Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2561
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
2 พฤษภาคม 2561
 
All Blogs
 
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 8 )

เสียง morning call จากทางโรงแรมดังปลุกเมื่อเวลา 04.00 น.ของเวลาพม่า สร้างความคึกคักขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะวันนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า ขึ้นเครื่องบินภายในประเทศไปยังเมืองพุกาม

ด้วยเวลาช้ากว่าบ้านเราเพียง 30 นาที ทำให้คิดว่าได้กำไรเล็กๆ น้อยๆ ใกล้เวลาตื่นนอนตามปกติแล้วล่ะ



หลังจากหอบหิ้วกระเป๋ามารวมพลที่ lobby แล้ว น้องผมเกิดติดใจบรรยากาศ เลยชวนผมมาเก็บภาพในช่วงเช้าที่หน้าโรงแรมให้ด้วย



จากสภาพถนนหน้าโรงแรม มีเพียงคนกวาดถนนทำงานอยู่เพียงเดียวดาย

ต่างจากบ้านเราลิบลับ ที่มีรถราวิ่งกันขวักไขว่แล้ว



กับเกวียนเมืองพม่า รูปร่างอ่อนช้อยเป็นพิเศษ ทรงละม้ายเกวียนเมืองเชียงใหม่ ซึ่งตอนนี้หาดูได้ค่อนข้างยากเหมือนกัน



ตอนนี้ ชาวคณะได้ลงมารวมตัวกันพร้อมแล้ว ก็เคลื่อนพลไปยังสนามบินย่างกุ้ง (มิงกลาด่ง) เลยล่ะ

มื้อเช้า ไปทานกันบนเครื่องบินเลย



วันนี้ เริ่มต้นด้วยสายการบิน Golden Myanmar Airlines ครับ

หัวหน้าทัวร์คงสังเกตเห็นกะเหรี่ยงท่าทางตื่นเต้นตอนขึ้นเครื่อง เลยอาสาบันทึกภาพให้เป็นที่ระลึก



ระหว่างที่ทำโก้ รับประทานอาหารมื้อเช้าบนเครื่องนั้น ก็ศึกษาข้อมูลจากเอกสารแนะนำของสายการบินไปพลางๆ

ชื่อสนามบินที่จะไปลง หากออกเสียงตามตัวสะกดภาษาโรมันแบบบ้านเรานั้น ค่อนข้างยากเป็นล้นพ้น เพราะสะกดตามภาษาอังกฤษด้วยลิ้นชาวพม่า



เที่ยวนี้ ยังเดินทางไปไม่ถึง สะพานก๊กเต็ก ซึ่งเชื่อมระหว่างที่ราบเมืองพม่ากับที่ราบสูงรัฐฉาน



08.25 น. ถึงสนามบินยองลูแล้วครับ อากาศกำลังสว่างได้ที่เลย



มีฝรั่งรอขึ้นเครื่องไปเที่ยวทะเลสาบอินเล หรือไปเมืองมัณฑะเลย์ตามอัธยาศัย

หัวหน้าทัวร์เคยแอบเล่าว่า อยากจะรับคณะทัวร์ให้มากกว่านี้ แต่ติดขัดด้วยความจุเครื่องภายในประเทศนี่แหละ ถึงแม้จะมีหลายบริษัทก็ตาม

เพราะบริษัททัวร์พม่าตอนนี้ มีหลายบริษัทด้วยสิ นอกเหนือจากนักท่องเที่ยวอิสระที่ใช้บริการจองตั๋วออนไลน์ และผู้โดยสารตามปกติอยู่แล้ว



เมื่อการโดยสารเรียบร้อย ก็ล้อหมุนออกชมเมืองเก่าพุกามกันล่ะ



แห่งแรกที่ทัวร์จอดแวะนมัสการ คือพระธาตุชเวสิกอง ครับ

พระธาตุชเวสิกอง เป็น 1 ใน 5 มหาสถานของพม่าที่พึงมาสักการะบูชา สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโนรธา ต้นราชวงศ์พุกาม เพื่อบรรจุพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า (บางตำนานกล่าวว่ามีกระดูกหน้าผากและพระเขี้ยวแก้วด้วย) ซึ่งสร้างอยู่นานถึง 3 รัชกาลทีเดียว แล้วเสร็จในรัชสมัยพระเจ้ากยันสิทธา



hobby ของหัวหน้าทัวร์อีกอย่างหนึ่งคือชอบถ่ายภาพ แถมได้เปรียบกว่าคนอื่นตรงที่ท่องเที่ยวมาก จะมีมุมภาพมากมายที่หามาประกอบภาพให้สวยงาม น่าสนใจอยู่เสมอ

ดูฝีมือทุ่มทุนสร้างเถอะครับ



จากการบันทึกภาพของหัวหน้าทัวร์ มีลูกทัวร์ครบคณะพอดี



แต่ตอนนี้ ขอโชว์ภาพเดี่ยวก่อน



ก่อนที่จะแยกย้ายกันเก็บภาพตามมุมองของแต่ละคนต่อไป



มีผู้สนใจเข้ามาสักการะและมาชมกันมากมาย ไม่เฉพาะแต่นักท่องเที่ยวเท่านั้น



มองไปมุมสูงครับ



ทางด้านน้องผม ได้เห็นเหตุการณ์ที่แถมนอกเหนือจากรายการทัวร์วันนี้ คือ การแห่ลูกแก้ว

หรือแห่นาครอบพระเจดีย์ ก่อนเข้าบรรพชา



จากการอธิบายของไกด์ในวันต่อมา ทราบว่า ตามประเพณีบวชนาค มักมีขึ้นช่วงปิดภาคเรียนใหญ่ พ่อแม่ของนาคจะนำลูกชายมาบวชเรียนเป็นสามเณรภาคฤดูร้อน

และที่นิยมกันมากคือมักจะหาเพื่อนมาบวชกันหลายรูป นัยว่าเป็นการกุศลเนื่องจากต้องใช้ทุนรอนไม่น้อยทีเดียวในการจัดงาน และเพื่อนนาคต่างก็ยินดี ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานด้วย

เรียกว่าช่วยกันลดภาระค่าใช้จ่ายนั่นแหละ



ต้องขออภัยล่วงหน้านะครับหากคำบรรยายไม่ตรงกับภาพที่ลงไว้ เพราะมัวลุยอยู่ในทุ่งเจดีย์ 4,000 องค์ จนผมออกจะงงๆ กับตัวเองว่าอยู่ตรงไหนกันแน่

หัวหน้าทัวร์เล่าให้ฟังในรถมาก่อนหน้าแล้วว่าเจดีย์ที่นี่ ล้วนแต่เป็นอุเทสิกเจดีย์ คือ สร้างเพื่ออุทิศแก่พระพุทธเจ้า และมีเหล่าข้าราชบริพารขอพระราชทานที่ดินจากพระมหากษัตริย์เพื่อสร้างเจดีย์ดังกล่าว นับพันองค์ ล้วนแต่มีขนาดใหญ่โตทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนั้น บริเวณก่อสร้างพระเจดีย์ที่เคยเป็นป่า จึงถูกถางลงและนำต้นไม้มาเป็นเชื้อเพลิงเผาอิฐจำนวนมหาศาล ทำให้กลายเป็นทุ่งโล่งอันแห้งแล้งมาจนทุกวันนี้ ข้อนี้ผมสันนิษฐานเอง

พูดไปเดี๋ยวเยิ่นเย้อ จากวัดพระเจดีย์ชเวสิกอง คราวนี้ รายการนำเที่ยวจะเข้าสูย่านเมืองเก่าพุกามกันล้วนๆ ล่ะ และแห่งแรกที่แวะชมคือ วัดอนันดา



วัดอนันดา สร้างขึ้นโดยกษัตริย์จันสิทธะกษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์พุกาม เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนภูเขานันทมูล บนเทือกเขาหิมาลัยอันเนื่องมาจากการจาริกแสวงบุญมายังดินแดนพุกามของพระอรหันต์ 5 รูป

เหล่าพระอรหันต์ได้ทูลเล่าถึงลักษณะวัดในอินเดียถวายพระเจ้าจันสิทธะ

พระองค์ทรงพอพระทัยมาก จึงดำรัสให้ก่อสร้างวัดขึ้นตามลักษณะที่เหล่าพระอรหันต์ได้พรรณา แล้วตั้งชื่อว่าวัดอนันดา ตามชื่อถ้ำที่พระอรหันต์ทั้ง 5 องค์ อาศัยอยู่



รีบบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึกตามธรรมเนียมอันดีงาม ฮ่า...



ส่วนไกด์ของกลุ่มทัวร์ เกริ่นไว้ว่า จะแต่งกายตามชุดของแต่ละชนเผ่า ตลอดระยะเวลาที่พาทัวร์

จึงเป็นนางแบบจำเป็นสำหรับลูกทัวร์กับสถานที่ต่างๆ อันเป็นการประชาสัมพันธ์กิจการของบริษัทแบบไม่เสียค่าโฆษณาไปด้วย



ภายในเจดีย์วิหาร มีพระพุทธรูปปางต่างๆ ซึ่งมีช่องที่เจาะไว้ตั้งแต่ก่อสร้าง ให้แสงสว่างส่องลงมาต้ององค์พระอย่างน่าอัศจรรย์



ทางเดินในเจดีย์วิหาร ดูสูงโปร่งโล่งตาด้วยครับ

วิหารแห่งนี้ เป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในพุกาม มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีมุขเด็จยื่นออกไปทั้ง 4 ด้าน ซึ่งเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมพม่าในยุคต้นของพุกามอีกด้วย



ขอนำภาพพระพุทธรูปมาให้เห็นกันชัดๆ ครับ



กับลวดลายอันอ่อนช้อยด้านนอกเจดีย์วิหาร

ถ้าผิดที่ ก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ล่ะ ฮ่า...



ครั้งหนึ่ง พระชินอรหันต์ ซึ่งเป็นพระมอญ ได้เดินทางมายังเมืองพุกาม และสามารถทำให้พระเจ้าอโนรธาเกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งพระองค์ได้แต่งทูตไปทูลขอพระไตรปิฎกจากพระเจ้ามนูหะ กษัตริย์เจ้าเมืองสะเทิม แต่ถูกปฏิเสธ แถมถูกวิจารณ์ด้วยว่าชาวพม่าเป็นพวกป่าเถื่อนอีกด้วย

ถ้าพูดตามประสาชาวบ้านก็คือ งานเลยเข้าเพราะปากของตัวเองล่ะ คราวนี้

พระเจ้าอโนรธาจึงยกทัพไปตีเมืองสะเทิม และอัญเชิญพระไตรปิฎกกลับไปเมืองพุกามพร้อมเชลยซึ่งประกอบด้วย พระสงฆ์ ช่างฝีมือ นักปราชญ์ เป็นจำนวนมาก รวมทั้งควบคุมตัวพระเจ้ามนูหะ และพระมเหสี ไปจองจำที่เมืองพุกาม



พระเจ้ามนูหะ ได้จำหน่ายสมบัติเพื่อสร้างวัดประกอบงานบุญของตัวเอง แต่ตัววิหารคับแคบ พอครอบคลุมองค์พระที่จัดสร้างเท่านั้น เพื่อแสดงให้เห็นความคับข้องใจของตนเอง ซึ่งมีชื่อว่า วัดมนูหะ



ดูสภาพภายในวิหารเอาเองเถิด



ผู้เข้าไปชมยังรู้สึกอึดอัดเลย จึงมักเรียกกันว่า "พระอึดอัด"



ระยะห่างจากพระพุทธรูปกับผนังวิหารครับ



ห้องด้านหลังพระวิหาร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธปางไสยาสน์ ซึ่งพระพักตร์หันไปทิศตะวันตก

เชื่อกันว่า พระเจ้ามนูหะ ต้องการสื่อความหมายถึง ความตายเท่านั้นที่จะให้พระองค์มีอิสระภาพ



มุมมองจากอีกด้าน กลายเป็นพระพุทธรูปหน้าบึ้งยังไงก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ



พ้นจากความอึดอัด กลับเข้าสู่ความใหญ่โตกว้างขวางกันอีกครั้งหนึ่ง กับวิหารสัพพัญญู

พระเจ้าอลองสิทธุโปรดให้สร้างเจดียวิหารองค์นี้ขึ้น ก่อนพุทธศตวรรษที่ 19

ถือเป็นเจตียวิหารสองชั้นแห่งแรกในศิลปะพุกาม โดยปรากฏการซ้อนกันของเรือนธาตุชั้นล่างกับชั้นบน

ชั้นล่างเป็นแกนกลางขนาดใหญ่รับน้ำหนักเจตียวิหารในผังแบบคฤหะ - มณฑปด้านบน

เจตียวิหารสองชั้นนี้ ได้รับความนิยมต่อมาในศิลปะพุกามตอนปลาย

โดยเจดีย์สำคัญที่ใช้เจดีย์สัพพัญญูเป็นต้นแบบ ได้แก่ เจดีย์สูลามณี และเจดีย์ติโลมินโล



ติดใจกับรถม้าซึ่งวิ่งอยู่ในบริเวณเมืองเก่าพุกาม

เลยขอบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึกจากความเอื้อเฟื้อของหัวหน้าทัวร์



ขนาดความใหญ่โตนั้น กล้องถ่ายรูปยังเก็บภาพไม่หมดเลยครับ



ต้องถอยห่างออกมาตั้งหลักอีกนิด ถึงจะได้รูปสมบูรณ์

กล่าวกันว่า เป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพุกามทีเดียว



ภายในวิหารสัพพัญญู



ความวิจิตรของฝีมือช่างสมัยก่อน

หากภาพผิดพลาด ผมขออภัยเป็นอย่างยิ่งมา ณ ที่นี้



ขอข้ามไปที่วัดติโลมินโลเลยนะครับ

วัดแห่งนี้สร้างในสมัยพระเจ้านันต่าวมยา เป็นเจดีย์ที่มีความเป็นมาแปลกกว่าเจดีย์องค์อื่นๆ

ด้วยในสมัยพระเจ้านรปติสิทธู ทรงมีราชบุตรหลายพระองค์ ทั้งที่เกิดแต่อัครมเหสีและพระชายา เมื่อทรงจะตั้งองค์รัชทายาทสืบราชบัลลังค์ ก็ไม่อาจตั้งราชบุตรในอัครมเหสีได้ทันที เพราะทรงเคยรับปากพระชายาองค์หนึ่งซึ่งคอยบริบาลพระองค์ขณะประชวรอย่างดียิ่งว่า จะทรงพิจารณาราชบุตรจากชายาองค์นี้ให้ขึ้นครองราชย์ด้วย

เมื่อไม่อาจคืนคำที่ให้ไว้ได้ จึงตัดสินพระทัยเรียกราชบุตรทั้งห้าพระองค์มานั่งล้อมวงกัน แล้วตั้งฉัตรอันเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ไว้ตรงกลาง หากฉัตรล้มลงแล้วปลายฉัตรชี้ไปที่ราชบุตรองค์ใด จะทรงแต่งตั้งเป็นกษัตริย์สืบต่อไปจากพระองค์

ปรากฏว่าปลายฉัตรชี้ไปที่เจ้าชายชัยสิงห์ (พระเจ้านันต่าวมยา) ซึ่งเป็นราชบุตรอันเกิดแต่ชายาองค์ที่บริบาลพระเจ้านรปติสิทธู

ชาวพม่าจึงเรียกพระเจ้านันต่าวมยาว่า “กษัตริย์ฉัตรตั้ง” และเมื่อทรงขึ้นครองราชย์จึงสร้างเจดีย์ขึ้นเป็นอนุสรณ์ ณ บริเวณที่พระราชบิดาเอาฉัตรเสี่ยงทาย และเรียกว่า “เจดีย์ติโลมินโล”

การคัดเลือกโดยวิธีแปลกๆ อย่างนี้ก็มีด้วย

อย่างไรก็ตาม นักปราชญ์ชาวพม่าบางรายได้ตีความว่า “ติโลมินโล” อาจเพี้ยนเสียงมาจาก “ไตรโลกมงคล “หรือ “ผู้ได้รับพรอันเป็นมงคลจากสามโลก” นั่นเอง



ขอบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึกอีกเช่นเคยครับ



ภายในวิหารติโลมินโล



ส่วนภายนอกวิหารนั้น ล้วนแต่มีร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกต่างๆ ให้ผู้สนใจได้เลือกหากันมากมาย



รูปวาดก็มี ทั้งวาดเองหรือโรยทรายสีด้วยครับ แถมจำหน่ายกระบอกไม้ไผ่ลงรักใส่ภาพอีกด้วย



หากมีแรง ซื้อหาขนกลับไปบ้านได้เลย



มิใช่ทำตัวเป็นนักเลงโตเหยียบข้าวของรังแกเด็กครับ แต่ลืมถอดแว่น หน้าตาเลยดุไปหน่อย



หุ่นกระบอกก็มีขาย แต่แปลกตรงที่ลูกทัวร์คนไทยมักจะไม่ค่อยซื้อหา

เกรงว่าจะขยับได้เองเวลาไม่มีใครเชิดต่างหาก

ปานละครเรื่อง "ห้องหุ่น" ประมาณนั้น



ลูกทัวร์กำลังให้ความสนใจกับหุ่นกระบอกที่แขวนอยู่รอบบริเวณวัด



มาดของทีมงานอันประกอบด้วยหัวหน้าทัวร์กับไกด์ ยามผ่อนคลายอิริยาบทครับ

แอบได้ยินไกด์กล่าวว่า หัวหน้าทัวร์ ลำดับอายุเป็นรุ่นน้าของเจ้าตัวเลยล่ะ

ส่วนหัวหน้าทัวร์บอกว่า หากมีไกด์หน้าใหม่รายใด ทางบริษัทจะส่งตัวมาฝึกงานที่พม่าเป็นครั้งแรก อันมีเรื่องจุกจิกหยุมหยิมมากมาย

หากผ่านการทดลองงานแล้ว สามารถรับมือกับกลุ่มทัวร์ของบริษัทกลุ่มไหนก็ได้



รายการนำชมในครึ่งวันแรก จะสิ้นสุดลงที่วิหารธรรมยันจี ซึ่งมีเกร็ดประวัติอันค่อนข้างโหดไม่น้อย



สันนิษฐานเชื่อว่า ผู้สร้างวัดธรรมยันจี คือ พระเจ้านะระตู่ เพื่อไถ่บาปที่ฆ่าพระบิดาและพระเชษฐาของตนเอง

พระปณิธานของพระเจ้านะระตู่ มีพระประสงค์ให้เป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แข็งแรงที่สุด และสวยงามที่สุดกว่าวัดอนันดา และเจดีย์สัพพัญญู

วิหารแห่งนี้มีชื่อเสียงที่สุดในการเรียงอิฐ แม้แต่ประตูก็ก่ออิฐเป็นวงโค้งจนแทบไม่เห็นรอยต่อ

มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า อิฐเหล่านี้ เวลาช่างเรียงเสร็จแล้วจะประกบกันสนิทแน่นจริงๆ

เวลาที่พระเจ้านะระตู่เสด็จมาตรวจงาน พระองค์จะทดสอบโดยเอาเข็มสอดเข้าไปในระหว่างแผ่นอิฐ

ถ้าสอดเข็มเข้าไปได้ ช่างคนนั้นจะถูกตัดแขน

ช่างทำอิฐต้องปาดด้านหน้าให้เรียบสนิทที่สุด ก่อนนำเข้าเตาเผา ผนังที่ได้จึงเรียบสนิทไร้รอยต่อ

เรื่องนี้จะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่แสดงให้เห็นว่าเทคนิคการก่อสร้างของชาวพุกามนั้นเลอเลิศมาก สิ่งก่อสร้างจึงสามารถยืนหยัดท้าสายลมแสงแดดมายาวนานได้นับพันปี

บาปกรรมของพระองค์ ทำให้ไม่มีศรัทธาที่สามัญและบริสุทธิ์ของประชาชนมาร่วมสร้าง

การสร้างวิหารแห่งนี้จึงต้องใช้วิธีเกณฑ์แรงงานมาอย่างกดขี่ข่มเหง จนประชาชนล้มตายไปมากมาย และได้รับความเดือดร้อนกันไปทั่วทั้งแผ่นดิน



ภายในวิหารธรรมสันจี มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ถึง 2 องค์ ทำให้ดูแปลกตาแก่ผู้มาพบเห็น

สันนิษฐานว่าองค์หนึ่งคือพระสมณโคดม ส่วนอีกองค์นั้น เป็นพระศรีอารยเมตไตรย์

ช่างโบราณอาจจะจงใจปั้นพระศรีอารยะเมตไตรย์ (ที่คนเชื่อว่าคือพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปที่จะมาจุติบนโลกมนุษย์) ไว้ล่วงหน้าก่อนจะเสด็จมาก็เป็นได้ หรือพระเจ้านะระตู่มีพระบัญชาให้ปั้นไว้ เพื่อแสดงว่าพระศรีอารยริยเมตไตรย์เสด็จมาโปรดสัตว์ในแผ่นดินของพระองค์แล้ว



อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงครองราชย์ได้เพียง 5 ปี มีพระสนมซึ่งเป็นธิดาของเจ้าแคว้นหนึ่งของอินเดีย ซึ่งรังเกียจพระองค์ซึ่งเป็นผู้โหดร้าย จนไม่ยอมให้เข้าใกล้อีก เลยสั่งประหารพระสนมองค์นี้

พอข่าวไปถึงพระบิดา จึงส่งทหาร 8 นาย ปลอมเป็นพราหมณ์เข้ามาในวัง ครั้นสบโอกาสจึงฆ่าพระองค์เสีย และฆ่าตัวเองตายตามไปด้วย

(แต่บางตำนานกล่าวว่าทรงเข้าไปแทรกแซงการค้าระหว่างลังกากับเขมรที่ผ่านทางคาบสมุทรมลายา ทรงจับเจ้าหญิงลังกาขณะเดินทางไปเขมร และไม่ยอมค้าช้างกับลังกา...

กษัตริย์แห่งกรุงลังกาจึงยกกองทัพเรือข้ามมหาสมุทร แล่นเรือขึ้นมาตามลำน้ำอิรวดี เข้ายึดเมืองพุกาม แล้วฆ่ากษัตริย์นราสุในปี พ.ศ.1708 เพียงเวลาขึ้นปีที่ 4 ของรัชกาล ขณะที่วิหารธรรมยันจีเสร็จเพียงโครงสร้าง เป็นเหตุให้พุกามว่างเว้นกษัตริย์เป็นเวลาถึง 9 ปี)



ถึงตอนนี้ ชาวคณะเริ่มสอดส่ายสายตามองดูร้ายขายเครื่องดื่มที่อยู่ตามจุดต่างๆ ในบริเวณวัด

แต่ยังเกรงว่าไฟธาตุของตนยังไม่เข้มแข็งเหมือนชาวบ้านร้านถิ่น เลยสะกดใจไว้



แต่กิเลสยังมายั่วใจอีก เมื่อเห็นแผงจำหน่ายส้มตำ มีลูกค้ามาอุดหนุนกันไม่ว่างเว้น (พม่าก็มีส้มตำขายนะ แต่รสชาติเป็นอย่างไรนั้น ไม่มีใครมาเล่าให้ฟัง)

หัวหน้าทัวร์คงสังเกตเห็น เลยพาชาวคณะขึ้นรถไปยังร้านอาหารริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี หลังจบรายการทัวร์ช่วงเช้า เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น.


Create Date : 02 พฤษภาคม 2561
Last Update : 2 พฤษภาคม 2561 11:05:29 น. 0 comments
Counter : 905 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

owl2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Friends' blogs
[Add owl2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.