Bloggang.com : weblog for you and your gang
"ความรู้" คู่ "ความงาม"
Group Blog
พฤษภาคม 2551
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
11 พฤษภาคม 2551
"เรื่องไร้สาระที่มักได้ยิน BA ตามเคาเตอร์พูดกรอกหูบ่อย ๆ"
All Blogs
[Health] "น้ำยาบ้วนปาก" ตัวเสริมที่ขาดไม่ได้เพื่อความมั่นใจในทุกบทสนทนา
[Beauty Tips] Beautify Your Skin From Inside Out
[Health Tips] Natural Home Remedy for Soar Throat
[Health] เพิ่มเติมอีกหน่อย กับ Astaxantin สารซุปเปอร์แอนติออกซิแดนท์สารพัดประโยชน์
[Health] Astaxanthin สารสีแดงเพื่อคงผิวสวยอ่อนเยาว์
[Health] Nestlé 2-Week Plan to Good Health - Week 2
[Health] Nestlé 2-Week Plan to Good Health - Week 1
[Health] Nestlé 2-Week Plan to Good Health
[Health] 'Probiotics' สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กแต่ประโยชน์มหาศาล
[Health & Beauty] "อย่านอนดึก" คุณสนใจและเข้าใจคำห่วงใยนี้มากแค่ไหน?
[Health] "เห็ดสกัดเข้มข้น" ทางเลือกใหม่่ในการเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย?
[Tips] 'วิปโฟม' ง่าย ๆ ด้วยสองมือเรา
ใช้ Anti-Aging เร็วไป ผิวจะเหี่ยวไวจริงหรือ?
"4 Step for Beautiful Hair" by Pantene
"คิดผิด คิดใหม่" สถิติตัวเลขอันน่าตกใจ ที่คุณต้องรู้เอาไว้เกี่ยวกับ "มะเร็งปากมดลูก"
คุณมั่นใจหรือว่าเข้าใจเรื่อง Hydration ดีพอ?
คิดผิด คิดใหม่ กับ "มะเร็งปาดมดลูก" โรคร้ายที่คร่าชีวิตหญิงไทยกว่าวันละ 14 คน
Vitamin C Supplement - Do They Work?
Buzz Care : "Glutathione" "กลูต้าไธโอน" ~ ขาวเสี่ยงตาย!!!
Buzz Care : ดูแลผิวสวยในช่วงหน้าหนาว
ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล (เพราะเราไม่จำเป็นต้องรีบปิดไฟนอน)
เคล็ดไม่ลับกับการขัดผิว
"ความเครียด" ภัยร้ายของคนเมือง
มาสค์หน้าสูตร "ตามใจฉัน" ด้วยสำลีแผ่นใหญ่ของ MUJI
ดูแลสุขภาพแบบ "องค์รวม" เพื่อผิวสวยสดใส
"สับแหลก 20 ความเชื่อสุดฮิตเกี่ยวกับความงาม จริงชัวร์หรือมั่วนิ่ม?" Part : 1
"สับแหลก 20 ความเชื่อสุดฮิตเกี่ยวกับความงาม จริงชัวร์หรือมั่วนิ่ม?" Part : 2
โลกนี้ไม่มีครีมวิเศษ
"คุณมีผิวแพ้ง่ายจริงหรือ?"
"หน้าตึงแต่กระเป๋าแฟบ ของแพงมันดีกว่างั้นหรือ?" สับแหลกเบื้องหลังคำโฆษณาสินค้า Anti-Aging
"ขาวใสแบบไม่ไร้สมอง" สับแหลกเบื้องหลังผลิตภัณฑ์ Whitening
Dermatologist Tested นั้นท่านได้แต่ใดมา ???
Eye cream จำเป็นจริง ๆ หรือ?
เคล็ด(ไม่ลับ) ในการเลือกซื้อเครื่องสำอาง สไตล์ PuPe
"เรื่องไร้สาระที่มักได้ยิน BA ตามเคาเตอร์พูดกรอกหูบ่อย ๆ"
"เรื่องไร้สาระที่มักได้ยิน BA ตามเคาเตอร์พูดกรอกหูบ่อย ๆ"
สวัสดีขอรับท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน วันนี้กระผมมีเรื่องเล็ก ๆ น้อยๆ มาเล่าสู่กันฟัง
สมัยก่อนครั้งที่ยังเป็นวัยรุ่นขบเผาะ (พูดเหมือนตอนนี้แก่แล้วอย่างงั้นแหล่ะ) จะชื่นชอบการอ่านนิตยสารแฟชั่นความงามซะเหลือเกิน ชอบมากขนาดสมัครเป็นสมาชิกนิตยสารไว้หลายฉบับ อะไรออกใหม่ ตัวไหนกำลังดัง ชั้นต้องรู้ให้หมด (กลัวจะเชย) ก็เลยตกเป็นทาสของการตลาดแบบสมบูรณ์แบบ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ประกอบกับเป็นคนที่ชอบไปแอ่วตามเคาเตอร์เครื่องสำอางมากเช่นกัน การถูกห้อมล้อมไปด้วยเครื่องสำอางมากมายช่างมีความสุขเหมือนอยู่ในสวรรค์ เหล่า BA ก้เหทมือนเป็นนางฟ้าเทวดา พูดอะไรมาก็เชื่อ เพราะคิดว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ รู้ดี รู้เยอะ...
แต่ปัจจุบัน คนที่น่ารัก โง่ ๆ ซื่อ ๆ คนนั้นได้ตายหายไปจากชีวิตของปูเป้แล้วขอรับ ตอนนี้พรรษาแก่กล้าแล้วรู้อะไรเยอะกว่าแต่ก่อน พวกคำโฆษณา คำบอกที่ฟังดูดีเมื่อก่อน ตอนนี้ได้ฟังทีนี่ฮาเหมือนดูตลกคาเฟ่ยังไงอย่างงั้น แต่ก็จะเงียบๆ เอาไว้ ฟังหูไว้หู ไม่อยากจะไปย้อนอะไรพวกหล่อนมาก กลัวเป็นข่าวหน้าหนึ่งตามหนังสือพิมพ์ โดนด้ามแปรงปัดแก้มเสียบพุงตายอนาถ
เกริ่นมาเยอะแล้ว มาลองดูกันดีกว่าว่าปูเป้เจอคำโฆษณาอะไรที่น่าสนใจและคิดว่าทุกคนน่าจะได้เคยได้ยินมาบ้างไม่มากก็น้อย
จาก BA แบรนด์เวชสำอางค์ ยี่ห้อขึ้นต้นด้วยตัว V :
"แบรนด์ของเราเป็นเวชสำอางค์นะคะ ทีมแพทย์ผิวหนังของเราบรรจงสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ ใช้แล้วไม่แพ้แน่นอนค่ะเพราะผ่านการทดสอบทางคลีนิคแล้วว่าเป็น Hypoallergenic จึงปลอดภัย"
เอ่อ ฟังดูน่าเชื่อถือ ดูดี มีหมอผิวหนังมารับรองฟันธงการันตีว่าดีเลิศ แต่เวชสำอางค์สำหรับผิวแพ้ง่ายที่ดันผสมมาทั้งสี ทั้งน้ำหอมและแอลกฮอล์ ไอ้ของพวกนี้มันเหมาะกับผิว Sensitive ตรงไหนไม่ทราบ?
แล้วที่บอกว่าเป็น "เวชสำอาง" เนี่ย รู้รึเปล่าว่ามันคืออะไร...
จริงแล้วคำว่า เวชสำอาง หรือ "Cosmeceutical" ก็เป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นมาลอย ๆ โดยไม่มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์มาตรฐานที่ยอมรับกันเป็นสากลว่ามันควรจะแตกต่างจาก เครื่องสำอาง ยังไง การอ่านและเปรียบเทียบส่วนผสมแบบง่าย ๆ ก็สามารถบอกได้แล้วว่าส่วนผสมของ เวชสำอาง ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวกับยา (Pharmaceutical) หรือมีอะไรที่พิเศษแตกต่างจากเครื่องสำอาง (Cosmetics)
นอกจากนี้ ทางองค์การอาหารและยาทั้งของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศเองก็ยังไม่ยอมรับคำว่า เวชสำอาง หรือ Cosmeceutical ว่าเป็น product class รูปแบบหนึ่ง ดังนั้นคำว่า เวชสำอาง จึงเป็นแค่ข้อความทางการตลาดเท่านั้น...
ที่บอกก็คืออยากให้ระวังตัวไว้หน่อยครับ อย่าซื้อสินค้าตัวนั้นเพียงเพราเขาะว่าเป็น "เวชสำอางค์" "เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย" เพราะมมันก็เป็นแค่ถ้อยคำทางการตลาดเท่านั้น
จาก BA แบรนด์เครื่องสำอางแนวธรรมชาติจ๋า ขึ้นต้นด้วย O :
"สวัสดีค่ะ สนใจผลิตภัณฑ์ตัวไหนคะ? แบรนด์ของเรามุ่งเน้นให้ผู้ใช้ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ ผ่อนคลาย สินต้าของเราทุกตัวใช้สารสกัดธรรมชาติคุณภาพดีค่ะ ไม่มีสารเคมีเลยนะคะ จากธรรมชาติล้วน ๆ เลยไม่ต้องห่วงเรื่องอาการแพ้เลยค่ะ แล้วแบรนด์ของเราก็ไม่ทดลองกับสัตว์จึงช่วยพิทักษ์สรรพสัตว์ด้วยนะคะ"
โอ้โห เหมือนใช้ไปแล้วได้เป็นขบวนการ 5 สี พิทักษ์โลก เรื่องไม่ทดลองกับสัตว์นี่ก็ฟังดูดีนะ...แต่มันเกี่ยวข้องอะไรกับประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์มิทราบ?
ที่ติดใจสุด ๆ ก็คือประโยคที่ว่า "มาจากธรรมชาติ ไม่มีสารเคมี" ปูเป้เรียนวิทย์กายตอนประถม เขาสอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นองประกอบทางเคมีทั้งนั้น คุณพี่จบมาจากสถาบันไหนรึขอรับ กระผมจะไปฟ้องกระทรวงศึกษาให้ปิดโรงเรียน...
ถ้าต้องการสื่อว่า "เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ไม่ใช่สารเคมีสังเคราะห์ จึงปลอดภัยกับผิว" มันก็ฟังดูดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ใช่แบบนั้นอีกนั่นแหล่ะ หมามุ่ย ตำแย ที่ก่อการระคายเคืองกับผิวได้นี่ก็มาจากธรรมชาตินะขอรับ
จริงอยู่ที่ปัจจุบันเราได้ค้นพบสารสกัดจากธรรมชาติอันทรงคุณประโยชน์หลายตัว แต่ก็ยังมีหลายตัวมีที่ผลเสียกับผิวเหมือนกัน โดยเฉพาะพวก Essential Oil หรือพวกน้ำมันหอมระเหย ที่มีผลเชิงบวกต่อเมื่อสูดดม แต่ถ้าทาไปบนผิวจะเกิดผลเชิงลบกับผิว ยกตัวอย่างเช่น Lavender Oil ที่มีกลิ่นทำให้ผ่อนคลาย แต่ถ้าทาผิวมันจะก่อการระคายเคือง ร้ายแรงที่สุดถึงขั้นเซลล์ตาย Orange Oil ที่มีกลิ่นทำให้สดชื่น แต่ถ้าทาลงบนผิวจะทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้นเป็นต้น
บางคนก็บอกกับกระผมว่า "เดี๊ยนใช้มาเป็นชาติเศษไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่เคอะ" ... ถ้ายังไม่แพ้ไม่ระคายเคืองก็คือโชคดีไปขอรับ แต่ในเมื่อมันไม่มีประโยชน์กับผิวแล้วเราจะใช้ไปทำไมล่ะ ใครที่มีผิว Sensitive จริง ๆ เลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่า
"เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด แนะนำให้ใช้ครบเซ็ทนะคะ จึงจะเห็นผล"
ปูเป้ขอบอกเอาไว้เลยว่าไม่มีเครื่องสำอางแบรนด์ใดมีผลิตภัณฑ์ที่ดีทุกตัว ต้องมีตัวที่ดีและก็ไม่ดีสลับคละกันไป (แต่บางแบรนด์หาดีไมได้เลยก็มี) ดังนั้นเราจึงควรเลือกใช้เฉพาะตัวที่มีส่วนผสมดีและคุ้มค่าน่าลงทุนก็พอ
ถ้าผลิตภัณฑืทั้งเซ็ทมี 10 ตัว แต่มีของที่ส่วนผสมดีอยู่สองตัว ที่เหลือห่วยแตกซะเกือบหมด เราจะไปเสียเงินซื้อทั้วชุดมาให้เปลืองเงิน + ทรมานหนังหน้าทำไมล่ะขอรับ
เงินเราหามายากเย็นแสนเข็น เราก็ต้องเลือกใช้แต่เฉพาะของที่ดีที่สุดเท่านั้น
จาก BA แบรนด์ขึ้นต้นด้วย C
"Toner ของเราใช้ Alcohol แบบ SD Alcohol แบบที่แพทย์ผิวหนังใช้กัน อ่อนโยน ไม่ก่อการระคายเคืองหรือทำให้ผิวแห้งตึงค่ะ"
เจ๊แน่ใจรึว่าแอลกอฮอล์ไม่ทำให้ผิวระคายเคือง ไม่ทำให้ผิวแห้งกร้าน... เจ๊ไปเอามาจากไหน ชาวบ้านชาวช่องเขาแพ้ เขาระคายเคือง เขาหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์กันจะเป็นจะตาย เจ๊ยังจะกล้าพูดอีกหรอ...
จาก BA เครื่องสำอางค์ยี่ห้อ C...
"สวัสดีครับ ตอนนี้แบรนด์เราออก Skincare เพื่อผิวที่แตกต่างของผู้ชายโดยเฉพาะเลยนะครับ"
ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีเครื่องสำอางค์สำหรับผู้ชาย เพราะจริงๆแล้วสิ่งที่ต่างกันระหว่างผิวผู้ชายกับผู้หญิงคือ ผิวผู้ชายหนากว่า หยาบกว่า มันกว่า แค่นั้น!!! แค่เลือกใช้ของที่มีขายอยู่ดาษดื่นให้เหมาะกับผิวก็จบแล้ว
skincare สำหรับผู้ชายเป็นการตลาดอย่างนึงครับ ที่แตกต่างกันแค่แพคเกจ กับที่สำคัญ "กลิ่นของน้ำหอม" ซึ่งมันไม่ได้ดีกับผิวของผู้ชายโดยเฉพาะแต่อย่างไร ส่วนใหญ่แล้วจะมีส่วนผสมที่มั่วนิ่มกันเองว่าผู้ชายจะชอบ เช่น มิ้นท์ เมนทอล ที่ก่อการระคายเคืองได้
นอกจากนี้เครื่องสำอางค์ผู้ชายมักมีให้เลือกไม่หลากหลาย ทำให้เลือกของที่ส่วนผสมดี ๆ จริงๆก็หาได้ยากกว่าเครื่องสำอางค์ผู้หญิงอีก แล้วเดี๋ยวนี้มันยุคไหนแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครเห็นผู้ชายเจ้าสำอางเป็นตัวตลกแล้วครับ อย่าเหนียมไปหน่อยเลยน่า
จากคนขายเครื่องสำอางค์แบบขายตรงยี่ห้อหนึ่ง
"แบรนด์ของเราติดอันดับขายดี 1 ใน 5ของโลกเลยนะคะ สินค้าทุกตัวล้วนวิจัยมาจากห้องทดลองระดับโลก และจดสิทธิบัตรด้วยค่ะ จึงเป็นสูตรลิขสิทธิ์เฉพาะของเราเท่านั้น จึงมั่นใจได้ว่าคุณจะได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดี ที่ไม่สามารถหาได้จากแบรนด์อื่น ๆ"
โอ............. จิงหรอ? ยอดขายไม่สามารถการันตีได้หรอกนะครับว่าของที่ขายได้เยอะจะเป็นของดี เพราะพวกนี้มันเป็นเรื่องของการตลาด จึงไม่นับ ส่วนเรื่องสูตรลิขสิทธิ์ หรือ Patented Formular นี่อธิบายได้ว่า การจดสิทธิบัตรนั้น มีข้อกำหนเเพียงแค่ว่า สิ่งที่นำมาจดนั้นจะต้องไม่ซ้ำกับใคร เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ก็เท่านั้นครับ ไม่ได้กำหนดว่ามันจะต้องดีเลิศเลอ หรือใช้งานได้จริง แล้วอีกอย่าง พวกสูตรเฉพาะเหล่านี้มักมีแค่การวิจัยของผู้ผลิตเท่านั้น ไม่ได้มีการวิจัยทดลองกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ข้อนี้จึงรับฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
จาก BA (หรือเภสัชก็ไม่รู้) ประจำบูทเวชสำอางแบรนด์ E
"ผลิตภัณฑ์ชุดนี้ออกแบบมาเพื่อผิวเป็นสิวง่าย ใช้รักษาสิวได้อย่างตรงจุด เห็นผลชุดเจน"
การใช้ Skincare ที่เหมาะสมจะลดโอกาสการเกิดสิวอุดตันไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นสิวอักเสบก็ใช้ยารักษาสิวดีกว่าขอรับ เครื่องสำอางมันช่วยอะไรพวกนี้ไม่ค่อยได้หรอก เพราะสารที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิวได้ดีถูกขึ้นทะเบียนในรูปยาเอาไว้ ไม่มีทางที่เครื่องสำอางจะรักษาสิวได้ดีกว่า "ยา" แน่นอน
"สบู่ตัวนี้ดีมาก ๆ ค่ะ ใช้แล้วลดสิว ลดฝ้า หน้าไม่มัน ผิวขาวขึ้น คุ้มจริง ๆ ค่ะ"
สบู่เทพหรอคับ ถ้ามันทำได้จริงป่านนี้คงคงใช้แค่สบู่กันแล้วหน้าใสปิ้งเหมือนดารากันทั้งบ้านทั้งเมืองไปแล้ว
"สูตรนี้ไม่อุดตันผิวนะคะ ใช้แล้วสิวไม่ขึ้นเพราะข้างกล่องระบุเอาไว้ว่า Non - Comedogenic Non - Acnegenic"
ถ้ามันมีจริง ๆ ก็ดีน่ะสิเจ้า Skincare ในฝันแบบนี้ ความเป็นจริงที่ทำให้ตื่นจากฝันคือ ส่วนผสมทุกอย่างในเครื่องสำอาง นอกจากน้ำแล้ว มันอุดตันผิวได้หมดแหล่ะ (แค่มีโอกาสอุดตันมากหรือน้อยก็แค่นั้นเอง) กระผมเจอบ่อยมากเลยที่ข้างกล่องระบุว่าเป็น Non - Comedogenic แต่เนื้อทั้งหนักทั้งหนึบอย่างกะกาวลาเท๊กซ์ ปาร์ตี้สิวครื้นเครงออกมาวาดลวดลายเต็มหน้าตามระเบียบ...
อีกอย่างหนึ่งคือ ปัจจุบันยังไม่มีกฏหมายหรือข้อกำหนดใด ๆ ที่จะเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการวัดว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นสมควรจะได้รับคำว่า Non - Comedogenic หรือ Non - Acnegenic ไปแปะไว้ประดับข้างกล่อง จึงใคร ๆ ก็สามารถเอามาแปะได้ขอรับ
"เหมาะกับผิวมันเพราะเป็นสูตร Oil-Free"
คำว่า Oil-Free ก็แค่บอกไว้ว่าไม่มีน้ำมัน(ที่อยู่ในรูปแบบที่เรารู้จัก) เท่านั้น แต่ส่วนผสมเครื่องสำอางค์ โดยเฉพาะเนื้อครีม อีมัลชั่น โลชั่น จะมีตัวทำให้ข้น หรือ Thickener ซึ่งก็สามารถอุดตันผิวหรือทำให้เหนอะหน้าได้อยู่ดี ดังนั้นบ่อยไปที่ใช้พวก Oil-Free แล้วหน้ามันแว๊บเหมือนโดนของ
"ที่แบรนด์ของเราแพง ก็เพราะว่าเราใช้แต่ส่วนผสมคุณภาพสูงสุดและมีคุณภาพ จึงมีราคาสูงค่ะ"
จริง ๆ แล้ว ส่วนผสมต่าง ๆ ที่ใส่กันลงไปในเครื่องสำอาง มีแหล่งมาจากไม่กี่ที่หรอกครับ แล้วมันก็ต้อง Cosmetic Grade / USP Grade เหมือนกันหมด ส่วนผสมชื่อเดียวกันไม่ว่าจะในครีมขวดละ 400 หรือขวดละ 4000 มันก็มักจะมาจากแหล่งเดียวกัน ที่เราต้องจ่ายแพง ๆ ก็แพงค่าโฆษณา ค่านางแบบ ค่าการตลาด ค่าของแถม ของทดลอง ของแจก ค่าจ้างพนักงานขาย โบนัสผู้จัดการ ค่าน้ำมันรถผู้บริหาร ซึ่งไปรวมเป็นต้นทุนของครีมราคาแพง ๆ ทั้งหลายนั่นแหล่ะ
ใครอยากซื้อของแพงก็ตามสะดวกขอรับ...มันเป็นเรื่องส่วนตัว ปูเป้แค่เห็นว่า ถ้าของที่มันถูกกว่าก็ดีเทียบเท่าหรือในบางครั้งมันดีกว่าเสียอีก จะเสียเงินไปซื้อของแพง ๆ ทำไมล่ะ?
"ไลน์ของตัวนี้สำหรับผิววัย 25 - 30 ปีนะคะ ส่วนอันนี้สำหรับผิว 30 - 40 ปี ส่วนอันนี้ สำหรับผิววัย 40 ขึ้นไปค่ะ"
มันเป็นครีมมหัศจรรย์รึไงถึงรู้อายุของผิวได้? แล้วผิวทำไมผิวช่วงวัย 40 - 80 นี่มันใช้เหมือนกันล่ะครับ ทำไมถึงมีความเหลื่อมล้ำขนาดนั้นล่ะ?
จริง ๆ แล้วมันก้เป็นเรื่องของการตลาดแหกตาประชาชีทั้งนั้น เพราะไม่มีส่วนผสมใดใน Skincare สามารถระบุอายุของผิวได้
การเลือก Skincare ที่ถูกจะต้องเลือกตามสภาพผิว ไม่ใช่เลือกตามอายุเพราะความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่แตกต่างกันในช่วงวัย ก็คือ ผิวของเด็กจะสมบูรณ์ดีไม่ต้องเพิ่มเติมอะไรมากแค่ทากันแดดก็เพียงพอแล้ว พอเป็นวัยรุ่นฮอร์โมนก็จะทำให้ผิวมันมีปัญหาสิวก็อาจจะต้องใช้ผลิตภัณฑืที่มีเนื้อเบาบาง ไม่หนักหน้า พอเริ่มมีอายุมากขึ้นหน้าไม่ค่อยมันแล้วจะเป็นไปทางผิวผสมซะมากกว่า พอมาถึงวัยหมอฮอร์โมนหมดผิวก็จะแห้งก็ต้องใช้ผลิตภัณฑืที่ให้ความชุ่มชื้นสูง
เจ้าครีมราคาแพงสำหรับคนอายุ 40 - 50 + ราคาแพงโหด ที่จริงแล้วมันก็เป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูงและเคลือบผิวได้ที ซึ่งเหมาะสำหรับผิวที่แห้งกร้านขึ้นเพราะเข้าสู่วัยหมดฮอร์โมน ไม่ไ่ด้เป็นครีมวิเศษหรอกขอรับ
"ตอนนี้แบรนด์เราออกไลน์ใหม่ออกมา เหมือนกับทำทรีตเมนท์โดยแพทย์ผิวหนัง แต่คุณทำเองได้ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็น Botox หรือ Dermabration ลบริ้วรอยโดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอหรือเข็มฉีดยาให้เจ็บตัวค่ะ"
ฟังดูวิเศษสุด ๆ หมอศัลยกรรมตกงานไปกวาดถนนกันหมดทั้งโลกแน่นอน (ถ้ามันทำได้จริงอย่างที่อ้าง......)
คุณคิดว่าการ "ทา" จะให้ผลได้เหมือนการ "ฉีด" อย่างนั้นหรือ?
คุณคิดว่าการเอาผง Alumina มาขัดด้วยมือ จะให้ผลได้เทียบเท่ากับการทำ Microdermabration ที่ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทาง + ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการอบรมมาอย่างนั้นรึ?
มันก็เหมือนกับการซื้อเข็มขัดโอนามิมาเพื่อลดหน้าท้องนั่นแหล่ะ คุณคิดว่าไอ้เข็มขัดสั่น ๆ มันจะให้ผลได้เหมือนกับการออกกำลังกายและคุมอาหารได้รึยังไงกัน??? ไร้สาระ....
Create Date : 11 พฤษภาคม 2551
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2551 15:58:39 น.
13 comments
Counter : 5710 Pageviews.
Share
Tweet
มาอ่านข้อมูลดีๆค่ะ
เห็นด้วยที่บอกจะกะปุกละ400
หรือ4000 ส่วนผสมเหมือนกัน
แต่แพงค่าโฆษนากับค่านางแบบ
เคยอ่านเจอมาแบบนั้นเหมือนกันค่ะ
ดูแลจากภายในดีที่สุดไม่เครียด
พักผ่อนให้เพียงพอ เลือกทานอาหาร
เห็นด้วยไหมคะ
โดย: kai (
aitai
) วันที่: 11 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:43:50 น.
yes yes yes ตอบได้คำเดียว
ครีมลบเลือนริ้วรอยที่ได้ผลดีที่สุด ก็คือเรตินอล
แต่มันก็มีปัญหาอีกตรงที่ทุกคนไม่สามารถใช้ได้
เนื่องจากอาจแพ้หรือระคายเคือง แถมช่วงที่ใช้
ยังต้องแปลงร่างเป็นผีดิบ
โดย:
ชิฟฟอนคาปูชิโน่
วันที่: 11 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:27:48 น.
ขอ add เป็น friend blog นะคะ
โดย:
futomomo
วันที่: 12 พฤษภาคม 2551 เวลา:10:49:16 น.
ความรู้แน่นจริงๆเลย
โดย:
FATPIGGY
วันที่: 12 พฤษภาคม 2551 เวลา:17:14:06 น.
ชอบคุณปูป้มากมายยยย
โดย: Mania IP: 125.25.43.89 วันที่: 24 มิถุนายน 2551 เวลา:9:11:39 น.
ค่าโง่แพงนิแหละ โดนใจมาก 55555 ขอบคุนค่ะ ได้สาระความรุ้+ความฮา ดี
ขอบคุนมาก ๆค่ะ
โดย: บี IP: 116.58.231.242 วันที่: 1 กันยายน 2551 เวลา:22:03:27 น.
ฮ่า ๆ จริงด้วยค่ะ บีเอบางคนชอบทำตัวเป็นเทพ
ทั้ง ๆ ที่ยังให้ข้อมูลสินค้าผิด ๆ อยู่เลย
ที่ได้ยินมาล่าสุด เค้าบอกว่าการดึงสิวเสี้ยนออกมาทำให้หน้าเป็นรู
ต้องขัดเอา ขัดหน้าบ่อย ๆ แล้วหน้าจะเรียบ ไม่อุดตัน ผิวไม่เป็นรูด้วย เฮ้อ แค่ฟังเฉย ๆ ยังงงเลยว่ามันจะเกี่ยวกับทฤษฎีอะไรได้ตรงไหน แต่เพื่อนที่ไปด้วย หันมาทำหน้าแบบ
โอ้ พระเจ้า อย่างนี้นี่เอง ฉันต้องขัดหน้า
เฮ้อ ฟังอย่างเดียว อย่าไปเชื่อมากเลย บีเอ ไม่ใช่แพทย์
โดย: สมองสวย จิตใจงาม IP: 125.24.131.114 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:4:11:16 น.
เนื้อหาถึงใจจริง อ่านแล้วก็ตาสว่างมากขึ้น
โดย: gop IP: 58.8.236.157 วันที่: 4 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:39:46 น.
ถูกจัยด้ายอีก
แต่ผลิตภัณท์ตัวcเนี้ยเยอะจัง
โดย: 55 IP: 222.123.63.183 วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:37:14 น.
ขอบคุณมากค่ะ
ได้ขอคิดดีดี อีกเยอะเลย
โดย: wanna-pum IP: 203.154.215.74 วันที่: 30 กรกฎาคม 2553 เวลา:10:43:42 น.
"มันก็เหมือนกับการซื้อเข็มขัดโอนามิมาเพื่อลดหน้าท้องนั่นแหล่ะ คุณคิดว่าไอ้เข็มขัดสั่น ๆ มันจะให้ผลได้เหมือนกับการออกกำลังกายและคุมอาหารได้รึยังไงกัน??? ไร้สาระ....".....
.......
ถูกใจประโยคนี้ ม๊าก มาก คร่า
โดย: pop-up IP: unknown, 203.185.150.4 วันที่: 16 มิถุนายน 2554 เวลา:11:16:35 น.
ครีม ที่มีส่วน ผสม ของ mineral oil
แล้วก็เจลล้างหน้าที่มีส่วนผสม ของ sodium laureth sulfate มีผลอะไรกับผิวมั้ยคะ พี่เป้ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ มันก่อการระคายเคือง หรือมีส่วนทำให้อุดตันผิวได้มั้ยคะ เป็นเวชสำอางยี่ห้อนึงค่ะ
โดย: เจี๊ยบ IP: 223.24.186.253 วันที่: 3 ตุลาคม 2554 เวลา:19:43:20 น.
เราสามารถใช้เวชสำอางร่วมกับเครื่องสำอางได้หรือไม่ค่ะ เช่น ทาไนท์ครีมของเวชสำอางแล้วตามด้วย Pream nobu ที่เป็นวิตามิน E ค่ะ หรือทางเดย์ครีมของเวชาสำอางร่วมกับกันแดดของเครื่องสำอางค่ะ
โดย: อีฟ IP: 180.180.56.186 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2554 เวลา:11:24:39 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
PuPe_so_Sweet
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1829 คน [
?
]
Advertisement
หากมีคำถามหรือต้องการคำปรึกษา
สามารถทิ้งคำถามไว้ได้ที่หน้า Wall ของ Facebook ครับ
Web Counter
Counter Start on 29 September 2008
Search by Google
ค้นหาข้อมูลและรีวิวผลิตภัณฑ์ที่ต้องการภายในBlog ของปูเป้ได้ไม่ยากด้วย Google Search Box ด้านล่างนี้เลยขอรับ
Custom Search
Friends' blogs
Webmaster - BlogGang
[Add PuPe_so_Sweet's blog to your web]
Links
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
เห็นด้วยที่บอกจะกะปุกละ400
หรือ4000 ส่วนผสมเหมือนกัน
แต่แพงค่าโฆษนากับค่านางแบบ
เคยอ่านเจอมาแบบนั้นเหมือนกันค่ะ
ดูแลจากภายในดีที่สุดไม่เครียด
พักผ่อนให้เพียงพอ เลือกทานอาหาร
เห็นด้วยไหมคะ