|
3 สิงหาคม 2553
|
|
|
|
การตั้งครรภ์ในเดือนที่ี่ 6
พัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์
เมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 24 ทารกจะมีความยาวประมาณ 13 นิ้ว มีน้ำหนักประมาณ 2 ปอนด์ และอวัยวะต่างๆได้มีการพัฒนาไปจนเกือบสมบูรณ์แล้ว ใบหน้าเล็กๆและเรียว ทำให้ดูตาโต และเมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 22 - 24 เปลือกตาเริ่มที่จะเปิดออกได้ ทารกจะสามารถลืมตาได้แล้ว และมีขนคิ้วขึ้นบางๆ หากในเดือนนี้คุณได้รับการตรวจอัลตร้าซาวด์ คุณอาจกำลังพยายามนึกถึงคนในครอบครัวว่าทารกจะคล้ายกับใคร แต่อย่าเพิ่งกังวลเพราะหน้าตาจะยังเปลี่ยนไปอีกมากกว่าจะคลอด ผิวหนังของทารกยังคงบางมาก แต่ตอนนี้ไม่สามารถมองทะลุลงไปเห็นเครือข่ายเส้นเลือดได้แล้ว ผิวหนังของทารกตอนนี้จะเห็นเป็นสีออกแดงระเรื่อ และอาจจะดูเหี่ยวย่นเนื่องจากยังมีไขมันมาสะสมตามร่างกายไม่มากนัก และต่อมเหงื่อได้มีการพัฒนาขึ้นภายใต้ผิวหนัง นิ้วมือกำลังพัฒนา ทารกของคุณมีลายนิ้วมือแล้วในตอนนี้เช่นเดียวกับนิ้วเท้า ทารกจะถูกล้อมรอบด้วยน้ำคร่ำ 500 มิลลิลิตร ซึ่งจะช่วยให้ทารกสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและช่วยให้ทารกสามารถพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคล้ายกับการซ้อมเคลื่อนไหว หรือออกกำลังกาย หรือบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายให้หายเมื่อย ทารกสามารถเตะ ดูดนิ้ว หรือ อ้าปาก นอกจากนี้ทารกของคุณสามารถไอหรือสะอึกได้ด้วย แต่ไม่ต้องกังวลเพราะทารกสามารถช่วยตัวเองได้โดยกลืนน้ำคร่ำอุ่นๆเข้าไป เพราะนี่เป็นกลไกของธรรมชาติ ทารกยังสามารถตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวหรือเสียงดังจากภายนอกได้ กระดูกในหูของทารกเริ่มแข็งขึ้นและช่วยให้สามารถได้ยินเสียงต่างๆได้ดีขึ้น ทารกสามารถแยกเสียงที่เกิดขึ้นจากภายในมดลูกและจากสิ่งแวดล้อมภายนอกได้ ดังนั้น หากจะเริ่มพูดคุยกับลูกในตอนนี้ลูกก็จะสามารถจดจำเสียงของคุณได้ ว่าที่คุณพ่อก็ควรเริ่มพูดคุยกับลูกด้วยเช่นกัน มีรายงานการวิจัยว่าเสียงทุ้มต่ำของคุณพ่อจะช่วยให้ลูกได้ยินได้ง่ายกว่าเสียงแหลมสูงของแม่ บางทีการที่คุณมีกิจกรรมมากในแต่ละวันอาจทำให้พลาดโอกาสดีๆไป ควรหาเวลาพักบ้าง คอยสังเกตการเคลื่อนไหวของทารกว่ากำลังทำอะไรอยู่ภายในนั้น บางทีคุณจะรู้สึกได้ว่าการเคลื่อนไหว หมุนตัว เตะ หรือชก เกิดจากอวัยวะใดของทารก ส่วนที่นูนขึ้นมาตรงหน้าท้องของคุณคือส่วนไหน อาจทำให้คุณสามารถจินตนาการถึงกิจกรรมต่างๆของทารกได้ อัตราการเต้นของหัวใจของทารกในขณะที่จะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 140 150 ครั้ง/นาที และตอนนี้อวัยวะทั้งหมดยกเว้นปอดสามารถทำงานได้แล้ว หากเราได้ทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองของทารกเมื่ออายุครรภ์ 24 สัปดาห์นั้น เราจะพบว่าเซลล์สมองได้มีการพัฒนาส่วนที่รับรู้สติและทารกจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากภายนอกมากขึ้น และได้มีการพัฒนาวงจรของการหลับและการตื่น ปอดของทารกตอนนี้ยังเต็มไปด้วยน้ำคร่ำ และยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาต่อไปอีกหลายสัปดาห์จนกว่าถุงลมปอดเล็กๆนั้นจะสามารถทำการแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ ระบบทางเดินอาหารมีการพัฒนาจนสามารถดูดซึมน้ำคร่ำได้และทำงานอย่างเป็นระบบ ทารกมีการกลืนน้ำคร่ำเข้าไปและขับถ่ายออกมาหมุนเวียนเป็นน้ำคร่ำใหม่
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายคุณแม่
ร่างกายคุณแม่จะมีการเตรียมความพร้อมสำหรับการคลอดด้วย มดลูกจะมีการซ้อมหดรัดตัว ซึ่งทางการแพทย์จะเรียกว่า Braxton Hicks contractions ซึ่งกล้ามเนื้อมดลูกจะมีการหดรัดตัวแข็งขึ้นประมาณ 2 -3 วินาที แต่อาจจะเป็นได้บ่อยๆ และคุณแม่สามารถรับรู้ได้ถึงการทำงานของกล้ามเนื้อนั้นด้วย ตอนนี้ตำแหน่งของยอดมดลูกจะอยู่เหนือสะดือคุณแม่ขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อทารกมีการเคลื่อนไหวร่างกายบางครั้งคุณแม่พอจะเดาได้ว่าส่วนที่นูนขึ้นมาที่หน้าท้องนั้นเป็นเท้าหรือขา คุณแม่อาจรู้สึกคัดตึงเต้านมมากขึ้นเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพื่อเตรียมเต้านมให้พร้อมสำหรับการให้นมบุตรภายหลังการคลอดทำให้เต้านมยังขยายโตขึ้นเรื่อยๆ ในสัปดาห์ที่ 24 นี้คุณแม่อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนเสื้อยกทรงอีกครั้ง ในระยะนี้จะมีการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว เนื่องจากร่างกายมีการสะสมน้ำไว้มาก และคุณแม่อาจรู้สึกร้อนได้บ่อยๆในช่วงนี้ คำแนะนำในการปฏิบัติตัวของคุณแม่ อาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กนั้นจำเป็นสำหรับระบบไหลเวียนเลือดของทารกและของคุณแม่ด้วย คุณแม่ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กให้ได้มากที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ โดยรับประทานเนื้อแดง เป็ด ไก่ ผักใบเขียวต่างๆ และธัญพืชที่มีธาตุเหล็กสูง นอกจากนี้ควรรับประทานผลไม้ซึ่งมีวิตามิน C สูงด้วย เนื่องจาก Vitamin C นั้นช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก อยแตกของผิวหนังบริเวณหน้าท้องอาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากผิวหนังมีการขยายออกอย่างรวดเร็วและถูกดึงให้ตึงมากขึ้นโดยขนาดของมดลูกที่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว คุณแม่ควรทาครีมบำรุงผิวบ่อยๆจะช่วยลดการแตกของผิวหนังและลดอาการคันได้ รองเท้าของคุณแม่ตอนนี้อาจจะไม่พอดีกับเท้าอีกต่อไป คุณแม่อาจไม่เชื่อว่าคุณต้องใส่รองเท้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอีกเบอร์เลยทีเดียว เท้าของคุณแม่จะบวมขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้มีน้ำอยู่ในเซลล์มากขึ้น ดังนั้นควรมองหารองเท้าคู่ใหม่ที่ใส่สบายกว่า และลืมรองเท้าส้นสูงไปเลย หารองเท้าที่คุณแม่เดินได้สะดวก และไม่สะดุดหกล้มได้ง่ายๆก็จะปลอดภัยมากขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
ภาวะครรภ์เป็นพิษ Preeclampsia
เป็นภาวะที่มีความดันโลหิตสูง เกิดขึ้นได้กับหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นครรภ์แรก และมักพบหลังจากอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ อาการของ preeclampsia ได้แก่ น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว (เกิดจากน้ำในร่างกายไม่ใช่จากการเจริญเติบโตของทารก) ข้อต่างๆ รวมถึงมือและเท้าบวม ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ ความดันโลหิตสูงขึ้นมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 mmhq ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว และอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย Preeclampsia นั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่สามารถรักษาได้ เมื่อเกิดภาวะนี้ขึ้นคุณแม่จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ จะต้องนอนพักอยู่บนเตียงตลอดเวลา ต้องได้รับการดูแลเฝ้าระวังระดับของโซเดียมในร่างกาย และจะต้องได้รับยาที่จะช่วยลดความดันโลหิตลงมา ซึ่งมีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของหญิงตั้งครรภ์ที่เกิดภาวะนี้ แต่คุณหมอจำเป็นจะต้องตรวจดูอย่างละเอียดก่อนที่จะกลายเป็นภาวะ Eclampsia เพราะถ้าหากคุณมีความดันโลหิตสูงถึง 160/110 mmhq หรือมากกว่าจะทำให้เกิดอันตรายกับระบบประสาทได้ เช่น ทำให้ชัก โคม่า ทำให้ไตล้มเหลวและการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว แต่อาการอย่างรุนแรงนี้เกิดขึ้นได้น้อยมากเมื่ออยู่ในความดูแลของแพทย์ หากเกิดภาวะนี้ในการตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสที่ 3 แพทย์อาจแนะนำให้สิ้นสุดการตั้งครรภ์ โดยทำการผ่าตัดคลอด ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะ Preeclampsia ที่ไม่รุนแรงบางครั้งเมื่อคลอดแล้วระดับของความดันโลหิตจะลดลงสู่ปกติได้โดยเร็ว บางทีในวันแรกที่คลอดเลยด้วยซ้ำ
ปากมดลูกเปิดก่อนกำหนด
โดยปกติแล้วในระหว่างการตั้งครรภ์ปากมดลูกจะปิดอยู่เสมอจนกระทั่งเริ่มเจ็บครรภ์จะคลอด ปากมดลูกจึงจะเริ่มเปิดออก ปากมดลูกเปิดก่อนกำหนดเกิดจากการที่ทารกมีการเจริญเติบโตมากขึ้นและมีแรงกดดันลงไปที่ปากมดลูกซึ่งจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการแท้งขึ้นได้ การแท้งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในไตรมาสที่ 1 ของการตั้งครรภ์ แต่ปากมดลูกเปิดก่อนกำหนดเป็นสาเหตุของการแท้งในช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ เนื่องมาจากทารกยังไม่พร้อมที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกภายนอก ถ้าปากมดลูกเปิดโดยที่ไม่มีการบีบรัดตัวของมดลูกแพทย์จะสามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจภายใน การมีเลือดออกทางช่องคลอดก็เป็นอาการแสดงของการที่กำลังจะแท้งซึ่งเกิดจากปากมดลูกเปิดก่อนกำหนด ปากมดลูกเปิดก่อนกำหนด สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม เคยได้รับการผ่าตัด การแท้ง การที่ตั้งครรภ์โดยมีจำนวนทารกมากกว่าหนึ่งคน การที่ปากมดลูกเปิดก่อนกำหนดนั้นถือเป็นกรณีที่ฉุกเฉินจะต้องมีการเย็บผูกปากมดลูกเอาไว้เพื่อป้องกันการแท้ง
การเย็บผูกปากมดลูก (Cervical Cerclage)
การเย็บผูกปากมดลูก เป็นวิธีการที่จะช่วยให้ปากมดลูกปิดอยู่เสมอระหว่างที่ตั้งครรภ์ ปากมดลูกเป็นส่วนที่อยู่ต่ำที่สุดของมดลูกและต่อกับช่องคลอด ระหว่างที่มีการตั้งครรภ์ปกติ ปากมดลูกจะต้องปิดอยู่จนกระทั่งเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 การเย็บผูกปากมดลูกใช้เพื่อป้องกันการแท้ง หรือป้องกันการคลอดก่อนกำหนด หากมีการเปิดของปากมดลูกก่อนกำหนดโดยไม่มีการคลอด การเย็บผูกปากมดลูกไว้จะช่วยให้ ปากมดลูกปิดและเด็กสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ การเย็บผูกปากมดลูกจะใช้เมื่อผู้ป่วยมีประวัติว่าเคยแท้งในระยะไตรมาสที่ 2 หรือ 3 มาก่อน หรือตามแต่ดุลยพินิจของแพทย์ หากผู้ป่วยมีประวัติว่าเคยแท้งในระยะไตรมาสที่ 2 แพทย์ก็จะทำการเย็บผูกปากมดลูก ตั้งแต่เริ่มระยะไตรมาสที่ 2 ในกรณีอื่นๆก็จะทำการเย็บผูกปากมดลูกตามความเห็นของแพทย์ ที่จะช่วยทำให้ปากมดลูกแข็งแรงขึ้น และสามารถรับน้ำหนักของการตั้งครรภ์ได้ดี ในการเย็บผูกปากมดลูก ผู้ป่วยเพียงงดน้ำและอาหารนานประมาณ 6 ชั่วโมงล่วงหน้าก่อนทำการผูกปากมดลูก ผู้ป่วยจะได้รับยานอนหลับชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด หรือบล๊อคไขสันหลังเพื่อระงับความรู้สึก แพทย์จะใช้เชือกเส้นเล็กๆเย็บรอบปากมดลูก เมื่อเย็บรอบแล้วก็จะดึงและผูกให้แน่น เพื่อให้ปากมดลูกปิดสนิท หลังการเย็บผูกปากมดลูก ผู้ป่วยจำเป็นต้องพักในโรงพยาบาลอย่างน้อยหลายชั่วโมงหรือค้างที่โรงพยาบาล แพทย์จะให้ยาเพื่อลดโอกาสเกิดมดลูกบีบตัวจากการเย็บผูกปากมดลูก โดยปกติแพทย์จะทำการตัดเชือกออกเมื่ออายุครรภ์ได้ 37 สัปดาห์ หากมีการบีบตัวของมดลูกหรือน้ำเดินก่อนกำหนดต้องรีบมาพบแพทย์ การเย็บผูกปากมดลูกช่วยป้องกันการแท้ง ป้องกันการคลอดก่อนกำหนดได้ถึง 85 90 % และความเสี่ยงของการเย็บผูกปากมดลูก ได้แก่ เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ติดเชื้อ และถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
มีเลือดออก การมีเลือดออกระหว่างการตั้งครรภ์ไม่ว่าจะเป็นในช่วงใดก็ตามจะต้องรายงานแพทย์ให้ทราบ ในช่วงของไตรมาสที่ 2 การมีเลือดออกทางช่องคลอดมักมีสาเหตุมาจาก รกเกาะต่ำ เมื่อตัวอ่อนไปฝังตัวที่ส่วนล่างของมดลูกใกล้กับปากมดลูกทำให้รกเกาะอยู่ใกล้ หรือปิดปากมดลูกไปเลย เป็นสาเหตุให้มีเลือดออก และจำเป็นต้องผ่าตัดคลอด รกเกาะต่ำสามารถวินิจฉัยได้โดยการตรวจอัลตร้าซาวด์ หากคุณแม่มีรกเกาะต่ำและเป็นสาเหตุให้มีเลือดออก คุณแม่อาจจำเป็นต้องนอนพักที่โรงพยาบาล อาจต้องให้ธาตุเหล็กและวิตามินซีเพิ่มเติม และถ้าจำเป็นก็ต้องให้เลือดด้วย จะเป็นการดีกว่าและปลอดภัยต่อทารกหากอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ จนกระทั่งอายุครรภ์ได้ 36 สัปดาห์ ซึ่งการผ่าตัดคลอดก็สามารถกระทำได้อย่างปลอดภัย หากมีเลือดออกและมดลูกมีการหดรัดตัวอาจเป็นอาการแสดงของรกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉิน หมายถึง รกมีการลอกตัวออกจากผนังมดลูกต้องรีบไปโรงพยาบาลด่วน
การตรวจต่าง ๆ
การตรวจอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ
อัลตร้าซาวด์นั้นเป็นคลื่นเสียงชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความถี่สูงเกินกว่า 20,000 Hz คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์นี้ปัจจุบันได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นเครื่องมือใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆมากมาย รวมทั้งในทางการแพทย์ ซึ่งได้พัฒนาอัลตร้าซาวด์มาใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรคต่างๆ จนกลายมาเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มหาศาลสำหรับแพทย์และผู้ป่วย หลักการทำงานของเครื่องอัลตร้าซาวด์ก็คือ เครื่องจะทำการส่งคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ออกไปจากหัวตรวจ ผ่านผิวหนังลงไปยังเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในร่างกายแล้วสะท้อนกลับออกมา แต่เนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายของเรานั้นมีความสามารถในการดูดซับคลื่นอัลตร้าซาวด์ไม่เท่ากันจึงสะท้อนคลื่นกลับออกมาแตกต่างกัน หัวตรวจจะทำหน้าที่รับสัญญาณคลื่นเสียงที่สะท้อนกลับมาในระดับต่างๆ และคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในเครื่องอัลตร้าซาวด์จะทำการประมวลสัญญาณที่สะท้อนกลับมาและสร้างเป็นภาพขึ้นมาได้ การตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์นี้ นอกจากสามารถตรวจดูว่ามีความผิดปกติใดๆในร่างกายของผู้ป่วยได้แล้ว ยังสามารถตรวจดูทารกที่อยู่ในท้องของคุณแม่ได้อีกด้วยว่ามีสุขภาพสมบูรณแข็งแรงหรือไม่ แตกต่างจากในสมัยก่อนที่ยังไม่มีอัลตร้าซาวด์ ซึ่งคุณหมอจะต้องใช้มือคลำๆดูว่าทารกโตขึ้นหรือไม่ในแต่ละเดือนร่วมกับใช้หูฟังดูว่าทารกที่อยู่ในท้องของคุณแม่นั้นมีการเต้นของหัวใจเป็นปกติหรือไม่ แต่ปัจจุบันการตรวจด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ คุณหมอจะสามารถมองเห็นตัวของทารกได้อย่างชัดเจน สามารถวัดขนาดได้ว่าตอนนี้ทารกตัวยาวกี่เซนติเมตร สามารถเห็นการเต้นของหัวใจ และบอกได้เลยว่าทารกมีความผิดปกติของรูปร่างหรือไม่ มีหน้าตาเป็นอย่างไร อ้วนหรือผอม เป็นเพศชายหรือเพศหญิง ในปัจจุบัน เครื่องอัลตร้าซาวด์นั้นมีการทำงานที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เครื่องอัลตร้าซาวด์เมื่อ 2 3 ปีก่อนสามารถมองเห็นภาพทารกได้แบบสองมิติ คือ ภาพที่มีความกว้างและความยาว หรือภาพตัดขวางตามแนวของคลื่นเสียงที่ถูกส่งออกไป แต่ในเครื่องอัลตร้าซาวด์สมัยใหม่นั้นเครื่องจะเก็บภาพสองมิติหลายๆภาพตามแนวที่หัวตรวจเคลื่อนผ่านไปและนำมาประกอบกันขึ้นเป็นภาพสามมิติซึ่งมีความลึกของภาพ ทำให้ดูเหมือนจริงมากยิ่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นเครื่องตรวจอัลตร้าซาวด์บางรุ่นยังสามารถเก็บภาพสามมิติแต่ละภาพไว้แล้วนำมาแสดงผลเรียงต่อกันกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับภาพยนต์ จึงเรียกชื่อว่าอัลตร้าซาวด์สี่มิติ โดยที่มิติที่สี่คือ เวลา นั่นเอง
Create Date : 03 สิงหาคม 2553 |
Last Update : 3 สิงหาคม 2553 10:19:13 น. |
|
2 comments
|
Counter : 508 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: ป้าจะอิ๊บ IP: 114.128.204.236 วันที่: 3 สิงหาคม 2553 เวลา:11:31:13 น. |
|
|
|
| |
|
|
DR.TONGTIS |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]
|
B.Sc. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1974-1978. M.D. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1979-1980. Diploma Board of Obstetrics and Gynecology. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1981-1983. Postdocteral Fellow Training. Queen's Mother Hospital, Glasgow Scotland. Postdocteral Fellow Training.King's College Hospital, London. UK. Postdocteral Fellow Training. Department of Obstetrics and Gynecology and Department of Radiology. John Hopkins Hospital, John Hopkins University.
|
|
|