"ความรู้" คู่ "ความงาม"
Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
7 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
"สับแหลก 20 ความเชื่อสุดฮิตเกี่ยวกับความงาม จริงชัวร์หรือมั่วนิ่ม?" Part : 2


สวัสดีขอรับ ห่างหายไปนานเลยทีเดียวหลังจากบทความล่าสุด (แต่รีวิวก็เข็นออกมาเรื่อย ๆ) วันนี้ก็มีสิ่งที่น่าสนใจและคิดว่าทุกท่านน่าจะได้ลองอ่านดูเพื่อจะได้รู้เท่าทันวงการเครื่องสำอางให้มากขึ้นอีกสักหน่อย

"สับแหลก 20 ความเชื่อสุดฮิตเกี่ยวกับความงาม จริงชัวร์หรือมั่วนิ่ม?" นั้นแปลและดัดแปลงเพิ่มเติมมาจาก "20 Beauty Myths" โดย Paula Begoun ซึ่งเผยแพร่เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านสำหรับสมาชิก Beauty Bulletin กระผมเล็งเห็นว่าสิ่งนี้มีประโยชน์มากทีเดียว และมันก็มักเป็นสิ่งที่ถูกถามและเข้าใจผิดบ่อย ๆ จึงได้เริ่มแปลเพื่อนำเสนอให้ทุกท่านได้อ่านกัน แต่กระผมก็ไม่แปลอย่างเดียวเท่านั้น ได้ทำการเพิ่มเติมเนื้อหาละรายละเอียด ยกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นอีกด้วย จึงหวังว่าทุกท่านจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับบทความที่นำเสนอนี้




เนื่องด้วยความที่บทความมันยาวเหยียด 20 หน้า A4 เลยต้องทำการแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ Part : 1 กับ Part : 2 เพราะเนื้อหานั้นเยอะเกินที่จะลงใน Blog เดียวได้

Part : 1


Myth #1 : มีผลิตภัณฑ์ Skin-Care ที่ให้ผลดีเทียบเท่าหรือดีกว่าการทำ Botox และ Dermal Fillers

**Myth #1-1:สารที่ใช้ทำ Derma Filler อย่าง “Radiesse” และ “Restylane” นั้นเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน

Myth#2 : คุณควรเลือกใช้ Skin-Care ที่แบ่งกลุ่มตามอายุของคุณ

Myth #3 :ผลิตภัณฑ์ที่แปะไว้ว่า "Hypoallergenic" นั้นดีและเหมาะสมกับผู้ที่มีผิว Sensitive

**Myth #3-1 : ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนัง” หรือ "Dermatologist tested" นั้นสามารถยืนยันได้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้น ๆ สามารถไว้ใจได้และมีประสิทธิภาพตามที่กล่าวอ้างไว้

**Myth #3-2 : “บริษัทที่ผลิตเวชสำอาง”” หรือ “Cosmeceutical Companies” นั้นทำผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่า “บริษัทที่ผลิตเครื่องสำอาง” หรือ “Cosmetics Companies”

Myth #4 : วิธีที่ดีที่สุดในการกำจัด “จุดด่างดำจากวัยที่มากขึ้น” หรือ “Age Spots” นั้นคือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาว่าเป็น Skin Lighteners / Whiteners หรือผลิตภัณฑ์ที่กล่าวอ้างว่าสามารถช่วยขจัดจุดด่างดำได้

Myth #5 : ปัญหาสิวจากฮอร์โมนจะหายหรือหมดไปคุณผ่านช่วงวัยรุ่นหรืออายุเลย 20 ไปแล้ว

- Myth #5-1 : สิวเกิดขึ้นเพราะอาหารการกินที่ไม่ถูกต้อง

- Myth #5-2 : ถ้าคุณล้างหน้าอย่างสะอาดหมดจด... คุณก็จะล้างกำจัดสิวออกไปได้ด้วย!!!

- Myth #5-3 : ความเครียดกระตุ้นให้เกิดสิว...

- Myth #5-4 : ยาสีฟันสามารถใช้แต้มรักษาสิวได้!!!


Myth #6: เครื่องสำอางหรือ Makeup ทำให้เกิดสิว (Acne)

Myth #7 : คำโปรยข้างกล่องที่มักแปะว่า “จากผลการทดสอบของเราบ่งชี้ว่า .... บลา ๆ ๆ” สามาบอกได้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีประสิทธิภาพดีมากน้อยแค่ไหน...

Myth #8 : การทาเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของคอลาเจนหรืออีลาสตินจะสามารถเพิ่มปริมาณคอลาเจนและอีล่าสตินในผิวได้ ทำให้ริ้วรอยจางลงอย่างได้ผล!!!

Myth #9 : Eye creams นั้นถูกทำขึ้นมาเพื่อผิวบริเวณรอบดวงตาเป็นพิเศษ

Myth #10 : มีเครื่องสำอางที่สามารถลดเลือนริ้วรอยลึก (Wrinkles) ได้จริง


Part : 2


Myth #11 : เครื่องสำอางราคาแพงนั้นดีกว่าเครื่องสำอางราคาถูก

Myth #12 : Mineral Oil เป็นสิ่งไม่ดี เป็นส่วนผสมที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติเพราะมันได้มาจากน้ำมันดิบ

Myth #13 : ส่วนผสมที่ได้มาจากธรรมชาตินั้นดีต่อผิวมากกว่าส่วนผสมที่ได้มาจากการสังเคราะห์

Myth #14 : ความรู้สึกเย็นซาบซ่า วูบวาบ ที่เกิดขึ้นจากการทาเครื่องสำอาง เป็นสัญญาณบอกว่าผลิตภัณฑ์กำลังทำงานอยู่

Myth #15 : สิวเสี้ยน สิวหัวดำ เกิดขึ้นจากฝุ่นและสิ่งสกปรก ซึ่งคุณสามารถใช้ Scrub เพื่อขจัดมันออกไปได้

Myth #16 : คุณสามารถควบคุมการผลิตน้ำมันของต่อมไขมันได้ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เหมาะสม...

Myth #17 : ผิวแห้งเกิดขึ้นจากการที่ผิวขาดน้ำ หรือเกิดขึ้นเพราะคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ

Myth #18 : ทุกคนต้องใช้ Day Cream และ Night Cream เพราะผิวต้องการการบำรุงที่แตกต่างในเวลากลางคืน

Myth #19 : คุณควรเปลี่ยนเครื่องสำอางที่ใช้ไปเรื่อย ๆ เพราะถ้าคุณใช้เครื่องสำอางตัวใดตัวหนึ่งไปนาน ๆ ผิวคุณจะเริ่ม “ชิน” ทำให้ผลิตภัณฑ์ตัวเดิมใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป

Myth #20 : ชั้นควรจะใช้แต่สิ่งที่ชั้นชอบเท่านั้น นั่นแหล่ะคือวิธีการบำรุงผิวที่ดีที่สุด


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Credits : Paula Begoun / //www.cosmeticscop.com
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




แต่อย่างไรก็ดี การเป็นผู้อ่านที่ดีก็ควรใช้วิจารณญาญในการอ่านและคิดวิเคราห์ด้วยตนเองว่าเลือกที่จะเชื่อหรือไม่อย่างไร และควรศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจด้วยนะขอรับ เพราะกระผมไม่ได้คาดหวังให้ผู้อ่านจะเชื่อสิ่งที่ปูเป้ได้เขียนเอาไว้ทั้งหมด เพียงแต่ต้องการตุ้นให้เกิดความเข้าใจ วิธีการ กลลวง และการตลาด ของวงการเครื่องสำอางให้มากขึ้น ไม่ได้หมายความคุณควรจะระแวงวิตกจริตทุกเรื่องไป... แต่คุณควรเลือกที่จะเชื่อข้อมูลและคำโฆษณาอย่างมีสติ...ก็เท่านั้น...





Part : 2


Myth #11 : เครื่องสำอางราคาแพงนั้นดีกว่าเครื่องสำอางราคาถูก

Fact : ความจริงในโลกของเครื่องสำอางนั้นมีทั้งผลิตภัณฑ์ที่ดีและไม่ดีปะปนกันไปในทุกช่วงราคา และจำนวนเงินแพง ๆ ที่คุณจ่ายไปเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์สักตัวไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าของถูก...

สบู่ก้อนราคาแพงอย่างของ Erno Laszlo ก็ไมได้ดีกับผิวมากไปกว่าสบู่ก้อน Dove ราคาไม่กี่สิบบาท (เพราะทั้งคู่ก็แย่กับผิวคุณพอ ๆ กัน)

โทนเนอร์สูตรอ่อนโยนปราศจากแอลกอฮอล์ของ Neutrogena นั้นอาจจะดีเทียบเท่าหรือบางครั้งอาจจะดีกว่าโทนเนอร์ราคาแพงอย่าง Orlane หรือ Sisley เสียด้วยซ้ำไป

ถ้าคุณลองอ่านส่วนผสมดู... คุณก็จะเห็นความจริงได้ไม่ยาก ที่เครื่องสำอางราคาแพงบางตัวนั้นมีแต่ส่วนผสมที่ช่วยเคลือบผิวธรรมดา ๆ แต่ผลิตภัณฑ์ราคาประหยัดบางตัวกลับมีส่วนผสมที่ยอดเยี่ยมและหลากหลายไปด้วยสารบำรุง

การจ่ายเงินน้อยไม่ได้ทำให้ผิวคุณย่ำแย่ลง และการจ่ายเงินเยอะก็ไม่ได้ช่วยให้ผิวคุณดีขึ้น เรื่องของ Skin-Care นั้นอยู่ที่ส่วนผสม...ไม่ใช่จำนวนเงินที่ต้องจ่าย...




Myth #12 : Mineral Oil เป็นสิ่งไม่ดี เป็นส่วนผสมที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติเพราะมันได้มาจากน้ำมันดิบ

Fact : คุณจะได้ยินคำพูดนี้บ่อย ๆ จากปากของคนที่ใช้หรือขายเครื่องสำอางที่เน้นจุดขายความเป็นธรรมชาติซะส่วนใหญ่... ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่า “น้ำมันดิบ” ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ส่วนที่แยกออกมาเป็น Mineral Oil และ Petrolatum (วาสลีน) ก็เป็นของจากธรรมชาติเหมือนกัน

Mineral Oil และ Petrolatum ที่เป็น Cosmetics-Grade นั้นได้ถูกยอมรับโดยสากลแล้วว่าเป็นหนึ่งในส่วนผสมที่ปลอดภัยและปราศจากการระคายเคือง คุณสมบัติในการเคลือบผิวโดยปราศจากการระคายเคืองของมันจะช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิว และยังมีข้อมูลสนับสนุนว่ามันช่วยทำให้แผลหายไวขึ้นอีกด้วย

ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นนี้เกิดขึ้นจากบริษัทเครื่องสำอางบางบริษัทนำข้อมูลผลเสียและอันตรายของ Mineral Oil ที่ยังไม่ได้ผ่านการทำให้บริสุทธิ์ออกมาเปิดเผย ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับ Mineral Oil ที่ใช้กันในเครื่องสำอางที่ต้องเป็น USP (United States Pharmacopeia) หรือ BP (British Pharmacopeia)

(Sources: International Journal of Cosmetic Science, October 2007, pages 385-390; Journal of Dermatologic Science, May 2008, pages 135-142; Dermatitis, September 2004, pages 109-116; and International Wound Journal, September 2006, pages 181-187).




Myth #13 : ส่วนผสมที่ได้มาจากธรรมชาตินั้นดีต่อผิวมากกว่าส่วนผสมที่ได้มาจากการสังเคราะห์


Fact : ส่วนผสมบางตัวที่ฟังดูไม่ธรรมชาติ แต่จริง ๆ แล้วมันได้มากจากพืชหรือจากธรรมชาติก็มีเยอะแยะไป ยกตัวอย่าง Cocoamphoacetate ซึ่งเป็นสารทำความสะอาดแบบอ่อนโยนที่ใช้กันทั่วไปก็ได้มาจากมะพร้าว ส่วน Polysorbate 20 ที่เป็น Emulsifier ก็ได้มาจากน้ำมันมะพร้าวอีกเหมือนกัน...

แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาตินั้นฟังดูดี แต่จะบอกว่าส่วนผสมที่มาจากธรรมชาตินั้นดีต่อผิวมากกว่าสารที่สังเคราะห์ขึ้นนั้นก็ไม่ถูก เพราะยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่จะมียืนยันความถูกต้องของความคิดนี้ได้

Dr. Linda M. Katz ดำรงตำแหน่ง director of the Food and Drug Administration's Office of Cosmetics and Colors กล่าวไว้ใน New York Times ฉบับ November 1, 2007 ว่า “ผู้บริโภคไม่ควรคิดไปเองว่า ส่วนผสมที่เป็น 'organic' หรือ 'natural' นั้นจะปลอดภัยกว่าส่วนผสมที่มีชื่อเดียวกันแต่ได้มากจากการสังเคราะห์ ความจริงแล้วส่วนผสมที่ได้มากจากธรรมชาตินั้นมักจะง่ายต่อการปนเปื้อนของเชื้อโรค และมีโอกาสที่ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ง่ายกว่าสารสังเคราะห์”

และ Joan Shaffer โฆษกของ United States Department of Agriculture (USDA) ก็บอกว่า “ผู้บริโภคไม่ควรเข้าใจผิดว่า ตราสัญลักษณ์ Organic Seal ของ USDA ที่แปะลงบนเครื่องสำอางจะหมายถึงการรับรองเรื่องประสิทธิภาพหรือประโยชน์ต่อผิวตามที่ผู้ผลิตโฆษณา”

(Source: //www.ams.usda.gov/nop/FactSheets/Backgrounder.html)




Myth #14 : ความรู้สึกเย็นซาบซ่า วูบวาบ ที่เกิดขึ้นจากการทาเครื่องสำอาง เป็นสัญญาณบอกว่าผลิตภัณฑ์กำลังทำงานอยู่

Fact : ความเย็นซาบซ่าจากส่วนผสมอย่าง Menthol, Peppermint, Camphor และ Mint เรียกว่า “Counter-irritants” โดย Counter-irritants นั้นใช้เพื่อไปลดอาการอักเสบของเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกลงไปด้วยความเย็นซาบซ่าที่มันก่อขึ้น แต่ข้อแลกเปลี่ยนคืออาการเย็นซาบซ่านั้นจะทำให้ผิวชั้นนอกเกิดการระคายเคือง อักเสบและก่อความเสียหายแก่คอลาเจนกับอีลาสติน และทำให้กระบวนการซ่อมแซมตัวเองของผิวนั้นด้อยประสิทธิภาพลง และถึงคุณจะมีผิวที่แข็งแรงมากจนสารก่อการระคายเคืองเหล่านี้ไม่ทำให้ผิวคุณออกอาการย่ำแย่ออกมา ก็ไม่ได้หมายความว่าผิวคุณจะได้ถูกทำร้ายจากสารเหล่านี้...

ส่วนผสมเหล่านี้อาจจะมีผลดีกับการถูนวดบริเวณที่ปวดเมื่อยหรืออักเสบตามบริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะนำมาใช้กับผิวหน้าหรือผิวกายเป็นประจำทุกวันเลย...

ถ้าคุณไม่รู้ว่าส่วนผสมพวก Counter-irritants นั้นทำร้ายผิวคุณยังไง ก็ลองเอายาหม่องหรือครีมเคาเตอร์เพนไปทาหน้าดูละกันขอรับ....

(Sources: Archives of Dermatologic Research, May 1996, pages 245-248; Code of Federal Regulations Title 21-Food and Drugs, revised April 1, 2001, CITE: 21CFR310.545, //www.fda.gov/; and //www.naturaldatabase.comSkin; Research and Technology, November 2001, pages 227-237).




Myth #15 : สิวเสี้ยน สิวหัวดำ เกิดขึ้นจากฝุ่นและสิ่งสกปรก ซึ่งคุณสามารถใช้ Scrub เพื่อขจัดมันออกไปได้

Fact : สิวเสี้ยนและสิวหัวดำ (สิวอุดตัน) ไม่ได้เกิดจากสิ่งสกปรก... จุดเริ่มต้นของมันเกิดขึ้นจากการที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไปเนื่องจากฮอร์โมนไม่ปกติ เมื่อรวมเข้ากับสภาพรูขุมขนที่มีรูปทรงที่ไม่สมบูรณ์ มีเซลล์ผิวที่ตายแล้วไปปิดอยู่ทำให้น้ำมันที่ผลิตออกมาระบายออกไปไม่ได้ ผลก็คือเกิดการอุดตันเป็น “สิวอุดตัน” แล้วส่วนปลายของก้อนไขมันอุดตันที่โผล่ออกมาสัมผัสอากาศ ก็จะไป oxidize กับออกซิเจนจนเปลี่ยนเป็น “สีดำ”…

ดังนั้นการสครับผิวจึงไม่สามารถขจัดสิวเสี้ยนออกไปได้... (อย่างน้อยก็ไม่สามารถขจัดมันออกไปได้หมด) เพราะการขัดผิวจะขัดแค่ส่วนปลายของสิวอุดตันออกไปเท่านั้น ก้อนไขมันอุดตันที่เหลืออีกยาวเหยียดก็ยังคงฝังอยู่ในรูขุมขนเหมือนเดิมและมันก็จะ oxidize จนกลายเป็นสีดำต่อไปในเวลาไม่นาน...

ลองเปลี่ยนไปใช้ BHA (salicylic acid) ที่มีความเข้มข้น 1 - 2 % และมีค่า pH อยู่ระหว่าง 3.5 – 4 ซึ่งสามารถละลายในน้ำมันและซึมลงไปในรูขุมขนเพื่อ Exfoliate ขจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพและไขมันที่สะสมให้หลุดออกไปได้




Myth #16 : คุณสามารถควบคุมการผลิตน้ำมันของต่อมไขมันได้ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เหมาะสม...

Fact : อาจจะเป็นไปได้... แต่มีอุปสรรคมากมายเพราะเรายังไม่เข้าใจกระบวนการนี้อย่างแท้จริง...

ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้ต่อมน้ำมันผลิตน้ำมันออกมามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับฮอร์โมน androgens และ estrogen (ฮอร์โมนเพศชายและหญิง) และเครื่องสำอาง (หรือเวชสำอาง) ก็ไม่มีส่วนผสมตัวใดที่เมื่อทาลงบนผิวแล้วจะสามารถไปควบคุมฮอร์โมนเหล่านี้ได้จากภายนอก ในทางกลับกัน ส่วนผสมของเครื่องสำอางที่ก่อการอักเสบหรือระคายเคืองกับผิว จะสามารถไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากผิดปกติได้...

ปัจจุบันนี้ ทางเลือกทีได้ผลและเป็นที่ยอมรับแล้วว่าช่วยในการลดการผลิตน้ำมันของต่อมไขมันได้จริงจะจัดอยู่ในรูปของยา อย่างยาคุมที่ไปช่วยลดฮอร์โมนเพศชาย หรือยา Isotretinoin (Roaccutane) ที่เป็นยากลุ่มกรดวิตามินเอที่ใช้รับประทาน เป็นต้น

มีการวิจัยบางชิ่นบ่งชี้ว่า Niacinamide หรือวิตามิน B3 ที่ใส่ในเครื่องสำอางสามารถช่วยลดการผลิตน้ำมันของต่อมไขมันได้ แต่ยังไม่มีใครเข้าใจกระบวนการทำงานของมัน จึงไม่สามารถ Confirm ได้...

สิ่งที่คุณสามารถทำได้คือการหลีกเลี่ยงส่วนผสมหรือผลิตภัณฑ์ที่จะทำให้ปัญหาหน้ามันเยิ้มที่เป็นอยู่นั้นแย่ลงกว่าเดิม อย่างการใช้ Cleanser ที่รุนแรงเกินไปจนผิวระคายเคือง หรือใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ที่เพิ่มความมันเยิ้มบนผิว เป็นต้น นอกจากนี้คุณยังสามารถซับความมันส่วนเกินด้วยแป้งฝุ่น กระดาษซับมัน หรืออาจจะใช้มาสค์โคลนช่วยดูดซับความมันที่ไม่มีส่วนผสมก่อการระคายเคืองก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยความถี่ในการใช้จะต้องปรับให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล บางคนที่หน้ามันมาก ๆ อาจจะใช้ได้ทุกวัน ส่วนที่ผิวมันน้อยหน่อยก็อาจจะใช้สัปดาห์ละครั้ง โดยให้ใช้หลังล้างหน้า ทาทิ้งเอาไว้ 10 – 15 นาทีและล้างออกด้วยน้ำอุ่น




Myth #17 : ผิวแห้งเกิดขึ้นจากการที่ผิวขาดน้ำ หรือเกิดขึ้นเพราะคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ

Fact : โลกนี้คงไม่จำเป็นต้องมีมอยซ์เจอไรเซอร์...ถ้าผิวแห้งสามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ ด้วยการดื่มน้ำเพียงอย่างเดียว เพราะจริง ๆ แล้วการแก้ปัญหาผิวแห้งนั้นซับซ้อนกว่าการเติมน้ำให้ผิวมากนัก...

ผิวของเราไม่ได้ประกอบไปด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่อย่างที่บางคนเข้าใจผิดกัน... ผิวชั้นนอกสุด หรือ stratum corneum ที่มีสุขภาพดีจะมีความชื้นอยู่เพียง 30% แต่ถ้าชั้นเคลือบปกป้องผิว หรือ Intracellular Matrix นั้นลด หดหาย หรือถูกทำลายไป ก็ทำให้ผิวผิวลอกหยาบกร้านไม่เรียบเนียน ส่งผลให้ผิวไม่สามารถเก็บกับความชุ่มชื้นเอาไว้ได้ และการเติมน้ำให้ผิวนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากชั้นเคลือบปกป้องผิว หรือ Intracellular Matrix ไม่ได้รับการดูแลให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์

สิ่งที่คุณควรทำคือใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของ Natural Moisturizing Factor อย่าง Ceramides, Cholesterol, Fatty Acids (Linoleic Acid, Triglycerides, Glycerin, Phospholipids, Lecithin), Glycosaminoglycans (Hyaluronic Acid, Sodium PCA) เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของชั้นเคลือบปกป้องผิวเพื่อลดการสูญเสียความชุ่มชื้น

นอกจากนี้คุณยังควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมก่อการระคายเคืองและสามารถไปทำลายชั้น Intracellular Matrix ได้ อาทิเช่น Alcohol Denat. (รวมถึงแอลกอฮอล์ที่ระเหยง่ายอื่น ๆ) หรือสารทำความสะอาดที่รุนแรงเกินไป รวมถึงการสูบบุหรี่และการตากแดดด้วย

(Sources: British Journal of Dermatology, July 2008, pages 23-34; Dermatologic Therapy, March 2004, Supplement 1, pages 43 -48; Journal of Cosmetic Dermatology, June 2007, pages 75-82; and International Journal of Cosmetic Science, April 2003, pages 63 -95, and October 2000, pages 37-383)




Myth #18 : ทุกคนต้องใช้ Day Cream และ Night Cream เพราะผิวต้องการการบำรุงที่แตกต่างในเวลากลางคืน

Fact : “สิ่งเดียว” ที่ทำให้ Day Cream แตกต่างจาก Night Cream นั่นคือ Day Cream ควรจะมีส่วนผสมของสารกันแดดที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไป และต้องปกป้องผิวได้ครบทั้ง UVA/UVB ด้วย...

คำพูดไร้สาระที่บริษัทเครื่องสำอางหรือ BA มักจะพูดกรอกหูคุณก็คือ “ผิวต้องการสารบำรุงที่ต่างกันในตอนกลางวันและกลางคืน...” ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่สามารถหาข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ได้

ไม่มีเอกสารใดระบุได้ว่าส่วนผสมในเครื่องสำอางตัวใดควรจะอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้กลางวัน ตัวไหนที่ควรจะอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ในตอนกลางคืน (นอกจากสารกันแดด ที่ตามตรรกะแล้วควรจะอยู่แต่ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ตอนกลางวัน)

ทุกช่วงเวลาของวันไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน... ผิวก็ต้องการสารแอนติออกซิแดนท์ที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา... ต้องการ Cell-Signailing Substance ที่จะช่วยส่งสัญญาณให้เซลล์ผิวทำงานได้เป็นปกติ... ต้องการ Natural Moisturizing Factors ที่จะช่วยเสริมชั้นเคลือบปกปิ้งผิวให้แข็งแรง...

ผิวคนคนเราซ่อมแซมและแบ่งตัวเองใหม่อยู่ตลอดเวลา คำพูดที่ว่าผิวจะซ่อมแซมตัวเองในตอนกลางคืนนั้นจึงเป็นความจริงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น...

Night Cream ก็เป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ธรรมดา ๆ ตัวหนึ่งที่ไม่ได้ช่วยบำรุงผิวคุณล้ำลึกเป็นพิเศษอย่างที่บริษัทเครื่องสำอางพยายามทำให้คุณเข้าใจผิด และ Day Cream ที่ไม่มีสารกันแดดก็ทำให้คุณต้องเสียเงินซ้ำซ้อนเพื่อซื้อครีมกันแดดมาใช้เพิ่ม....




Myth #19 : คุณควรเปลี่ยนเครื่องสำอางที่ใช้ไปเรื่อย ๆ เพราะถ้าคุณใช้เครื่องสำอางตัวใดตัวหนึ่งไปนาน ๆ ผิวคุณจะเริ่ม “ชิน” ทำให้ผลิตภัณฑ์ตัวเดิมใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป


Fact : เป็นความเชื่อที่คนเข้าใจผิดกันเยอะมากเลยทีเดียว... แต่มีคำอธิบายที่ง่ายมากสำหรับความเชื่อนี้…

สิ่งที่มีประโยชน์กับคุณอย่างผักโขมหรือองุ่น ต่อให้คุณทานเข้าไปทุกวัน มันก็ยังมีประโยชน์กับคุณไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกันกับเครื่องสำอาง... ตราบใดที่ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้อยู่นั้นปลอดภัย อ่อนโยน และมีสารบำรุงที่เป็นประโยชน์กับผิวจริง ต่อให้คุณใช้ไปนานนับสิบปีมันก็ก็ยังคงเป็นประโยชน์กับผิวคุณอยู่ดี...

แต่สิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่นั้นไม่เห็นผลเหมือนตอนแรก ๆ ที่เริ่มใช้นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสายตาของคุณชินกับภาพสะท้อนในกระจกที่คุณเห็นอยู่ทุกวัน อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณคิดไปเอง อีกส่วนหนึ่งที่อธิบายได้อย่างมีเหตุผลมากที่สุด คือถ้าคุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHAs หรือ BHA ในระยะแรกของการใช้คุณจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพถูกผลัดออกไปเรื่อยๆ เผยผิวใหม่ที่ดูดีกว่าเก่า... แต่เมื่อเซลล์ผิวหมองคล้ำเสื่อสภาพที่ทับถมกันมานานถูกผลัดออกไปจนหมดแล้ว คุณก็จะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรอีก...จึงคิดไปเองว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่นั้นใช้ไม่ได้ผลแล้ว จึงทึกทักไปเองว่าผิวเริ่ม “ชิน”

ผิวของแต่ละคนก็มีจุด Peak ที่ต่างกัน ถ้ามันมาถึงจุดที่ดีที่สุดเท่าที่มันจะทำได้แล้วมันก็คงจะไม่ดีไปกว่านั้นอีกแล้ว... แต่หากคุณหยุดใช้ผลิตภัณฑ์อย่าง AHAs หรือ BHA แล้วล่ะก็ ผิวของคุณก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมก่อนที่จะเริ่มใช้ AHAs หรือ BHA

อีกกรณีหนึ่งที่เป็นไปได้คือคุณอาจจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอันตรายอย่างเช่นสารปรอท (หรือไฮโดรควินโนนในเครื่องสำอางเถื่อน ที่มีความเข้มข้นไม่เหมาะสม) ในระยะแรกคุณอาจจะเห็นผลว่าผิวขาวขึ้นอย่างรวดเร็วทันใจ ผ่านไปสักพักมันก็เริ่มจะอยู่แล้วอีกสักมันมันก็จะเริ่มให้ผลตรงกันข้าม สุดท้ายคือหน้าเละ....




Myth #20 : ชั้นควรจะใช้แต่สิ่งที่ชั้นชอบเท่านั้น นั่นแหล่ะคือวิธรการบำรุงผิวที่ดีที่สุด


Fact : มีหลายคนหน้าแหก ประสบปัญหาผิว หรือไม่มีวันได้ครองครองผิวสวยใส เพราะว่าสิ่งที่พวกเขาชอบมักจะไม่ค่อยดีกับผิวสักเท่าไหร่...

คุณอาจจะชอบครีมที่มีกลิ่นหอมหรือมีส่วนผสมของ Essential Oil แต่ส่วนผสมพวกนี้ก็ก่อการระคายเคือง กระตุ้นการแพ้และทำร้ายผิวได้

คุณอาจจะชอบโทนเนอร์หรือมอยซ์เจอไรเซอร์ที่ผสมแอลกอฮอล์เยอะ ๆ เพราะคุณรู้สึกว่ามันเช็ดทำความสะอาดผิวได้ดีหรือทำให้แห้งไวโดยไม่ทิ้งคราบมัน แต่ส่วนผสมเหล่านี้ทำให้ผิวระคายเคือง แห้งกร้าน และเกิดความเสียหายจากอนุมูลอิสระ

คุณอาจจะชอบใช้ครีมที่บรรจุในกระปุกสวยหรูไฮโซ แต่กระปุกครีมจะทำให้สารบำรุงอย่างวิตามินและสารแอนติอออกซิแดนท์ที่ไวต่อแสงหรือออกซิเจนนั้นเสื่อสลายไปได้อย่างง่ายดาย ครีมแสนดีก็จะกลายเป็นครีมที่มีประโยชน์แค่เคลือบผิวธรรมดา ๆ ในเวลาไม่นานหลังจากคุณเปิดใช้ครั้งแรก

คุณจึงควรเลือกแต่สิ่งที่ดี เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของคุณมากกว่าจะเลือกเพียงเพราะความชอบเพียงอย่างเดียว... ลองใช้เวลามากขึ้นสักหน่อย เฟ้นหาผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์อย่างแท้จริงกับผิวโดยดูส่วนผสมที่ระบุเอาไว้ใน Ingredients List เป็นหลัก เพราะคุณไม่บอกได้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวไหนดีหรือไม่ดียังไงด้วยการมองจากรูปลักษณ์ภายนอกหรืออ่านแค่คำโฆษณา





Create Date : 07 กันยายน 2551
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2551 1:54:55 น. 43 comments
Counter : 6328 Pageviews.

 
จบเรียบร้อยทั้ง 2 part ความรู้เต็ม ๆ


โดย: อุ้ม (vigannda ) วันที่: 7 กันยายน 2551 เวลา:19:19:28 น.  

 
ได้ความรู้ สาระครบถ้วนจริงๆ ค่ะ


โดย: dera IP: 61.7.251.84 วันที่: 8 กันยายน 2551 เวลา:11:27:36 น.  

 
โดนใจที่สุด เพราะเลือกใช้ตามนั้นจริงๆ (กรณีโทนเนอร์)
เพราะเคยใช้ 2 ยี่ห้อพร้อมกัน เช็ดตัวนึงแล้วรู้สึกไม่สะอาดก็ลองเช็ดอีกตัวนึงตาม มันก็ไม่สะอาดจริงๆ

เป็นปัญหาส่วนตัวจริงๆ เรื่องล้างหน้าไม่สะอาด (คิดว่างั้นนะ)


โดย: ไม่ได้ล็อกอิน IP: 117.121.208.2 วันที่: 9 กันยายน 2551 เวลา:19:27:42 น.  

 
ขอบคุณที่แปลมาให้อ่านแล้วก็เพิ่มเติมข้อมูลไปด้วยนะคะคุณปูเป้ ได้ความรู้ดีมากๆเลยค่ะ


โดย: kisekimeru วันที่: 11 กันยายน 2551 เวลา:19:04:20 น.  

 
ด้วยความยินดีขอรับ

ทำไปเพราะใจรัก เหนื่อยหน่อยแต่ก็มีความสุขนะขอรับ


โดย: PuPe_so_Sweet วันที่: 11 กันยายน 2551 เวลา:20:00:20 น.  

 
ขอบคุนค่ะ เดี๋ยวต้องตั้งใจอ่านจนจบแน่นอน เราได้ความรุ้ แล้วคนเขียนตั้งใจมองสิ่งดี ๆ มีประโยชน์ให้แบบนี้



โดย: บี IP: 58.9.70.207 วันที่: 12 กันยายน 2551 เวลา:15:30:08 น.  

 
มายืนยันต่อในภาคสองว่า ... มีประโยชน์มากมาย ...
ขอบคุณมากๆ ค่ะที่เอาสิ่งประโยชน์อย่างนี้มาฝากกัน


โดย: Chini วันที่: 19 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:58:27 น.  

 
ยกนิ้วให้ในความมีน้ำใจเลยค่ะ ขอบคุณ คุณปูเป้มากๆ


โดย: pu IP: 125.24.246.118 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2551 เวลา:0:51:39 น.  

 
ขอบคุณมากมายกับความรู้คะ


โดย: katai IP: 125.24.10.239 วันที่: 2 ธันวาคม 2551 เวลา:10:12:37 น.  

 
คุณแน่นมากเลยอะขนาดเราเรียนเภสัชอยู๋ยังลืมไปตั้งเยอะเหมือนได้กลับมาทบทวนความรู้เดิม
อยากให้review ยี่ห้อ oley L'oreal garnier อาไรประมาณนี้บ้างอะค่ะ


โดย: jj IP: 202.12.97.117 วันที่: 14 ธันวาคม 2551 เวลา:18:24:27 น.  

 
พี่ปูเป้ค่ะ

ข้อสงสัยที่หนูเถียงกับเพื่อนมาค่ะ -*-

ไม่ควรเอาแป้งเด็ก มาทาหน้า จริงหรือเปล่าค่ะ?

ทาเป็นพวก แป้ง Loose powder จะดีกว่าเร๋อค่ะ?



โดย: pun IP: 125.27.8.150 วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:13:10:29 น.  

 
แป้งเด็กเอามาทาหน้าได้ขอรับ มันก็ไม่ได้ผิดหลักหรือผิดกฏแต่อย่างใดแต่ที่เข้าใจผิดกันมากคือ "แป้งเด็กไม่อุดตันผิว" หรือ "ไม่ก่อการระคายเคือง" ซึี่งไม่จริงเลย

อะไร ๆ ทที่เราโปะลงไปบนผิว มันมีโอกาสอุดตันได้หมดแหล่ะขอรับ เพียงแต่จะมีโอกาสมากหรือจะน้อยก็เท่านั้นเอง ส่วนผสมพวกน้ำหอมในแป้งเด็กก็สารมาระคายเคืองผิวได้ (แต่ไม่มาก)

แป้ง Loose Powder ก็คล้าย ๆ แป้งเด็ก ต่างกันตรงที่ Loose Powder หรือแป้งฝุ่นผัดหน้าจะมีเนื้อละเอียดกว่า มีส่วนผสมที่ช่วยปรับปรุงเนื้อแป้งให้รู้สึกเนียนนุ่ม กระจายตัวได้ดี ให้ผลทางคอสเมติคที่ดีกว่าแป้งเด็กขอรับ

ปกติแป้ง Loose Powder มีโอกาสอุดตันผิวต่ำสุดแล้วในบรรดาแป้งแต่งหน้าทั้งหมด แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้ที่ล้างเครื่องสำอางด้วย (เว้นแต่ตัวที่มีประกายวิ้งวับเยอะ ๆ น่ะ มันล้างออกยาก)

เมื่อก่อนก็ใช้แป้งเด็กเหมือนกัน แต่ตอนนี้มาใช้ Loose Powder แทนแล้ว เพราะมันมีประโยชน์หลายด้านกว่าแป้งเด็ก


โดย: PuPe_so_Sweet วันที่: 21 ธันวาคม 2551 เวลา:2:08:36 น.  

 
แจ่ม...จริง ๆ ระหว่าง แป้งเด็ก กับ Loose Powder ปกติใช้แป้งเด็กอยู่ ต่อไป เปลี่ยนดี ก่า หุ...หุ..


โดย: kitty IP: 61.19.220.5 วันที่: 26 ธันวาคม 2551 เวลา:13:19:57 น.  

 
ขอบคุณมากครับ สำหรับความรู้ดีดีที่นำมาเผยแพร่....
คุณยอดมาก ;-}


โดย: ต้น IP: 210.118.108.252 วันที่: 14 มกราคม 2552 เวลา:17:46:02 น.  

 
ปลื้มคุณปูเป้จังค่ะ ^0^
ขอสมัครเป็นแฟนคลับได้มั้ยคะ


โดย: เด็กหญิงแก้มตัวน้อยๆ IP: 58.8.192.252 วันที่: 22 มกราคม 2552 เวลา:3:24:01 น.  

 
ดีมากๆๆเลยคะ

ชอบจัง มีสาระดีอ่ะ

ทำต่อไปนะคะ


โดย: มะกอก IP: 222.123.208.51 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:2:14:24 น.  

 
ได้ความรู้มากมาย ขอบคุณนะค่ะที่นําความรู้มาเผยแพร่


โดย: ่ีโคเรีย IP: 61.105.171.98 วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:20:47:19 น.  

 
ขอบคุณมั่กมากเลยค่าาา

จดๆๆๆๆๆไว้เต็มเลย

รีบ bookmark ไว้เลย blog นี้ของดีจริง

อิอิ


โดย: Ultramol IP: 124.120.238.91 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:10:35 น.  

 
อืม หลังจากอ่านจบทำให้รู้เลบว่าตัวเราช่างโง่เง่าจริงๆที่ไปหลงเชื่อคำโฆษณาพวกนั้น ขอบคุณความรู้มากมายนะค่ะโดยเฉพาะเรื่องสคลับขัดผิว โง่จริงๆที่เชื่อว่าขัดผิวแล้วจะทำให้สิวหลุด - -*


โดย: Meena IP: 124.121.59.80 วันที่: 8 มีนาคม 2552 เวลา:12:34:49 น.  

 
ขอบคุณมากๆค่ะคุณปูเป้ ความรู้ไม่มีหมดจิงๆ ^^

มีเรื่องสงสัยอยากถามคุณปูเป้หน่อยค่ะ เรื่องสิวเสี้ยนค่ะ
คือว่า เมื่อก่อนเคยใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยนที่มีขายอยู่ทั่วไป เวลาลอกออก ก็จะเห็นเหมือนมีไขมันเป็นเส้นๆลอกติดออกมาด้วย แต่ก็กลับมาเป็นอีก เลยเลิกใช้ไป

มันก็เหมือนกับการสครับผิว ใช่มั้ยคะ ที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
แล้วแผ่นลอกสิวเสี้ยนที่ว่านี่ มันช่วยอะไรผิวได้บ้างมั้ยคะ หรือว่ามันทำร้ายผิวซะมากกว่า ตอนนี้ชักเริ่มคิดแล้วว่า เราทำอะไรลงไปนี่... - -"


โดย: aquadew IP: 202.151.4.101 วันที่: 2 เมษายน 2552 เวลา:16:10:51 น.  

 
การลอกสิวเสี้ยนนั้นก็สามารถดึงไขมันอุดตันออกมาได้จริง แต่หนังสือบางเล่มก็บอกว่าทำให้รูขุมขนกว้าง บางเล่มก็บอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ที่นี่ ๆ คือมันทำให้ผิวระคายเคืองได้ตอนลอกออกมา

เรื่องสิวเสี้ยน ถ้าใช้ BHA 2 % แล้วยังเอาไม่อยู่ ก็ต้องไล่ไปเป็น Differin แต่ถ้ายังไมไ่ด้ผลอีก Retin-A ดูจะเป็นคำตอบสุดท้ายขอรับ

คนที่รูขุมขนกว้างมีแนวโน้มจะมีสิวเสี้ยนได้ง่าย ถ้าใช้มาสค์ลอกสิวเสี้ยนแล้วไม่ระคายเคืองผิวก็สามารถใช้ได้ขอรับ แต่อย่าใช้บ่อย นาน ๆ ทีสัก 1 - 2 เดือนครั้งกำลังดี แต่ก่อนที่จะใช้และหลังที่จะใช่้ควรงดพวก AHAs / BHA / Differin / Retin - A สัก 2 วัน ก่อนและหลังการลอกสิวเสี้ยนเพื่อไม่ให้ผิวระคายเคืองมากขอรับ


โดย: PuPe_so_Sweet วันที่: 3 เมษายน 2552 เวลา:13:02:38 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆนะคะ คุณปูเป้ ^_^
จะลองไปสู้ดูอีกซักตั้งค่ะ...

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ คุณปูเป้ก็สู้ๆนะคะ ทุกๆเรื่องเลยค่ะ ^^



โดย: aquadew IP: 202.151.6.35 วันที่: 3 เมษายน 2552 เวลา:16:58:20 น.  

 
บทความดีคะ อ่านแล้ว เข้าใจโลกแห่งความจริงได้ดีเลยทีเดียว


โดย: jk IP: 124.120.182.103 วันที่: 23 พฤษภาคม 2552 เวลา:4:22:11 น.  

 
คือพี่เป้ค่ะ ตอนนี้เป็นสิวอ่ะค่ะ

ผิวเป็นผิวผสมอ่ะค่ะ แต่สิวที่ขึ้นมันเหมือนเป็นผดอ่า

อยู่ระหว่างTโซน

ไม่รู้ว่าแพ้โอเลย์รึป่าว

ไม่รู้จะใช้ผลิตภัณฑ์ไหนดีอ่ะค่ะ

แนะนำด้วยนะค่ะ

แต่ที่อยู่ในใจตอนนี้อยากใช้ของ oriental ชุดใหม่อ่ะค่ะ

ที่รักษาสิว

มันจะดีมั้ยค่ะ


โดย: พอย IP: 222.123.63.183 วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:19:13:18 น.  

 
เรื่อง OP ชุดสิวปูเป้ยังไมไ่ด้เก็บข้อมูล ยังบอกอะไรไม่ได้ขอรับ

ส่วนใช้ OLAY แล้วผดขึ้นเฉพาะ T-Zone

ถ้าผดที่ว่านี้ไม่มีหัวก็ไม่ใช่สิว อาจจะเกิดทั้งจากการระคายเคือง จากความชื้น + เหงื่อที่ทำให้เชื้อรา / ยีสต์ เติบโตได้ดี หรือจะเป็นอาการแพ้ก็ได้

แต่ถ้าเป็นสิวแบบมีหัว กดออกมีเม้ดไขมัน แปลว่าเป็นการอุดตัน แปลว่าเนื้อผลิตภัณฑือาจจะหนักไป ไม่เหมาะกับผิว และไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์เซลลืผิวอย่าง AHAs / BHA ขอรับ

ลองหยุดใช้ OLAY ตัวปัญหาดูก่อน ถ้ายุบก็ลองอีกที ถ้ามีปัยหาอีกก็หยุดใช้ขอรับ จะโทรไปแจ้ง Customer Service แจ้งเรื่องเอาไว้ก็ดีเหมือนกันนะขอรับ


โดย: PuPe_so_Sweet วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:15:38:33 น.  

 
ขอบคุนมากๆ ๆ ข๊ะ ๆ ๆ


..พี่ปูเป้น่ารักจังเรย


โดย: พอย IP: 222.123.230.46 วันที่: 6 มิถุนายน 2552 เวลา:23:58:10 น.  

 
เป็นกระที่โหนกแก้มและรอยดำคล้ายฝ้าควรจะเร่มต้นรักษายังงัยดีไปหาหมอมาก้อดีชั่วคราวอยากลองรักษาเองคะช่วยแนะนำด้วยเครียดมากเลยเป็นคนผิวผสมคะ


โดย: เอม IP: 172.28.21.84, unknown, 202.32.8.238 วันที่: 11 มิถุนายน 2552 เวลา:14:17:45 น.  

 
อยากให้ปูเป้รีวิว สมูทอี ไว้ มากๆๆคะ


โดย: แมว IP: 172.28.21.84, unknown, 202.32.8.238 วันที่: 11 มิถุนายน 2552 เวลา:14:20:10 น.  

 
เรื่องฝ้า ถ้าตัวยาที่คุณหมอให้มาช่วยไม่ค่อยได้ ปูเป้ก็ไม่รู้จะแนะนำอะไรแล้วขอรับ ต้องขออภัยจริง ๆ


สำหรับสมูทอี แบรนด์นี้ไม่เคยบอกส่วนผสมทั้งหมดมาเลยขอรับ


โดย: PuPe_so_Sweet วันที่: 12 มิถุนายน 2552 เวลา:13:53:31 น.  

 
อืม ขยันทำจิงๆ ชอบๆ
อ่านแล้วได้ความรู้มากมาย แต่ตาลายมาก
ต้องค่อยๆ อ่านวันละนิด เหอๆ


โดย: gayko IP: 58.136.94.48 วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:49:29 น.  

 
จาก Comment # 30
เรื่องสิวเสี้ยน ถ้าใช้ BHA 2 % แล้วยังเอาไม่อยู่ ก็ต้องไล่ไปเป็น Differin แต่ถ้ายังไมไ่ด้ผลอีก Retin-A ดูจะเป็นคำตอบสุดท้ายขอรับ

อยากทราบว่า ตัว BHA 2 % , Differin , Retin-A หาซื้อได้จากไหนค่ะ

ขอคำแนะนำด้วยค่ะ


โดย: Nerikus IP: 58.64.105.215 วันที่: 7 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:42:14 น.  

 
ขอแก้ไขรายละเอียด Comment # 31 เป็น


จาก Comment # 21
เรื่องสิวเสี้ยน ถ้าใช้ BHA 2 % แล้วยังเอาไม่อยู่ ก็ต้องไล่ไปเป็น Differin แต่ถ้ายังไมไ่ด้ผลอีก Retin-A ดูจะเป็นคำตอบสุดท้ายขอรับ

อยากทราบว่า ตัว BHA 2 % , Differin , Retin-A หาซื้อได้จากไหนค่ะ

ขอคำแนะนำด้วยค่ะ


โดย: Nerikus IP: 58.64.105.215 วันที่: 7 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:44:23 น.  

 
ยอมรับเลยครับ ไอที่ว่าๆมาเคยทำเราเขว่ไปหลายรอบเหมือนกัน
มันเหมือนโดนกิเลสครอบงำ ขอบคุณมากทำให้เข้าใจอะไรชัดขึ้นเยอะเลยครับ


โดย: chareonwut วันที่: 11 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:33:03 น.  

 
Differin , Retin-A ตามร้านขายยา

BHA 2 % หาตามร้านขายของในเนทนี่แหล่ะขอรับ


โดย: PuPe_so_Sweet วันที่: 13 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:47:56 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ ได้ความรู้มาก ๆ เลย


โดย: mink IP: 124.120.164.117 วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:20:30:35 น.  

 
แม่ผมบอกว่าให้เปลี่ยนเครื่องสำอางไปเรื่อยๆ
เพราะผิวมันจะชิน แสดงว่าแม่ผมเข้าใจผิดใช่ไหมครับ
ขอบคุณคุณปูเป้มากคร้าบ (เพราะชอบตัวที่ใช้อยุ่มากไม่อยากเปลี่ยนแล้วอะครับ)
: ]


โดย: บอยครับ IP: 124.120.163.208 วันที่: 21 กันยายน 2552 เวลา:16:27:21 น.  

 
เลิศ มาก คร่ะ

ขอบคุณมาก ๆ คร่ะคุณปูเป้


โดย: numnam IP: 202.28.45.20 วันที่: 8 ตุลาคม 2552 เวลา:10:48:10 น.  

 
เข้ามาเก็บความรู้คะ ขอบคุณคุณปู้เป้ที่นำความรู้ดีดี มาบอกกล่าวกันคะ.... เป็นกำลังใจให้คะ



โดย: name IP: 113.53.148.93 วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:10:43:57 น.  

 
คุณปูเป้มีความคิดเห็นยังไง กับการนำเอาแลตตาซิคมาล้างหน้าคะ ? ตอนนี้กำลังเถียงกับเพื่อนเพื่อนบอกข่าวออกทีวีไปแล้วมันเป็นกรดไม่เหมาะกะหน้าใช้ตอนแรกหน้าดีหยุดใช้หน้าแหก บลาๆๆๆ


โดย: บิว IP: 118.174.67.226 วันที่: 21 กันยายน 2553 เวลา:17:22:42 น.  

 
เสริมเรื่องการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ไปเรื่อยๆทุกๆ2-3เดือนมันมีอยู่ว่า...ตาสีตาสาคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่บางคน แต่เราว่าน่าจะกลุ่มใหญ่เลยที่ไม่มีความรู้ด้านส่วนผสม ส่วนผสมไหนก่อพิษ ส่วนผสมไหนเมื่อทาแล้วเป็นพิษสะสมและก่อการระคายเคืองถ้าใช้ไปนานๆ ในแง่ของการบำรุงเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์เราว่า การที่มีครีมบำรุงที่เราใช้แล้วไม่แพ้ในระยะสั้นๆซัก2ตัว ส่วนผสมต่างกันในสูตรส่วนผสมข้างกล่อง น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในเรื่องการสะสมของสารเคมี สำหรับผู้บริโภคที่ไม่มีความรู้ด้านส่วนประกอบในเชิงลึก...แต่ในเรื่องว่าเดี๋ยวผิวจะชิน ใช้นานๆไปจะไม่ได้ผลเหมือนดื้อยา เราว่าโคมลอย...เพราะอย่างน้อยเครื่องสำอางค์มันก็ไม่ได้จัดว่าเป็นยาอยู่แล้ว มันไม่มีการเกิดอาการดื้อเป็นแน่แท้
น้องแก้มป่องเรียนMedical Sci ที่ NU พอจะมีความรู้บ้าง หวังว่าคงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย


โดย: แก้มป่อง IP: 222.123.173.23 วันที่: 6 มกราคม 2554 เวลา:6:25:54 น.  

 
เครื่องสำอาง*นะครับขอโทษด้วยชินกับการมี ค์ ไปหน่อย ฮี่ๆ


โดย: แก้มป่อง IP: 222.123.173.23 วันที่: 6 มกราคม 2554 เวลา:6:27:37 น.  

 
ขอบคุณมากนะคะ ชอบจัง


โดย: natasha IP: 223.206.24.190 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2554 เวลา:0:55:33 น.  

 
ขอบคุณมากนะคะ ติดตามมาหลายปี และเริ่มอ่านส่วนผสม หาครีมที่เหมาะกับผิวตัวเอง ตอนนี้ดีขึ้นเยอะเลย รักคุณปูเป้นะคะ


โดย: Neung IP: 101.108.96.77 วันที่: 24 พฤษภาคม 2557 เวลา:22:55:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PuPe_so_Sweet
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1829 คน [?]




Advertisement


About Pupe_so_Sweet
Pupe_so_Sweet on facebook
Pupe_so_Sweet on Youtube
vr AHA project


หากมีคำถามหรือต้องการคำปรึกษา
สามารถทิ้งคำถามไว้ได้ที่หน้า Wall ของ Facebook ครับ



Web Counter


Counter Start on 29 September 2008


Search by Google

ค้นหาข้อมูลและรีวิวผลิตภัณฑ์ที่ต้องการภายในBlog ของปูเป้ได้ไม่ยากด้วย Google Search Box ด้านล่างนี้เลยขอรับ

Custom Search

Friends' blogs
[Add PuPe_so_Sweet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.