<<
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
5 กันยายน 2553

เมื่อแม่ตั้งครรภ์อายุมากกว่า 35 ปี

ปัจจุบันคุณแม่เกือบทุกท่านทราบดีอยู่แล้วว่า อุบัติการณ์ของการเกิดความผิดปกติของโครโมโซมของทารกนั้นจะสูงขึ้นเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ตอนอายุมากกว่า 35 ปี และหากการตั้งครรภ์ครั้งแรกทารกมีความผิดปกติ การตั้งครรภ์ท้องต่อๆไปก็มีโอกาสที่จะพบความผิดปกติได้อีกค่อนข้างสูง

อัตราการเกิดความผิดปกติของโครโมโซมของทารกในช่วงอายุต่างๆของหญิงตั้งครรภ์
อายุของหญิงตั้งครรภ์ อัตราการเกิดความผิดปกติของของทารก
20.........................1:2000
30.........................1:1000
35.........................1:350
40.........................1:100
45.........................1:40

ความผิดปกติส่วนมากที่เกิดขึ้นมักจะเป็น Down’s syndrome (ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 เกิน Trisomy 21) ส่วนหนึ่งจะเป็น Edward’s syndrome (ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 18 เกิน Trisomy 18 ) และ Patau’s syndrome (ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 13 เกิน Trisomy 13) ความผิดปกติอื่นๆที่เป็น autosomal trisomies และ triploidy

Down’s syndrome
กลุ่มอาการดาวน์ถือเป็นความพิการแต่กำเนิดอันเนื่องมาจากทารกมีโครโมโซมที่ผิดปกติ ซึ่งประกอบด้วยความผิดปกติของหลายระบบ เช่นโรคหัวใจแต่กำเนิด พบได้ 1 ใน 3 ที่พบบ่อยคือ ผนังส่วนกลางของหัวใจมีรูรั่ว ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร ทางเดินอาหารอุดตัน พบได้ร้อยละ 12 เช่นลำไส้อุดตัน รูก้นไม่เปิด เป็นต้น ร่างกายเจริญเติบโตช้า โดยไม่ได้ขาดฮอร์โมน นอกจากนี้อาจมีอาการความจำเสื่อมคล้ายกับอัลไซเมอร์ 20% ของผู้ที่มีความผิดปกติดังกล่าวจะเสียชีวิตภายในขวบปีแรก มีเพียง 45%ที่สามารถรอดชีวิตต่อไปถึงอายุ 60 ปีได้
แต่ปัญหาที่สำคัญของ Down’s syndrome คือ ภาวะปัญญาอ่อน (IQ เฉลี่ยประมาณ 50) ควรมีการส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการให้เหมาะสมตามวัยตั้งแต่อายุน้อย เพื่อให้มีพัฒนาการและช่วยเหลือตัวเองได้ดีต่อไป เมื่อโตเข้าสู่วัยที่จะเรียนหนังสือได้ ควรตรวจ IQ เพื่อดูระดับสติปัญญา ในกลุ่มสติปัญญาต่ำเล็กน้อย ( IQ 51-70 ) อาจจะเรียนหนังสือได้ในชั้นเรียนพิเศษ ซึ่งปัจจุบันนอกจากจะมีอยู่ในโรงเรียนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ในรายที่สติปัญญาต่ำปานกลาง ( IQ 35-50 ) อาจฝึกอาชีพได้ ถ้าต่ำมาก ( IQ 25-34 ) อาจได้เพียงฝึกการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน

Edward’s syndrome
กลุ่มอาการ เอ็ดวาร์ด เกิดจากทารกมีโครโมโซม คู่ที่ 18 เกิน มีลักษณะผิดปกติที่สำคัญ คือ น้ำหนักน้อย ศีรษะและใบหน้ามีลักษณะเฉพาะ คือศีรษะยาวและท้ายทอยยื่น ใบหน้าใหญ่และเป็นเหลี่ยม ตาห่าง ปากแคบ ใบหูผิดปกติและอยู่ที่ต่ำ บางรายปากแหว่ง และเพดานโหว่ หลังคอเป็นลอน และมีการเกร็งของกล้ามเนื้อ แขนเกร็งอยู่ในท่างอ เท้างอขึ้นอาจมีความผิดปกติแต่กำเนิดของหัวใจและไต ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือประมาณร้อยละ 80 ที่พบเป็นหญิง มักตายตั้งแต่อายุยังน้อย

Patau’s syndrome
กลุ่มอาการ พาโทส์ เกิดจากทารกมีโครโมโซมคู่ที่ 13 เกิน มีลักษณะผิดปกติที่สำคัญ คือ น้ำหนักน้อย ศีรษะเล็ก ตาเล็กหรือ ไม่มีตา ปากแหว่ง และเพดานโหว่ ตา 2 ข้างอยู่ห่างกัน มีรอยย่นที่หัวตา จมูกโต คางสั้น ใบหูเล็กผิดปกติและอยู่ต่ำ นิ้วมักเกิน หัวใจพิการแต่กำเนิด ไตผิดปกติ อาจมีอวัยวะภายในท้องอยู่กับซ้ายขวากัน เป็นต้น ทารกเหล่านี้จะเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน หูหนวก ส่วนมากตาบอดด้วยและมักตายตั้งแต่อายุยังน้อย อายุเฉลี่ยประมาณ 89 วัน

เพื่อเป็นการตรวจวินิจฉัยทารกในครรภ์ที่มีความผิดปกติดังกล่าวมาข้างต้น สามารถทำได้โดยการตรวจน้ำคร่ำ (Amniocentesis)
น้ำคร่ำก็คือของเหลว ใส สีเหลืองอ่อนที่อยู่ล้อมรอบทารกในครรภ์ บรรจุอยู่ในถุงน้ำคร่ำอีกทีหนึ่ง น้ำคร่ำประกอบไปด้วยน้ำ 98% และสารต่างๆอีก 2%ซึ่งจะมีเซลล์ของทารกที่หลุดออกปนอยู่ด้วย ทารกในครรภ์จะลอยอยู่ในน้ำคร่ำ ระหว่างที่มีการตั้งครรภ์ปริมาณน้ำคร่ำจะเพิ่มมากขึ้นตามการเจริญเติบโตของทารก เมื่อตั้งครรภ์ครบกำหนด ( 40 สัปดาห์ ) จะมีปริมาณของน้ำคร่ำประมาณ 1,000 ml ที่ล้อมรอบทารกอยู่ น้ำคร่ำจะไหลเวียนโดยการเคลื่อนไหวตัวของทารก ทุกๆ 3 ชั่วโมง
โดยปกติการเจาะน้ำคร่ำจะเจาะในระยะไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ และแนะนำให้เจาะในหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไปทุกราย อย่างไรก็ตามหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุน้อยกว่า35 ปี อาจจำเป็นต้องทำการตรวจน้ำคร่ำหากมีข้อบ่งชี้
การเจาะน้ำคร่ำไม่ต้องงดน้ำงดอาหารก่อนทำ แพทย์จะทำการตรวจครรภ์โดยจะใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์เพื่อคาดคะเนอายุครรภ์ที่แน่นอน จำนวนของทารก การเต้นของหัวใจ ท่าและตำแหน่งของทารก ตำแหน่งของรก ว่าอยู่ที่ตรงไหนเพื่อป้องกันไม่ให้เข็มแทงไปถูกทารก สายสะดือ หรือรก ก่อนเจาะน้ำคร่ำแพทย์จะเตรียมผิวหนังหน้าท้องบริเวณที่จะเจาะโดยทำความสะอาดด้วยยาฆ่าเชื้อ บางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้ยาชาเฉพาะที่ฉีดใต้ผิวหนัง แพทย์จะใช้เข็มเล็กๆ ยาวๆเจาะผ่านผนังหน้าท้อง ผ่านลงไปที่มดลูก เข้าไปในถุงน้ำคร่ำแล้วดูดเอาน้ำคร่ำปริมาณ 15 -30 ml ออกมา และห้องปฏิบัตรการจพนำน้ำคร่ำไปปั่นหาเซลล์ของทารกและเพาะเลี้ยงเซลล์เพื่อตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซมต่อไป
การเจาะน้ำคร่ำใช้เวลาเพียง 2 –3 นาที ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้เลย ไม่จำเป็นต้องนอนพักที่โรงพยาบาล ภายใน 12 ชั่วโมงร่างกายจะสร้างน้ำคร่ำมาทดแทนได้เหมือนเดิม การเจาะน้ำคร่ำอาจมีความรู้สึกเจ็บเหมือนถูกเข็มแทงสัก 2 - 3 วินาที แต่เมื่อเข็มแทงผ่านลงไปแล้วความรู้สึกนั้นก็จะหายไป ความกลัวเข็มและเกร็งหน้าท้องขณะทำจะทำให้เจ็บมากขึ้น บางคนจะมีควมรู้สึกเหมือนถูกกดบริเวณท้องน้อยขณะที่มีการดูดน้ำคร่ำออกไป หลังจากเจาะเสร็จแล้วบางรายอาจรู้สึกเกร็งเล็กน้อยการนอนพักสักระยะจะทำให้ดีขึ้น
ผลการตรวจจะทราบภายใน 2 – 3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาของเซลล์ และขั้นตอนในห้องปฏิบัติการ

ความเสี่ยงของการเจาะน้ำคร่ำ
1. มีความเสี่ยงเพียงเล็กน้อยที่เข็มจะแทงไปถูกตัวทารก รก และสายสะดือ
2. เกิดการแท้ง ~ 0.3 %
3. ติดเชื้อ
4. คลอดก่อนกำหนด
5. อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนตำแหน่งที่เจาะ ถ้าการเจาะครั้งแรกไม่สามารถดูดเอาน้ำคร่ำออกมาได้เพียงพอ
6. มีเลือดออกจากการฉีกขาดของรก หรือจากเส้นเลือดที่รก
7. หากมีเลือดแม่ปนการแปลผลบางอย่างอาจผิดพลาด

จากการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดใหญ่พบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำทางสถิติในการแท้งจากการเจาะน้ำคร่ำ ความเสี่ยงต่างๆดังกล่าวมาข้างต้น สามารถลดน้อยลงได้หากใช้เครื่อง อัลตร้าซาวด์บอกตำแหน่ง และแพทย์มีความเชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตามคุณพ่อและคุณแม่ควรตระหนักว่าการเจาะน้ำคร่ำไม่สามารถวินิจฉัยความพิการแต่กำเนิดบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมได้ และการเจาะน้ำคร่ำไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะได้ทารกที่สมบูรณ์แบบ






Create Date : 05 กันยายน 2553
Last Update : 5 กันยายน 2553 10:54:10 น. 10 comments
Counter : 664 Pageviews.  

 
คุณหมอค่ะ...อยากทราบเกี่ยวกับเรื่อง คุณแม่ที่เคยเป็นไทรอยด์เป็นพิษนะคะ ว่าจะมีผลต่อการตั้งครรภ์อย่างไรคะ

ขอบคุณคะ


โดย: หมูดุ๊กดุ๊ก IP: 183.89.101.214 วันที่: 5 กันยายน 2553 เวลา:11:28:59 น.  

 
ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ
ไม่มีดีที่สุด เหอ เหอ


โดย: แฟนสาวฮัตโตริคุง วันที่: 5 กันยายน 2553 เวลา:12:34:39 น.  

 
เจาะน้ำคร่ำานี่เจ็บมากไหมคะ อืม ตอนนี้อายุ28 ถ้าจะมีหรือไม่มีก็ควรจะรีบตัดสินใจใช่ไหมคะ

ไม่อยากโดนเจาะน้ำคร่ำ แค่คิดก็เจ็บแล้ว เฮ้อออออ ไม่มีลูกก็คงจะสบายที่สุดนะนี่


โดย: แฟนสาวฮัตโตริคุง วันที่: 5 กันยายน 2553 เวลา:12:37:10 น.  

 
เจาะน้ำคร่ำไม่เจ้บมากหรอกครับ เหมือนเจาะเลือด แต่ถ้ากลัวก็สามารถให้ยาระงับความรู้สึกได้ ส่วนไทรอยด์ขอเป็นพรุ่งนี้นะครับ


โดย: DR.TONGTIS วันที่: 5 กันยายน 2553 เวลา:16:23:03 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณหมอ แจนกำลังจะเข้า 34 เดือนมกรา 2011 นี้ค่ะ แต่งงานมาได้ 6 ปีแล้วไม่เคยคุมกำเนิด แต่ยังไม่มีบุตร ไม่ทราบว่าเราจัดอยู่ในภาวะมีบุตรยากหรือเปล่าคะ เราปรึกษาหมอมาได้ประมาณ 4 เดือนแล้ว ทาน clomid แล้วก็ตรวจดูไข่สุกด้วย ovulation kit ค่ะ แต่ยังไม่สำเร็จ อายุเท่านี่อัตราเสี่ยงสูงมั๊ยคะ


โดย: Jan IP: 205.211.8.166 วันที่: 5 กันยายน 2553 เวลา:19:01:33 น.  

 
ไม่คุมกำเนิดเลย 6 ปีแล้วไม่มีบุตร ถือว่ามีบุตรยากครับ ถ้ารักษาด้วยวิธีกำหนดวันยังไม่สำเร็จน่าจะลองตรวจร่างกายดูครับ เพราะบางครั้งถ้าท่อนำไข่อุดตัน รักษาด้วยวิธีให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ครับ


โดย: DR.TONGTIS วันที่: 6 กันยายน 2553 เวลา:9:44:14 น.  

 
ปัญหาของหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นไทรอยด์ และควบคุมอาการไม่ค่อยได้ดี คืออาจส่งผลให้ทารกในครรภ์มีการเจริญเติบโตไม่ดี น้ำหนักแรกเกิดน้อย เนื่องจากสารอาหารที่ทารกควรจะได้รับจากแม่ถูกเผาผลาญทิ้งไป ทำให้เหลือไปยังทารกน้อยกว่าที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตามโรคนี้ไม่ได้ส่งผลทำให้ทารกพิการแต่อย่างใด และคุณแม่ไม่ควรพบคุณหมอที่รักษาไทรอยด์อย่างสม่ำเสมอ ไม่ลืมรับประทานยา เพราะหากควบคุมไทรอยด์ให้สงบได้ก็สามารถดำเนินการตั้งครรภ์ได้และคลอดทารกที่แข็งแรงได้ไม่มีปัญหาครับ


โดย: DR.TONGTIS วันที่: 6 กันยายน 2553 เวลา:14:59:19 น.  

 
อายุ 34 ปี 8 เดือน ตั้งครรภ์ลูกคนที่ 3 (คนที่2 แท้ง) ถ้าไม่อยากเจาะน้ำคร่ำ มีวิธีตรวจความผิดอย่างอื่นไหมค่ะ กลัวมากค่ะ


โดย: ปัณฑารีย์ ฝ้ายชุม IP: 14.207.222.196 วันที่: 6 มิถุนายน 2554 เวลา:11:26:16 น.  

 
สามารถตรวจ Triple markers เพื่อ screen ดูก่อนได้ครับว่ามีความเสี่ยงสูงหรือไม่ ถ้ามีความเสี่ยงสุงยังไงก็ต้องตรวจน้ำคร่ำครับ ความจริงตรวจน้ำคร่ำไม่เจ็บเลย และเป็นการตรวจที่ได้ผลแม่นยำมากครับ


โดย: DR.TONGTIS วันที่: 8 มิถุนายน 2554 เวลา:9:39:07 น.  

 


โดย: สมาชิกหมายเลข 1779106 วันที่: 30 มีนาคม 2558 เวลา:17:02:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

DR.TONGTIS
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




• B.Sc. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1974-1978.
• M.D. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1979-1980.
• Diploma Board of Obstetrics and Gynecology. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1981-1983.
• Postdocteral Fellow Training. Queen's Mother Hospital, Glasgow Scotland.
• Postdocteral Fellow Training.King's College Hospital, London. UK.
• Postdocteral Fellow Training. Department of Obstetrics and Gynecology and Department of Radiology. John Hopkins Hospital, John Hopkins University.
[Add DR.TONGTIS's blog to your web]