Group Blog
 
 
ตุลาคม 2562
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
4 ตุลาคม 2562
 
All Blogs
 
Konnichiwa Nihon no densha (1)

เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มือถือข้างกายผมส่งเสียงดังขึ้น ปรากฎเสียงจาก อ.วิรัตน์ เพื่อนร่วมก๊วน rotfaithai.Com โทรฯ มาหา

"พี่ตึ๋ง ช่วงนี้พี่ว่างไหมครับ ? อยากจะชวนพี่เที่ยวดูรถไฟกันหน่อย"

"ที่ไหนครับ ?"

โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ เมื่อได้ยินคำตอบจากปลายสาย เพราะไม่คิดว่าจะไปไกลถึงปานนั้น

"ญี่ปุ่น"

"ไปดูอะไรครับ ?" ซักถามอาจารย์ด้วยความกังขา หลังจากที่รวบรวมสติกลับคืนมาแล้ว

"ไปนั่ง ซินกังเซ็น ครับ จากซัปโปโร ลงไปถึง คาโกชิมา และนั่งรถไฟท่องเที่ยว ใช้เวลาเดินทางราว 10 วัน"

"ค่าใช้จ่ายล่ะครับ ?"

"ตามที่ผมคิดตอนนี้ ราวสี่หมื่นบาทเศษ"

นั่งคิดสาระตะดูแล้ว เงินออมที่เพิ่งจะครบกำหนดถอนมาหมาดๆ พอจะรับมือได้

"กำหนดเวลาเดินทางล่ะครับ ?"

"ราวปลายเดือนเมษายนครับ"

หนีร้อนไปเที่ยวญี่ปุ่นสักพัก คงจะดี

"แล้วมีใครไปบ้างครับ ?"

"มีคุณณพคนหนึ่ง ซึ่งแกฝากผมโทรฯ มาชวนพี่นี่แหละ"

"ตอนนี้จะให้ผมเตรียมอะไรบ้างครับ ?"

"เดี๋ยวพี่ค่อยโอนเงินส่งให้ผม ตามรายการที่ผมจะวางแผนล่วงหน้า มีค่าตั๋วเครื่องบิน ค่า JR Rail Pass ค่าที่พัก แล้วจะแจ้งให้พี่อีกทีนะครับ"

หลังจากหลวมตัวรับปาก อ.วิรัตน์ ไปแล้ว ก็เริ่มทะยอยโอนเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปให้ พร้อมๆ กับตัวเองกำลังวุ่นวายกับงานศพของบรรดาญาติๆ ที่ล่วงลับเป็นทิวแถว ด้วยความร้อนจากบรรยากาศที่ร้อนระอุช่วงเดือนเมษายน

ส่วน อ.วิรัตน์ นั้น ทุ่มทุนสร้างโดยลงทุนพาครอบครัวไปเที่ยวญี่ปุ่นก่อนหน้านั้น ก่อนที่จะมากับรายการทัวร์ตามใจชาวคณะในภายหลัง

กำหนดการเริ่มกระชั้นงวดเข้ามานั่นแหละ ถึงได้มีโอกาสพบปะพร้อมหน้าพร้อมตากันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อขึ้นเครื่องสายการบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์ ไป transfer เครื่องที่นั่นไปยังสนามบินนาริตะ ไปผจญภัยขึ้นรถไฟของญี่ปุ่นต่อไป

เหตุที่ใช้บริการของสายการบินเพื่อนบ้านนั้น เพราะมีราคาถูกตอนช่วงจองตั๋ว เลยได้ลูกค้าไปอย่างง่ายดาย

เรื่องราวของชาวคณะจะเริ่มต้นตั้งแต่ตรงนี้ โดยแบ่งเป็นหลายตอน จนกว่าจะสิ้นสุดการเดินทางล่ะ



บ่ายสองโมงเศษของวันที่ 27 เมษายน ผมก็สะพานเป้ ลากกระเป๋าติดลูกล้อ ลงมุดดิน ต่อด้วยแอร์พอร์ตลิงค์ ราวชั่วโมงเศษก็มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิดังใจปรารถนา

ที่นั่น คุณณพ ซึ่งนั่งเครื่องมาจากภูเก็ต มารอเป็นคนแรกอยู่แล้ว ตามด้วย อ.วิรัตน์ ซึ่งนั่งรถแท็กซี่จากบ้านตามมาสมทบเป็นรายล่าสุด

หลังจากทักทายตามอัธยาศัยแล้ว ต่างคนต่างแพ็กกระเป๋าให้อยู่ในสภาพแน่นหนา พร้อมทำเครื่องหมายไว้เสร็จสรรพ เพื่อความสะดวกต่อการค้นหาเวลาถึงปลายทาง

ส่วนข้าวของที่จำเป็นจริงๆ นั้น จะบรรจุในเป้สะพายหลังแทน



พอแพ็กกระเป๋าเสร็จ คุณณพลงมือบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน ไว้อ้างกับสายการบิน หากเกิดความชำรุดเสียหาย



โล่งใจไปเปลาะหนึ่งแล้ว ก่อนที่จะหิ้วไป check in ที่เคาน์เตอร์สายการบิน



หลังจากเข้าไปอยู่ในส่วนผู้โดยสารที่จะออกเดินทางแล้ว ชาวคณะคงเห็นว่าผมเป็นผู้ไม่ค่อยสันทัดในการเดินทางผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ เลยจับให้ยืนเพื่อเก็บภาพตรงหน้าปฏิมากรรมนารายณ์กวนเกษียรสมุทรเป็นที่ระลึก

จริงๆ ด้วยสิ เพราะผมมักจะใช้บริการผ่านสนามบินดอนเมืองมากกว่า แม้กระทั่งนั่งเครื่องไปทัวร์ที่พม่า



เที่ยวบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์ เวลา 17.30 น.ในวันนั้น ค่อนข้างมีผู้โดยสารหนาตา แต่ส่วนใหญ่จะ tranfer ไปยังประเทศญี่ปุ่น จีน ยุโรป และสหรัฐฯ เหมือนชาวคณะนั่นแหละ



ออกจากแผ่นดินไทยแล้วหนา อีก 10 วัน ค่อยเจอกันใหม่



สู่อ่าวไทยล่ะ เส้นทางบินที่ปรากฎบนจอภาพจะแสดงให้เห็นว่า เครื่องจะบินเหนือ จ.ชลบุรี ระยอง ผ่านสนามบินอู่ตะเภา แล้วบินอยู่เหนืออ่าวไทยตลอดสาย จนกระทั่งสู่ปลายทางที่สิงคโปร์



บริการแรกที่ผู้โดยสารได้รับคือผ้าร้อนไว้เช็ดหน้าและเช็ดมือ จากสจ๊วตหน้าตาหล่อเหลาเชียวล่ะ

จากนั้น อาหารมื้อเย็นจะติดตามมาโดยบริการจากแอร์โฮสเตสสาวสวย พอเก็บข้าวของเสร็จ พอดีเครื่องบินถึงเกาะสิงคโปร์

เป็นภาพถ่ายจากฝึมือคุณณพครับ



นั่นไง ประเทศสิงคโปร์โผล่สว่างไสวอยู่ตรงหน้า อันเป็นของแถมระหว่างการเดินทาง ส่วนที่เห็นไกลๆ นั้น เป็นเมืองยะโฮร์ บาห์รู เมืองหลวงของรัฐยะโฮร์ สหพันธรัฐมาเลเซีย

ผมคิดว่า ทักษะของนักบินชาวสิงคโปร์นี้มีพอตัว เพราะต้องนำเครื่องลัดเลาะระหว่่างประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ก่อนที่จะนำเครื่องลงแปะที่สนามบินชางงีของประเทศตน และลง engine break เสียงสนั่น ก่อนที่จะแล่นเข้าเทียบงวงอาคารสนามบิน



หลังจากลงจากเครื่องแล้ว ก็ใช้บริการของรถโดยสารไร้คนขับ ไปยังอาคารสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปกับเครื่องที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางต่อไป

เห็นผู้โดยสารชาวไทยกลุ่มหนึ่ง ซึ่ง อ.วิรัตน์ บอกว่า จะเดินทางไปกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

สำหรับชาวคณะ จะรอโดยสารเครื่องเที่ยวบินที่ SQ 638 สิงคโปร์ - นาริตะ ซึ่งจะออกเดินทางเวลา 22.55 น. (เวลาท้องถิ่น) ในบ้านเราก็ราวๆ 21.55 น.นั่นแล

แต่ในใจผมนั้น เต็มไปด้วยคำถามที่ว่า "ตูมาทำอะไรที่สิงคโปร์ (วะ) ?



พอถึงเวลาประมาณ 22.30 น. (เวลาท้องถิ่น) ทางสนามบินได้ออกประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางไปยังสนามบินนาริตะ กรุงโตเกียว

ปรากฎว่าเครื่องบินเที่ยวนี้ เป็นป้าวาฬบิน A 380 แถมได้อยู่ชั้นเหลาเต๊งเสียด้วย หลังจากได้ยินลูกเล่าให้ฟังมานาน

ทางพนักงานได้แจกถุงเล็กๆ บรรจุด้วยแปรงสีฟัน พร้อมยาสีฟันหลอดอันกระจิ๋ว ถุงเท้าไว้สวมตอนนอน พร้อมหูฟังขนาดเล็ก ไว้ฟังเสียงจากจอหนังที่อยู่เบื้องหลังพนักพิง แต่ถ้ากัปตันหรือพนักงานจะประกาศให้ผู้โดยสารให้ทราบแล้ว เสียงประกาศจะดังก่อนเพื่อน

เป็นที่น่าเสียดายตรงว่า ปลั๊กเสียบมีข่องแคบกว่าขาของหูฟัง เลยต้องดูแบบหนังเงียบหรือเปิดแผนที่การบินของเที่ยวบินนั้นไปตามอัธยาศัย



ขอบันทึกภาพไว้เป็นที่ระทึกสักเล็กน้อย



ระหว่างที่พนักงานเสริฟอาหารว่างและเครื่องดื่มรอบดึกแก่ผู้โดยสารนั้น อ.วิรัตน์ ได้แยกไปนั่งบริเวณเบาะตรงกลาง เนื่องจากมีผู้โดยสารจำนวนไม่มากนัก

สอบถามได้ความว่า เอาไว้นอนข้ามคืน ตื่นขึ้นมาตอนเช้าจะถึงญี่ปุ่นพอดี มากับผู้สันทัดกรณี ได้เปรียบตรงนี้แหละ

แอร์โฮสเตสถามผมด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงสิงคโปร์ว่า ต้องการเครื่องดื่มอะไร ?

ผมทำท่างงๆ กับคำถามนั้น จน อ.วิรัตน์ เข้ามาเป็นล่าม แถมด้วยคุณณพแนะนำว่า ควรเป็นไวน์แดงจะได้นอนหลับสบาย เลยตกลงตามนั้น

ครั้นเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว แอร์โฮสเตสก็เข้ามาดึงม่านลง ก่อนที่จะปล่อยให้ผู้โดยสารเข้าสู่นิทรารมย์ต่อไป



หลังจากบินมาทั้งคืน แผ่นดินเกาะญี่ปุ่นที่ จ.ชิบะ ก็ปรากฎอยู่เบื้องล่าง เสียดายที่อากาศอำนวย สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิขี้อายเป็นปฐมฤกษ์ที่มาถึง แต่กล้องกลับโฟกัสภาพริ้วรอยตรงบานกระจกหน้าต่างเครื่องบินแทน เลยไม่ได้ภาพมาฝากครับ



การเดินทางอันยาวนานสิ้นสุดลง เมื่อเครื่องบินลงแตะพื้นรันเวย์สนามบินนาริตะดดยสวัสดิภาพ



ขอบันทึกภาพป้าหางม่วง สายการบินบ้านเดียวกันไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย คงบินมาถึงสนามบินนาริตะก่อนหน้านี้ไม่นานนัก



สนามบินนาริตะเช้าวันนั้นยังมีสายการบินลงไม่มาก จากการสังเกตเครื่องที่จอด มีสายการบินจากเกาหลี จีน ยุโรป สหรัฐฯ และหมู่เกาะทะเลใต้

สายการบินชื่อแปลกๆ เช่น แอร์เจ๊จู ก็มี (แอร์ เซจู ของเกาหลี) แต่ไม่มี แอร์ โคเรียว ของเกาหลีเหนือ

แน่นอน มีสายการบิน ANA เจ้าถิ่นด้วย



บรรดาผู้โดยสารต่างหยิบข้าวของจากหิ้งเตรียมลงจากเครื่อง แต่ต้องรอให้ผู้โดยสารชั้นบิสเนสลงก่อนตามลำดับคิว ไม่เหมือนบางประเทศเนาะ ที่ชิงกันเหมือนลงรถเมล์ไม่มีผิด

พักเครื่องยนต์ที่บินมาทั้งคืน ก่อนจะบินยามสายกลับสิงคโปร์



ยินดีต้อนรับสู่ประเทศญี่ปุ่น แค่เห็นคำทักทายเป็นภาษาของตนเองก็ชื่นใจบอกไม่ถูกแล้ว

จากอาหารตอนค่ำ ยามดึก และมื้อเช้าบนเครื่อง ทำให้ท้องไส้ของชาวคณะเริ่มจะทนไม่ไหว เลยมีการทิ้งน้ำหนักที่ห้องสุขาสนามบินนาริตะในเช้าวันแรกที่มาถึงนั่นเอง



จากนั้น ก็เดินทางไปตามทางเลื่อนเข้าสู่กระบวนการ ตม. โดยแสดงบัตรผู้เดินทางเข้าประเทศ ตรวจหนังสือเดินทาง ปั้มนิ้วชี้ขวา และถ่ายภาพม่านดวงตาตามระเบียบ

ผมคิดว่า ทางเจ้าหน้าที่ต้องเคยมาเที่ยวเมืองไทยแน่ๆ เพราะหลุดคำทักทายภาษาไทยออกมาหลายคำ แถมมีการจ้าง สว.มาปฏิบัติงานอีกด้วย

ผ่านขั้นตอนนี้แล้ว ต่างคนต่างไปรับกระเป๋า ซึ่งเจ้าหน้าที่ยกออกมาวางข้างนอกสายพานตั้งนานแล้ว ก่อนเดินไปยังสถานีรถไฟเพื่อเข้าสู่มหานครโตเกียวต่อไป



ชาวคณะต่างทะยอยเดินลงบันไดเลื่อน สู่ไต้ถุนอาคารสนามบิน อันเป็นที่ตั้งของสถานีนาริตะ ของกลุ่ม JR กันล่ะ

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะที่ตั้งของสนามบิน อยู่ห่างจากมหานครโตเกียวร่วม 70 กม. จำต้องมี airport rail link ทั้งรถด่วน และรถธรรมดา เชื่อมโยงระหว่างกันแทบทุก 15 นาที โดยไม่ต้องมีรถแท็กซี่คอยโก่งราคาผู้โดยสารแต่อย่างใด



อ.วิรัตน์ บอกว่า ยังไงๆ เราก็เข้าไปถึงมหานครโตเกียวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้บริการรถด่วน Narita Express (NEX) อันลือชื่อให้เปลืองเงินแต่อย่างใด

รอนั่งรถไฟสาย Keisei main line limited express ซึ่งมีศักดิ์เทียบเท่ารถเร็วบ้านเราดีกว่า โดยแวะที่สถานีชิบะเพื่อนั่งรถโมโนเรลเล่นอีกด้วย



แล้วอารยธรรมญี่ปุ่นสมัยใหม่ก็ปรากฎต่อหน้าผมเป็นครั้งแรก

เป็นตู้ขายเครื่องดื่มแบบหยอดเหรียญครับ ในราคาจำหน่ายในราคา 100 เยน หรือมากกว่านั้นนิดหน่อย และเป็นเหตุผลทำให้ญี่ปุ่นยังคงเหรียญย่อยเงินเยนอยู่จนบัดนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้เครื่องแบบนี้แหละ

ตู้จำหน่ายน้ำแบบหยอดเหรียญนี้ จะเห็นได้ทุกหัวระแหงในญี่ปุ่น ตั้งแต่ซัปโปโรลงไปถึงคาโกชิม่า สร้างรายได้ให้กับผู้จัดบริการนี้อย่างเป็นกอบเป็นกำ อย่าดูถูกเงินเหรียญย่อยเชียว



บรรยากาศของสถานี ก่อนที่ขบวนรถไฟสาย Keisei main line limited express จะเข้าเทียบชานชาลา เป็นขบวนรถไฟฟ้าด้วยนะ จากสายจ่ายไฟที่โยงเหนือหลังคานั่นแหละ



ภายในขบวนรถ มีที่บริการสำหรับผู้โดยสารสูงอายุ หรือผู้พิการด้วย ไม่จำเป็นต้องรื้อเบาะนั่งแต่อย่างใด ผมคิดว่าที่เบาะหุ้มกำมะหยี่นั้น อาจเป็นเพราะเป็นรถใช้งานในเขตเมืองหนาวก็ได้

มี heater ติดตั้งไว้ใต้เบาะรถ ส่วนเครื่องปรับอากาศและช่องระบายลมจะอยู่บนหลังคา เห็นโดดเด่นเป็นกล่องใหญ่นั่นแหละ

ถ้าจะเปรียบให้เห็นง่ายๆ ดูจากรถโดยสารเก่าจากญี่ปุ่นที่ รฟท.รับมาดัดแปลงเป็น บชท.ป. และรถบรรทุกจักรยานครับ



เสร็จสรรพแล้วก็ร่วมกันบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึก



พอรถมาถึงสถานีชิบะ อ.วิรัตน์ บอกให้ชาวคณะสละยาน

ลงไปซื้อตั๋วหยอดเหรียญขึ้นรถโมโนเรลสาย chiba urban Monorail สายที่ 1 ซึ่งมีระยะทางสั้นๆ ชื่นชมบรรยากาศกันหน่อย



ภายในรถโมโนเรลครับ แต่รางนั้นเป็นแบบแขวน มีล้อยางในการขับเคลื่อน เสียงเงียบสนิท แต่ผมว่าจะมีอาการกระชากนิดหน่อย เวลาขบวนรถหยุดที่สถานี



ช่วยกันบันทึกภาพหลังห้องขับที่ค่อนข้างทึบไปหน่อย อาจเป็นเพราะติดสติ๊กเกอร์เพื่อการโฆษณาก็ไม่รู้ ?



พอแล่นได้ไม่กี่สถานี รถก็ถึงสถานีปลายทาง ทำเอา อ.วิรัตน์ ถามโอบะซังที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ด้วยความสงสัย

"สุดสายแล้วจ้า พ่อหนุ่ม ต้องนั่งย้อนกลับไปใหม่ และอย่าขึ้นผิดขบวนล่ะ"

ทั้งนี้ เป็นสถานีที่โมโนเรลทั้งสองสายมาบรรจบกัน

ชาวคณะจึงต้องลากกระเป๋าลงจากรถ หลังจากกล่าว "อะริงาโต" โอบะซังท่านนั้นไปแล้ว



หลังจากรออยู่พักใหญ่ โมโนเรลสายที่ต้องการก็แล่นมาถึง

อ.วิรัตน์ ได้กำชับอย่างแน่นหนาว่าอย่ายืนล้ำแถบเหลืองที่ติดขอบชานชาลาเป็นอันขาด อาจถูกตัวรถชนเอาได้ ถึงแม้ว่าจะมีรางอยู่เหนือขบวนรถก็ตาม



คราวนี้บรรยากาศชัดเจนกว่ากันเป็นไหนๆ จริงไหมครับ ?



หน้าตาตัวจริงก็ประมาณนี้แหละครับ ขณะที่จอดตั้งขบวนกลับไปยังปลายทาง



สถานีโอมิยะ ตั้งอยู่เขต จ.ไซตามะ มีผู้โดยสารหอบลูกจูงหลานรอขึ้นรถไฟไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด เนื่องในวันหยุดยาว golden week ที่บังเอิญมาบรรจบกันอย่างพร้อมเพียงในเดือนนี้ด้วยสิ

จุดหมายของชาวคณะในวันนี้โดยไม่มีการพักผ่อน อยู่ที่พิพิธภัณฑ์รถไฟโอมิยะ ซึ่งมีเรื่องราวต่างๆ ของรถไฟญี่ปุ่นอยู่มากมาย



อีกมุมหนึ่งของสถานี มีบรรดาพ่อแม่อุ้มลูกจูงหลานรอขึ้นรถไฟฟ้ามาเที่ยวพิพิธภัณฑ์รถไฟกันมากหน้า

ตั้งแต่มีผู้สูงวัยมากมายในสังคมญี่ปุ่นปัจจุบัน ทางรัฐบาลได้ส่งเสริมการเพิ่มพลเมือง โดยมีมาตรการจูงใจต่างๆ เช่น ยกเว้นค่าเล่าเรียนสำหรับเด็กในชั้นอนุบาล ฯลฯ เราจึงเห็นบรรดาพ่อแม่วัยหนุ่มสาวอุ้มลูกวัยเด็กเล็กกันค่อนข้างหนาตา



ภายในขบวนรถไฟฟ้าไปยังพิพิธภัณฑ์รถไฟโอมิยะครับ



ถึงปลายทาง แต่ต้องรอขบวนรถไฟฟ้าย่อส่วน จัดเป็น shuttle train นำผู้เข้าชมไปยังอาคารพิพิธภัณฑ์อีกทีหนึ่ง

เป็นรถไฟฟ้าล้อยางนะครับ เห็นได้ว่าชาวญี่ปุ่นมีความผูกพันกับรถไฟมากมายเพียงใด


Create Date : 04 ตุลาคม 2562
Last Update : 18 ธันวาคม 2562 9:19:12 น. 0 comments
Counter : 1183 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

owl2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Friends' blogs
[Add owl2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.