|
5 สิงหาคม 2553
|
|
|
|
การตั้งครรภ์ในเดือนที่ี่ 8
พัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์ เมื่อจะสิ้นสุดปลายเดือนที่แปดนี้ทารกจะมีความยาวประมาณ 36 เซนติเมตร และหนักประมาณ 3.5 กิโลกรัม ทารกมีการพัฒนารูปร่างและการทำงานของร่างกายไปจนเกือบสมบูรณ์แล้ว จะจะมีชีวิตรอดได้หากคลอดออกมาในเดือนนี้ โดยอาจไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเครื่องช่วยหายใจในหน่วยบริบาลทารกแรกเกิดของโรงพยาบาล เพราะปอดมีความสมบูรณ์มาก แต่ทารกก็ยังมีการสร้างฮอร์โมนขึ้นมาเพื่อช่วยให้ปอดสมบูรณ์มากขึ้น เป็นการเตรียมพร้อมในการหายใจหลังคลอด ในสี่สัปดาห์สุดท้ายก่อนคลอดทารกจะมีการพัฒนาในเรื่องของน้ำหนัก และการสร้างชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพื่อป้องกันและรองรับแรงที่จะเกิดขึ้นระหว่างการคลอด
สมองมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วในเดือนนี้ ทารกสามารถเรียนรู้สิ่งที่อยู่ภายนอก ลองคุยกับลูก หรือ เปิดเพลงเบาๆให้ฟัง เพื่อสร้างความคุ้นเคย
ใบหน้าของทารก เมื่อคลอดจะมีลักษณะกลมและขอบตาอาจมีสีคล้ำ แต่หลังจากนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและสีผิว
แขนขาของทารกนั้นได้มีการพัฒนาเสร็จสมบูรณ์ และนิ้วมีนิ้วเท้ามีเล็บขึ้นเต็มปลายนิ้วพอดี
ขนอ่อนๆตามตัวของทารกนั้นได้หายไปเกือบหมดในเดือนที่แปด แต่บางส่วนก็ยังมีเหลืออยู่ให้เห็นหลังคลอด ผิวหนังของทารกจะมีสีซีด ลอกเป็นขุย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง
อวัยวะของระบบสืบพันธุ์ในทารกเพศหญิงจะมีเนื่อเยื่อที่จะเจริญไปเป็นเต้านมและหัวนมเริ่มเห็นชัดเจน ในทารกเพศชาย ลูกอัณฑะที่เคยอยู่ในช่องท้องตอนนี้ได้เคลื่อนตัวลงมาอยู่ในถุงอัณฑะเรียบร้อยแล้ว
ในเดือนที่แปดนี้จะหมุนตัวกลับเอาศีรษะลงไปสู่เชิงกรานของแม่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด แต่บางทีก็ไม่เป็นเช่นนั้น คุณหมอสามารถตรวจพบได้จากการตรวจอัลตร้าซาวด์ และคุณสามารถพบว่าส่วนที่แข็งๆและเป็นศีรษะของทารกอยู่บริเวณชายโครง และเท้าเล็กๆถีบลงบนบริเวณท้องส่วนล่างของคุณ หากในเดือนที่เก้าทารกยังคงไม่หมุนศีรษะกลับลงมาสู่อุ้งเชิงกราน การผ่าตัดคลอดก็จะถูกกำหนดขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายคุณแม่่
อาการปวดที่รอยต่อของกระดูกเชิงกรานสามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อทารกมีขนาดใหญ่และเคลื่อนตัวลงสู่อุ้งเชิงกราน กระดูกรอยต่อ และกล้ามเนื้อที่ยึดมดลูกจะถูกกดดันหรือดึงรั้งทำให้เมื่อเดินหรือเคลื่อนไหวร่างกายจะรู้สึกเจ็บได้
ว่าที่คุณแม่จะรู้สึกว่าตัวเองนั้นเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่วเหมือนก่อน หรือจะเรียกว่าอุ้ยอ้ายก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจะเดินหรือวิ่ง
ว่าที่คุณแม่บางคนมักจะมีปัสสาวะเล็ดเมื่อหัวเราะ หรือไอ เป็นอาการปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่ร่างกายสร้างออกมามากขึ้นเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อคลายตัว รวมถึงกล้ามเนื้อหูรูดของกระเพาะปัสสาวะ
ริดสีดวงทวาร แรงกดดันที่ศีรษะของทารกกดลงบนอุ้งเชิงกราน เพิ่มแรงดันในหลอดเลือดดำ ทำให้เกิดเป็นริดสีดวงทวารขึ้นทำให้เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งว่าที่คุณแม่ที่ท้องผูกบ่อยๆมักจะเป็นริดสีดวงทวารได้โดยง่าย บางทีริดสีดวงทวารทำให้เลือดออกได้ อย่าอายที่จะบอกคุณหมอ เพราะเป็นเรื่องธรรมดามากที่จะเกิดริดสีดวงทวารขึ้นในหญิงตั้งครรภ์ และคุณหมอจะมียาที่ช่วยให้คุณบรรเทาอาการเจ็บปวด พยายามอย่ายืนนานๆจะเพิ่มแรงดันให้เพิ่มมากขึ้น
อาการหายใจไม่พอจะมีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อเข้าสู่เดือนที่แปดและเก้า ยอดของมดลูกจะอยู่สูงถึงระดับซี่โครงชิ้นล่างสุด และดันกระบังลมของคุณแม่ขึ้นไป ทำให้คุณรู้สึกอึดอัด หายใจไม่สะดวก หรือหายใจไม่พอ ลองหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ แต่ลึกๆ จะช่วยให้ดีขึ้น และไม่มีผลกับการเจริญเติบโตของทารก พยายามยืนหรือนั่งให้หลังตรงอยู่เสมอจะช่วยให้อากาศไหลเข้าสู่ปอดได้มากขึ้น ในเวลานอนมดลูกจะดันกระบังลมขึ้นไปอีก ให้เอาหมอนหลายๆใบหนุนไหล่และศรีษะให้สูงขึ้น หรือนอนท่ากึ่งนอนกึ่งนั่ง จะทำให้คุณหายใจสะดวกและหลับสบายขึ้น
คุณแม่อาจสังเกตเห็นว่าร่างกายของุณแม่นั้นอ้วนฉุ เนื่องมาจากการบวมขึ้นของอวัยวะต่างๆ ที่มีของเหลวมาสะสมอยู่ เช่น ใบหน้า รอบตา ริมฝีปาก มือ ขา เข่า และเท้า เนื่องจากมีน้ำมาสะสมในเซลล์ไม่ถือเป็นความผิดปกติ ไม่มีความจำเป็นต้องลดเกลือในอาหารลง เพียงแต่หลับพักผ่อนให้มากพอ
คำแนะนำในการปฏิบัติตัวของคุณแม่
คุณแม่บางท่านอาจกังวลว่าทารกจะมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงหรือไม่ จะมีความพิการหรือความผิดปกติหรือไม่ เป็นเรื่องปกติที่ว่าที่คุณแม่จะกังวล แต่ถ้าหากว่าคุณรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างเพียงพอ ปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องแล้วก็ไม่ควรต้องกังวล ทารกมีโอกาสที่จะเกิดความพิการขึ้นได้น้อยมากหากคุณแม่อายุน้อยกว่าสามสิบห้าปี และหากได้รับการตรวจคัดกรองความผิดปกติ (Triple markers) ตรวจน้ำคร่ำ หรือได้ทำการตรวจ 4D-อัลตร้าซาวด์แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงอีก
บางครั้งคุณแม่อาจกลัวและวิตกเกี่ยวกับการคลอด ความเจ็บปวด หรือคุณแม่จะสามารถคลอดเองได้หรือไม่ ทารกจะได้รับอันตรายจากการคลอดหรือไม่ โดยปกติแล้วหากทารกอยู่ในท่าที่ไม่สามารถคลอดทางช่องคลอดได้ หรือมีภาวะรกเกาะต่ำ หรือคุณแม่มีภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์บางอย่าง การผ่าตัดคลอดจะถูกกำหนดไว้อยู่แล้ว คุณหมอจะต้องประเมินเอาไว้แล้วว่าคุณแม่สามารถคลอดเองได้ ซึ่งถ้าหากเกิดการคลอดลำบากขึ้นและทารกยังอยู่ในสภาวะปกติดี เครื่องมือที่ช่วยการคลอดทางช่องคลอดบางอย่างจะถูกนำมาใช้ เช่น คีม (Forceps) หรือแวคคิวอัม (Vacuum) ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ ไม่เป็นอันตรายต่อทารก แต่ถ้าหากการรอคลอดที่ยาวนาน ปากมดลูกไม่เปิดเต็มที่และมีผลให้ทารกอยู่ในสภาวะที่ขาดอ๊อกซิเจน การผ่าตัดคลอดจะเป็นทางเลือกที่ถูกนำมาใช้
คุณแม่บางท่านมีความวิตกกังวลว่าจะสามารถรับผิดชอบดูแลทารกได้หรือไม่ แม้ว่าคุณแม่จะมีวุฒิภาวะที่เหมาะสมแต่บางครั้งความรู้สึกนี้ก็เกิดขึ้นได้โดยเฉพาะกับคุณแม่มือใหม่ จำไว้ว่าคุณทำได้แน่ๆ เมื่อทารกคลอดออกมาคุณแม่จะรู้สึกว่าทำได้แน่ๆ การเตรียมพร้อมรับสถานการณ์นั้น จะช่วยให้ความวิตกกังวลนั้นหายไป ลองอ่านหนังสือเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดูทารก หาพี่เลี้ยง หัดเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือชงนมผสม จะช่วยให้คุณแม่มีความพร้อมและมั่นใจมากขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
ทารกท่าก้น
ในเดือนที่แปดนี้ทารกควรจะกลับศีรษะลงมาเรียบร้อยแล้ว แต่บางทีก็ไม่เป็นเช่นนั้น คุณหมอสามารถตรวจพบได้จากการตรวจอัลตร้าซาวด์ และคุณสามารถพบว่าส่วนที่แข็งๆและเป็นศีรษะของทารกอยู่บริเวณชายโครง และเท้าเล็กๆถีบลงบนบริเวณท้องส่วนล่างของคุณ หากในเดือนที่เก้าทารกยังคงไม่หมุนศีรษะกลับลงมาสู่อุ้งเชิงกราน การผ่าตัดคลอดก็จะถูกกำหนดขึ้น ทารกท่าก้นหมายถึง เด็กในครรภ์มารดาที่มีส่วนนำเป็นก้นหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของขาหรือร่วมกันอยู่ทางส่วนล่างของมดลูก และศีรษะอยู่ทางยอดมดลูก สาเหตุที่แท้จริงที่เกิดทารกท่าก้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มักพบสาเหตุที่ส่งเสริมให้เกิดทารกท่าก้นในกรณีดังต่อไปนี้
◦เด็กในครรภ์มีการเคลื่อนไหวได้มากกว่ากว่าปกติ เช่น มีน้ำคร่ำมากกว่าปกติ หรือมารดามีหน้าท้องหย่อนในการตั้งครรภ์หลังๆ ◦มดลูกมีรูปร่างผิดปกติ ◦ส่วนหัวเด็กไม่สามารถปรับเข้ากับอุ้งเชิงกรานได้เช่น เด็กมีภาวะ Hydrocephalus หรือรกเกาะต่ำ ◦ทารกแฝด ในทารกท่าก้นบางกรณีสามารถคลอดเองทางช่องคลอดได้ แต่พบว่าภาวะแทรกซ้อนจากการคลอดทารกท่าก้นมีสูงเช่น ทารกขาดอ๊อกซิเจน และมีเลือดออกในสมอง เนื่องจากศีรษะเด็กคลอดช้าเกินไป ปัจจุบันพบว่าการผ่าตัดคลอดเป็นวิธีการที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับกรณีนี้
ภาวะกรวยไตอักเสบ
กรวยไตอักเสบเกิดขึ้นในช่วงใดของการตั้งครรภ์ก็ได้ แต่มักพบในไตรมาสที่สามเนื่องจากมีความสัมพันธ์กับขนาดของมดลูกที่โตขึ้นด้วย โดยที่มดลูกขยายตัวใหญ่ขึ้นและไปกดทับหลอดไต อีกสาเหตุหนึ่งคือหลอดไตมีการเคลื่อนไหวน้อยลง ด้วยผลจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทั้งสองสาเหตุนี้ทำให้มีการคั่งค้างของปัสสาวะทำให้มีการติดเชื้อตามมา เชื้อที่พบบ่อยมักจะเป็น E.Coli
อาการที่เกิดจากกรวยไตอักเสบได้แก่ มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน กดเจ็บบริเวณหลังระหว่างชายโครงและกระดูกสันหลัง และอาจมีการถ่ายปัสสาวะบ่อย คุณหมอสามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจโปรตีน และPus cell ในปัสสาวะ หากคุณเป็นกรวยไตอักเสบ คุณจำเป็นต้องนอนพักในโรงพยาบาลเนื่องจากแพทย์ต้องให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำและยาปฏิชีวนะ
กรวยไตอักเสบอาจเกิดขึ้นเรื้อรังได้ หากก่อให้เกิดความเจ็บปวดทรมานแก่ว่าที่คุณแม่มาก คุณหมออาจทำการเหนี่ยวนำให้เกิดการคลอด หากการตั้งครรภ์ครบกำหนดแล้ว
การตรวจต่าง ๆ
Contraction Stress Test (CST)
คือการประเมินสภาพของทารกในครรภ์จากภายนอก ผ่านจากมารดาโดยการ บันทึกการเต้นของหัวใจของทารกในขณะที่มีการบีบตัวของมดลูก อัตราการเต้นของ หัวใจของทารกและการบีบตัวของมดลูกจะถูกบันทึกไว้
การบีบตัวของมดลูกจะทำให้เลือดมาเลี้ยงทารกน้อยลงเป็นช่วงเวลาสั้นๆ จากการสังเกตอัตราการเต้นของหัวใจของทารกขณะที่มีการบีบตัวของมดลูก แพทย์จะสามารถบอกได้ว่าทารกสามารถรับมือกับสภาวะตึงเครียดของการบีบตัวของมดลูก นั้นได้ดีเพียงใด
Contraction Stress Test จะทำเมื่อใด
◦เมื่อ Nonstress Test ได้ผล Nonreactive ◦เมื่อผลของการตรวจ Biophysical profile ได้คะแนนต่ำ ◦เมื่อแพทย์สงสัยว่าทารกอยู่ในสภาวะที่มีความเสี่ยงสูง การตรวจ Contraction Stress Test แพทย์จะวัดการบีบตัวของมดลูกโดยพันก๊อซรอบผนังหน้าท้องของมารดาหัวใจของทารกจะถูกวัดจากเครื่องอัลตร้าซาวด์ เครื่องมือจะบันทึกการเต้นของหัวใจของทารก และการบีบตัวของมดลูก ผลจะแสดงเป็นรูปกราฟสองเส้นแยกจากกัน
การแปลผล
Negative: หากในระหว่างการตรวจไม่มีการลดลงของการเต้นของหัวใจของทารก แสดงว่าทารกมีสุขภาพดี
Positive: หากในระหว่างการตรวจมีการลดลงของการเต้นของหัวใจของทารก แสดงว่าทารกมีความผิดปกติบางอย่าง
หลังจากการตรวจ Contraction Stress Test จะต้องมาตรวจซ้ำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับผลการตรวจ หากผล Positive มารดาอาจจำเป็นต้องพักในโรงพยาบาล หากทารกมีสุขภาพไม่แข็งแร็งโดยที่ไม่สามารถแก้ไขได้แพทย์อาจแนะนำให้ทำการคลอดก่อนกำหนดโดยเร็วที่สุด
ความเสี่ยงของการทำ Contraction Stress Test อาจทำให้คลอดก่อนกำหนดดังนั้นจึงไม่ทำในรายที่เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด
แพทย์จะไม่ทำการตรวจ Contraction Stress Test ในกรณีต่อไปนี้
◦เคยมีการผ่าตัดคลอดโดยลงมีดในแนวตั้ง ◦อาจทำให้รกลอกตัวจากมดลูกดังนั้นจะไม่ทำในกรณีที่สงสัยว่ารกอาจลอกตัวก่อนกำหนด ◦จะไม่ตรวจในทารกแฝด ◦ในรายที่รกเกาะต่ำเพราะจะทำให้มีเลือดออก
Create Date : 05 สิงหาคม 2553 |
|
1 comments |
Last Update : 5 สิงหาคม 2553 10:25:21 น. |
Counter : 744 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
DR.TONGTIS |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]
|
B.Sc. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1974-1978. M.D. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1979-1980. Diploma Board of Obstetrics and Gynecology. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1981-1983. Postdocteral Fellow Training. Queen's Mother Hospital, Glasgow Scotland. Postdocteral Fellow Training.King's College Hospital, London. UK. Postdocteral Fellow Training. Department of Obstetrics and Gynecology and Department of Radiology. John Hopkins Hospital, John Hopkins University.
|
|
|
สุขภาพ
การดูแลสุขภาพ
อาหารเพื่อสุขภาพ
ออกกำลังกาย
สุขภาพผู้หญิง
สุขภาพผู้ชาย
สุขภาพจิต
โรคและการป้องกัน
สมุนไพรไทย
ผู้หญิง
ศัลยกรรม
ความสวยความงาม
แม่ตั้งครรภ์
ทารกแรกเกิด
เด็ก
ครอบครัว