สัมภาษณ์พิเศษ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์
สัมภาษณ์พิเศษ 'หมอเผ่า' เดลินิวส์ 14 มิถุนายน 2550 กลับสู่อ้อมอกครอบครัว แฉ 'สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม' เป็นหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับแรกอีกครั้ง ที่ได้นำเสนอข่าว "หมอเผ่า" นายแพทย์ประกิตเผ่า ทมชิตชิงค์ เจ้าของและอาจารย์สถาบันกวดวิชาแอพพลายส์ฟิสิกส์ ขึ้นหน้าหนึ่งเมื่อวันก่อน กรณีแพทย์ประจำสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ อนุญาตให้นายแพทย์ประกิตเผ่า กลับไปอยู่บ้านกับครอบครัวได้ตามปกติ เนื่องจากการรักษาอาการป่วยทางจิตทุเลาลงตามลำดับจนหายเป็นปกติ โดยอนุญาตให้กลับบ้านได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมา หลังถูกส่งตัวเข้าสถาบันกัลยาณ์ราชนคริทร์ตามคำสั่งศาลตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2550 รวมเวลาการรักษายาวนานถึง 3 เดือนเศษ
คราวนี้ความลับดำมืดที่เก็บงำอยู่นาน เรื่องราวที่สังคมต่างสงสัยว่าตกลงใครหลอกใคร ใครวางยาใคร ใครผิดใครถูกกันแน่ ก็ถูกเฉลยออกจากปาก"หมอเผ่า"ชนิดไม่มีปิดบังทุกขั้นตอน!?
..นี่คือบทสัมภาษณ์คำต่อคำของ"หมอเผ่า"ขณะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ครบถ้วนร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยครอบครัวทมทิตชงค์ได้เปิดคฤหาส์หลังงาม ย่าน อ.ศาลายา จ.นครปฐม ให้"เดลินิวส์"เข้าไปล้วงลึกถึงห้องพักผ่อนส่วนตัว
หมอเผ่า หรือคนในครอบครัวเรียกว่า"หมอป็อป"อยู่ในชุดลำลอง สวมเสื้อยืดคอปกสีแดง กางเกงยีน อารมณ์สบายๆ โดยมี"อลิสา ทมทิตชงค์"ภรรยาสุดที่รัก คอยดูแลใกล้ชิด ส่วนลูกชายและลูกสาวก็วิ่งเล่นอยู่ไม่ห่างคุณพ่อ
ผู้สื่อข่าวเปิดประเด็นด้วยคำถามแรกว่า ตอนนี้กลับมาอยู่กับครอบครัวแล้วรู้สึกอย่างไร และตอนที่อยู่รพ.เป็นยังไง ทำอะไรบ้าง? หมอเผ่าตอบยิ้ม ๆ ว่ารู้สึกมีความสุขมาก และเพิ่งเข้าใจว่าความรักของคนในครอบครัวมันมากมาย และสำคัญจริงๆ ทำให้ผมหายป่วยเร็วกว่าผู้ป่วยรายอื่นๆ มาก ตอนอยู่โรงพยาบาล ตอนที่มีอาการอยู่ก็ไม่ได้ทำอะไร แต่พอเริ่มหายจากอาการก็นั่งเขียนหนังสือเพื่อใช้สอน คือเป็นคนไม่ชอบอยู่เฉยๆ ต้องมีงานทำถึงจะสบายใจ
- หลายเดือนที่ผ่านมาคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองและครอบครัว สาเหตุมาจากอะไร?
ที่ผ่านมาเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เคยพบมา เสียใจมากและรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นต้นเหตุ สาเหตุมาจากการคบคนผิด และเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาตลอด คิดว่าถ้าเราดีกับใคร เขาน่าจะดีต่อเราเช่นกัน
- คุณหมอเป็นหลักสำคัญในการที่ทำให้สถาบันกวดวิชามีชื่อเสียง และนักเรียนมากขึ้น เป็นเหตุทำให้มีปัญหาขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กับครอบครัวหรือเปล่า?
ไม่เลย ผมไม่ใช่หลักสำคัญในการที่ทำให้โรงเรียนสอนกวดวิชาของครอบครัวผมมีชื่อเสียง คุณพ่อคุณแม่ของผมสร้างฐานะครอบครัวมาด้วยความยากลำบาก ท่านทั้งสองได้สั่งสมคุณงามความดีและประสบการณ์ในการสอนหนังสือ จนทำให้โรงเรียนมีชื่อเสียง ส่วนผมได้เข้ามาช่วยงานท่านภายหลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ได้วางรากฐานไว้จนสมบูรณ์แล้ว คุณพ่อ คุณแม่ พี่ชายผม น้องสาว และภรรยาของผมต่างมีส่วนช่วยเหลือกันในกิจการสอนพิเศษ มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป เรามีแต่ความสามัคคี ไม่ได้อิจฉากัน คุณพ่อ คุณแม่ รักลูกเท่ากัน และให้ความยุติธรรมกับลูกๆ รวมทั้งพนักงานทุกคน เราอยู่กันสบายๆ ไม่มีความขัดแย้งเลย
- คุณหมอเชื่อเรื่องคุณไสย หรือไสยศาสตร์แค่ไหน?
ผมมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อกฎแห่งกรรม ส่วนไสยศาสตร์ ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ ยิ่งตอนก่อนป่วยยิ่งไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้ แต่ขณะที่อยู่ใกล้หัวหน้ากลุ่ม เขาจะแสดงให้ดูตลอดว่าเขาโดนคุณไสย เช่น อาเจียนเป็นเส้นผมปนเลือด หรือเป็นตะปูเกลียวปนเลือด เลือดออกจากหู ปาก จมูก และถ่ายเป็นเลือด ซึ่งเหมือนจริงมากสำหรับผมในตอนนั้น เขาบอกว่าภรรยาของผมจ้างคนทำมาใส่เขา ก็เลยเชื่อมาก และพลอยทำให้คิดว่าภรรยาของผมเป็นคนไม่ดีไปด้วย
คุณหมอเผ่าใช้คำว่า"หัวหน้ากลุ่ม"แทนบุคคลที่ตกเป็นข่าวครึกโครมในขณะนั้น
- ที่ผ่านจะเรียกว่าตนเองและครอบครัวเป็นผู้ถูกกระทำได้หรือไม่ เพราะอะไร?
เป็นผู้ถูกกระทำแน่นอน ขนาดเอาทรัพย์สินจากครอบครัวผมไปแล้ว ยังแจ้งความจะเอาผิดกับแม่ และพี่ชายของผม ตอนที่ทั้งสองพยายามนำตัวผมไปรักษาที่ศรีธัญญา และที่อ้างว่าทำทุกอย่างเพราะผมสั่ง ก็ต้องมองว่า การที่ผมโทรติดต่อเขาก็เพราะผมป่วย โดยหัวหน้ากลุ่มและพวกเขาช่วยผมให้ออกมาจากโรงพยาบาล ก็เพื่อสานต่อให้แผนของเขาสำเร็จ ที่แน่ๆเขารู้อยู่เต็มอกว่าผมป่วยทางจิต ไม่ใช่ความเข้าใจผิด หรือทำตามผมสั่ง หรือมีเจตนาดีอะไร
- จะดำเนินการอย่างไรต่อไป?
คงให้เป็นหน้าที่ของระบบยุติธรรม ใครถูกใครผิดก็ว่ากันไปตามจริง และคงไม่ให้สัมภาษณ์บ่อยๆ ให้เขาหาเหตุฟ้องร้อง ที่ผ่านมาครอบครัวผมบอบช้ำมากพอแล้ว
- กลัวหรือไม่ที่กลับสู่สังคม เพราะคนส่วนใหญ่รู้ว่าเราเคยรักษาอาการทางจิต?
ไม่กลัวครับ เพราะคงไม่มีใครอยากเจ็บไข้ได้ป่วย และผมก็เป็นฝ่ายถูกกระทำ โรคจิตมันก็คือโรคชนิดหนึ่งซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ และจริงๆแล้ว ผมเชื่อว่า ในหลายครอบครัว คงมีใครสักคน ที่เคยมีการอาการทางจิตมาบ้าง เช่น ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน โรคประสาท คิดว่าสังคมคงจะพอเข้าใจ
- คิดว่าจะมีผลกับการสอนและชื่อเสียงสถาบันกวดวิชาหรือไม่?
ตอนนี้พร้อมเข้าสอนแล้วครับ อยากเรียนให้สังคมทราบด้วยว่าโรคแบบที่ผมเป็นสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยความสามารถและความทรงจำยังคงเหมือนเดิม แต่ที่ผมยังไม่ไปสอน เพราะยังต้องใช้ยาระยะหนึ่งตามมาตรฐานการรักษา และการใช้ยาบางตัวทำให้เสียงแหบ ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการสอน แต่คงไม่น่าจะมีผลต่อชื่อเสียงของโรงเรียน เพราะพ่อแม่ผมทำมาตลอดชีวิต เนื้อหาที่สอนยังคงอยู่ ผมซึ่งเป็นผู้สอนคนหนึ่งก็แค่พักรักษาตัว สังคมส่วนใหญ่ก็เข้าใจแล้วว่าความจริงคืออะไร ถึงจะกระทบต่อจำนวนเด็กที่มาเรียน เราก็ต้องยอมรับ
- ทราบว่าขณะที่อยู่โรงพยาบาลได้เขียนหนังสือด้วยลายมือในกระดาษเพื่อสั่งงานและให้ดำเนินคดีกับหัวหน้ากลุ่มใช่หรือไม่?
ใช่ครับ พอโรคเริ่มทุเลา สติมันก็คืนมา รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
- ตอนนี้มีคดีฟ้องร้องซึ่งคุณหมอเองก็คงจะทราบ มั่นใจที่จะดำเนินการให้ถึงที่สุดหรือไม่? มั่นใจครับ
- ตอนนี้รู้สึกอย่างไรกับหัวหน้ากลุ่มและกลุ่มเพื่อน?
รู้สึกแย่ พวกเขามีความรู้สูง น่าจะใช้ในทางที่ถูกต้องให้เป็นคนดีในสังคม มันทำให้ผมรู้ว่ามีคนอีกพวกหนึ่ง ที่ยอมทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการ โดยไม่แคร์ถึงผลที่จะเกิดตามมาต่อชีวิตและทรัพย์สินผู้อื่น
- ถ้าเจอหน้ากับหัวหน้ากลุ่มจะทำอย่างไรและจะพูดอะไรเป็นคำแรก หรือกระทั่งตอนนี้อยากจะบอกอะไรกับหัวหน้ากลุ่มหรือไม่?
อยากบอกว่า " สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว "
- ถ้าเกิดเจอหน้าหัวหน้ากลุ่มจะเปลี่ยนความคิดที่จะดำเนินคดีหรือไม่ หากเกิดเค้าขอความเห็นใจและยิ่งเป็นคนจิตใจดีอยู่ด้วย?
ไม่เปลี่ยน ไม่อย่างนั้น เขากับพวกจะไปทำกับคนอื่นๆอีก
- คิดว่าตัวเองหายป่วยร้อยเปอร์เซ็นต์หรือยัง?
ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ
- ทราบว่าเป็นคนที่ชอบอาวุธปืนและสะสมไว้เป็นจำนวนมาก หากเกิดความเครียด หรือหวาดระแวงขึ้นมาอีกจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่ใช้การตัดสินปัญหาแบบผิดๆ เนื่องจากที่ผ่านมาก็มีข่าวทางสื่อหลายอย่างเช่น ฆ่าตัวตายบ้าง ฆ่ายกครัวบ้าง?
ก่อนผมป่วย ปืนอยู่กับผมมาร่วม 20 ปีแล้ว ยังไม่เคยใช้ในทางที่ผิดเลย เพราะเราต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา แต่ขณะนี้ เพื่อความไม่ประมาท ได้ย้ายอาวุธปืนทั้งหมดออกจากบ้านไปเก็บในที่ปลอดภัยแล้ว
- เรียกได้ว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตในวัยที่ยังหนุ่ม แต่เหมือนกับเสียท่าให้กับคนกลุ่มหนึ่งจะอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างไร เพราะเป็นข่าวครึกโครมทำให้คนที่รับรู้ข่าวสารมองและวิพากษ์วิจารณ์ กันไปในหลายแง่มุม?
ไม่ว่าคุณจะมีคุณวุฒิและวัยวุฒิเท่าใด ลองมาเจอกลุ่มคนที่วางเป้าหมายยาวนานหลายปี และมีความตั้งใจสูงร่วมกับใช้ยาและจิตวิทยาหมู่ด้วยอย่างที่ผมโดน ผมว่าก็พลาดได้อย่างที่ผมเป็น ยิ่งพอป่วยแล้วยิ่งบานปลายมาก ผมมั่นใจว่าถ้าผมไม่ป่วย เรื่องราวคงไม่เกิดหรือคงไม่วุ่นวายอย่างนี้
- จดหมายที่เขียนระหว่างที่อยู่รพ.ออกมาเพื่อให้ทนายดำเนินคดีนั้น เป็นช่วงที่รักษาตัวอยู่จะเป็นจุดอ่อนในการสู้คดีหรือไม่?
คิดว่าไม่ใช่จะเป็นจุดอ่อนหรือจุดแข็งในการต่อสู้คดี ที่ผมเขียนนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ขณะที่ผมเขียนเล่าเหตุการณ์ต่างๆนั้น อาการป่วยของผมทุเลาลงไปมากจนเกือบหายขาดแล้ว ส่วนจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่นั้น สุดแท้แต่ศาลเท่านั้น
- คิดอย่างไรที่หัวหน้ากลุ่มบอกกับผู้สื่อข่าวว่าพี่หมอเป็นคนจิตใจดี ไม่ทำร้ายใครแน่นอนจึงมั่นใจเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ (หมายถึงเรื่องคดี) แต่เหลือไว้ห้าเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าเวลาอาจจะทำให้คนเปลี่ยนได้เนื่องจากอาจจะรับฟังข้อมูลจากคนอื่นที่ให้ร้ายตน?
คนอื่นที่ว่า คงหมายถึงครอบครัวที่ช่วยเหลือผมอยู่ การที่ครอบครัวผมได้ทำความจริงให้ปรากฏคงไม่ได้หมายถึงการให้ร้าย ผมต่างหากที่รับฟังคนอื่นว่าร้ายครอบครัวผมมานานถึง 4 เดือนเต็มก่อนเข้าโรงพยาบาล ดังนั้นต้องดำเนินคดีต่อหัวหน้ากลุ่มและพวกแน่ ซึ่งผมว่ามันไม่ใช่การทำร้ายใคร แต่เป็นการป้องกันตัวเรา หรือจะว่าเป็นเพราะกรรมจากเหตุที่เขากับพวกทำต่อผมและครอบครัวก็ได้
ตลอดเวลาที่ให้สัมภาษณ์ หมอเผ่าอยู่ในอิริยบทสบายๆ อารมณ์ดี ใบหน้ายิ้มหวานตามสไตล์คนใจดี ก่อนที่จะเรียกลูกๆ มาเล่นเปียโนโชว์บทเพลงคลาสสิก โดยตัวคุณหมอได้โซโลกีต้าร์คลอไปกับเสียงนุ่มทุ้มของเปียโน ...ครอบครัวทมทิตชงค์กลับมาเป็นสุขอีกครั้ง.
Create Date : 16 มิถุนายน 2550 |
|
24 comments |
Last Update : 16 มิถุนายน 2550 0:54:36 น. |
Counter : 5806 Pageviews. |
|
|
|