|
24 สิงหาคม 2553
|
|
|
|
มะเร็งปากมดลูกในหญิงตั้งครรภ์
มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยที่สุดในมะเร็งของระบบสืบพันธุ์สตรี และเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยที่สุดในมะเร็งที่เกิดขึ้นในหญิงตั้งครรภ์ด้วย ที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมานั้นไม่ต้องให้ว่าที่คุณแม่ทั้งหลายเกิดความกังวลนะครับ แต่อยากให้รู้จักระวังตนเองจากมะเร็งปากมดลูกได้อย่างเหมาะสมครับ อุบัติการณ์ของมะเร็งปากมดลูกพบได้ 1.6 -10.6 รายต่อผู้ป่วยตั้งครรภ์ 10,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มต้นครับ ผู้ที่เป็นมะเร็งปากมดลูกก็มักไม่มีอาการใดๆ แต่จะมาพบแพทย์ด้วยการมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ซึ่งเมื่อได้รับการตรวจ Pap Smear แล้วอาจพบว่ามีความผิดปกติของเซลล์ที่ปากมดลูก แพทย์ก็จะทำการตัดชิ้นเนื้อที่บริเวณปากมดลูกไปทำการตรวจยืนยันอีกครั้งหนึ่ง หากพบว่าเป็นมะเร็งจริงก็ต้องทำการรักษาตามภาวะของโรค อายุครรภ์ขณะที่พบโรค และความต้องการบุตรครับ หากตรวจพบในระยะแรกของการตั้งครรภ์ และเป็นมะเร็งที่ยังไม่ลุกลาม อาจให้ตั้งครรภ์ต่อไปได้แต่ต้องตรวจติดตามอย่างใกล้ชิดจนกระทั่งคลอด และหลังคลอด แต่ถ้าเป็นระยะที่เริ่มจะลุกลามแล้วและพบในระยะแรกของการตั้งครรภ์ ควรจะต้องทำการรักษาเลยโดยไม่คำนึงถึงการตั้งครรภ์ แต่ถ้าเป็นระยะหลังของการตั้งครรภ์ แพทย์ต้องประเมินว่าสามารถรอให้ปอดทารกมีความสมบูรณ์ก่อนพอที่จะมีชีวิตรอดเมื่อคลอดออกมาได้หรือไม่ ซึ่งการคลอดทารกต้องทำการผ่าตัดทารกออกทางหน้าท้องเสมอ เพื่อป้องกันการตกเลือด และการกระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่น ส่วนการรักษามะเร็งปากมดลูกในแม่นั้นก็ใช้วิธีเดียวกันกับในหญิงที่ไม่ตั้งครรภ์ ได้แก่ 1. การผ่าตัด ถ้ามะเร็งอยู่เฉพาะปากมดลูกอาจจะตัดแค่บริเวณปากมดลูก แต่ถ้ามะเร็งแพร่กระจายมากแพทย์อาจจะตัดมดลูก ท่อรังไข่ รังไข่ รวมทั้งต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง 2. การให้รังสีรักษาทำได้ 2 วิธี โดยการให้รังสีรักษาจากเครื่อง แพทย์จะให้รังสีเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง 5วัน/สัปดาห์เป็นเวลา 5-6 สัปดาห์ โดยการฝังแร่อาบรังสีบริเวณปากมดลูกฝังแต่ละครั้งนาน 1-3 วันต้องอยู่โรงพยาบาลใช้เวลารักษา 1-2 สัปดาห์ 3. การให้เคมีบำบัด โดยการให้เคมีเข้าในเลือดเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง 4. การสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อให้ภูมิคุ้มกันทำลายมะเร็ง ยาที่ใช้บ่อยคือ Interferon
การป้องกันมะเร็งปากมดลูกทำได้โดย 4 วิธี 1. ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยการทำ Pap test สำหรับผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว หรืออายุ 30 ปีขึ้นไปควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างน้อยปีละครั้ง และผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไปควรตรวจอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อจะได้พบการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูกตั้งแต่ในระยะแรก ซึ่งจะสามารถรักษามะเร็งก่อนลุกลามได้ 2. ตรวจ HPV DNA ร่วมกับการตรวจ Pap test เพื่อคัดกรองการติดเชื้อ HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งปากมดลูก 3. ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆได้แก่ การสูบบุหรี่ การมีคู่นอนหลายคน การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย เนื่องจากเชื่อว่าเชื้อ Human Papilloma Viruses ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งปากมดลูกติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 4. ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV (Human Papilloma Viruses) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งปากมดลูก
Create Date : 24 สิงหาคม 2553 |
Last Update : 24 สิงหาคม 2553 17:36:28 น. |
|
2 comments
|
Counter : 574 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
DR.TONGTIS |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]
|
B.Sc. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1974-1978. M.D. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1979-1980. Diploma Board of Obstetrics and Gynecology. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1981-1983. Postdocteral Fellow Training. Queen's Mother Hospital, Glasgow Scotland. Postdocteral Fellow Training.King's College Hospital, London. UK. Postdocteral Fellow Training. Department of Obstetrics and Gynecology and Department of Radiology. John Hopkins Hospital, John Hopkins University.
|
|
|