|
4 สิงหาคม 2553
|
|
|
|
การตั้งครรภ์ในเดือนที่ 7
พัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์ ในเดือนที่เจ็ดนี้ทารกมีน้ำหนักประมาณ 1.1 กิโลกรัม และยาวประมาณ 26 เซนติเมตรแล้ว ส่วนยอดของมดลูกอยู่บริเวณกึ่งกลางระหว่างสะดือกับใต้อก ตอนนี้ทารกมีไขมันมาสะสมตามร่างกายมากขึ้น ผิวหนังถูกปกคลุมด้วยไขสีขาวที่ช่วยปกป้องผิวหนังจากน้ำคร่ำ หากคลอดทารกในตอนนี้ ทารกยังมีโอกาสรอดชีวิตได้สูงภายใต้การดูแลพิเศษในโรงพยาบาล
สมองได้มีการพัฒนาขนาดโตขึ้นมาก และมีชั้นไขมันที่ปกคลุมเส้นประสาททั้งหมดเอาไว้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการรับส่งกระแสประสาทได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ทารกสามารถเรียนรู้ได้ สมองมีการพัฒนาส่วนที่จะใช้คิดคำนวณ และตอนนี้ทารกสามารถรู้สึกเจ็บ ร้องไห้ เมื่อถูกกระตุ้นด้วยเสียง หรือแสง ทารกจะตอบสนองโดยการลืมตา จะเห็นว่าทารกมีพฤติกรรมเกือบจะเหมือนกับทารกที่ครบกำหนดแล้ว
เสียงดังจากภายนอกมีผลต่อทารกในครรภ์ ทารกจะได้ยินเสียงนั้น และมีรายงานการวิจัยซึ่งพบว่าเสียงดังทำให้ทารกมีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น แม้แต่เสียงเพลงที่ดังเกินไปก็ตาม ดังนั้นคุณแม่ที่ทำงานในโรงงานที่มีเสียงเครื่องจักรดังๆ ควรปรึกษากับหัวหน้าเพื่อย้ายไปทำงานในจุดอื่นซึ่งเงียบสงบระหว่างการตั้งครรภ์ หรือการขอลาพัก
ตอนนี้ทารกขดตัวอยู่ในท้องคุณแม่เนื่องจากตัวเริ่มโตขึ้นและยาวขึ้น ทำให้พื้นที่มีจำกัด อย่างไรก็ตามทารกยังสามารถที่จะเปลี่ยนท่าได้ในขณะที่ทารกกำลังเคลื่อนไหว เนื่องจากปริมาณน้ำคร่ำน้อยลง คุณแม่จึงสามารถรู้สึกได้จากการเคลื่อนไหวของทารกได้อย่างชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวนั้นขึ้นอยู่กับว่า ทารกอยู่ในท่าใด ตำแหน่งของรก และโครงสร้างร่างกายของคุณแม่เองบางครั้งชัดเจนมากจนสามารถมองเห็นจากผนังหน้าท้องของคุณแม่ได้เลย ลองให้คุณพ่อวางมือลงบนหน้าท้องในช่วงเวลาเย็นที่คาดว่าทารกจะมีการเคลื่อนไหวมากที่สุด บางทีคุณพ่ออาจสามารถรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของทารกจากโลกภายนอก
ทารกสามารถรับรู้รสชาติได้ ผู้เชี่ยวชาญบางท่านเชื่อว่าปุ่มรับรสของทารกที่อยู่ในครรภ์สามารถรับรู้รสได้ดีกว่าตอนที่อยู่ในโลกภายนอกเสียอีก
สารหล่อลื่นภายในปอดของทารกหรือ Surfactant ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ทารกสามารถหายใจในโลกภายนอกได้ โดยที่สารหล่อลื่นนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ถุงลมเล็กๆนั้นแฟบติดกัน แต่สารหล่อลื่นนี้จะมีปริมาณมากพอก็ต่อเมื่อทารกมีอายุครบกำหนดแล้ว หากทารกคลอดก่อนกำหนด อาจเกิดภาวะหายใจลำบากขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคลอดเร็วก่อนกำหนดมากๆ การตั้งครรภ์โดยมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องคลอดก่อนกำหนด เช่น มารดามีภาวะความดันโลหิตสูง มีทารกในครรภ์มากกว่าสองคน แพทย์อาจให้ยาฉีดแก่แม่เพื่อช่วยเพิ่มระดับของ Surfactant ในปอดของทารกในครรภ์ได้ แต่ถ้าหากถุงน้ำแตกก่อนกำหนด หรือคลอดก่อนกำหนดโดยที่ไม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อน กุมารแพทย์อาจพิจารณาให้ surfactant สังเคราะห์แก่ทารกเมื่อหลังคลอดทันทีเพื่อป้องกันการแฟบติดกันของถุงลมทำให้เกิดภาวะหายใจลำบาก
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายคุณแม่
อาการท้องอืด มีลมในกระเพาะอาหารมาก และท้องผูกยังคงเป็นอาการที่รบกวนคุณแม่อยู่ ขนาดของมดลูกที่โตขึ้นจะดันกระเพาะอาหารขึ้นไป หากคุณแม่รับประทานอาหารแล้วแน่นท้องมาก ควรแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆอีกครั้ง
ในไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์นี้ อาการบวมตามมือและเท้าเกิดขึ้นเป็นปกติ เพราะร่างกายสะสมน้ำไว้มาก อาจจะสังเกตได้จากแหวนที่คับมากขึ้น
ผิวหนังของคุณแม่จะแพ้ง่ายมากในช่วงนี้ อาจมีผื่นขึ้น หรือเป็นสิว ไม่ต้องกังวล แต่ถ้าหากเป็นมากควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
อัตราการเต้นของหัวใจจะเพิ่มขึ้น เพราะหัวใจต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อที่จะสูบฉีดเลือดไปเลี่ยงร่างกาย รก และทารก ดังนั้นอัตราการเต้นของหัวใจของคุณแม่มักจะสูงกว่าปกติประมาณ 10 15 ครั้งต่อนาที คุณแม่บางท่านอาจถูกตรวจพบว่ามีเสียงผิดปกติของการเต้นของหัวใจ แต่มันจะหายไปเมื่อคลอดแล้ว
เต้านมของคุณแม่ยังขยายต่อไปอีก รวมถึงต่อมผลิตน้ำนมก็มีความพร้อมแล้วที่จะผลิตน้ำนมออกมาเลี้ยงทารก ในไตรมาสสุดท้ายนี้คุณแม่อาจมีน้ำนมสีเหลืองไหลออกมาเล็กน้อย เป็นเรื่องปกติ ข้อควรระวังก็คือระวังการกระตุ้นที่บริเวณนมเพราะจะทำให้มดลูกบีบตัวและเกิดการคลอดก่อนกำหนดได้
อาการปวดหลังของคุณแม่จะเป็นมากขึ้นและบางทีส่งผ่านลงไปที่ขาทั้งสองข้าง ครึ่งหนึ่งของหญิงตั้งครรภ์มีอาการปวดหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการตั้งครรภ์ดำเนินเข้าสู่ไตรมาสที่สาม อาการเจ็บที่หลังและส่งผ่านลงไปที่ขาอาจเกิดขึ้นได้จากการที่กระดูกสันหลังส่วนล่างนูนออก จากการที่ถูกมดลูกที่มีขนาดโตขึ้นดัน ทำให้เส้นประสาทเกิดการบาดเจ็บ หรือถูกกด หรือบางทีการที่คุณแม่ก้มยกของโดยท่าทางไม่ถูกต้อง หรือบิดตัวเร็วเกินไป อาจเป็นสาเหตุให้ปวดหลัง และบางครั้งอาการปวดหลังก็หายไปเมื่อทารกเปลี่ยนท่า
หากคุณแม่นอนเอนหลังลงไปแล้วทำให้ไม่สุขสบาย นั่นเกิดจากการที่มดลูกที่มีขนาดใหญ่ลงไปกดอวัยวะต่างๆตามแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้เลือดที่ไปหัวใจมีปริมาณน้อยลง ลองนอนตะแคงจะช่วยให้รู้สึกสบายมากขึ้น คุณแม่จะเริ่มลุกจากเตียงลำบากขึ้น ให้นอนตะแคงก่อนแล้วใช้มือช่วยดันตัวขึ้นมา
หากคุณแม่มีอาชีพที่จำเป็นต้องยืนนานๆ อาจขอถุงเท้าที่ช่วยพยุงขาจากคุณหมอ หรือพยาบาล เนื่องจากอาการของเส้นเลือดขอดอาจเป็นมากขึ้น
คำแนะนำในการปฏิบัติตัวของคุณแม่
อาการเจ็บเตือน
อาการเจ็บท้องเกิดขึ้นจากการที่มดลูกมีการบีบรัดตัว คุณแม่อาจรู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อที่อยู่ล้อมรอบทารกตึงและแข็งขึ้น อาการที่มดลูกบีบตัวนี้อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 20 สัปดาห์ แต่ในช่วงไตรมาสที่สามนี้จะชัดเจนมากยิ่งขึ้น
อาการเจ็บเตือนและเจ็บครรภ์จะคลอดจริงๆนั้น แตกต่างกันตรงที่ เจ็บเตือนนั้นปากมดลูกยังคงปิดสนิท แต่เจ็บจริงปากมดลูกจะเปิดออก อาการเจ็บเตือนมดลูกจะหดรัดตัวไม่สม่ำเสมอจะเกิดขึ้นเมื่อใด เวลาใดก็ได้ แต่เจ็บจริงนั้น มดลูกจะหดรัดตัวสม่ำเสมอ และถี่มากขึ้น เจ็บนานขึ้น มดลูกอาจบีบตัวอยู่นานถึงสองนาทีและรุนแรงมากขึ้น การเจ็บเตือนเหมือนเป็นการซ้อมความพร้อมของการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก ในการคลอดที่กำลังจะเกิดขึ้น
ทางเลือกในการคลอด
ในกรณีที่การตั้งครรภ์เป็นปกติ คุณแม่สามารถเลือกที่จะคลอดทารกทางช่องคลอดแบบธรรมชาติโดยไม่ใช้เทคโนโลยีใดๆเข้ามาช่วยได้ แต่ความเป็นจริงก็คือ โรงพยาบาลมีอุปกรณ์ต่างๆครบครันที่จะเตรียมพร้อมไว้ให้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นยาระงับความรู้สึก อุปกรณ์ช่วยในการคลอดในกรณีที่คลอดยากเช่น คีม (Forceps) แวคคูอัม (Vacuum) หรือในกรณีที่ทารกอยู่ในภาวะที่ต้องทำการช่วยเหลือในทันทีต้องผ่าตัดออกมาก็สามารถใช้ห้องผ่าตัดได้เลย รวมทั้งมีผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆที่คุณต้องการ เช่นวิสัญญีแพทย์ กุมารแพทย์ มีเครื่องมือเตรียมพร้อมในกรณีที่ฉุกเฉิน มีเครื่องมืออีเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ตรวจสอบสภาวะของทารกในครรภ์ สามารถรองรับทารกที่คลอดออกมาแล้วอยู่ในภาวะวิกฤต เป็นต้น
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล คุณแม่จะถูกจัดให้อยู่ในห้องรอคลอดที่สบาย สะอาด มีพยาบาลคอยดูแลและตรวจความก้าวหน้าของการคลอด ตรวจสภาวะของทารกในครรภ์ เมื่อคลอดทารกจะถูกส่งไปที่แผนกเด็กอ่อนเพื่อทำความสะอาดและ สังเกตอาการ โรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์ครบครันจะสังเกตอาการทารกที่คลอดใหม่ทุกรายในตู้อบ เพื่อที่สามารถสังเกตการหายใจของทารกได้อย่างชัดเจน และทารกอยู่ในตู้ที่มีอุณหภูมิอบอุ่นคงที่เหมือนกับในร่างกายของแม่ ทำให้ทารกสามารถปรับตัวกับโลกภายนอกได้ดีขึ้น ดังนั้นหากพบว่าลูกของคุณต้องอยู่ในตู้อบอย่าเพิ่งตกใจ หากทารกอาการปกติแข็งแรงดี แผนกเด็กอ่อนก็จะส่งทารกไปที่ห้องคุณแม่ในแปดชั่วโมง
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
การคลอดก่อนกำหนด (Preterm Labor) การคลอดก่อนกำหนดคือ การคลอดเมื่ออายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ เด็กที่คลอดออกมาอาจยัง เจริญเติบโตไม่สมบูรณเต็มที่ ความสมบูรณ์ของเด็กจะขึ้นอยู่กับอายุครรภ์เมื่อคลอด เด็กที่คลอดเมื่ออายุครรภ์น้อยกว่า 25 สัปดาห์อาจเสียชีวิต เด็กที่คลอดด้วยอายุครรภ์ น้อยๆแต่รอดชีวิตก็อาจจะมีปัญหาในการหายใจ อาจจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ในขณะที่เด็กที่เป็นแฝดที่จำเป็นต้องผ่าตัดคลอดก่อนกำหนดแต่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งอาจได้รับยากระตุ้นปอดให้สมบูรณ์ก่อนคลอด ทารกที่คลอดออกมา อาจมีน้ำหนักน้อยเมื่อเทียบกับเด็กที่คลอดเมื่อครบกำหนดแต่ปอดมีความสมบูรณ์ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
การคลอดก่อนกำหนดเกิดขึ้นจากสาเหตุใด
◦การที่ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด ◦ครรภ์แฝด ◦ได้รับการผ่าตัดบริเวณช่องท้องในขณะตั้งครรภ์ เช่นไส้ติ่งอักเสบ ◦มีน้ำคร่ำปริมาณมากหรือน้อยเกินไป ◦มีเลือดออกทางช่องคลอดหลังจากตั้งครรภ์ไปแล้ว 16 สัปดาห์ ◦มดลูกมีรูปร่างผิดปกติ ◦มารดาอายุน้อยกว่า 16 ปี ◦รกลอกตัวก่อนกำหนด ◦มารดาสูบบุหรี่ ◦ทำงานที่ต้องออกแรงมากๆ อาการแสดงของการคลอดก่อนกำหนด ได้แก่ การมีมูกเลือดออกทางช่องคลอด มีอาการเกร็งท้องเป็นๆหายๆ เป็นจังหวะ และมีน้ำเดิน การวินิจฉัยสามารถทำได้โดย แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจครรภ์เพื่อดูการบีบตัวของมดลูก ตรวจอัลตร้าซาวด์ เพื่อตรวจสุขภาพของทารกในครรภ์ ตรวจการบางและขยายตัวของปากมดลูก
แพทย์จะทำการยับยั้งการคลอดก่อนกำหนด หรือจะดำเนินการคลอด ที่ปลอดภัยขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ของทารก สุขภาพของมารดาและทารก ศักยภาพของหน่วยบริบาลทารกแรกเกิดอาการวิกฤต (Intensive care nursery) ที่จะสามารถดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด
การยับยั้งการคลอดก่อนกำหนด
◦พักในโรงพยาบาล และมีการสังเกตการบีบตัวของมดลูกอย่างต่อเนื่อง ◦นอนบนเตียงตลอดเวลา เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อมดลูก และเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ◦ในน้ำเกลือทางเส้นเลือดดำเพื่อให้ยาทางเส้นเลือดที่จะช่วยลดการบีบตัว ของมดลูก ◦ตรวจเลือด ปัสสาวะ และเซลล์จากปากมดลูกเพื่อ ตรวจการติดเชื้อ ◦อัลตร้าซาวด์ เพื่อตรวจสภาพของรก สุขภาพของทารก ประเมินอายุของทารก ตรวจความผิดปกติของทารก และท่าของทารก ◦ตรวจน้ำคร่ำเพื่อตรวจการติดเชื้อ และประเมินความสมบูรณ์ของปอดของทารก แพทย์จะไม่ให้ยาเพื่อยับยั้งการคลอดก่อนกำหนดในกรณีที่
◦มีเลือดออกมากทางช่องคลอด ◦มีความดันโลหิตสูงในระดับรุนแรง ◦มีการติดเชื้อในมดลูก ◦ทารกมีความผิดปกติ หรือเสียชีวิตแล้ว ◦สภาวะอื่นๆที่การตั้งครรภ์ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ หญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูงจะดูแลตนเองอย่างไร เพื่อป้องกัน การคลอดก่อนกำหนด
◦ไปพบแพทย์ทุกสองสัปดาห์หลังจากที่อายุครรภ์ 20 24 สัปดาห์เพื่อตรวจครรภ์ ◦ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลกระทบของงานที่ทำต่อการคลอดก่อนกำหนด ◦พักผ่อนให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ◦หยุดการออกกำลังทุกชนิด ไม่ยกของหนัก ไม่เดินทางไกล ◦ต้องทำใจให้สบายปราศจากความเครียด ◦หาวิธีที่จะจดจำการเกิดการบีบตัวของมดลูกจากการใช้มือสัมผัส ทำการบันทึกการบีบตัวของมดลูก ความสม่ำเสมอของการบีบตัว และความรุนแรงของการบีบตัว ◦ระวังการกระตุ้นที่บริเวณหัวนม เนื่องจากเป็นสาเหตุให้มดลูกบีบตัว ◦ระวังเรื่องการมีเพศสัมพันธ์เนื่องจากเป็นสาเหตุให้มดลูกบีบตัว การตรวจต่าง ๆ
Nonstress Test (NST)
คือการประเมินสภาพของทารกในครรภ์จากภายนอก ผ่านจากมารดา และบันทึกการเต้นของหัวใจของทารก เมื่อทารกที่มีสุขภาพแข็งแร็งมีการเคลื่อนไหว อัตราการเต้นของหัวใจจะสูงขึ้น ถ้าอัตราการเต้นของหัวใจของทารกอยู่ในช่วง 120 160 ครั้ง / นาทีและเพิ่มขึ้นเป็นเวลา 15 วินาที 2 ครั้งภายใน 20 นาทีการแปลผลคือ Reactive ซึ่งแสดง ถึงทารกมีสุขภาพดี
Nonstress Test จะทำเมื่อใด
◦เมื่อเป็นการตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง ◦เมื่อมีภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ที่ผ่านมาเช่น ทารกตายในครรภ์ ◦เมื่อมารดาสังเกตว่าทารกดิ้นน้อยลง ◦เลยกำหนดคลอดแล้วยังไม่คลอด
Nonstress Test จะให้ผลที่น่าเชื่อถือเมื่อ
◦ทำใน 6 8 สัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ ◦ทำในช่วงเวลาที่ทารกมีการเคลื่อนไหวมากที่สุดของแต่ละวัน (เช่นหลังจากมารดา รับประทานอาหาร 1-2 ชั่วโมง) การตรวจ Nonstress Test จะมีการติดตัวรับสัญญานที่ผนังหน้าท้องของมารดาสองจุดคือที่ ส่วนยอดของมดลูก และบริเวณที่สามารถได้ยินหัวใจของทารกเต้น มารดาจะได้รับปุ่มสำหรับกดเมื่อได้รู้สึกถึงการดิ้น ของเด็ก เครื่องมือจะบันทึกการเต้นของหัวใจของทารกเป็นเวลา ~ 30 นาที ผลจะแสดงเป็นรูป กราฟ และเมื่อมารดากดปุ่มผลของการตรวจก็จะถูกแปลตามสภาวะนั้น
การแปลผล
Reactive: ทารกเคลื่อนไหวอย่างน้อยสองครั้งใน 20 นาที ในสองครั้งที่ทารกมีการ เคลื่อนไหวอัตราการเต้นของหัวใจจะเพิ่มขึ้นอีก ~15 ครั้งต่อนาทีและสูงขึ้นอย่างน้อย 15 วินาที
Nonreactive: ทารกไม่มีการเคลื่อนไหวหรือ ไม่มีการเพิ่มขึ้นของการเต้นของหัวใจ ในระหว่างที่ทำ
บ่อยครั้งในการตรวจที่จะได้ผล Nonreactive เนื่องจากทารกไม่มีการเคลื่อนไหวเพียงพอ ที่เครื่องจะทำการอ่านผลได้ แพทย์จะทำการตรวจซ้ำอีกครั้งเมื่อเด็ก Active มากขึ้น แต่ถ้าผลยังคงเป็น Nonreactive ก็จะทำการตรวจอัลตร้าซาวด์แบบที่เรียกว่า Biophysical แต่ถ้าผลยังคงไม่ชัดเจนแพทย์ก็จะต้องทำ Contraction Stress Test (CST) และถ้าหากผลการตรวจแสดงว่าทารกมีสุขภาพไม่แข็งแรงแพทย์อาจแนะนำให้ ทำการคลอดก่อนกำหนด
Create Date : 04 สิงหาคม 2553 |
|
2 comments |
Last Update : 4 สิงหาคม 2553 9:43:03 น. |
Counter : 751 Pageviews. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าจะอิ๊บ (jipnaja ) 4 สิงหาคม 2553 12:36:27 น. |
|
|
|
| |
|
|
DR.TONGTIS |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]
|
B.Sc. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1974-1978. M.D. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1979-1980. Diploma Board of Obstetrics and Gynecology. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1981-1983. Postdocteral Fellow Training. Queen's Mother Hospital, Glasgow Scotland. Postdocteral Fellow Training.King's College Hospital, London. UK. Postdocteral Fellow Training. Department of Obstetrics and Gynecology and Department of Radiology. John Hopkins Hospital, John Hopkins University.
|
|
|
จริง ๆ เริ่มเป็นมาตั้งแต่เดือนที่ 5 แล้วอ่ะค่ะ
ลักษณะที่เป็นคือท้องจะแข็งเป็นก้อน ๆ อย่างตอนเดือนที่ 5 เนี่ยจะปูดเป็นก้อนกลม ๆ ตรงกลางเลย
ตอนนี้ก็ปูดเป็นก้อน แต่ดูเป็นตัวเป็นตนขึ้น
อยากทราบว่าจะมีผลข้างเคียงอะไรตามมามั้ยคะ รบกวนด้วยนะคะคุณหมอ
ขอบคุณมาก ๆ ค่า