุบัน คนที่น่ารัก โง่ ๆ ซื่อ ๆ คนนั้นได้ตายหายไปจากชีวิตของปูเป้แล้วขอรับ ตอนนี้พรรษาแก่กล้าแล้วรู้อะไรเยอะกว่าแต่ก่อน พวกคำโฆษณา คำบอกที่ฟังดูดีเมื่อก่อน ตอนนี้ได้ฟังทีนี่ฮาเหมือนดูตลกคาเฟ่ยังไงอย่างงั้น แต่ก็จะเงียบๆ เอาไว้ ฟังหูไว้หู ไม่อยากจะไปย้อนอะไรพวกหล่อนมาก กลัวเป็นข่าวหน้าหนึ่งตามหนังสือพิมพ์ โดนด้ามแปรงปัดแก้มเสียบพุงตายอนาถ

เกริ่นมาเยอะแล้ว มาลองดูกันดีกว่าว่าปูเป้เจอคำโฆษณาอะไรที่น่าสนใจและคิดว่าทุกคนน่าจะได้เคยได้ยินมาบ้างไม่มากก็น้อย





จาก BA แบรนด์เวชสำอางค์ ยี่ห้อขึ้นต้นด้วยตัว V :

"แบรนด์ของเราเป็นเวชสำอางค์นะคะ ทีมแพทย์ผิวหนังของเราบรรจงสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ ใช้แล้วไม่แพ้แน่นอนค่ะเพราะผ่านการทดสอบทางคลีนิคแล้วว่าเป็น Hypoallergenic จึงปลอดภัย"

เอ่อ ฟังดูน่าเชื่อถือ ดูดี มีหมอผิวหนังมารับรองฟันธงการันตีว่าดีเลิศ แต่เวชสำอางค์สำหรับผิวแพ้ง่ายที่ดันผสมมาทั้งสี ทั้งน้ำหอมและแอลกฮอล์ ไอ้ของพวกนี้มันเหมาะกับผิว Sensitive ตรงไหนไม่ทราบ?

แล้วที่บอกว่าเป็น "เวชสำอาง" เนี่ย รู้รึเปล่าว่ามันคืออะไร...

จริงแล้วคำว่า “เวชสำอาง” หรือ "Cosmeceutical" ก็เป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นมาลอย ๆ โดยไม่มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์มาตรฐานที่ยอมรับกันเป็นสากลว่ามันควรจะแตกต่างจาก “เครื่องสำอาง” ยังไง การอ่านและเปรียบเทียบส่วนผสมแบบง่าย ๆ ก็สามารถบอกได้แล้วว่าส่วนผสมของ “เวชสำอาง” ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวกับยา (Pharmaceutical) หรือมีอะไรที่พิเศษแตกต่างจากเครื่องสำอาง (Cosmetics)

นอกจากนี้ ทางองค์การอาหารและยาทั้งของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศเองก็ยังไม่ยอมรับคำว่า “เวชสำอาง” หรือ “Cosmeceutical” ว่าเป็น product class รูปแบบหนึ่ง ดังนั้นคำว่า “เวชสำอาง” จึงเป็นแค่ข้อความทางการตลาดเท่านั้น...

ที่บอกก็คืออยากให้ระวังตัวไว้หน่อยครับ อย่าซื้อสินค้าตัวนั้นเพียงเพราเขาะว่าเป็น "เวชสำอางค์" "เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย" เพราะมมันก็เป็นแค่ถ้อยคำทางการตลาดเท่านั้น





จาก BA แบรนด์เครื่องสำอางแนวธรรมชาติจ๋า ขึ้นต้นด้วย O :

"สวัสดีค่ะ สนใจผลิตภัณฑ์ตัวไหนคะ? แบรนด์ของเรามุ่งเน้นให้ผู้ใช้ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ ผ่อนคลาย สินต้าของเราทุกตัวใช้สารสกัดธรรมชาติคุณภาพดีค่ะ ไม่มีสารเคมีเลยนะคะ จากธรรมชาติล้วน ๆ เลยไม่ต้องห่วงเรื่องอาการแพ้เลยค่ะ แล้วแบรนด์ของเราก็ไม่ทดลองกับสัตว์จึงช่วยพิทักษ์สรรพสัตว์ด้วยนะคะ"


โอ้โห เหมือนใช้ไปแล้วได้เป็นขบวนการ 5 สี พิทักษ์โลก เรื่องไม่ทดลองกับสัตว์นี่ก็ฟังดูดีนะ...แต่มันเกี่ยวข้องอะไรกับประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์มิทราบ?

ที่ติดใจสุด ๆ ก็คือประโยคที่ว่า "มาจากธรรมชาติ ไม่มีสารเคมี" ปูเป้เรียนวิทย์กายตอนประถม เขาสอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นองประกอบทางเคมีทั้งนั้น คุณพี่จบมาจากสถาบันไหนรึขอรับ กระผมจะไปฟ้องกระทรวงศึกษาให้ปิดโรงเรียน...

ถ้าต้องการสื่อว่า "เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ไม่ใช่สารเคมีสังเคราะห์ จึงปลอดภัยกับผิว" มันก็ฟังดูดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ใช่แบบนั้นอีกนั่นแหล่ะ หมามุ่ย ตำแย ที่ก่อการระคายเคืองกับผิวได้นี่ก็มาจากธรรมชาตินะขอรับ

จริงอยู่ที่ปัจจุบันเราได้ค้นพบสารสกัดจากธรรมชาติอันทรงคุณประโยชน์หลายตัว แต่ก็ยังมีหลายตัวมีที่ผลเสียกับผิวเหมือนกัน โดยเฉพาะพวก Essential Oil หรือพวกน้ำมันหอมระเหย ที่มีผลเชิงบวกต่อเมื่อสูดดม แต่ถ้าทาไปบนผิวจะเกิดผลเชิงลบกับผิว ยกตัวอย่างเช่น Lavender Oil ที่มีกลิ่นทำให้ผ่อนคลาย แต่ถ้าทาผิวมันจะก่อการระคายเคือง ร้ายแรงที่สุดถึงขั้นเซลล์ตาย Orange Oil ที่มีกลิ่นทำให้สดชื่น แต่ถ้าทาลงบนผิวจะทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้นเป็นต้น

บางคนก็บอกกับกระผมว่า "เดี๊ยนใช้มาเป็นชาติเศษไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่เคอะ" ... ถ้ายังไม่แพ้ไม่ระคายเคืองก็คือโชคดีไปขอรับ แต่ในเมื่อมันไม่มีประโยชน์กับผิวแล้วเราจะใช้ไปทำไมล่ะ ใครที่มีผิว Sensitive จริง ๆ เลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่า





"เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด แนะนำให้ใช้ครบเซ็ทนะคะ จึงจะเห็นผล"

ปูเป้ขอบอกเอาไว้เลยว่าไม่มีเครื่องสำอางแบรนด์ใดมีผลิตภัณฑ์ที่ดีทุกตัว ต้องมีตัวที่ดีและก็ไม่ดีสลับคละกันไป (แต่บางแบรนด์หาดีไมได้เลยก็มี) ดังนั้นเราจึงควรเลือกใช้เฉพาะตัวที่มีส่วนผสมดีและคุ้มค่าน่าลงทุนก็พอ

ถ้าผลิตภัณฑืทั้งเซ็ทมี 10 ตัว แต่มีของที่ส่วนผสมดีอยู่สองตัว ที่เหลือห่วยแตกซะเกือบหมด เราจะไปเสียเงินซื้อทั้วชุดมาให้เปลืองเงิน + ทรมานหนังหน้าทำไมล่ะขอรับ

เงินเราหามายากเย็นแสนเข็น เราก็ต้องเลือกใช้แต่เฉพาะของที่ดีที่สุดเท่านั้น





จาก BA แบรนด์ขึ้นต้นด้วย C

"Toner ของเราใช้ Alcohol แบบ SD Alcohol แบบที่แพทย์ผิวหนังใช้กัน อ่อนโยน ไม่ก่อการระคายเคืองหรือทำให้ผิวแห้งตึงค่ะ"

เจ๊แน่ใจรึว่าแอลกอฮอล์ไม่ทำให้ผิวระคายเคือง ไม่ทำให้ผิวแห้งกร้าน... เจ๊ไปเอามาจากไหน ชาวบ้านชาวช่องเขาแพ้ เขาระคายเคือง เขาหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์กันจะเป็นจะตาย เจ๊ยังจะกล้าพูดอีกหรอ...





จาก BA เครื่องสำอางค์ยี่ห้อ C...

"สวัสดีครับ ตอนนี้แบรนด์เราออก Skincare เพื่อผิวที่แตกต่างของผู้ชายโดยเฉพาะเลยนะครับ"

ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีเครื่องสำอางค์สำหรับผู้ชาย เพราะจริงๆแล้วสิ่งที่ต่างกันระหว่างผิวผู้ชายกับผู้หญิงคือ ผิวผู้ชายหนากว่า หยาบกว่า มันกว่า แค่นั้น!!! แค่เลือกใช้ของที่มีขายอยู่ดาษดื่นให้เหมาะกับผิวก็จบแล้ว

skincare สำหรับผู้ชายเป็นการตลาดอย่างนึงครับ ที่แตกต่างกันแค่แพคเกจ กับที่สำคัญ "กลิ่นของน้ำหอม" ซึ่งมันไม่ได้ดีกับผิวของผู้ชายโดยเฉพาะแต่อย่างไร ส่วนใหญ่แล้วจะมีส่วนผสมที่มั่วนิ่มกันเองว่าผู้ชายจะชอบ เช่น มิ้นท์ เมนทอล ที่ก่อการระคายเคืองได้

นอกจากนี้เครื่องสำอางค์ผู้ชายมักมีให้เลือกไม่หลากหลาย ทำให้เลือกของที่ส่วนผสมดี ๆ จริงๆก็หาได้ยากกว่าเครื่องสำอางค์ผู้หญิงอีก แล้วเดี๋ยวนี้มันยุคไหนแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครเห็นผู้ชายเจ้าสำอางเป็นตัวตลกแล้วครับ อย่าเหนียมไปหน่อยเลยน่า





จากคนขายเครื่องสำอางค์แบบขายตรงยี่ห้อหนึ่ง

"แบรนด์ของเราติดอันดับขายดี 1 ใน 5ของโลกเลยนะคะ สินค้าทุกตัวล้วนวิจัยมาจากห้องทดลองระดับโลก และจดสิทธิบัตรด้วยค่ะ จึงเป็นสูตรลิขสิทธิ์เฉพาะของเราเท่านั้น จึงมั่นใจได้ว่าคุณจะได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดี ที่ไม่สามารถหาได้จากแบรนด์อื่น ๆ"


โอ............. จิงหรอ? ยอดขายไม่สามารถการันตีได้หรอกนะครับว่าของที่ขายได้เยอะจะเป็นของดี เพราะพวกนี้มันเป็นเรื่องของการตลาด จึงไม่นับ ส่วนเรื่องสูตรลิขสิทธิ์ หรือ Patented Formular นี่อธิบายได้ว่า การจดสิทธิบัตรนั้น มีข้อกำหนเเพียงแค่ว่า สิ่งที่นำมาจดนั้นจะต้องไม่ซ้ำกับใคร เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ก็เท่านั้นครับ ไม่ได้กำหนดว่ามันจะต้องดีเลิศเลอ หรือใช้งานได้จริง แล้วอีกอย่าง พวกสูตรเฉพาะเหล่านี้มักมีแค่การวิจัยของผู้ผลิตเท่านั้น ไม่ได้มีการวิจัยทดลองกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ข้อนี้จึงรับฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน





จาก BA (หรือเภสัชก็ไม่รู้) ประจำบูทเวชสำอางแบรนด์ E

"ผลิตภัณฑ์ชุดนี้ออกแบบมาเพื่อผิวเป็นสิวง่าย ใช้รักษาสิวได้อย่างตรงจุด เห็นผลชุดเจน"

การใช้ Skincare ที่เหมาะสมจะลดโอกาสการเกิดสิวอุดตันไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นสิวอักเสบก็ใช้ยารักษาสิวดีกว่าขอรับ เครื่องสำอางมันช่วยอะไรพวกนี้ไม่ค่อยได้หรอก เพราะสารที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิวได้ดีถูกขึ้นทะเบียนในรูปยาเอาไว้ ไม่มีทางที่เครื่องสำอางจะรักษาสิวได้ดีกว่า "ยา" แน่นอน





"สบู่ตัวนี้ดีมาก ๆ ค่ะ ใช้แล้วลดสิว ลดฝ้า หน้าไม่มัน ผิวขาวขึ้น คุ้มจริง ๆ ค่ะ"

สบู่เทพหรอคับ ถ้ามันทำได้จริงป่านนี้คงคงใช้แค่สบู่กันแล้วหน้าใสปิ้งเหมือนดารากันทั้งบ้านทั้งเมืองไปแล้ว





"สูตรนี้ไม่อุดตันผิวนะคะ ใช้แล้วสิวไม่ขึ้นเพราะข้างกล่องระบุเอาไว้ว่า Non - Comedogenic Non - Acnegenic"

ถ้ามันมีจริง ๆ ก็ดีน่ะสิเจ้า Skincare ในฝันแบบนี้ ความเป็นจริงที่ทำให้ตื่นจากฝันคือ ส่วนผสมทุกอย่างในเครื่องสำอาง นอกจากน้ำแล้ว มันอุดตันผิวได้หมดแหล่ะ (แค่มีโอกาสอุดตันมากหรือน้อยก็แค่นั้นเอง) กระผมเจอบ่อยมากเลยที่ข้างกล่องระบุว่าเป็น Non - Comedogenic แต่เนื้อทั้งหนักทั้งหนึบอย่างกะกาวลาเท๊กซ์ ปาร์ตี้สิวครื้นเครงออกมาวาดลวดลายเต็มหน้าตามระเบียบ...

อีกอย่างหนึ่งคือ ปัจจุบันยังไม่มีกฏหมายหรือข้อกำหนดใด ๆ ที่จะเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการวัดว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นสมควรจะได้รับคำว่า Non - Comedogenic หรือ Non - Acnegenic ไปแปะไว้ประดับข้างกล่อง จึงใคร ๆ ก็สามารถเอามาแปะได้ขอรับ





"เหมาะกับผิวมันเพราะเป็นสูตร Oil-Free"


คำว่า Oil-Free ก็แค่บอกไว้ว่าไม่มีน้ำมัน(ที่อยู่ในรูปแบบที่เรารู้จัก) เท่านั้น แต่ส่วนผสมเครื่องสำอางค์ โดยเฉพาะเนื้อครีม อีมัลชั่น โลชั่น จะมีตัวทำให้ข้น หรือ Thickener ซึ่งก็สามารถอุดตันผิวหรือทำให้เหนอะหน้าได้อยู่ดี ดังนั้นบ่อยไปที่ใช้พวก Oil-Free แล้วหน้ามันแว๊บเหมือนโดนของ





"ที่แบรนด์ของเราแพง ก็เพราะว่าเราใช้แต่ส่วนผสมคุณภาพสูงสุดและมีคุณภาพ จึงมีราคาสูงค่ะ"


จริง ๆ แล้ว ส่วนผสมต่าง ๆ ที่ใส่กันลงไปในเครื่องสำอาง มีแหล่งมาจากไม่กี่ที่หรอกครับ แล้วมันก็ต้อง Cosmetic Grade / USP Grade เหมือนกันหมด ส่วนผสมชื่อเดียวกันไม่ว่าจะในครีมขวดละ 400 หรือขวดละ 4000 มันก็มักจะมาจากแหล่งเดียวกัน ที่เราต้องจ่ายแพง ๆ ก็แพงค่าโฆษณา ค่านางแบบ ค่าการตลาด ค่าของแถม ของทดลอง ของแจก ค่าจ้างพนักงานขาย โบนัสผู้จัดการ ค่าน้ำมันรถผู้บริหาร ซึ่งไปรวมเป็นต้นทุนของครีมราคาแพง ๆ ทั้งหลายนั่นแหล่ะ

ใครอยากซื้อของแพงก็ตามสะดวกขอรับ...มันเป็นเรื่องส่วนตัว ปูเป้แค่เห็นว่า ถ้าของที่มันถูกกว่าก็ดีเทียบเท่าหรือในบางครั้งมันดีกว่าเสียอีก จะเสียเงินไปซื้อของแพง ๆ ทำไมล่ะ?





"ไลน์ของตัวนี้สำหรับผิววัย 25 - 30 ปีนะคะ ส่วนอันนี้สำหรับผิว 30 - 40 ปี ส่วนอันนี้ สำหรับผิววัย 40 ขึ้นไปค่ะ"

มันเป็นครีมมหัศจรรย์รึไงถึงรู้อายุของผิวได้? แล้วผิวทำไมผิวช่วงวัย 40 - 80 นี่มันใช้เหมือนกันล่ะครับ ทำไมถึงมีความเหลื่อมล้ำขนาดนั้นล่ะ?

จริง ๆ แล้วมันก้เป็นเรื่องของการตลาดแหกตาประชาชีทั้งนั้น เพราะไม่มีส่วนผสมใดใน Skincare สามารถระบุอายุของผิวได้

การเลือก Skincare ที่ถูกจะต้องเลือกตามสภาพผิว ไม่ใช่เลือกตามอายุเพราะความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่แตกต่างกันในช่วงวัย ก็คือ ผิวของเด็กจะสมบูรณ์ดีไม่ต้องเพิ่มเติมอะไรมากแค่ทากันแดดก็เพียงพอแล้ว พอเป็นวัยรุ่นฮอร์โมนก็จะทำให้ผิวมันมีปัญหาสิวก็อาจจะต้องใช้ผลิตภัณฑืที่มีเนื้อเบาบาง ไม่หนักหน้า พอเริ่มมีอายุมากขึ้นหน้าไม่ค่อยมันแล้วจะเป็นไปทางผิวผสมซะมากกว่า พอมาถึงวัยหมอฮอร์โมนหมดผิวก็จะแห้งก็ต้องใช้ผลิตภัณฑืที่ให้ความชุ่มชื้นสูง

เจ้าครีมราคาแพงสำหรับคนอายุ 40 - 50 + ราคาแพงโหด ที่จริงแล้วมันก็เป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูงและเคลือบผิวได้ที ซึ่งเหมาะสำหรับผิวที่แห้งกร้านขึ้นเพราะเข้าสู่วัยหมดฮอร์โมน ไม่ไ่ด้เป็นครีมวิเศษหรอกขอรับ





"ตอนนี้แบรนด์เราออกไลน์ใหม่ออกมา เหมือนกับทำทรีตเมนท์โดยแพทย์ผิวหนัง แต่คุณทำเองได้ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็น Botox หรือ Dermabration ลบริ้วรอยโดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอหรือเข็มฉีดยาให้เจ็บตัวค่ะ"


ฟังดูวิเศษสุด ๆ หมอศัลยกรรมตกงานไปกวาดถนนกันหมดทั้งโลกแน่นอน (ถ้ามันทำได้จริงอย่างที่อ้าง......)

คุณคิดว่าการ "ทา" จะให้ผลได้เหมือนการ "ฉีด" อย่างนั้นหรือ?

คุณคิดว่าการเอาผง Alumina มาขัดด้วยมือ จะให้ผลได้เทียบเท่ากับการทำ Microdermabration ที่ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทาง + ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการอบรมมาอย่างนั้นรึ?

มันก็เหมือนกับการซื้อเข็มขัดโอนามิมาเพื่อลดหน้าท้องนั่นแหล่ะ คุณคิดว่าไอ้เข็มขัดสั่น ๆ มันจะให้ผลได้เหมือนกับการออกกำลังกายและคุมอาหารได้รึยังไงกัน??? ไร้สาระ....




Create Date : 11 พฤษภาคม 2551
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2551 15:58:39 น. 13 comments
Counter : 5710 Pageviews.

 
มาอ่านข้อมูลดีๆค่ะ
เห็นด้วยที่บอกจะกะปุกละ400
หรือ4000 ส่วนผสมเหมือนกัน
แต่แพงค่าโฆษนากับค่านางแบบ
เคยอ่านเจอมาแบบนั้นเหมือนกันค่ะ

ดูแลจากภายในดีที่สุดไม่เครียด
พักผ่อนให้เพียงพอ เลือกทานอาหาร
เห็นด้วยไหมคะ


โดย: kai (aitai ) วันที่: 11 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:43:50 น.  

 
yes yes yes ตอบได้คำเดียว

ครีมลบเลือนริ้วรอยที่ได้ผลดีที่สุด ก็คือเรตินอล
แต่มันก็มีปัญหาอีกตรงที่ทุกคนไม่สามารถใช้ได้
เนื่องจากอาจแพ้หรือระคายเคือง แถมช่วงที่ใช้
ยังต้องแปลงร่างเป็นผีดิบ


โดย: ชิฟฟอนคาปูชิโน่ วันที่: 11 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:27:48 น.  

 
ขอ add เป็น friend blog นะคะ


โดย: futomomo วันที่: 12 พฤษภาคม 2551 เวลา:10:49:16 น.  

 
ความรู้แน่นจริงๆเลย


โดย: FATPIGGY วันที่: 12 พฤษภาคม 2551 เวลา:17:14:06 น.  

 
ชอบคุณปูป้มากมายยยย


โดย: Mania IP: 125.25.43.89 วันที่: 24 มิถุนายน 2551 เวลา:9:11:39 น.  

 
ค่าโง่แพงนิแหละ โดนใจมาก 55555 ขอบคุนค่ะ ได้สาระความรุ้+ความฮา ดี

ขอบคุนมาก ๆค่ะ


โดย: บี IP: 116.58.231.242 วันที่: 1 กันยายน 2551 เวลา:22:03:27 น.  

 

ฮ่า ๆ จริงด้วยค่ะ บีเอบางคนชอบทำตัวเป็นเทพ

ทั้ง ๆ ที่ยังให้ข้อมูลสินค้าผิด ๆ อยู่เลย

ที่ได้ยินมาล่าสุด เค้าบอกว่าการดึงสิวเสี้ยนออกมาทำให้หน้าเป็นรู

ต้องขัดเอา ขัดหน้าบ่อย ๆ แล้วหน้าจะเรียบ ไม่อุดตัน ผิวไม่เป็นรูด้วย เฮ้อ แค่ฟังเฉย ๆ ยังงงเลยว่ามันจะเกี่ยวกับทฤษฎีอะไรได้ตรงไหน แต่เพื่อนที่ไปด้วย หันมาทำหน้าแบบ

โอ้ พระเจ้า อย่างนี้นี่เอง ฉันต้องขัดหน้า

เฮ้อ ฟังอย่างเดียว อย่าไปเชื่อมากเลย บีเอ ไม่ใช่แพทย์


โดย: สมองสวย จิตใจงาม IP: 125.24.131.114 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:4:11:16 น.  

 
เนื้อหาถึงใจจริง อ่านแล้วก็ตาสว่างมากขึ้น


โดย: gop IP: 58.8.236.157 วันที่: 4 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:39:46 น.  

 
ถูกจัยด้ายอีก

แต่ผลิตภัณท์ตัวcเนี้ยเยอะจัง



โดย: 55 IP: 222.123.63.183 วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:37:14 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ
ได้ขอคิดดีดี อีกเยอะเลย


โดย: wanna-pum IP: 203.154.215.74 วันที่: 30 กรกฎาคม 2553 เวลา:10:43:42 น.  

 
"มันก็เหมือนกับการซื้อเข็มขัดโอนามิมาเพื่อลดหน้าท้องนั่นแหล่ะ คุณคิดว่าไอ้เข็มขัดสั่น ๆ มันจะให้ผลได้เหมือนกับการออกกำลังกายและคุมอาหารได้รึยังไงกัน??? ไร้สาระ....".....
.......
ถูกใจประโยคนี้ ม๊าก มาก คร่า


โดย: pop-up IP: unknown, 203.185.150.4 วันที่: 16 มิถุนายน 2554 เวลา:11:16:35 น.  

 
ครีม ที่มีส่วน ผสม ของ mineral oil
แล้วก็เจลล้างหน้าที่มีส่วนผสม ของ sodium laureth sulfate มีผลอะไรกับผิวมั้ยคะ พี่เป้ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ มันก่อการระคายเคือง หรือมีส่วนทำให้อุดตันผิวได้มั้ยคะ เป็นเวชสำอางยี่ห้อนึงค่ะ


โดย: เจี๊ยบ IP: 223.24.186.253 วันที่: 3 ตุลาคม 2554 เวลา:19:43:20 น.  

 
เราสามารถใช้เวชสำอางร่วมกับเครื่องสำอางได้หรือไม่ค่ะ เช่น ทาไนท์ครีมของเวชสำอางแล้วตามด้วย Pream nobu ที่เป็นวิตามิน E ค่ะ หรือทางเดย์ครีมของเวชาสำอางร่วมกับกันแดดของเครื่องสำอางค่ะ


โดย: อีฟ IP: 180.180.56.186 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2554 เวลา:11:24:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PuPe_so_Sweet
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1829 คน [?]




Advertisement


About Pupe_so_Sweet
Pupe_so_Sweet on facebook
Pupe_so_Sweet on Youtube
vr AHA project


หากมีคำถามหรือต้องการคำปรึกษา
สามารถทิ้งคำถามไว้ได้ที่หน้า Wall ของ Facebook ครับ



Web Counter


Counter Start on 29 September 2008


Search by Google

ค้นหาข้อมูลและรีวิวผลิตภัณฑ์ที่ต้องการภายในBlog ของปูเป้ได้ไม่ยากด้วย Google Search Box ด้านล่างนี้เลยขอรับ

Custom Search

Friends' blogs
[Add PuPe_so_Sweet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.